เมื่อ "ไม่มีโน้ต" แต่ยังคง "มีเสียง" 🎼
- Dr.Kasem THipayametrakul
- 13 hours ago
- 4 min read

“เสียงเพอร์คัชชันชิ้นไหนที่คุณคิดถึง... ทั้งที่มันไม่มีโน้ต”
ในระบบการศึกษาดนตรีตะวันตก เสียงดนตรีถูกถอดรหัสเป็นชุดของสัญลักษณ์ — โน้ตที่ระบุ 𝗽𝗶𝘁𝗰𝗵, 𝗱𝘂𝗿𝗮𝘁𝗶𝗼𝗻, 𝗱𝘆𝗻𝗮𝗺𝗶𝗰, และ 𝗿𝗵𝘆𝘁𝗵𝗺 อย่างแม่นยำ การเรียนรู้ดนตรีจึงมักหมายถึงการ “อ่าน” และ “ตีความ” สิ่งที่ปรากฏบนกระดาษให้กลายเป็นเสียงที่ “ถูกต้อง” ตามแบบแผน
แต่ในโลกของเพอร์คัชชัน โดยเฉพาะเครื่องกระทบที่ไม่มี 𝗽𝗶𝘁𝗰𝗵 ชัดเจน เช่น 𝘁𝗮𝗺𝗯𝗼𝘂𝗿𝗶𝗻𝗲, 𝗯𝗮𝘀𝘀 𝗱𝗿𝘂𝗺, 𝘀𝗻𝗮𝗿𝗲, 𝗴𝗼𝗻𝗴 หรือแม้กระทั่ง เสียงมือที่ตบลงบนหน้าอกหรือขา เสียงเหล่านี้ไม่ได้มีพื้นที่ในระบบบันไดเสียงดั้งเดิม
และเพราะมันไม่มี “โน้ต” จึงมักถูกมองว่า “อยู่นอกระบบ” เป็นเพียงเสียงประกอบหรือแม้แต่ “เสียงรบกวน”
แต่จริง ๆ แล้ว...เสียงเหล่านี้คือรากเหง้าของการสื่อสารทางดนตรีที่มนุษย์รู้จักก่อนจะมีโน้ตตัวแรกด้วยซ้ำ
เสียงเพอร์คัชชันคือภาษาที่พูดกับร่างกายโดยตรง ผ่านจังหวะ การกระแทก การหยุดนิ่ง และการเปลี่ยนแปลงแรงสั่นสะเทือนในอากาศ เราไม่ต้อง “แปล” มันเหมือนการอ่านโน้ต เพราะมันเดินทางตรงจากหูไปสู่ระบบประสาทและหัวใจ
ลองนึกถึงเสียงที่คุณจำได้แม่น ทั้งที่ไม่เคยเห็นโน้ตของมันเลย
๐ เสียงกลองยาวในงานบุญ
๐ เสียงตบมือพร้อมกันของกลุ่มเพื่อนในสนามกีฬา
๐ เสียงกระดิ่งวัวในยามเช้า
เสียงเหล่านี้ล้วนอยู่ “นอกโน้ต” แต่กลับ “อยู่ในใจ” อย่างแนบแน่น
อาจเพราะมันไม่ผ่านกระดาษ… มันจึงไม่ผ่านกรอง และเข้าถึงหัวใจเราโดยตรง
นี่คือเสียงที่ “ไม่ต้องการการรับรอง” แต่ “ได้รับการยอมรับ” ผ่านความรู้สึก
และนั่นทำให้เราต้องหันกลับมาฟังใหม่อีกครั้ง ว่า…เรากำลังฟังเพื่อเข้าใจ หรือฟังเพื่อแปล? เรากำลังเล่นเสียงที่ถูกต้อง หรือเสียงที่ตรงกับความรู้สึก?
เสียงเพอร์คัชชันในบริบทวัฒนธรรม ไม่ได้ทำหน้าที่เพียงเป็น “เสียงประกอบจังหวะ” ของดนตรี หากแต่เป็นสิ่งที่นักมานุษยวิทยาด้านเสียงเรียกว่า "𝘀𝗼𝗻𝗶𝗰 𝗰𝗼𝗱𝗲" หรือรหัสเสียง ซึ่งใช้ถ่ายทอดความหมาย ความทรงจำ และความผูกพันของมนุษย์ต่อสถานที่และช่วงเวลาเฉพาะในชีวิต
ในหลายชุมชน เสียงที่ไม่ได้มี 𝗽𝗶𝘁𝗰𝗵 ชัดเจน เช่น กลอง, ระฆัง, กระดิ่ง หรือแม้แต่เสียงเคาะจากเครื่องใช้ในบ้าน ล้วนมีบทบาทเป็นสัญญะที่ไม่ผ่านระบบโน้ตดนตรีตะวันตก แต่สามารถสื่อสารผ่านระบบจดจำของมนุษย์ได้อย่างลึกซึ้ง และมักฝังแน่นอยู่ในหน่วยความจำระยะยาว (𝗲𝗽𝗶𝘀𝗼𝗱𝗶𝗰 𝗺𝗲𝗺𝗼𝗿𝘆) โดยไม่ต้องผ่านกระบวนการ “แปล” แบบภาษาสัญลักษณ์
เสียงบางเสียงไม่ต้องมีชื่อเรียก ไม่ต้องมี 𝗻𝗼𝘁𝗮𝘁𝗶𝗼𝗻 แต่สามารถทำหน้าที่เป็น “จุดยึดอารมณ์” ที่ชัดเจนยิ่งกว่าสัญญาณใดในระบบดนตรี
เสียงตีระฆังหน้าวัดในยามเช้า ไม่เพียงบอกเวลา แต่ทำหน้าที่เชิงสัญลักษณ์ว่า “วันนี้ยังดำเนินต่อ”
เสียงกลองยาวในการแห่ของชาวบ้าน ไม่ได้เป็นแค่เสียงฉลอง แต่คือสัญลักษณ์ของ “การมีอยู่ร่วมกันในชุมชน”
เสียงระฆังวัวในทุ่งนา เป็นเสียงของ “ความปกติในชีวิตชนบท” ที่ฝังในจิตใจของผู้คน แม้พวกเขาจะจากหมู่บ้านมาอยู่ในเมืองแล้วนานหลายสิบปี
เสียงเหล่านี้ไม่ได้สื่อสารผ่านทฤษฎีดนตรี แต่สื่อสารผ่านบริบททางวัฒนธรรม พื้นที่ และอารมณ์ มันคือ “หน่วยของเวลา” แบบไม่มีนาฬิกา คือ “ข้อความ” แบบไม่มีภาษา และคือ “บันทึกความทรงจำ” แบบไม่มีตัวหนังสือ
แนวคิดหนึ่งที่สามารถใช้ทำความเข้าใจเสียงเพอร์คัชชันในมิติทางวัฒนธรรมได้ คือแนวคิด “𝘁𝗲𝗺𝗽𝗼𝗿𝗮𝗹𝗶𝘁𝘆 𝗼𝗳 𝘀𝗼𝘂𝗻𝗱” ซึ่งกล่าวว่า เสียงสามารถบอกเวลาได้โดยไม่ต้องพึ่งการแบ่งช่วงเวลาทางวิทยาศาสตร์หรือสัญญาณดิจิทัล แต่บ่งบอก “เวลาทางความรู้สึก” เช่น:
เสียงกลองในพิธีกรรม บอกว่า “ตอนนี้คือช่วงเริ่มต้นของสิ่งศักดิ์สิทธิ์”
เสียงเคาะระฆังตอนเย็น บอกว่า “วันใกล้สิ้นสุดแล้ว”
เสียงฝ่ามือตบโต๊ะในห้องเรียน บอกว่า “ความอดทนของใครบางคนสิ้นสุดลง”
สิ่งเหล่านี้คือรูปแบบของ “เวลาในความรู้สึก” ที่ไม่สามารถสร้างขึ้นได้จากนาฬิกาหรือเมโทรโนม
คำถาม
๐ คุณเคยได้ยินเสียงใดที่ทำให้คุณ “รู้ว่าอยู่ในช่วงเวลาใดของชีวิต” โดยไม่ต้องมีใครบอกหรือมีคำพูดใดไหม?
ในพิธีกรรมของญี่ปุ่น เสียง 𝘁𝗮𝗶𝗸𝗼 ไม่ได้ถูกใช้เพื่อประกอบจังหวะเพลงเท่านั้น แต่เป็นเสียงที่มีแรงสั่นสะเทือนสูงจนสามารถรู้สึกได้ถึงในช่องอก เสียงนี้ไม่เพียงตอกย้ำ 𝗿𝗵𝘆𝘁𝗵𝗺 ของพิธี แต่เป็นเสียงของ “การตอกย้ำพลังของกลุ่ม” ผ่านจังหวะที่ตรงกันอย่างรุนแรง
ในอินโดนีเซีย 𝗸𝗲𝗻𝗱𝗮𝗻𝗴 ในการแสดง 𝗴𝗮𝗺𝗲𝗹𝗮𝗻 ทำหน้าที่นำทางให้กับนักรำ ซึ่งจังหวะที่เปลี่ยนไปจะบอกตำแหน่งของท่ารำและอารมณ์ของการเคลื่อนไหว นี่คือรูปแบบของเสียงที่ “ร่างกายจำ” มากกว่าที่หูฟัง
แม้ในวัฒนธรรมแอฟริกา เสียงของ 𝗱𝗷𝗲𝗺𝗯𝗲 และการ 𝗰𝗹𝗮𝗽𝗽𝗶𝗻𝗴 𝗽𝗮𝘁𝘁𝗲𝗿𝗻𝘀 ก็เป็นสื่อกลางของเรื่องเล่าทางวัฒนธรรม ซึ่งส่งผ่านกันโดยการฟังและเลียนแบบ ไม่ใช่การอ่านโน้ต เสียงเหล่านี้มักเป็นการเล่าเรื่องที่ไม่มีคำบรรยาย แต่ทุกคนในชุมชน “รู้” ว่าหมายถึงอะไร เพราะเป็นส่วนหนึ่งของความทรงจำร่วม
นอกจากพิธีกรรมและประเพณี เสียงเพอร์คัชชันยังแฝงตัวอยู่ในชีวิตประจำวันของผู้คนในทุกที่:
เสียงฝาหม้อปิดที่บ้าน บอกว่า “ข้าวสุกแล้ว”
เสียงเคาะโต๊ะเบา ๆ ระหว่างรอ บ่งบอกถึง “ความคาดหวังหรือความประหม่า”
เสียงฝ่ามือตบขาเวลาเล่านิทาน เป็นการ “เติมจังหวะให้กับเรื่องเล่า”
เสียงเหล่านี้ไม่เคยถูกสอนอย่างเป็นทางการ ไม่เคยมีใครบันทึกมันในตำราดนตรี แต่กลายเป็นระบบจังหวะในชีวิตที่ทุกคนเข้าใจผ่านการเติบโตและใช้ชีวิตร่วมกับมัน
คำถาม
๐ มีเสียงใดในชีวิตคุณบ้าง ที่คุณจำได้แม่น... ทั้งที่ไม่เคยตั้งใจจะจำ
โน้ตดนตรีที่ถูกบันทึกบนกระดาษ อาจทำหน้าที่เป็นแผนที่สำหรับนักดนตรีในการ “เล่น” สิ่งที่ผู้ประพันธ์ตั้งใจไว้ — บอกว่า อะไร ควรเล่น, เมื่อไหร่ ควรเล่น, และ อย่างไร ควรเล่นในแง่ของเทคนิคพื้นฐาน
แต่ในการแสดงจริง โดยเฉพาะการแสดงสดในรูปแบบที่พึ่งพาการสื่อสารระหว่างผู้เล่นแบบเรียลไทม์ เช่น 𝗺𝗮𝗿𝗰𝗵𝗶𝗻𝗴 𝗯𝗮𝗻𝗱, 𝗽𝗲𝗿𝗰𝘂𝘀𝘀𝗶𝗼𝗻 𝗲𝗻𝘀𝗲𝗺𝗯𝗹𝗲, หรือ 𝘀𝘁𝗿𝗲𝗲𝘁 𝗽𝗲𝗿𝗳𝗼𝗿𝗺𝗮𝗻𝗰𝗲 กลับมี "เสียงอีกประเภทหนึ่ง" ที่ไม่เคยถูกเขียนไว้ในสกอร์ และไม่สามารถจำลองได้อย่างแม่นยำในการซ้อม
เสียงเหล่านี้คือเสียงที่เกิดจาก การมีอยู่ร่วมกันของนักดนตรีในขณะนั้น เป็นเสียงที่เกิดขึ้นเฉพาะจุด เฉพาะเวลา เฉพาะสถานการณ์ และเฉพาะ "จังหวะของความสัมพันธ์" ระหว่างผู้เล่นและผู้ฟัง
เสียงบางเสียงไม่ได้เกิดขึ้นเพราะมีคำสั่งให้เล่น แต่เกิดขึ้นเพราะ “สถานการณ์นั้นต้องการเสียงนั้น”
#เสียงที่เกิดขึ้น “นอกสกอร์” แต่ชี้นำ “พลังของการแสดง”
ในเชิงวิเคราะห์ เสียงที่ไม่อยู่ในโน้ตแต่มีอยู่ในการแสดง สามารถเรียกว่าเป็น เสียงโครงสร้างร่วม (𝘀𝗵𝗮𝗿𝗲𝗱 𝘀𝗼𝗻𝗶𝗰 𝗰𝘂𝗲𝘀) เป็นสัญญาณที่บอกการเปลี่ยนผ่านของอารมณ์ การเตรียมพร้อม การรับรู้ร่วม และการสร้างจังหวะหมู่โดยไม่ต้องนับออกเสียง
เสียงนิ้วเคาะบนผิว 𝘀𝗻𝗮𝗿𝗲: เพื่อส่งสัญญาณเริ่ม
เสียงฝ่ามือตบขา: เพื่อเตือนว่า “พร้อมหรือยัง”
เสียงหายใจพร้อมกันของผู้เล่น: เพื่อรวมพลังใจก่อนเริ่ม
เสียงรองเท้ากระทบพื้นในจังหวะเดียวกัน: เพื่อยืนยันการ “เดินพร้อม”
เสียงเหล่านี้อาจไม่ใช่ “ดนตรี” ตามความหมายดั้งเดิม แต่ในระดับ “พลังงานร่วม” (𝗲𝗻𝗲𝗿𝗴𝗲𝘁𝗶𝗰 𝘀𝘆𝗻𝗰𝗵𝗿𝗼𝗻𝗶𝗰𝗶𝘁𝘆) มันคือโครงสร้างที่ทำให้การแสดงเกิดขึ้นอย่างมีชีวิต
ในงานศึกษาด้าน 𝗽𝗲𝗿𝗳𝗼𝗿𝗺𝗮𝗻𝗰𝗲 𝘀𝘁𝘂𝗱𝗶𝗲𝘀 นักวิชาการอย่าง 𝗘𝗿𝗶𝗸𝗮 𝗙𝗶𝘀𝗰𝗵𝗲𝗿-𝗟𝗶𝗰𝗵𝘁𝗲 เรียกสิ่งนี้ว่า “เสียงแห่งการปรากฏตัวร่วมกัน” (𝘀𝗼𝘂𝗻𝗱 𝗼𝗳 𝗰𝗼-𝗽𝗿𝗲𝘀𝗲𝗻𝗰𝗲) ซึ่งหมายถึงเสียงที่บ่งชี้ว่าผู้คนกำลังอยู่ร่วมกัน และกำลังสร้างบางสิ่งบางอย่างในห้วงเวลานั้น โดยไม่ต้องมีภาษาพูด
อ้างอิง: 𝗙𝗶𝘀𝗰𝗵𝗲𝗿-𝗟𝗶𝗰𝗵𝘁𝗲, 𝗘. (𝟮𝟬𝟬𝟴). 𝗧𝗵𝗲 𝗧𝗿𝗮𝗻𝘀𝗳𝗼𝗿𝗺𝗮𝘁𝗶𝘃𝗲 𝗣𝗼𝘄𝗲𝗿 𝗼𝗳 𝗣𝗲𝗿𝗳𝗼𝗿𝗺𝗮𝗻𝗰𝗲: 𝗔 𝗡𝗲𝘄 𝗔𝗲𝘀𝘁𝗵𝗲𝘁𝗶𝗰𝘀. 𝗥𝗼𝘂𝘁𝗹𝗲𝗱𝗴𝗲.
คำถาม
๐ คุณเคยสังเกตไหมว่า… ในการแสดงหนึ่งครั้ง อะไรคือเสียงที่ทำให้ทั้งวง “พร้อม” มากกว่าเสียง 𝗺𝗲𝘁𝗿𝗼𝗻𝗼𝗺𝗲?
#เสียงเหล่านี้ไม่ใช่ “บทที่ต้องเล่น” แต่เป็น “ภาวะที่ต้องมี”
สิ่งที่ทำให้เสียงประเภทนี้ทรงพลัง ไม่ใช่คุณภาพทางเสียง (เช่น ความดังหรือความไพเราะ) แต่คือบริบทและความสัมพันธ์ของเสียงนั้นกับสิ่งที่เกิดขึ้นในห้วงขณะ เช่น:
เสียงที่ผู้เล่นทำขึ้นเพื่อรวมจังหวะของใจ
เสียงที่ช่วยให้ผู้เล่นรู้ว่าคนข้าง ๆ ยังอยู่ตรงนั้น
เสียงที่ทำให้ผู้ชมรู้ว่า “ตอนนี้กำลังจะเริ่มบางอย่างที่สำคัญ”
สิ่งเหล่านี้คือเสียงที่ไม่มีใครสั่งให้เล่น และมักไม่มีการซ้อมให้เหมือนเดิมได้ในทุกครั้ง แต่กลับเป็นเสียงที่ มีผลกระทบสูงที่สุดต่อบรรยากาศของการแสดง
เสียงหนึ่งอาจไม่ใช่โน้ต… แต่สามารถทำให้ทั้งวงมั่นใจ และทำให้ผู้ชมรู้สึก “ถูกเชิญ” ให้เข้าสู่โลกของดนตรีได้
ในวงการ 𝗽𝗲𝗿𝗰𝘂𝘀𝘀𝗶𝗼𝗻 สมัยใหม่ โดยเฉพาะการแสดงที่ใช้แนวคิดร่วมสมัย (𝗰𝗼𝗻𝘁𝗲𝗺𝗽𝗼𝗿𝗮𝗿𝘆 𝘀𝘁𝗮𝗴𝗶𝗻𝗴) เสียงเช่นการลากอุปกรณ์ การขยับท่าทางของผู้เล่น เสียงกระทบจากพื้น หรือแม้แต่ “เสียงเงียบ” ที่เกิดจากการหยุดนิ่งพร้อมกัน ล้วนถือว่าเป็นส่วนหนึ่งของงานแสดงเชิงศิลปะ
สิ่งนี้นำไปสู่การขยายขอบเขตของการ “ฟังดนตรี” ไปสู่การ “ฟังเวที” (𝗹𝗶𝘀𝘁𝗲𝗻𝗶𝗻𝗴 𝘁𝗼 𝘁𝗵𝗲 𝘀𝘁𝗮𝗴𝗲) ซึ่งไม่ใช่การฟังแต่โน้ตที่ออกมาเท่านั้น แต่รวมถึงการฟังสภาพแวดล้อมทางเสียงของการแสดงทั้งหมด
คำถาม
๐ ในฐานะนักดนตรี คุณฝึกฟังแค่ “เสียงที่คุณตีออกมา” หรือฝึกฟัง “เสียงทั้งหมดของการแสดง” ด้วยหรือไม่?
เสียงที่ไม่มีโน้ต ไม่ได้หมายความว่าเป็น “เสียงที่ไม่ตั้งใจ” ตรงกันข้าม บางเสียงที่ไม่มีโน้ตกลับเต็มไปด้วยเจตนา เพราะมันเกิดจากความรู้สึกที่ละเอียดเกินกว่าจะบันทึกเป็นสัญลักษณ์
ไม่มีโน้ต... ไม่ได้แปลว่าไม่มีเจตนา ไม่มีเจตนา... นั่นต่างหากคือเสียงที่ว่างเปล่าจริง ๆ
สิ่งสำคัญคือการฝึกตนเองให้ “ฟัง” และ “รู้สึก” สิ่งเหล่านี้ แม้มันจะไม่มีอยู่ในสมุดโน้ตหรือในไฟล์ 𝗠𝗜𝗗𝗜 ก็ตาม เพราะนี่คือเสียงที่นักดนตรีระดับสูงจะพูดถึงบ่อยครั้งว่า “𝗜𝘁’𝘀 𝗻𝗼𝘁 𝘄𝗵𝗮𝘁 𝘆𝗼𝘂 𝗽𝗹𝗮𝘆, 𝗶𝘁’𝘀 𝘄𝗵𝗮𝘁 𝘆𝗼𝘂 𝗳𝗲𝗲𝗹.”
คำถาม
๐ คุณเคยฟังการแสดงที่ “ไม่มีโน้ตผิด” แต่กลับรู้สึกว่า “ไม่มีชีวิต” หรือไม่?
๐ คุณเคยได้ยินเสียงใดในการแสดงที่ไม่มีอยู่ในโน้ต แต่ยังจำได้ถึงวันนี้?
๐ คุณจะฝึกอะไร เพื่อให้ “พร้อม” สำหรับเสียงที่ไม่เคยถูกเขียนไว้?
#เสียงที่คนฟัง “รู้สึก” มากกว่า “จำโน๊ตได้”
ในโลกของการเรียนดนตรีและการประเมินการแสดง เสียงที่ “ถูกต้อง” มักหมายถึงเสียงที่ตรงกับสิ่งที่เขียนไว้ในโน้ต เป็นเสียงที่มี 𝗽𝗶𝘁𝗰𝗵 ชัดเจน, 𝗱𝘂𝗿𝗮𝘁𝗶𝗼𝗻 ถูกต้อง, 𝗱𝘆𝗻𝗮𝗺𝗶𝗰 ตามสัญลักษณ์ และ 𝗿𝗵𝘆𝘁𝗵𝗺 แม่นยำตาม 𝗺𝗲𝘁𝗿𝗼𝗻𝗼𝗺𝗲
แต่เมื่อเราถามผู้ฟังทั่วไป หรือแม้แต่นักดนตรีหลังจากการแสดงจบลงว่า "คุณรู้สึกอะไร?" คำตอบที่ได้กลับมามักไม่เกี่ยวกับโครงสร้างของโน้ต ไม่ใช่คำอธิบายทางทฤษฎี แต่คือคำบอกเล่าที่เต็มไปด้วย อารมณ์ ความรู้สึก หรือความจำบางอย่างที่ไม่มีคำเรียกชัดเจน
สิ่งนี้สะท้อนแนวคิดของงานวิจัยในศาสตร์ที่เรียกว่า 𝗻𝗲𝘂𝗿𝗼𝗮𝗲𝘀𝘁𝗵𝗲𝘁𝗶𝗰𝘀 — การศึกษาว่าระบบประสาทมนุษย์ตอบสนองต่อศิลปะและความงามอย่างไร ซึ่งพบว่า
เสียงที่สร้างปฏิกิริยาทางอารมณ์รุนแรง มักไม่ใช่เสียงที่ซับซ้อนทางทฤษฎี แต่คือเสียงที่สัมพันธ์กับประสบการณ์, จังหวะชีพจร, การเคลื่อนไหวของร่างกาย และ “ความหมายส่วนตัว” ของผู้ฟังแต่ละคน
เสียงเพอร์คัชชันที่ไม่มี 𝗽𝗶𝘁𝗰𝗵 ชัดเจน เช่นเสียงสะบัดของ 𝗰𝘆𝗺𝗯𝗮𝗹, เสียง 𝗯𝗮𝘀𝘀 𝗱𝗿𝘂𝗺 ตีเบา ๆ, หรือแม้แต่เสียง "ความเงียบที่เกิดขึ้นอย่างมีเจตนา" มักไม่สามารถอธิบายได้ในแง่โครงสร้างทางดนตรีอย่างชัดเจน แต่สามารถกระตุ้นการตอบสนองจาก 𝗹𝗶𝗺𝗯𝗶𝗰 𝘀𝘆𝘀𝘁𝗲𝗺 ในสมอง ซึ่งควบคุมความรู้สึก เช่น ความกลัว ความรัก ความคิดถึง และความมั่นคงทางอารมณ์
เสียง 𝗵𝗲𝗮𝗿𝘁𝗯𝗲𝗮𝘁 𝗿𝗵𝘆𝘁𝗵𝗺 หรือจังหวะเต้นของกลองพื้นเมืองบางชนิด เช่น เสียง 𝗽𝗼𝘄𝘄𝗼𝘄 𝗱𝗿𝘂𝗺 ในวัฒนธรรมชนพื้นเมืองอเมริกัน หรือเสียง 𝗴𝗼𝗻𝗴 วัดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ — สามารถสร้างสภาวะจิตที่สงบ หรือเร้าอารมณ์ได้อย่างลึกโดยไม่ต้องมีการวิเคราะห์ทางทฤษฎี
คำถาม:
๐ เมื่อคุณฟังเสียงหนึ่ง คุณเคยรู้สึกไหมว่า “ใจเต้นพร้อมเสียงนั้น” โดยไม่ต้องพยายามแปลมัน?
เสียงบางเสียงไม่มีโน้ต ไม่มี 𝘀𝗰𝗮𝗹𝗲 และไม่มีชื่อเรียก แต่มัน “สร้างภาพในใจ” ได้ชัดเจน ตัวอย่างเช่น:
เสียงฝนตกบนหลังคากระเบื้อง → ทำให้นึกถึงบ้าน
เสียงฝ่ามือตบโต๊ะเบา ๆ → ทำให้นึกถึงใครบางคนที่รอคอย
เสียงเงียบว่างระหว่างสองประโยค → ทำให้เกิดความตึงเครียด หวัง หรือเศร้า
เสียงเหล่านี้ไม่ผ่านกระบวนการของสมองส่วนเหตุผล (𝗻𝗲𝗼𝗰𝗼𝗿𝘁𝗲𝘅) แต่ทำงานผ่านระบบความรู้สึกโดยตรง นักวิจัยบางท่านเรียกสิ่งนี้ว่า 𝗽𝗿𝗲-𝘃𝗲𝗿𝗯𝗮𝗹 𝗲𝗺𝗼𝘁𝗶𝗼𝗻𝗮𝗹 𝗿𝗲𝘀𝗽𝗼𝗻𝘀𝗲 คือการตอบสนองทางอารมณ์ที่เกิดก่อนการใช้ภาษา
ในดนตรีเพอร์คัชชัน เสียงที่ถูกปล่อยให้หายไปในอากาศ หรือเสียงที่เกิดขึ้นเฉพาะช่วงเวลาหนึ่งโดยไม่มีการเตรียมการ มักจะเป็นเสียงประเภทนี้ — เสียงที่จบไปแล้วแต่ยัง “ไม่จบ” ในใจผู้ฟัง
คำถาม
๐ เสียงใดที่คุณเคยได้ยินแค่ครั้งเดียว… แต่ยังรู้สึกว่ามัน “อยู่กับคุณ” จนถึงวันนี้?
เสียงเพอร์คัชชันบางเสียงเกิดจากร่างกายมนุษย์โดยตรง: เสียงมือกระทบอก, เสียงนิ้วเคาะเข่า, เสียงหายใจเข้าออกพร้อมกัน สิ่งเหล่านี้ไม่ต้องมีการฝึก ไม่ต้องมีเครื่องดนตรี และไม่มีตำแหน่งบนบันไดเสียง แต่สามารถ “สร้างความใกล้ชิด” ได้สูงมาก
ในแนวคิดของ 𝗲𝗺𝗯𝗼𝗱𝗶𝗲𝗱 𝗹𝗶𝘀𝘁𝗲𝗻𝗶𝗻𝗴 นักวิจัยเช่น 𝗠𝗮𝗿𝗸 𝗝𝗼𝗵𝗻𝘀𝗼𝗻 และ 𝗧𝗵𝗼𝗺𝗮𝘀 𝗧𝘂𝗿𝗶𝗻𝗼 ชี้ว่า มนุษย์ไม่เพียงฟังด้วยหู แต่ “รู้สึกเสียง” ผ่านร่างกาย ความสั่นสะเทือนบางอย่างจึงสามารถสร้างอารมณ์ร่วมที่ลึกมาก เช่น ในพิธีกรรม หรือการแสดงสดที่ผู้ชมไม่รู้ตัวว่า “ฟังอยู่หรือรู้สึกร่วมอยู่”
อ้างอิง
𝗝𝗼𝗵𝗻𝘀𝗼𝗻, 𝗠. (𝟮𝟬𝟬𝟳). 𝗧𝗵𝗲 𝗠𝗲𝗮𝗻𝗶𝗻𝗴 𝗼𝗳 𝘁𝗵𝗲 𝗕𝗼𝗱𝘆: 𝗔𝗲𝘀𝘁𝗵𝗲𝘁𝗶𝗰𝘀 𝗼𝗳 𝗛𝘂𝗺𝗮𝗻 𝗨𝗻𝗱𝗲𝗿𝘀𝘁𝗮𝗻𝗱𝗶𝗻𝗴. 𝗨𝗻𝗶𝘃𝗲𝗿𝘀𝗶𝘁𝘆 𝗼𝗳 𝗖𝗵𝗶𝗰𝗮𝗴𝗼 𝗣𝗿𝗲𝘀𝘀.
𝗧𝘂𝗿𝗶𝗻𝗼, 𝗧. (𝟮𝟬𝟬𝟴). 𝗠𝘂𝘀𝗶𝗰 𝗮𝘀 𝗦𝗼𝗰𝗶𝗮𝗹 𝗟𝗶𝗳𝗲: 𝗧𝗵𝗲 𝗣𝗼𝗹𝗶𝘁𝗶𝗰𝘀 𝗼𝗳 𝗣𝗮𝗿𝘁𝗶𝗰𝗶𝗽𝗮𝘁𝗶𝗼𝗻. 𝗨𝗻𝗶𝘃𝗲𝗿𝘀𝗶𝘁𝘆 𝗼𝗳 𝗖𝗵𝗶𝗰𝗮𝗴𝗼 𝗣𝗿𝗲𝘀𝘀.
เสียงที่ทำให้เราอยากหลับตา, ยิ้มเบา ๆ หรือเงียบลงพร้อมกัน คือเสียงที่ไม่มีโน้ต… แต่มีผลทางกายและใจชัดเจน
#เสียงที่ไม่มีคำเรียกแต่ผู้ฟังรู้ว่า "มันคืออะไร"
เมื่อเสียงหนึ่งสามารถทำให้ผู้ฟังน้ำตาไหลได้ แม้มันจะไม่ใช่โน้ตใด ๆ ที่เคยเรียน หรือเคยฝึก — คำถามสำคัญจึงเกิดขึ้น:
นั่นถือเป็นดนตรีไหม?
หากเสียงหนึ่งไม่มี 𝘀𝗰𝗮𝗹𝗲 ไม่มีคอร์ด แต่ทำให้เกิดการเคลื่อนไหวในใจ เราจะยังเรียกมันว่า “นอกระบบ” ได้หรือไม่?
เสียงที่คนรู้สึกได้มากกว่าจำได้ มักเป็นเสียงที่ไม่ได้ทำหน้าที่อธิบายสิ่งใด แต่ทำหน้าที่ “อยู่ตรงนั้น” ในจังหวะที่เหมาะสม เช่น เสียงเล็ก ๆ ในช่วงจบของเพลง เสียงตบเบา ๆ ก่อนเริ่มวงโยฯ หรือแม้แต่เสียงถอนหายใจของนักแสดงบนเวที
คำถาม
๐ เสียงเพอร์คัชชันเสียงไหนในชีวิตคุณ… ที่คุณจำไม่ได้ว่า “เล่นยังไง” แต่ยังรู้สึกได้ว่า “มันสำคัญ”?
๐ ถ้าคุณต้องสร้างเพลงโดยไม่มีโน้ตเลย คุณจะเริ่มจากเสียงแบบไหน?
๐ เราควรฝึกเพื่อ “จำโน้ตให้แม่น” หรือฝึกเพื่อ “รู้สึกเสียงให้ลึก”?
ในโลกของเพอร์คัชชัน ไม่ใช่ทุกเสียงที่ต้องการ “โน้ต” เพื่อจะมีความหมาย และไม่ใช่ทุกเสียงที่มีอยู่ในแบบฝึกหัด จะเป็นเสียงที่ “ทำหน้าที่” ทางอารมณ์และการเล่าเรื่องจริงๆ ในการแสดง ในทางกลับกัน เสียงบางเสียงที่ไม่เคยถูกเขียน เสียงที่เกิดขึ้นโดยไม่ตั้งใจ หรือแม้แต่เสียงที่ดูเหมือน “บังเอิญ” กลับเป็นเสียงที่กลั่นจากสถานการณ์ ความสัมพันธ์ และพลังงานเฉพาะขณะนั้น ซึ่งส่งผลต่อผู้ฟังได้ลึกซึ้งกว่าเสียงใด
สิ่งเหล่านี้คือเสียงที่ไม่มีอยู่ในโน้ต แต่ “มีอยู่ในความตั้งใจ” ของนักดนตรี และการฝึกฟังเสียงประเภทนี้ ไม่ใช่การฝึกเพื่อความแม่นยำเชิงเทคนิค แต่คือการฝึกเพื่อ เข้าใจความหมายของเสียงในฐานะ “ภาวะ” ไม่ใช่ “วัตถุ”
#การฝึกฟังคือการฝึก “ไม่รีบตีความ”
หนึ่งในอุปสรรคของการฟังเสียงที่ไม่มีโน้ต คือสมองมักรีบตัดสินว่าเสียงนั้น “มีประโยชน์” หรือ “ควรจะฟังไหม” จากความเคยชินกับเสียงที่มีจุดมุ่งหมายชัดเจน (เช่น โน้ต, จังหวะ, หรือคอร์ด) แต่เสียงเพอร์คัชชันที่ไม่มีโน้ต ต้องการการฟังแบบที่ 𝗣𝗮𝘂𝗹𝗶𝗻𝗲 𝗢𝗹𝗶𝘃𝗲𝗿𝗼𝘀 เรียกว่า 𝗗𝗲𝗲𝗽 𝗟𝗶𝘀𝘁𝗲𝗻𝗶𝗻𝗴 — การฟังโดย เปิดพื้นที่ว่างภายใน ให้เสียงเข้ามาโดยไม่ตัดสินเร็ว ไม่รีบร้อน และไม่พยายามจับ “ความหมาย” ทันที
การฟังแบบนี้ไม่ใช่การ “พยายามจะเข้าใจ” แต่เป็นการ ยอมให้เสียงเผยความตั้งใจของมันเอง
การฟังให้ลึก คือการไม่แทรก “สิ่งที่เรารู้” เข้าไปใน “สิ่งที่เรากำลังฟัง”
คำถาม
๐ คุณเคยฝึกนั่งฟังเสียงห้องที่คุณอยู่ โดยไม่พูด ไม่เล่น และไม่ตั้งเป้าหมายใด ๆ หรือไม่?
๐ คุณได้ยิน “เสียงรอบตัว” หรือเพียงแต่คุ้นชินกับมัน?
#สตูดิโอระดับโลกที่บันทึก “เสียงที่ไม่มีใครสั่งให้เล่น”
ที่สตูดิโออย่าง 𝗦𝗸𝘆𝘄𝗮𝗹𝗸𝗲𝗿 𝗦𝗼𝘂𝗻𝗱 หรือ 𝗔𝗯𝗯𝗲𝘆 𝗥𝗼𝗮𝗱 𝗦𝘁𝘂𝗱𝗶𝗼𝘀 วิศวกรเสียงระดับโลกมักให้ความสำคัญกับ “เสียงที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติ” มากเป็นพิเศษ เช่น เสียงไม้ลากพื้น, เสียงฝีเท้าหลังจบ 𝘁𝗮𝗸𝗲, หรือแม้แต่เสียงเครื่องดนตรีขยับเบา ๆ ระหว่างรอคำสั่ง
เสียงเหล่านี้ไม่ได้อยู่ใน 𝘀𝗰𝗼𝗿𝗲 ไม่ได้อยู่ใน 𝗰𝘂𝗲 𝘀𝗵𝗲𝗲𝘁 แต่กลับถูกเก็บไว้ เพราะมันเป็นเสียงที่ “เติม 𝘁𝗲𝘅𝘁𝘂𝗿𝗲 ทางอารมณ์” ให้กับสิ่งที่เขียนไว้แล้วบนกระดาษ
เสียงที่ไม่ได้ซ้อม... แต่เกิดขึ้นในจังหวะที่พอดี อาจจริงใจกว่าเสียงที่ถูกฝึกมาเป็นร้อยครั้ง
นี่คือแนวทางที่นักทำเสียงภาพยนตร์เรียกว่า “𝘀𝗼𝗻𝗶𝗰 𝗮𝘂𝘁𝗵𝗲𝗻𝘁𝗶𝗰𝗶𝘁𝘆” หรือ “เสียงที่จริงกว่าคำอธิบาย” เป็นเสียงที่คนฟังเชื่อโดยไม่ต้องอธิบายว่า “ดีเพราะอะไร”
#การฝึกฟัง = การกลับสู่สัญชาตญาณของร่างกาย
เสียงเพอร์คัชชันหลายประเภทในชีวิตมนุษย์เริ่มต้นจากร่างกายของเราเอง: เสียงฝ่ามือ เสียงนิ้วเคาะ เสียงหายใจ เสียงการเดิน เสียงการยืนในความเงียบ
การฝึกฟังเสียงเหล่านี้ คือการฝึกให้ตระหนักว่า “เสียงดนตรี” ไม่ได้เริ่มจากเครื่องดนตรีเสมอไป แต่มันเริ่มจากการ รู้ว่าร่างกายเราส่งเสียงแบบไหน และความรู้สึกใดอยู่ข้างหลังเสียงนั้น
ตัวอย่างการฝึกที่ใช้กันในการอบรมนักดนตรี 𝗰𝗼𝗻𝘁𝗲𝗺𝗽𝗼𝗿𝗮𝗿𝘆 𝗽𝗲𝗿𝗰𝘂𝘀𝘀𝗶𝗼𝗻:
ฟังเสียงฝ่ามือแตะพื้นไม้ 𝟭𝟬 แบบ แล้วเขียนว่า “รู้สึกยังไง” กับแต่ละแบบ
เล่นเสียง 𝟭 เสียงที่ไม่ซ้ำกันใน 𝟭 นาที โดยห้ามใช้โน้ตและห้ามซ้ำเจตนา
ฟังเสียงในห้องที่เราอยู่ แล้วระบุว่า เสียงไหนที่คุณเพิ่งได้ยินวันนี้เป็นครั้งแรก?
#เสียงที่ไม่มีโน้ตไม่ได้ฟังยาก...แต่มักถูกละเลย
เสียงที่ไม่มีโน้ต ไม่ได้ซับซ้อน แต่มักถูกมองข้าม เพราะมันไม่มีชื่อ ไม่มีสัญลักษณ์ และไม่มีบทเรียนที่สอนให้เราฟัง แต่เมื่อเราหยุดเล่น หยุดพูด และหยุดตัดสิน เสียงเหล่านี้จะปรากฏขึ้นทันที
เสียงเพอร์คัชชันที่ดีที่สุดอาจไม่ได้มาจากความสามารถ แต่เกิดจาก ความรู้สึกที่ตรงกับจังหวะของชีวิตขณะนั้น เสียงเช่นนี้ไม่มีใครสั่งให้เล่น ไม่มีคะแนนให้สอบ แต่สามารถเปลี่ยนบรรยากาศทั้งห้อง และเปลี่ยนใจคนฟังได้
เสียงที่ไม่มีโน้ต… คือเสียงที่ “บันทึกไว้ในร่างกาย” ไม่ใช่ในสมุด
คำถาม
๐ คุณเคยฝึกการตีเพอร์คัชชันแบบ “ไม่ตั้งเป้า” แล้วฟังสิ่งที่เกิดขึ้นไหม?
๐ เสียงที่คุณรู้สึกมากที่สุดในการแสดงครั้งหนึ่ง เป็นเสียงที่ซ้อมไว้ หรือเกิดขึ้นเอง?
๐ คุณจะเริ่มฝึกฟังเสียงไม่มีโน้ตได้อย่างไรในชีวิตประจำวัน? ในห้องซ้อม? ระหว่างเดิน? หรือระหว่างรอใครบางคน?
เสียงเพอร์คัชชันที่อยู่ในความรู้สึก ไม่ใช่ในกระดาษ
เสียงที่ไม่มีโน้ต ไม่ได้แปลว่าไม่มีค่า
มันไม่ได้ผิดจากระบบแต่มัน “อยู่คนนอกระบบ” ที่พูดกับหัวใจได้โดยไม่ต้องขออนุญาต เสียงเหล่านี้ไม่ต้องการภาษาทฤษฎี ไม่ต้องการคำอธิบาย แต่ทำงานในพื้นที่ที่ลึกกว่า พื้นที่ของความทรงจำ
เสียง 𝘁𝗮𝗺𝗯𝗼𝘂𝗿𝗶𝗻𝗲 สะท้อนแสงในมือครูวงโยฯ เสียง เบสดรัมที่ตีในวันที่ทุกคนเดินเข้าลานประกวดครั้งแรก เสียง กระดิ่งที่เปิดขบวนในแสงเย็นบ่าย เสียง ไม้ตีที่กระทบเบา ๆ กับตัวกลองกลางแดดร้อนจัดของวันซ้อม
เสียงเหล่านี้ไม่มีวันอยู่ในสมุดโน้ต แต่กลับฝังแน่นอยู่ในใจของนักดนตรีไปอีกนานหลังการแสดงจบลง บางเสียงแม้จะได้ยินแค่ครั้งเดียว แต่ก็ “อยู่กับเรา” ตลอดไป
บางที เสียงเพอร์คัชชันที่ทรงพลังที่สุด ไม่ได้ดังที่สุด แต่คือเสียงที่ "อยู่ตรงนั้น" ในช่วงเวลาที่เราจำได้ทั้งชีวิต
และนั่นทำให้เรากลับไปตั้งคำถามพื้นฐานกับตัวเองเสมอว่า…เราเล่นเสียงเหล่านี้ไปเพื่ออะไร? เราตีมันเพื่อให้ “ได้ยิน” หรือเพื่อให้ “รู้สึก”
Comments