top of page
Search

ความดังที่ฟังดูมั่นใจ กับความดังที่ฟังดูเกรี้ยวกราด “#เสียงที่เหมือนกันแต่รู้สึกต่างกัน”



เมื่อ “#ความดัง” ไม่ได้หมายถึงความแม่นยำ หรือความมั่นใจ



ในบริบทของวงดนตรีที่มีเครื่องกระทบเป็นองค์ประกอบหลัก เช่น วงโยธวาทิต วง 𝗺𝗮𝗿𝗰𝗵𝗶𝗻𝗴 𝗽𝗲𝗿𝗰𝘂𝘀𝘀𝗶𝗼𝗻 หรือแม้แต่วง 𝗰𝗼𝗻𝘁𝗲𝗺𝗽𝗼𝗿𝗮𝗿𝘆 𝗲𝗻𝘀𝗲𝗺𝗯𝗹𝗲 การผลิตเสียงที่ “ชัดเจน” และ “ทรงพลัง” มักถูกให้ความสำคัญในกระบวนการฝึกซ้อม โดยเฉพาะในกลุ่มผู้เล่นที่อยู่ในช่วงพัฒนาทักษะ การตีให้ “ดัง” จึงกลายเป็นตัวชี้วัดโดยปริยาย เป็นเสมือนหลักฐานของความกล้า ความตั้งใจ และความสามารถในการ “แสดงตัวตนทางเสียง”



แต่หากพิจารณาให้ลึกลงไป จะพบว่า คำว่า “ดัง” อาจไม่สามารถใช้เป็นตัวแทนของคุณภาพเสียง หรือระดับความสามารถทางดนตรีได้อย่างครอบคลุม หากไม่มีการมองควบคู่กับมิติอื่น ๆ เช่น



๐ ความแม่นยำของจังหวะ


๐ ความสม่ำเสมอของแรง


๐ ความละเอียดของโทนเสียง


๐ ความกลมกลืนกับเสียงของผู้อื่น


๐ และเจตนาทางดนตรีที่แฝงอยู่ในแต่ละโน้ต



เสียงที่ “ดัง” แต่ไม่สามารถควบคุมแรงได้ อาจฟังดูขาดความมั่นคง เสียงที่ “ดัง” แต่ไม่สัมพันธ์กับไดนามิกของวง อาจฟังดูแปลกแยก เสียงที่ “ดัง” แต่เกิดจากแรงผลักภายในอย่างไร้การไตร่ตรอง อาจกลายเป็นเสียงที่ก้าวร้าวโดยไม่จำเป็น



ในแง่นี้ “ความดัง” จึงไม่ใช่จุดหมาย แต่เป็นเพียงหนึ่งใน “ผลลัพธ์” ที่สามารถสะท้อนระดับการจัดพลังงาน ความเข้าใจในโครงสร้างเสียง และระดับการตระหนักรู้ของผู้เล่นต่อสิ่งที่เกิดขึ้นรอบตัวเท่านั้น





๐ เสียงที่คุณผลิตออกมาในทุก ๆ ครั้ง “ดัง” ด้วยเหตุผลใด? เป็นเพราะคุณต้องการสร้างอิทธิพล หรือเพียงต้องการให้ได้ยิน?



๐ เสียงนั้นให้ “ผลทางอารมณ์” อย่างไรกับผู้ฟัง? มันปลุกเร้า นำพา หรือรบกวน?



๐ ถ้าไม่มีใครอยู่ฟัง เสียงของคุณยังคง “จำเป็นต้องดัง” อยู่หรือไม่?



๐ และคุณคิดว่าเสียงที่ทรงพลังจริง ๆ จำเป็นต้องดังเสมอไปหรือเปล่า?



𝟭. การแยกแยะระหว่าง “#ความดังทางกายภาพ” กับ “#ความมั่นคงทางพลังงาน



ในเชิงเทคนิค ค่าความดังของเสียงที่วัดได้ด้วยเครื่องมือ เช่น 𝗱𝗲𝗰𝗶𝗯𝗲𝗹 (𝗱𝗕) เป็นเพียงข้อมูลเชิงตัวเลขที่บอกระดับความแรงของคลื่นเสียงในช่วงเวลาหนึ่ง อย่างไรก็ตาม ในการปฏิบัติจริงในดนตรี โดยเฉพาะการเล่นเครื่องเพอร์คัชชันหรือกลอง เสียงที่ “ดัง” ตามค่า 𝗱𝗕 ไม่สามารถใช้อธิบายได้ครบถ้วนว่าเสียงนั้น “ดี” หรือ “เหมาะสม” หรือแม้กระทั่ง “สื่อสารตรงกับเจตนา” หรือไม่



ผู้เล่นที่เน้นไปที่การทำให้เสียงดังโดยไม่พิจารณาคุณสมบัติอื่น มักเกิดปัญหาในเรื่อง “ความไม่มั่นคง” ที่ซ่อนอยู่ในเสียง แม้ว่าเสียงจะฟังดูชัดหรือกระแทกหู แต่หากพิจารณาในรายละเอียด จะพบว่าเสียงนั้นอาจมีลักษณะที่ไม่เสถียร ไม่ต่อเนื่อง หรือไม่กลมกลืนกับภาพรวมของวงดนตรี



  ความมั่นคงทางพลังงาน (𝗘𝗻𝗲𝗿𝗴𝗲𝘁𝗶𝗰 𝗦𝘁𝗮𝗯𝗶𝗹𝗶𝘁𝘆)



แนวคิดของ “ความมั่นคงทางพลังงาน” ในที่นี้ หมายถึงคุณสมบัติของเสียงที่สื่อถึงความตั้งใจที่ชัดเจน การควบคุมแรงอย่างต่อเนื่อง และการจัดระเบียบจังหวะที่มีระบบ ซึ่งองค์ประกอบเหล่านี้อาจไม่สามารถวัดได้จากตัวเลข แต่สามารถรับรู้ได้ชัดเจนเมื่อฟังเสียงจริง



เสียงที่ฟังดูมั่นใจ แม้จะอยู่ในระดับความดังสูง มักประกอบไปด้วยคุณลักษณะต่อไปนี้:



  ความแน่นอนของจังหวะ (𝗧𝗲𝗺𝗽𝗼𝗿𝗮𝗹 𝗣𝗿𝗲𝗰𝗶𝘀𝗶𝗼𝗻): การวางเสียงบนจังหวะที่สม่ำเสมอ ไม่เร่งหรือช้ากว่าจังหวะโดยไม่ตั้งใจ



การกระจายของแรงกระทบ (𝗗𝗶𝘀𝘁𝗿𝗶𝗯𝘂𝘁𝗶𝗼𝗻 𝗼𝗳 𝗜𝗺𝗽𝗮𝗰𝘁): พลังงานที่ส่งไปยังผิวกลองหรือฉาบกระจายอย่างสมดุล ไม่มีจุดใดจุดหนึ่งที่เกร็งหรือกดเกินไป



ความสอดคล้องกับเสียงรอบข้าง (𝗘𝗻𝘀𝗲𝗺𝗯𝗹𝗲 𝗔𝘄𝗮𝗿𝗲𝗻𝗲𝘀𝘀): เสียงของผู้เล่นมีการปรับตัวให้เข้ากับบริบทของวง ไม่แย่งความสนใจจากองค์ประกอบอื่น



ความคงเส้นคงวาในไดนามิก (𝗗𝘆𝗻𝗮𝗺𝗶𝗰 𝗖𝗼𝗻𝘀𝗶𝘀𝘁𝗲𝗻𝗰𝘆): ไดนามิกไม่ได้แปรปรวนขึ้นลงแบบคาดเดาไม่ได้ แต่คงที่หรือมีการเปลี่ยนแปลงอย่างมีโครงสร้าง



  ความดังที่ไม่มีโครงสร้าง: สภาวะของเสียงที่ไม่มั่นคง



ในทางกลับกัน เสียงที่ฟังดูเกรี้ยวกราดหรือไม่มั่นคง อาจเกิดจากพลังงานที่ถูกปล่อยออกมาอย่างไม่มีทิศทาง ตัวอย่างเช่น:



  การตีที่เปลี่ยนระดับเสียงไปมาโดยไม่รู้ตัว



  การเพิ่มแรงกระแทกมากขึ้นเมื่อรู้สึกไม่แน่ใจ



  การเร่งจังหวะเมื่อเสียงตนเองไม่โดดเด่นเท่าที่ต้องการ



สภาวะเหล่านี้บ่งชี้ถึง “พลังงานที่ขาดโครงสร้าง” ซึ่งอาจมาจากความตึงเครียดของกล้ามเนื้อ การหายใจไม่เป็นจังหวะ หรือการขาดการตระหนักรู้ในพฤติกรรมของตนเองขณะเล่น



เสียงที่มีลักษณะดังกล่าว แม้จะฟังดูดังและชัดเจน แต่ในระดับของการรับรู้ทางดนตรี อาจสร้างความเครียดให้กับผู้ฟัง หรือขัดจังหวะไหลลื่นของเสียงในภาพรวมของวง





๐ เสียงที่คุณตีในทุก ๆ ครั้ง มีรูปแบบหรือคุณภาพที่คุณสามารถ “คาดการณ์ล่วงหน้า” ได้หรือไม่?



๐ คุณเคยสังเกตหรือไม่ว่าเสียงของคุณเปลี่ยนไปเมื่ออยู่ในสถานการณ์ที่คุณรู้สึกกดดัน หรือเมื่อคุณรู้สึกว่า “ต้องดังขึ้น” เพื่อให้คนอื่นได้ยิน?



๐ หากคุณอัดเสียงตัวเองในหลายสถานการณ์ เช่น การซ้อมลำพัง กับการซ้อมรวม หรือกับการแสดงจริง เสียงเหล่านั้นมีความสม่ำเสมอ หรือแปรปรวนไปตามแรงกดดันภายนอก?



𝟮. ลักษณะของเสียงที่ “#มั่นใจ”: ความเสถียรจากระบบกล้ามเนื้อและการหายใจ



เสียงที่ฟังดู “มั่นใจ” ไม่ใช่เพียงผลจากการออกแรงมาก แต่เกิดจาก “การจัดระเบียบของพลังงานทางกายภาพ” อย่างมีประสิทธิภาพ เสียงแบบนี้อาจดังพอๆ กับเสียงที่ก้าวร้าว แต่สิ่งที่ต่างคือ แรงที่ขับเคลื่อนออกมานั้นมีสมดุล มีเจตนา และอยู่บนพื้นฐานของความรู้สึกรู้ตัว (𝗮𝘄𝗮𝗿𝗲𝗻𝗲𝘀𝘀) ในระดับกล้ามเนื้อและการหายใจ



  ระบบกล้ามเนื้อที่สมดุล: แรงขับเคลื่อน + แรงควบคุม



ระบบกล้ามเนื้อในการเล่นเครื่องเพอร์คัชชันไม่ได้ทำหน้าที่แค่ “ส่งแรง” ไปยังผิวเครื่องดนตรี แต่ยังต้อง “ควบคุม” แรงนั้นให้คงเส้นคงวาและสอดคล้องกับโครงสร้างของเวลาและเสียง



เสียงที่มั่นใจคือเสียงที่แรงกระทบถูกส่งไปด้วยความตั้งใจ ไม่ใช่เพราะความเกร็งหรือการผลักดันจากความกลัวว่าจะเบาเกินไป



งานของ 𝗧𝗵𝗼𝗺𝗮𝘀 𝗛𝗮𝗻𝗻𝗮 ในศาสตร์ 𝗦𝗼𝗺𝗮𝘁𝗶𝗰𝘀 ระบุว่า ความสามารถในการ “รู้สึกถึงกล้ามเนื้อของตนเองในขณะใช้งาน” (𝘀𝗲𝗻𝘀𝗼𝗿𝘆-𝗺𝗼𝘁𝗼𝗿 𝗮𝘄𝗮𝗿𝗲𝗻𝗲𝘀𝘀) เป็นตัวแปรสำคัญที่ทำให้การเคลื่อนไหวมีประสิทธิภาพมากขึ้น ผู้ที่มี 𝗮𝘄𝗮𝗿𝗲𝗻𝗲𝘀𝘀 แบบนี้จะไม่ใช้แรงเกินจำเป็น และสามารถปล่อยแรงได้ตรงจุด ตรงจังหวะ โดยไม่ต้อง “ผลักเสียง” ออกมาอย่างรุนแรง



อ้างอิง : 𝗛𝗮𝗻𝗻𝗮, 𝗧. (𝟭𝟵𝟴𝟴). 𝗧𝗵𝗲 𝗕𝗼𝗱𝘆 𝗼𝗳 𝗟𝗶𝗳𝗲: 𝗖𝗿𝗲𝗮𝘁𝗶𝗻𝗴 𝗡𝗲𝘄 𝗣𝗮𝘁𝗵𝘄𝗮𝘆𝘀 𝗳𝗼𝗿 𝗦𝗲𝗻𝘀𝗼𝗿𝘆 𝗔𝘄𝗮𝗿𝗲𝗻𝗲𝘀𝘀 𝗮𝗻𝗱 𝗙𝗹𝘂𝗶𝗱 𝗠𝗼𝘃𝗲𝗺𝗲𝗻𝘁. 𝗪. 𝗪. 𝗡𝗼𝗿𝘁𝗼𝗻 & 𝗖𝗼𝗺𝗽𝗮𝗻𝘆.



  การหายใจ: กลไกที่มักถูกละเลย



แม้ในเครื่องดนตรีที่ไม่ต้องใช้อากาศโดยตรงอย่างกลอง การหายใจก็ยังมีผลต่อคุณภาพของเสียงอย่างสำคัญ การหายใจสัมพันธ์กับการทำงานของกล้ามเนื้อแกนกลาง (𝗰𝗼𝗿𝗲 𝗺𝘂𝘀𝗰𝘂𝗹𝗮𝘁𝘂𝗿𝗲) และส่งผลต่อความสามารถในการควบคุมแรงกระทำ



ผู้เล่นที่หยุดหายใจขณะตีมักมีลักษณะเสียงที่ “แข็ง” และ “รีบเร่ง” เนื่องจากระบบประสาทถูกรบกวนและร่างกายเข้าโหมดตึงเครียดโดยไม่รู้ตัว ในทางกลับกัน ผู้เล่นที่หายใจลื่นไหลตลอดการตี จะมีจังหวะการปล่อยแรงที่สอดคล้องกับการเคลื่อนไหว ทำให้เสียงที่ออกมานั้น “นิ่ง” และ “แน่น” โดยไม่ต้องใช้แรงมาก



การฝึกให้รู้สึกถึงลมหายใจขณะเล่นจึงเป็นหนึ่งในวิธีสำคัญในการ “สร้างเสถียรภาพภายใน” ซึ่งสะท้อนออกมาเป็นคุณภาพของเสียง





๐ ในขณะที่คุณกำลังตีเครื่องดนตรี คุณสามารถรู้สึกถึง “จังหวะของลมหายใจ” ไปพร้อมกับจังหวะของเสียงที่คุณเล่นได้หรือไม่?



๐ มีบ้างหรือไม่ที่คุณหยุดหายใจโดยไม่รู้ตัว เมื่อคุณพยายามจะ “ตีให้ดัง” หรือ “เน้นให้ชัด” มากเกินไป?



๐ เสียงที่คุณตั้งใจจะให้มั่นใจนั้น ถูกสร้างขึ้นจากความรู้สึก “สมดุล” หรือจาก “แรงกดดัน” ที่สะสมอยู่ภายในร่างกาย?



𝟯. ลักษณะของเสียงที่ “#เกรี้ยวกราด”: การตอบสนองจากความไม่มั่นคง



เสียงที่ดังไม่ใช่ปัญหาในตัวของมันเอง หากแต่ “ที่มา” และ “ลักษณะของพลังงาน” ที่อยู่เบื้องหลังเสียงนั้น คือสิ่งที่ทำให้ผู้ฟังรู้สึกแตกต่างอย่างชัดเจนระหว่าง “ความมั่นใจ” กับ “ความเกรี้ยวกราด” เสียงที่เกรี้ยวกราดมักไม่ได้เกิดจากการควบคุมที่มั่นคง แต่เป็นเสียงที่เกิดจากแรงผลักดันภายในจิตใจซึ่งยังไม่ถูกจัดระเบียบ



  เสียงที่เกิดจากการ “พยายามให้ดัง” มากกว่า “การสื่อสารผ่านเสียง”



เสียงที่พยายามจะดังเพื่อให้ “เด่นกว่า” มักเป็นผลจากการตอบสนองทางจิตวิทยาที่ไม่ได้ตระหนักถึงบริบท เช่น:



  ความกลัวว่าจะไม่มีใครได้ยินตน



  ความไม่มั่นใจว่าจังหวะหรือบทบาทของตนชัดเจนพอ



  ความรู้สึกว่าต้องแสดงความสามารถเพื่อให้ได้รับการยอมรับ



พฤติกรรมทางกล้ามเนื้อที่ตามมาคือการใช้แรงมากเกินไปโดยไม่สมดุล และส่งผลให้เสียงมีลักษณะที่ “แข็ง”, “ห้วน”, หรือ “กดทับ” เสียงอื่น ๆ



  ผลกระทบจากระบบประสาท: จากจิตใจสู่กล้ามเนื้อ



ในศาสตร์ 𝗲𝗺𝗯𝗼𝗱𝗶𝗲𝗱 𝗰𝗼𝗴𝗻𝗶𝘁𝗶𝗼𝗻 และการศึกษาด้าน 𝘀𝗲𝗻𝘀𝗼𝗿𝗶𝗺𝗼𝘁𝗼𝗿 𝗰𝗼𝗻𝘁𝗿𝗼𝗹, มีหลักฐานที่ชี้ว่า ความเครียดในระดับจิตใจสามารถเปลี่ยนรูปแบบของการเคลื่อนไหวแบบละเอียดได้โดยตรง ตัวอย่างเช่น:



  กล้ามเนื้อมีแนวโน้มจะ “เกร็งตัว” ล่วงหน้า แม้จะยังไม่เริ่มตี



  การหายใจถูกกลั้นไว้ ส่งผลให้การควบคุมแรงเสียสมดุล



  การตอบสนองเร็วเกินไป ทำให้เสียงแทรกจังหวะหลักโดยไม่รู้ตัว



การควบคุม 𝗳𝗶𝗻𝗲 𝗺𝗼𝘁𝗼𝗿 ที่เสียไปเพียงเล็กน้อย อาจทำให้จังหวะเคลื่อน หรือเสียงกระแทกจนเกิด 𝗼𝘃𝗲𝗿𝘁𝗼𝗻𝗲 ที่ไม่พึงประสงค์ สิ่งเหล่านี้อาจไม่รู้สึกขณะเล่น แต่จะสะท้อนออกมาชัดเจนเมื่อฟัง 𝗽𝗹𝗮𝘆𝗯𝗮𝗰𝗸



อ้างอิง



𝗦𝗰𝗵𝗺𝗶𝗱𝘁, 𝗥. 𝗔., & 𝗟𝗲𝗲, 𝗧. 𝗗. (𝟮𝟬𝟭𝟭). 𝗠𝗼𝘁𝗼𝗿 𝗖𝗼𝗻𝘁𝗿𝗼𝗹 𝗮𝗻𝗱 𝗟𝗲𝗮𝗿𝗻𝗶𝗻𝗴: 𝗔 𝗕𝗲𝗵𝗮𝘃𝗶𝗼𝗿𝗮𝗹 𝗘𝗺𝗽𝗵𝗮𝘀𝗶𝘀. 𝗛𝘂𝗺𝗮𝗻 𝗞𝗶𝗻𝗲𝘁𝗶𝗰𝘀.



𝗠𝘂𝗿𝗮𝘁𝗮, 𝗔., & 𝗜𝘄𝗮𝘀𝗲, 𝗛. (𝟮𝟬𝟭𝟲). 𝗧𝗵𝗲 𝗲𝗳𝗳𝗲𝗰𝘁𝘀 𝗼𝗳 𝗮𝗻𝘅𝗶𝗲𝘁𝘆 𝗼𝗻 𝗺𝗼𝘁𝗼𝗿 𝗽𝗲𝗿𝗳𝗼𝗿𝗺𝗮𝗻𝗰𝗲: 𝗔𝗻 𝗲𝗺𝗯𝗼𝗱𝗶𝗲𝗱 𝗰𝗼𝗴𝗻𝗶𝘁𝗶𝗼𝗻 𝗽𝗲𝗿𝘀𝗽𝗲𝗰𝘁𝗶𝘃𝗲. 𝗝𝗼𝘂𝗿𝗻𝗮𝗹 𝗼𝗳 𝗖𝗼𝗴𝗻𝗶𝘁𝗶𝘃𝗲 𝗦𝗰𝗶𝗲𝗻𝗰𝗲, 𝟭𝟳(𝟯), 𝟮𝟳𝟯-𝟮𝟵𝟮.



  ลักษณะทางเสียงของความไม่มั่นคงที่ถูกกลบด้วย “ความดัง”



เสียงที่ “เกรี้ยวกราด” มักมีลักษณะทางเทคนิคเฉพาะ เช่น:



แรงกระแทกที่มากเกินจำเป็น (𝗲𝘅𝗰𝗲𝘀𝘀𝗶𝘃𝗲 𝗮𝘁𝘁𝗮𝗰𝗸): การเร่งปล่อยแรงโดยไม่มีการควบคุมช่วงก่อน-หลังการกระทบ ทำให้เกิด 𝘁𝗿𝗮𝗻𝘀𝗶𝗲𝗻𝘁 ที่ไม่กลมกลืน



เสียงแตก หรือความถี่แทรกเกินพอดี (𝗱𝗶𝘀𝘁𝗼𝗿𝘁𝗶𝗼𝗻, 𝗿𝗲𝘀𝗼𝗻𝗮𝗻𝗰𝗲 𝗼𝘃𝗲𝗿𝗹𝗼𝗮𝗱): การส่งแรงมากเกิน ทำให้ผิวเครื่องดนตรีสะท้อนเสียงเกินความสามารถในการควบคุม



๐ เมื่อคุณรู้สึกว่าต้อง “ส่งเสียงให้ชัดเจน” มากกว่าปกติ คุณตีแรงขึ้นเพราะ “ต้องการเน้นบทบาท” หรือเพราะ “ไม่แน่ใจว่าตนเองชัดพอแล้ว”? เร็วขึ้นเล็กน้อยจากที่ตั้งใจไว้



เสียงเหล่านี้ทำให้การตี “ฟังดูเกิน” จากองค์ประกอบของวง แม้ระดับความดังจะเท่ากับผู้อื่นก็ตาม





๐ เมื่อคุณรู้สึกว่าต้อง “ส่งเสียงให้ชัดเจน” มากกว่าปกติ คุณตีแรงขึ้นเพราะ “ต้องการเน้นบทบาท” หรือเพราะ “ไม่แน่ใจว่าตนเองชัดพอแล้ว”?



๐ คุณเคยฟังเสียงของตัวเองย้อนหลังแล้วรู้สึกหรือไม่ว่า มันฟังดูเร่ง ห้วน หรือแข็งกว่าที่คุณคิดไว้ขณะเล่น?



๐ คุณเคยสังเกตหรือไม่ว่าในสถานการณ์ที่คุณ “กดดัน” ตัวเองมากขึ้น เสียงที่คุณเล่นมีลักษณะเปลี่ยนไปหรือไม่? เปลี่ยนอย่างไร?





การฟังเสียงของตัวเองอย่างเป็นกลาง ถือเป็นทักษะขั้นสูงที่จำเป็นสำหรับนักดนตรีที่ต้องการพัฒนา “ความแม่นยำในการรับรู้เสียงของตน” มากกว่าการพัฒนาเพียงทักษะทางกล้ามเนื้อ การฝึกฟังไม่ได้หมายถึงการประเมินว่าดีหรือไม่ดี แต่หมายถึงการ แยกแยะองค์ประกอบ ที่อยู่เบื้องหลังเสียงนั้น เช่น ความแน่น ความนิ่ง ความขาดช่วง หรือความตึงเครียด



เสียงที่ “มั่นใจ” และเสียงที่ “เกรี้ยวกราด” อาจใช้แรงใกล้เคียงกัน แต่ความต่างอยู่ที่ความรู้สึกที่ส่งผ่านออกมา และผลกระทบที่เกิดขึ้นในบริบทของวง



  การเปลี่ยนจาก “การประเมินค่า” เป็น “การสังเกตคุณลักษณะ”



ผู้เล่นจำนวนมากเมื่อฟัง 𝗽𝗹𝗮𝘆𝗯𝗮𝗰𝗸 ของตนเอง มักตอบสนองทันทีด้วยการตัดสินว่า “ดี” หรือ “แย่” ซึ่งเป็นการตีความแบบอัตโนมัติที่อิงจากความคาดหวัง ไม่ใช่การรับรู้ตามความเป็นจริง การฝึกฟังในเชิงการสังเกตจึงควรตั้งคำถามเช่น:



  จังหวะของเสียงมีความสม่ำเสมอหรือไม่?



  แรงกระทบในแต่ละโน้ตมีความต่อเนื่องหรือมีการเร่ง/ถอนที่ไม่ตั้งใจ?



  เสียงอยู่ในระดับเดียวกับวงหรือโดดออกมา?



  การปล่อยไม้มีจังหวะที่แน่นอนหรือไม่?



สิ่งเหล่านี้คือ “คุณลักษณะเชิงฟิสิกส์” ของเสียง ซึ่งสามารถฟังออกได้โดยไม่ต้องมีอารมณ์เข้ามาเกี่ยวข้อง และเมื่อฟังได้โดยไม่ตัดสินใจล่วงหน้า ผู้เล่นจะเริ่ม สังเกตเห็นพฤติกรรมทางพลังงานของตนเองผ่านเสียง มากขึ้น



  การเปรียบเทียบเสียงตนเองกับเสียงของนักดนตรีชั้นนำ



การฟังเสียงของนักดนตรีระดับสูง เช่น 𝗗𝗲𝗻𝗻𝗶𝘀 𝗗𝗲𝗟𝘂𝗰𝗶𝗮, 𝗝𝗼𝗵𝗻 𝗠𝗮𝗽𝗲𝘀, 𝗧𝗼𝗺 𝗔𝘂𝗻𝗴𝘀𝘁 หรือ 𝗝𝗲𝗳𝗳 𝗤𝘂𝗲𝗲𝗻 ไม่ใช่เพื่อเลียนแบบ แต่เพื่อ ขยายกรอบการรับรู้ของเราเอง เมื่อฟังการเล่นของพวกเขา ให้พยายามตั้งข้อสังเกตต่อไปนี้:



  เขารักษาจังหวะได้แน่นในระดับที่เราได้ยินจาก 𝗽𝗹𝗮𝘆𝗯𝗮𝗰𝗸 ของตนเองหรือไม่?



  เสียงของเขา “กลมกลืน” กับวงในลักษณะใด?



  ความแรงและการควบคุมของเขาแสดงออกอย่างไรผ่านโน้ตที่ธรรมดา?



การสังเกตอย่างมีกรอบที่ชัดเจนเช่นนี้ จะช่วยให้ผู้เล่น สามารถแยกความต่างเชิงพลังงานในเสียงได้โดยไม่อิงอารมณ์ และเปิดพื้นที่ใหม่ให้กับการปรับปรุงตนเอง



  การฝึกฟังในสภาพแวดล้อมที่ไม่มีการ “ตัดสินผิด/ถูก”



การฝึกฟัง 𝗽𝗹𝗮𝘆𝗯𝗮𝗰𝗸 ควรทำในสภาพแวดล้อมที่ปลอดภัยจากการตัดสิน เช่น:



  ฟังคนเดียวก่อนโดยไม่เปิดให้ใครวิจารณ์



  ตั้งเป้าฟังเพียงแค่ “𝟭 สิ่ง” ต่อรอบ เช่น ฟังเฉพาะจังหวะ, ฟังเฉพาะเสียงไม้กระทบ



  จดบันทึกสิ่งที่ได้ยินไว้ในเชิงลักษณะ เช่น “เสียงแข็งเล็กน้อยในโน้ตสุดท้าย” แทนที่จะเขียนว่า “แย่”



เมื่อการฟังกลายเป็นกระบวนการที่ไม่ตัดสิน แต่สังเกตและเรียนรู้ ผู้เล่นจะสามารถแยกแยะ “พลังงานภายในเสียง” ได้อย่างละเอียดขึ้น ซึ่งเป็นสิ่งที่ไม่สามารถพัฒนาได้ผ่านการฝึกกล้ามเนื้อเพียงอย่างเดียว





๐ คุณเคยฟังเสียงตัวเองใน 𝗽𝗹𝗮𝘆𝗯𝗮𝗰𝗸 แบบที่ “ไม่ตัดสินว่าใช่หรือผิด” ได้จริง ๆ หรือไม่? คุณรู้สึกอย่างไรขณะพยายามสังเกตเสียงในแง่ลักษณะ?



๐ คุณเคยสังเกตไหมว่าเสียงของคุณในแต่ละวันมี “พลังงาน” ที่เปลี่ยนไปหรือไม่ แม้จะเล่นโน้ตเดียวกัน?



๐ คุณสามารถระบุได้หรือไม่ว่า เสียงที่คุณรู้สึกว่าดี... จริง ๆ แล้วมันทำให้คนฟังรู้สึกอย่างไร?



#บทสรุป: ความดังไม่ใช่เป้าหมาย แต่เป็นผลลัพธ์ของการจัดพลังงานอย่างสมดุล



เสียงที่ “ดัง” ในบริบทของดนตรี ไม่ควรเข้าใจเพียงแค่ระดับ 𝗱𝗕 หรือความรู้สึกว่า “เสียงใหญ่ออกมาแล้ว” แต่ควรถูกมองว่าเป็นผลลัพธ์สุดท้ายของ กระบวนการจัดพลังงานทางร่างกายและจิตใจอย่างแม่นยำ ทั้งในระดับปัจเจกและร่วมวง การเล่นให้ดังจึงไม่ใช่การ “เพิ่มแรง” เพียงอย่างเดียว แต่เป็นการจัดทิศทาง ความสมดุล และเจตนาของพลังงานอย่างมีสติ



เสียงที่มีความดังและคุณภาพสูง มีลักษณะร่วมที่พบได้บ่อยคือ:



๐ มีแรงส่งที่ตรงจุด ไม่กระจายเกินความจำเป็น



๐ มีจังหวะและโฟลว์ที่สม่ำเสมอ ไม่เร่งหรือหยุดโดยไม่ตั้งใจ



๐ ฟังดูแน่น นิ่ง และกลมกลืนกับเสียงของผู้อื่น



สิ่งเหล่านี้ไม่ได้เกิดจาก “ความบังเอิญ” หรือ “ความพยายามอย่างหนัก” แต่เกิดจากการฝึกฝนอย่างมีทิศทางที่ชัดเจน: การฟัง อย่างไม่ตัดสิน, การสังเกต อย่างเป็นกลาง, และ การตั้งคำถาม กับแรงขับภายในอย่างสม่ำเสมอ



นักดนตรีที่สามารถสร้างเสียงดังอย่างมั่นใจได้จริง จึงไม่ใช่ผู้ที่ใช้แรงมากที่สุด แต่คือผู้ที่เข้าใจจังหวะของตน เข้าใจกลไกของการหายใจ การควบคุมแรง และผลกระทบของเสียงตนต่อ “ระบบเสียงรวม” ของวง



ในทางกลับกัน เสียงที่ดังแต่ไม่มีการควบคุม ไม่เพียงแต่สร้างความไม่สมดุลในวงเสียงเท่านั้น แต่ยังสามารถสะท้อนถึง “ความไม่มั่นคงภายใน” ที่แทรกซึมผ่านร่างกายโดยไม่รู้ตัว ความดังที่เกิดจากแรงผลักดัน เช่น ความอยากเป็นที่รับรู้ หรือความเครียดจากแรงกดดันทางสังคม จึงกลายเป็นเสียงที่ “ตะโกน” มากกว่าเสียงที่ “พูดร่วม”





๐ เมื่อคุณตีด้วยความดัง เสียงนั้นส่งผลอะไรต่อบรรยากาศของวงดนตรี?



๐ คุณสามารถสังเกตได้หรือไม่ว่าแรงที่คุณใช้เกิดจากการ “สื่อสาร” หรือเกิดจาก “การผลักดัน”?



๐ คุณคิดว่าเสียงของคุณสามารถ “อยู่ร่วม” กับเสียงของผู้อื่นได้โดยไม่กลบพวกเขาหรือไม่?



๐ คุณพร้อมหรือยังที่จะฟังเสียงตัวเองอย่างไม่ตัดสิน — เพื่อเข้าใจพลังงานที่ซ่อนอยู่ภายในเสียงนั้น?


 
 
 

Comments


bottom of page