top of page
Search

🎓 ทำไมเด็กบางคนตีเก่งแต่ไม่กล้าเล่นจริง? (คำถามที่ครูดนตรีหลายคนมักเจอ)


ความแตกต่างระหว่าง “#ตีได้” กับ “#กล้าเล่น” ♬



ในห้องซ้อม เด็กบางคนสามารถตี 𝗿𝘂𝗱𝗶𝗺𝗲𝗻𝘁𝘀 ได้แม่นยำ อ่านโน้ตเร็ว เล่นเพลงตาม 𝗽𝗮𝘁𝘁𝗲𝗿𝗻 ที่ซับซ้อนได้อย่างไม่ผิดเพี้ยน แต่เมื่อย้ายจากพื้นที่ปลอดภัยมาสู่เวทีจริง ไม่ว่าจะเป็นการแสดงต่อหน้าเพื่อน การแสดงสอบ หรือบนเวทีคอนเสิร์ต พวกเขากลับลังเล ไม่กล้าเริ่มจังหวะ หรือไม่สามารถตัดสินใจว่าจะ “เล่นอย่างไรในสถานการณ์นั้น” ได้เลย



ปรากฏการณ์นี้ไม่ได้เกิดจาก “การฝึกไม่เพียงพอ” ตามความเข้าใจทั่วไป หากแต่เป็น ความล้มเหลวของการถ่ายโอนทักษะ (𝘁𝗿𝗮𝗻𝘀𝗳𝗲𝗿 𝗼𝗳 𝗹𝗲𝗮𝗿𝗻𝗶𝗻𝗴) จากบริบทที่ควบคุมได้ (เช่น ห้องซ้อม, โน้ตที่กำหนด, คำสั่งจากครู) ไปสู่บริบทจริงที่มีความซับซ้อนและคาดเดาไม่ได้



การตีที่แม่นยำในห้องซ้อมจึงไม่รับประกันว่าเด็กจะสามารถ “เล่นเป็น” เมื่อเผชิญกับเวทีจริง เพราะสิ่งที่หายไปคือทักษะในเชิงบริบท (𝗰𝗼𝗻𝘁𝗲𝘅𝘁𝘂𝗮𝗹 𝗮𝗯𝗶𝗹𝗶𝘁𝘆) และความมั่นใจในเสียงของตนเอง (𝗺𝘂𝘀𝗶𝗰𝗮𝗹 𝘀𝗲𝗹𝗳-𝗮𝗴𝗲𝗻𝗰𝘆)





คำถามว่า “ทำไมเด็กบางคนจึงตีเก่งแต่ไม่กล้าเล่น?” จึงไม่ควรถูกมองในแง่ความสามารถส่วนบุคคลเท่านั้น แต่ต้องย้อนกลับไปดู รูปแบบการเรียนรู้ที่เน้นผลลัพธ์มากกว่ากระบวนการ



— เด็กถูกฝึกให้เชื่อฟัง มากกว่าคิดเอง



— เด็กถูกสอนให้ไม่ผิด มากกว่าลองทำให้พลาด



— เด็กถูกประเมินจากภายนอก มากกว่าฟังเสียงภายใน



ทั้งหมดนี้คือปัจจัยที่ทำให้เด็กตีได้ แต่ไม่กล้าแสดงออก



คำถาม: “เล่นได้” ในห้องซ้อม กับ “เล่นเป็น” บนเวที…ใช่เรื่องเดียวกันจริงหรือ? หรือเราต้องนิยามคำว่า “เล่นเป็น” ใหม่ ให้รวมถึงการกล้าส่งเสียงของตัวเองด้วย?





เด็กหลายคนมีความสามารถทางเทคนิคสูง เพราะฝึกซ้ำอย่างเป็นระบบตามแนวทางดั้งเดิม เช่น การตี 𝗿𝘂𝗱𝗶𝗺𝗲𝗻𝘁𝘀 ตามลำดับ การท่องจำ 𝗽𝗮𝘁𝘁𝗲𝗿𝗻 หรือการฝึกเล่นตาม 𝗺𝗲𝘁𝗿𝗼𝗻𝗼𝗺𝗲 โดยไม่หลุดแม้แต่ครั้งเดียว ความเก่งนี้ดูเหมือนน่าประทับใจบนกระดาษหรือในการสอบ แต่เมื่อเด็กต้องนำทักษะเหล่านี้มาใช้ ในบริบทของการเล่นจริง กลับเกิดความลังเล หยุดชะงัก หรือไม่กล้า “เป็นผู้เริ่มจังหวะ” เมื่อถึงตาของตนเอง



สาเหตุสำคัญคือการฝึกแบบแยกส่วน (𝗳𝗿𝗮𝗴𝗺𝗲𝗻𝘁𝗲𝗱 𝗽𝗿𝗮𝗰𝘁𝗶𝗰𝗲) ที่ไม่ได้เชื่อมโยงกับสถานการณ์จริง ซึ่งในทางจิตวิทยาการเรียนรู้เรียกว่า “ปัญหาในการถ่ายโอน (𝗽𝗲𝗿𝗳𝗼𝗿𝗺𝗮𝗻𝗰𝗲 𝘁𝗿𝗮𝗻𝘀𝗳𝗲𝗿)” เด็กสามารถแสดงทักษะได้ดีในบริบทที่คุ้นเคย แต่เมื่ออยู่ในสถานการณ์ที่ไม่คุ้น เช่น เล่นกับคนอื่น, เล่นบนเวที, หรือ 𝗶𝗺𝗽𝗿𝗼𝘃𝗶𝘀𝗮𝘁𝗶𝗼𝗻 กับเพลงที่ไม่รู้จัก ความมั่นใจและทักษะจะไม่ถูกถ่ายโอนออกมา



ตัวอย่างง่าย ๆ คือ เด็กที่ตี 𝗽𝗮𝗿𝗮𝗱𝗶𝗱𝗱𝗹𝗲 ได้รวดเร็วและแม่นยำ แต่เมื่อให้เล่นดนตรีที่ไม่มีโน้ต พร้อมเพื่อนในวง เด็กอาจหยุดเล่นเพราะไม่แน่ใจว่า “ตรงนี้ตีได้ไหม?” หรือ “เราควรเริ่มก่อนหรือรอ?” สิ่งนี้สะท้อนว่าการฝึกเทคนิคเพียงลำพังไม่เพียงพอสำหรับการพัฒนา ความเป็นนักดนตรีจริง





ครูจึงควรสร้างบริบทให้เด็กได้ฝึก “การตัดสินใจในสถานการณ์จริง” ด้วย เช่น



  ให้เด็กทดลอง 𝗶𝗺𝗽𝗿𝗼𝘃𝗶𝘀𝗮𝘁𝗶𝗼𝗻 แม้ในขั้นพื้นฐาน



  เปลี่ยนโจทย์จาก “ตีให้ถูก” เป็น “ตีให้ตอบสนองต่อสิ่งที่เพื่อนทำ”



  สร้างบทบาทในวงให้เด็กต้องเริ่มเอง หรือหยุดเอง ไม่ใช่ตามคำสั่ง



ใช้การจำลองสถานการณ์ เช่น เล่นในห้องเรียนให้มีคนดู, เล่นกับแทร็คที่เปลี่ยน 𝘁𝗲𝗺𝗽𝗼, หรือให้อีกคนเปลี่ยน 𝗿𝗵𝘆𝘁𝗵𝗺 โดยไม่บอกล่วงหน้า



การฝึกแบบนี้เรียกว่า 𝗰𝗼𝗻𝘁𝗲𝘅𝘁𝘂𝗮𝗹𝗶𝘇𝗲𝗱 𝗽𝗿𝗮𝗰𝘁𝗶𝗰𝗲 ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญของการฝึกที่มีชีวิต มีความหมาย และมีโอกาสถ่ายโอนไปสู่สถานการณ์จริงได้จริง



คำถาม: เรากำลังฝึกให้เด็ก “ตีตามโจทย์ที่ถูกวางไว้” หรือเรากำลังฝึกให้เขา “กล้าสร้างจังหวะเมื่อไม่มีโจทย์ให้เลย”?





ระบบการเรียนดนตรีในหลายประเทศรวมถึงประเทศไทย มักผูกโยงกับแนวทางการ “สอบ” ไม่ว่าจะเป็นการสอบเกรด 𝗧𝗿𝗶𝗻𝗶𝘁𝘆, 𝗔𝗕𝗥𝗦𝗠, หรือระบบภายในโรงเรียนเอง ซึ่งเน้นการวัดผลที่เป็นรูปธรรม เช่น การตีให้ตรง 𝗺𝗲𝘁𝗿𝗼𝗻𝗼𝗺𝗲, การเล่นให้ถูกโน้ตทุกตัว, หรือการอ่าน 𝗿𝗵𝘆𝘁𝗵𝗺 โดยไม่มีข้อผิดพลาด



แม้จุดประสงค์ของระบบเหล่านี้คือการตั้งมาตรฐาน แต่หากผู้สอนตีความ “ความถูกต้อง” เป็นเป้าหมายสูงสุดของการเรียนรู้ เด็กจะถูกหล่อหลอมให้เชื่อว่า “ผิด = ล้มเหลว” โดยอัตโนมัติ สิ่งนี้จะสร้างความเครียดสะสม ความกังวล และนำไปสู่พฤติกรรมที่เรียกว่า “𝗽𝗲𝗿𝗳𝗼𝗿𝗺𝗮𝗻𝗰𝗲 𝗮𝘃𝗼𝗶𝗱𝗮𝗻𝗰𝗲” หรือ “การหลีกเลี่ยงการแสดงออก” แม้ในสถานการณ์ที่ควรได้ลองทำ



เด็กบางคนจึงมีทักษะดีมาก แต่เมื่อเผชิญกับเวทีจริงหรือการเล่นที่ไม่มีผู้ตัดสิน พวกเขากลับ “หยุด” เพราะเคยชินกับบริบทที่การผิดถูกตรวจจับเสมอ จนไม่กล้าเล่นโดยไม่มีเกณฑ์วัด



๐ 𝗖𝗮𝗿𝗼𝗹 𝗗𝘄𝗲𝗰𝗸: 𝗠𝗶𝗻𝗱𝘀𝗲𝘁 กับดนตรี ♫



𝗖𝗮𝗿𝗼𝗹 𝗗𝘄𝗲𝗰𝗸 นักจิตวิทยาชื่อดังจากมหาวิทยาลัยสแตนฟอร์ด เสนอแนวคิดเรื่อง 𝗙𝗶𝘅𝗲𝗱 𝗠𝗶𝗻𝗱𝘀𝗲𝘁 𝘃𝘀 𝗚𝗿𝗼𝘄𝘁𝗵 𝗠𝗶𝗻𝗱𝘀𝗲𝘁 โดยพบว่านักเรียนที่ถูกฝึกให้เห็น “ความสามารถ” เป็นสิ่งตายตัว มักกลัวการผิดพลาดเพราะมองว่าการผิดหมายถึง “ฉันไม่เก่งจริง”



แต่เด็กที่ได้รับการฝึกให้เห็น “การพัฒนา” เป็นกระบวนการต่อเนื่อง จะเรียนรู้จากความผิด และกล้าที่จะลองแม้ยังไม่สมบูรณ์



ในบริบทดนตรี ถ้าครูชมเฉพาะตอนที่เด็กตีไม่ผิด และตำหนิเมื่อตีกลับจังหวะ เด็กจะเรียนรู้ว่า “ฉันต้องไม่ผิด” แทนที่จะเรียนรู้ว่า “ฉันกำลังค้นหาวิธีที่ดีที่สุดในการเล่นเสียงนี้”





ครูจึงมีบทบาทสำคัญในการ สร้างพื้นที่ที่ความผิดไม่ใช่ความล้มเหลว แต่คือสัญญาณของการพัฒนา เช่น



  จัดกิจกรรมที่ให้เด็กเล่นโดยไม่มีคะแนน



  ใช้คำถามมากกว่าคำสั่ง เช่น “คิดยังไงกับเสียงที่เพิ่งเล่น?” แทน “แบบนี้ผิดนะ”



  ฝึกการ 𝗶𝗺𝗽𝗿𝗼𝘃𝗶𝘀𝗮𝘁𝗶𝗼𝗻 หรือ 𝗰𝗼𝗺𝗽𝗼𝘀𝗶𝘁𝗶𝗼𝗻 เพื่อสร้างความเชื่อมั่นในเสียงของตัวเอง



  ให้ 𝗳𝗲𝗲𝗱𝗯𝗮𝗰𝗸 ที่เน้นกระบวนการ ไม่ใช่แค่ผลลัพธ์ เช่น “วันนี้เธอลองวิธีใหม่ดูใช่ไหม? เสียงมันยังไม่ตรง แต่น่าสนใจมาก”



คำถาม: เด็กของคุณกลัวผิด...เพราะเขาอยากเก่ง หรือเพราะเขากลัวจะไม่เป็นที่ยอมรับ?



***อ้างอิง 𝗗𝘄𝗲𝗰𝗸, 𝗖. (𝟮𝟬𝟬𝟲). 𝗠𝗶𝗻𝗱𝘀𝗲𝘁: 𝗧𝗵𝗲 𝗡𝗲𝘄 𝗣𝘀𝘆𝗰𝗵𝗼𝗹𝗼𝗴𝘆 𝗼𝗳 𝗦𝘂𝗰𝗰𝗲𝘀𝘀. 𝗥𝗮𝗻𝗱𝗼𝗺 𝗛𝗼𝘂𝘀𝗲.





เรามักพูดถึงการฝึกฝนว่าเป็นเรื่องของ “การซ้อมให้แม่น” โดยเฉพาะในดนตรีสมัยใหม่ที่เครื่องมือวัดผล (𝗺𝗲𝘁𝗿𝗼𝗻𝗼𝗺𝗲, 𝗰𝗹𝗶𝗰𝗸 𝘁𝗿𝗮𝗰𝗸, 𝘃𝗶𝗱𝗲𝗼 𝗳𝗲𝗲𝗱𝗯𝗮𝗰𝗸) ทำให้เราสามารถพัฒนา “ความตรง ความแรง ความชัด” ได้อย่างรวดเร็ว แต่สิ่งที่มักถูกละเลยคือ การฝึกฝนเสียงที่อยู่ภายในตัวนักเรียน



เด็กบางคนตีเก่งมากจากการฝึกซ้ำ ๆ จนท่องจำได้หมด แต่กลับไม่มี เสียงภายใน ที่เป็นของตัวเอง ไม่สามารถบอกได้ว่าเสียงนี้ “ให้ความรู้สึกอย่างไร” หรือแม้แต่ไม่มั่นใจว่าตัวเองควรตีอะไรต่อดีเมื่อไม่ได้มีโน้ตบอก เพราะไม่เคยถูกฝึกให้คิดและฟังผ่าน “ตัวเอง”



๐ 𝗜𝗻𝘁𝗲𝗿𝗻𝗮𝗹 𝗟𝗶𝘀𝘁𝗲𝗻𝗶𝗻𝗴: การได้ยินเสียงที่ยังไม่เกิด ♫



สิ่งนี้ตรงกับแนวคิดของ 𝗘𝗱𝘄𝗶𝗻 𝗚𝗼𝗿𝗱𝗼𝗻 ที่เรียกว่า “𝗔𝘂𝗱𝗶𝗮𝘁𝗶𝗼𝗻” หมายถึงกระบวนการทางจิตที่ทำให้เราสามารถ “ได้ยิน” ดนตรีในหัวก่อนที่จะเล่นจริง ไม่ใช่แค่การจำ แต่คือการ เข้าใจและรู้สึก เสียงดนตรีที่อยู่ข้างหน้า



เด็กที่มี 𝗮𝘂𝗱𝗶𝗮𝘁𝗶𝗼𝗻 ดี จะสามารถรับรู้ “ฟีล” ของเพลงก่อนจะตีได้จริง และจะกล้าตัดสินใจมากขึ้นแม้ไม่มีโน้ตชี้ทาง ในขณะที่เด็กที่ไม่ถูกฝึกภายใน อาจแม่นยำเมื่อมีคำสั่ง แต่จะหยุดทันทีเมื่อคำสั่งหายไป



#วิธีฝึกภายใน: ถามให้คิด ฟังให้ลึก เล่นให้รู้สึก ♫



ครูดนตรีสามารถฝึกภายในให้กับนักเรียนได้ โดยไม่ต้องใช้เครื่องมือใด ๆ แค่เปลี่ยนวิธีสอน เช่น:



   ถามว่า: “เธอรู้สึกยังไงกับเสียงนี้?” แทนที่จะบอกว่า “แบบนี้ผิด”



  ให้เด็กตี 𝗽𝗮𝘁𝘁𝗲𝗿𝗻 โดยไม่ให้โน้ต แต่ให้โจทย์ทางอารมณ์ เช่น “ตีให้เหมือนน้ำไหล”, “ตีเหมือนกำลังไล่คน”



  ฝึกให้ฟังเพลงที่ไม่มีโน้ต แล้วให้เด็กเลียนเสียงที่ได้ยินด้วยการเคาะเอง (𝗲𝗮𝗿–𝘁𝗼–𝗯𝗼𝗱𝘆)



  ให้เวลาเงียบในการฟัง “เสียงในหัว” ก่อนจะเริ่มตี (𝗺𝗲𝗻𝘁𝗮𝗹 𝗿𝗲𝗵𝗲𝗮𝗿𝘀𝗮𝗹)



วิธีเหล่านี้ไม่เพียงสร้างความเข้าใจที่ลึกกว่าการจำ แต่ยังช่วยเสริมความมั่นใจ เพราะเมื่อเด็กมีเสียงของตัวเองในหัว เขาจะ ไม่รอคำสั่งจากภายนอกอีกต่อไป





ดนตรีที่ดีไม่ใช่แค่เล่นถูก แต่คือการแสดงออกจากภายใน เสียงที่เกิดจากการรู้ว่า “เราต้องการจะพูดอะไร” ผ่านจังหวะและน้ำหนัก ไม่ใช่แค่เพราะมีโน้ตให้ตี



คำถาม: ถ้าเด็กไม่มีเสียงของตัวเองในหัว เขาจะเอาอะไรออกมาเล่าเรื่องผ่านเสียง?



***อ้างอิง : 𝗚𝗼𝗿𝗱𝗼𝗻, 𝗘. 𝗘. (𝟭𝟵𝟵𝟳). 𝗟𝗲𝗮𝗿𝗻𝗶𝗻𝗴 𝗦𝗲𝗾𝘂𝗲𝗻𝗰𝗲𝘀 𝗶𝗻 𝗠𝘂𝘀𝗶𝗰: 𝗔 𝗖𝗼𝗻𝘁𝗲𝗺𝗽𝗼𝗿𝗮𝗿𝘆 𝗠𝘂𝘀𝗶𝗰 𝗟𝗲𝗮𝗿𝗻𝗶𝗻𝗴 𝗧𝗵𝗲𝗼𝗿𝘆. 𝗚𝗜𝗔 𝗣𝘂𝗯𝗹𝗶𝗰𝗮𝘁𝗶𝗼𝗻𝘀.



𝟰. #ขาดประสบการณ์แบบเล่นร่วมจริง (𝗦𝗼𝗰𝗶𝗮𝗹 𝗠𝘂𝘀𝗶𝗰 𝗠𝗮𝗸𝗶𝗻𝗴)



แม้ดนตรีจะถูกฝึกเดี่ยวในชั้นเรียน แต่รากของดนตรีคือ กิจกรรมทางสังคม ดนตรีเกิดขึ้นเพื่อการสื่อสาร การเคลื่อนไหวร่วม และการสร้างความรู้สึก “เป็นส่วนหนึ่ง” ของบางสิ่งที่ใหญ่กว่าเสียงของตัวเองเสมอ



อย่างไรก็ตาม รูปแบบการเรียนดนตรีในหลายที่ยังคงเน้นการซ้อมคนเดียวในห้องเงียบ ฝึกกับโน้ต และรอฟังคำสั่งจากครู รูปแบบนี้แม้จะผลิตนักเรียนที่ “ตีได้” ตามเทคนิค แต่กลับไม่ได้ฝึก การมีปฏิสัมพันธ์ ซึ่งเป็นหัวใจของการเล่นดนตรีจริง





เด็กที่ไม่เคยเล่นหน้าผู้ฟัง หรือไม่มีประสบการณ์ร่วมกับวงดนตรีจริง จะ ขาดความรู้สึกว่าการเล่นของตนมีความหมาย พวกเขาอาจตีโดยไม่รู้ว่าควรเน้นอะไร ฟังเพื่อนอย่างไร หรือเข้าร่วมการสนทนาในดนตรีอย่างไร เพราะไม่เคยรู้สึกว่า “เสียงของฉันส่งผลต่อคนอื่น”



นี่คือสิ่งที่ทำให้บางคน “ตีได้แต่ไม่กล้าเล่น” เพราะไม่รู้สึกเป็น “ส่วนหนึ่งของดนตรี” อย่างแท้จริง



๐ แนวคิด “𝗖𝗼𝗺𝗺𝘂𝗻𝗶𝘁𝘆 𝗠𝘂𝘀𝗶𝗰” และ “𝗘𝗻𝘀𝗲𝗺𝗯𝗹𝗲-𝗕𝗮𝘀𝗲𝗱 𝗟𝗲𝗮𝗿𝗻𝗶𝗻𝗴” ♫



แนวทางของ 𝗖𝗼𝗺𝗺𝘂𝗻𝗶𝘁𝘆 𝗠𝘂𝘀𝗶𝗰 และ 𝗘𝗻𝘀𝗲𝗺𝗯𝗹𝗲-𝗕𝗮𝘀𝗲𝗱 𝗟𝗲𝗮𝗿𝗻𝗶𝗻𝗴 เสนอว่าการเรียนดนตรีควรเกิดขึ้นในกลุ่มตั้งแต่ต้น โดยเด็กจะได้เรียนรู้ว่า



  การฟังคนอื่นคือทักษะสำคัญพอ ๆ กับการตี



  จังหวะของฉันส่งผลต่อจังหวะของวง



  การมีบทบาทไม่ได้หมายถึงการนำเสมอไป แต่อาจเป็นการ “รับ–ส่ง” เสียงอย่างมีความหมาย



การมีวงเล็ก ๆ ที่ให้เด็กตัดสินใจร่วมกัน ฝึกการเล่นแบบโต้ตอบ หรือแม้แต่การ 𝗶𝗺𝗽𝗿𝗼𝘃𝗶𝘀𝗲 แบบง่าย ๆ จะสร้างสภาวะทางจิตที่เรียกว่า 𝗺𝘂𝘀𝗶𝗰𝗮𝗹 𝗮𝗴𝗲𝗻𝗰𝘆 คือ ความรู้สึกว่า “ฉันควบคุมและมีสิทธิ์ในเสียงของตัวเอง”



#ทางเลือกของครู: จากผู้ควบคุม → สู่ผู้อำนวยการร่วม ♫



ในชั้นเรียน ครูสามารถสร้างประสบการณ์ “ร่วมจริง” ได้ง่าย ๆ เช่น



  จับกลุ่มเล็กให้เล่นร่วมกัน แม้เป็น 𝗽𝗮𝘁𝘁𝗲𝗿𝗻 ง่าย ๆ



  สร้างสถานการณ์จำลอง เช่น “วงที่ไม่มีผู้นำ” แล้วให้เด็กตัดสินใจกันเอง



  ให้เวทีเล็ก ๆ ภายในห้องเรียน เพื่อฝึกแสดงต่อเพื่อน



  เล่นบทบาทสมมติ เช่น “เพลงนี้เป็นเพลงปลุกใจ เด็กต้องดีไซน์เสียงกลองเอง”



การฝึกแบบนี้จะค่อย ๆ สร้าง ความมั่นใจในความสัมพันธ์ของเสียงกับคนอื่น ไม่ใช่แค่ความมั่นใจในเสียงของตัวเอง



คำถาม: วันนี้คุณสร้าง “วงที่รับฟังกัน” หรือแค่ “วงที่เล่นพร้อมกัน”?



***อ้างอิง: 𝗛𝗶𝗴𝗴𝗶𝗻𝘀, 𝗟. (𝟮𝟬𝟭𝟮). 𝗖𝗼𝗺𝗺𝘂𝗻𝗶𝘁𝘆 𝗠𝘂𝘀𝗶𝗰: 𝗜𝗻 𝗧𝗵𝗲𝗼𝗿𝘆 𝗮𝗻𝗱 𝗶𝗻 𝗣𝗿𝗮𝗰𝘁𝗶𝗰𝗲. 𝗢𝘅𝗳𝗼𝗿𝗱 𝗨𝗻𝗶𝘃𝗲𝗿𝘀𝗶𝘁𝘆 𝗣𝗿𝗲𝘀𝘀.



 บทสรุป: การฝึก “#ภายใน” สำคัญพอ ๆ กับ “#ภายนอก



เด็กบางคนที่ “ตีเก่ง” แต่ “ไม่กล้าเล่นจริง” ไม่ใช่เพราะเขา ขาดพรสวรรค์ หรือ “ไม่รักดนตรีพอ” อย่างที่ใครหลายคนเข้าใจผิด แต่เพราะเขายังไม่เคยได้รับโอกาสให้เรียนรู้ในระบบที่สร้าง:



  ความเข้าใจในตนเอง (𝘀𝗲𝗹𝗳-𝗮𝘄𝗮𝗿𝗲𝗻𝗲𝘀𝘀)



  ความกล้ารับมือกับความผิดพลาด (𝗲𝗿𝗿𝗼𝗿 𝘁𝗼𝗹𝗲𝗿𝗮𝗻𝗰𝗲)



  และ พื้นที่ที่ความกล้าแสดงออกไม่ถูกตัดสิน (𝘀𝗮𝗳𝗲 𝘀𝗽𝗮𝗰𝗲 𝗳𝗼𝗿 𝗲𝘅𝗽𝗿𝗲𝘀𝘀𝗶𝗼𝗻)



ระบบการเรียนรู้ที่ดีต้องไม่หยุดแค่การสอนเทคนิคให้แม่น แต่ควรสอนให้เด็ก “เชื่อมเสียงกับใจ” และ “กล้าเล่าเรื่องผ่านจังหวะของตัวเอง” ด้วย





ดนตรีคือ เสียงที่มีความหมายทางสังคมและอารมณ์ มันคือภาษาที่ไม่มีคำพูด แต่เล่าเรื่องได้ลึกซึ้งกว่าคำพูด และเด็กทุกคนสมควรได้เรียนรู้วิธี “พูดผ่านเสียงของตัวเอง” อย่างมั่นใจ





ครูไม่ได้มีหน้าที่แค่ประเมินว่า “ตีถูกหรือไม่” แต่ต้อง ฟังเสียงภายในของเด็ก และออกแบบการเรียนรู้ให้เขา “กล้าส่งเสียงนั้นออกมาโดยไม่ต้องขออนุญาตใคร”



คำถามสุดท้าย: คุณอยากให้ลูกศิษย์ “ตีเก่ง” หรือ “กล้าส่งเสียงของตัวเอง?” หรือคุณกำลังสร้างนักดนตรีที่เก่งกับโน้ต หรือศิลปินที่ฟังหัวใจของตนเองได้?

 
 
 

Comentarios


bottom of page