top of page
Search

🥁 เครื่องกระทบของชนเผ่า กับ 𝗽𝗮𝗱 ไฟฟ้าในห้องซ้อม อะไรคือ ‘เสียงที่มีชีวิต’ จริง ๆ❓





เราใช้เวลาหลายปีฝึก 𝗽𝗮𝗱 เพื่อให้จังหวะเป๊ะ ให้ร่างกายสัมพันธ์กับ 𝗰𝗹𝗶𝗰𝗸 และควบคุมทุก 𝘀𝘁𝗿𝗼𝗸𝗲 ให้ “เท่ากัน” อย่างไร้ที่ติ มันคือภาษาของความแม่นยำ ที่ทำให้เราเป็นหนึ่งกับเครื่องจักรแห่งจังหวะ



แต่ทันทีที่เราได้ฟังเสียงกลองไม้ของชนเผ่าในแอฟริกา หรือชุมชนในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ จังหวะเหล่านั้น ที่อาจดู “หลุด 𝗰𝗹𝗶𝗰𝗸” หรือ “ไม่ตรง 𝗴𝗿𝗶𝗱” กลับให้ความรู้สึกแปลกประหลาดบางอย่าง



มันไม่เป๊ะ...แต่มันจริง



เสียงที่ไม่เท่ากัน ไม่สม่ำเสมอ ไม่ 𝗽𝗼𝗹𝗶𝘀𝗵𝗲𝗱 กลับฟังดูเหมือน ลมหายใจของใครบางคน ฟังดูเหมือนการสนทนา ไม่ใช่การผลิต เสียงที่อาจเบาไป แรงไป ช้าไป เร็วไป แต่เต็มไปด้วยเจตนา ความทรงจำ และประวัติศาสตร์ของชีวิต



ในเสียงที่ “พลาด” อาจมีความจริงซ่อนอยู่มากกว่าเสียงที่ “แม่น และในความไม่สมบูรณ์แบบ อาจมีชีวิตที่สมบูรณ์อยู่เต็มจังหวะ



คำถามคือ: เสียงที่ “ถูกต้อง” กับเสียงที่ “มีชีวิต” —วันนี้คุณเลือกฟังแบบไหน?



𝟭. เสียงที่ “#สื่อสาร” กับเสียงที่ “#ฝึก” ♬



เครื่อง 𝗽𝗲𝗿𝗰𝘂𝘀𝘀𝗶𝗼𝗻 ของชนเผ่าหลายแห่ง เช่น 𝗱𝗷𝗲𝗺𝗯𝗲 ของแอฟริกา, 𝗸𝗲𝗻𝗱𝗮𝗻𝗴 ของอินโดนีเซีย, หรือกลอง 𝗧𝗮𝗶𝗸𝗼 ในพิธีกรรมของญี่ปุ่น ไม่ได้ถูกสร้างขึ้นมาเพื่อ "ฝึกเทคนิค" หรือ “สอบผ่าน” ในมาตรวัดความแม่น



มันไม่ใช่เครื่องมือของการทดสอบ แต่มันคือ “เครื่องมือของการสื่อสาร”



กลองเหล่านี้ถูกออกแบบมาเพื่อส่งเสียงออกไปยังผู้คนรอบข้าง เพื่อเรียกฝูงชนเข้ามาอยู่ร่วมกันรอบกองไฟ เพื่อปลุกอารมณ์ในพิธีกรรม เพื่อ "พูด" สิ่งที่คำพูดไม่สามารถแทนได้ เสียงเหล่านี้อาจไม่เป๊ะ ไม่ตรง 𝗴𝗿𝗶𝗱 ไม่เข้า 𝗰𝗹𝗶𝗰𝗸 แต่มัน เข้าหัวใจ



  มันอยู่กลางลาน เต้นเคียงกับเปลวไฟ



  มันโต้ตอบกับเสียงร้องของนักขับเพลง หรือแม้แต่ร้องรับกับเสียงฟ้าร้องจริง ๆ



  มันไม่ต้องการ 𝗯𝗽𝗺 เพราะสิ่งที่สำคัญกว่า “ความแม่น” คือ “ความหมาย”



ในขณะที่อีกด้านหนึ่ง เครื่องมือฝึกอย่าง 𝗽𝗿𝗮𝗰𝘁𝗶𝗰𝗲 𝗽𝗮𝗱, 𝗱𝗿𝘂𝗺 𝗽𝗮𝗱, หรือ 𝗰𝗹𝗶𝗰𝗸 𝘁𝗿𝗮𝗰𝗸 ถูกออกแบบมาเพื่อฝึกให้ “เที่ยงตรง” มันช่วยเรา...



  สร้างความสม่ำเสมอ



  ตัดสิ่งรบกวน



  วัดว่าแรงพอดีไหม เร็วพอหรือยัง แม่นหรือเปล่า



  และตอบคำถามว่า “เราคุมได้หรือยัง?”



มันคือสนามซ้อมของการควบคุม แต่บางครั้ง…การควบคุมก็ทำให้เราห่างจากความรู้สึกจริง



แน่นอนว่าเทคนิคสำคัญ แต่เทคนิคก็คือแค่ “ภาชนะ” ไม่ใช่ “เนื้อหา”



มันเหมือนภาชนะที่สวย สมมาตร ใส่ของอะไรก็ได้ลงไป แต่คำถามคือ แล้วของที่เราใส่ลงไปล่ะ...มีความหมายแค่ไหน?



เราฝึกเพื่อให้ "ตีได้" หรือฝึกเพื่อให้ "สื่อสารได้"? เราฟังเพื่อวิเคราะห์ หรือฟังเพื่อรับรู้สิ่งที่อีกคนรู้สึก?



เพราะต่อให้คุณตีได้เป๊ะเหมือน 𝗰𝗹𝗶𝗰𝗸 ทุก 𝗵𝗶𝘁 แต่ถ้าเสียงนั้นไม่มีใครรู้สึกอะไร ไม่มีใครขยับตัว ไม่มีใครยิ้ม ไม่มีใครร้องตอบ เสียงนั้นก็อาจกลายเป็นแค่เสียงที่ “จบลงตรงนั้น” เหมือนฝนตกใส่พื้นปูน กระทบแล้วก็เงียบ



 แต่เสียงที่ “พูดกับคน” ได้...ไม่เคยจบตรงนั้น มันไปต่อในใจใครสักคน มันก้องอยู่ในอก แม้เสียงจะเงียบไปแล้ว



คำถาม: คุณอยากเป็นนักดนตรีที่ “ตีแม่น” หรือคนที่ “พูดบางอย่างผ่านเสียงของตัวเองได้”?



𝟮. ผิวไม้ #ผิวหนัง 𝘃𝘀 #ยางสังเคราะห์: ผิวสัมผัสก็ส่งผลต่อ “#ความรู้สึก” ♬



ลองหลับตาแล้วนึกถึงเสียงกลองที่คุณเคยได้ยินในงานชนเผ่า งานพิธี หรือแม้แต่คลิปกลองพื้นเมืองใน 𝗬𝗼𝘂𝗧𝘂𝗯𝗲



เสียงนั้น…มันไม่เคยเรียบ มันสั่นไหว มี 𝘁𝗲𝘅𝘁𝘂𝗿𝗲 แบบที่ไม่ซ้ำกันเลย มันมีชีวิตอยู่ในทุกการตี เพราะมันเต็มไปด้วยร่องรอยของเวลาที่ผ่านไป



เสียงจากกลองชนเผ่ามักทำจาก หนังสัตว์ หรือ ไม้ท้องถิ่น. วัสดุที่ไม่สมมาตรและไม่เหมือนกันทุกตารางนิ้ว มันไม่สมบูรณ์ แต่เพราะไม่สมบูรณ์นั้นเองที่ทำให้มัน “มีชีวิต”



เมื่อคุณตีไปที่กลองเหล่านั้น คุณจะรู้สึกถึงแรงสะท้อนที่แตกต่างจากทุกครั้ง มันเหมือน เสียงหายใจของไม้ หรือการสนทนาระหว่างมือของคุณและเครื่องดนตรี



การตีแต่ละครั้งไม่เหมือนเดิม แต่กลับให้คุณรู้สึกว่า มันมีความหมาย การสั่นไหวของเสียงคือ “การตอบสนอง” ที่มาจากทั้งเครื่องดนตรีและผู้เล่น



ในขณะที่ 𝗽𝗮𝗱 ยาง หรือ 𝗽𝗮𝗱 ไฟฟ้า ที่เราใช้ฝึกกันทุกวันนั้นถูกออกแบบให้ “ตอบสนองเหมือนเดิม” ทุกครั้ง ไม่ว่าจะตีตรงไหน เสียงก็ตอบกลับมาอย่างเดียวกัน เหมือนการตีไปบนพื้นราบที่ไม่มีแรงสะท้อนที่แตกต่าง มันช่วยให้เรา ควบคุมการตี ได้แม่นยำ แต่เมื่อเราตีซ้ำๆ บนวัสดุที่นิ่งเฉยแบบนี้ เราอาจจะเริ่มชินกับ ความเงียบของมัน มันไม่สั่นไหว มันไม่ "มีชีวิต" เหมือนเสียงจากไม้หรือหนังจริงๆ



เสียงที่ไม่สั่นไหว = เสียงที่ “#ควบคุมได้



แต่เสียงที่ไม่สั่นไหว = เสียงที่อาจไม่มี “#ชีวิต



เมื่อเราไม่รู้สึกถึงการเปลี่ยนแปลงจากการตีในแต่ละครั้ง เราอาจเริ่มลืมไปว่า จริงๆ แล้วดนตรีคือการตอบโต้ มันไม่ใช่แค่การตีไปเรื่อยๆ จนจังหวะจบ แต่คือการ มีปฏิสัมพันธ์ กับเสียงที่เราเล่นออกไป



คำถาม: ถ้าเสียงของคุณ “ตอบสนองเหมือนเดิม” ทุกครั้ง…คุณยังรู้สึกว่ามันเป็น “เสียงของคุณ” อยู่ไหม?



𝟯. จังหวะที่ “#ไม่เท่ากัน” แต่อบอุ่นกว่า ♬



ลองจินตนาการถึงการเดินเข้าไปในงานประเพณีที่มีชีวิตชีวาในชนบทสักแห่ง เสียงกลอง เสียงปี่ เสียงฉิ่ง แม้ว่าจะตีกันไม่เป๊ะ ไม่ตรงกับจังหวะทุกครั้ง แต่ ทุกจังหวะกลับทำให้ผู้คนยิ้ม เต้น และ ขยับตัวไปพร้อมกัน โดยไม่รู้ตัว



มันเหมือนมีบางสิ่งที่เชื่อมโยงคนในชุมชนให้ร่วมกัน สัมผัสความรู้สึก มันไม่ใช่แค่จังหวะที่ "ตรง" แต่เป็นการ มีส่วนร่วม ในเสียงที่กำลังเกิดขึ้น



อีกตัวอย่างหนึ่งคือเมื่อเด็กๆ เล่นจังหวะกันในช่วงพักเที่ยง มือหนึ่งตบโต๊ะ อีกมือหนึ่งร้องเพลงไปด้วย มันอาจจะคลาดบ้าง หลุดบ้าง แต่มันกลับเต็มไปด้วย ความสนุก



สิ่งที่สำคัญไม่ใช่ความ "แม่น" หรือความตรงตามมาตรฐานที่กำหนด แต่มันคือ การมีส่วนร่วม การที่ทุกคนในกลุ่ม อิน ไปกับสิ่งที่เกิดขึ้นในขณะนั้น



ดนตรีในรูปแบบนี้คือสิ่งที่นักชาติพันธุ์ดนตรีเรียกว่า "𝗽𝗮𝗿𝘁𝗶𝗰𝗶𝗽𝗮𝘁𝗼𝗿𝘆 𝗺𝘂𝘀𝗶𝗰" มันไม่ใช่แค่การฟังเพื่อวิเคราะห์ว่าจังหวะแม่นหรือไม่ แต่เป็นการฟังเพื่อ “รู้สึก” และ ตอบสนองกันจริง ๆ มันเป็นการสร้างประสบการณ์ที่ผู้ฟังและผู้เล่นมีความเชื่อมโยงและปฏิสัมพันธ์กันแบบที่ไม่มีการแบ่งแยก



ดนตรีแบบนี้ไม่ได้ถูกสร้างขึ้นจากเครื่องมือดิจิตอลที่ทำงานภายใต้การตั้งค่า "𝗽𝗲𝗿𝗳𝗲𝗰𝘁 𝘁𝗶𝗺𝗶𝗻𝗴" ในขณะที่เครื่อง 𝗱𝗿𝘂𝗺 𝗺𝗮𝗰𝗵𝗶𝗻𝗲 หรือซอฟต์แวร์ดนตรีต่างๆ พยายามทำให้จังหวะทุก 𝗵𝗶𝘁 "เป๊ะ" ทุกครั้ง มันให้เสียงที่ สม่ำเสมอ แต่ เย็นชา เพราะสิ่งที่หายไปคือ “ความคลาดเคลื่อน” ที่เล็กน้อยแต่สำคัญ



คลาดเคลื่อน ที่บ่งบอกว่า มีมนุษย์อยู่ที่นั่น กำลังเล่นและ รู้สึก กับเสียงที่ตัวเองสร้างขึ้น



เมื่อเสียงนั้น ไม่สมบูรณ์แบบ แต่มันเต็มไปด้วย ความรู้สึกและการหายใจ มันจึงทำให้ คนโยกได้ ในแบบที่ดนตรีที่เป๊ะทุกจังหวะทำไม่ได้ 𝗴𝗿𝗼𝗼𝘃𝗲 ที่อาจจะไม่แม่นทุก 𝗵𝗶𝘁 แต่กลับทำให้เรารู้สึกถึงความเป็นมนุษย์มากกว่า มันทำให้เรารู้ว่าเราไม่ได้แค่ฟังดนตรี เรากำลังใช้ชีวิตไปพร้อมกับมัน



คำถาม: 𝗚𝗿𝗼𝗼𝘃𝗲 ที่แม่นทุก 𝗵𝗶𝘁 กับ 𝗴𝗿𝗼𝗼𝘃𝗲 ที่ทำให้คนโยกได้...คุณเลือกอะไร?





หลายคนอาจมองว่า เครื่องดนตรีเพอร์คัชชันแบบดั้งเดิม เป็นเพียงของเก่า เสียงไม่คม ไม่แรง ไม่ทันสมัย และอาจจะใช้กับเพลงยุคใหม่ไม่ได้… แต่จริงๆ แล้วในปัจจุบันกลับมีศิลปินรุ่นใหม่จำนวนมากทั่วโลกที่หันกลับมาค้นหาความเป็น ดั้งเดิม เหล่านี้



พวกเขาเลือกใช้เครื่องดนตรีอย่าง 𝗱𝗷𝗲𝗺𝗯𝗲, 𝘁𝗮𝗯𝗹𝗮, 𝗴𝗮𝗺𝗲𝗹𝗮𝗻, 𝗸𝗲𝗻𝗱𝗮𝗻𝗴 หรือแม้กระทั่งเสียงเคาะพื้นดิน เพราะ พวกเขากำลังค้นหาบางสิ่งที่เครื่องเสียงดิจิตอลสังเคราะห์ให้ไม่ได้



เสียงของเครื่องเ พอร์คัชชันชนเผ่าหรือเครื่องดนตรีที่ทำจากวัสดุธรรมชาติอาจจะไม่ตรงตามมาตรฐานของห้องอัดเสียง เสียงอาจจะไม่ คม ไม่ แรง และอาจจะ ไม่แม่นยำ ตามที่หลายคนคาดหวังจากการบันทึกเสียงในสตูดิโอ แต่นั่นกลับทำให้มัน "ตรง" กับความรู้สึกของผู้ฟังมากขึ้น



เสียงเหล่านี้ เต็มไปด้วยความไม่แน่นอนเล็ก ๆ การ หายใจ ของไม้ ผิวหนัง และ ผิวมือ ที่กระทบกับพื้นผิว ทำให้ เสียงมีมิติ และ ผิวสัมผัสทางอารมณ์ ที่เครื่องดนตรีดิจิตอลไม่สามารถเลียนแบบได้



มันคือเสียงที่มีความ ไม่สมบูรณ์แบบ แต่ในความไม่สมบูรณ์แบบนั้นกลับมีความ สมบูรณ์ ในแง่ของ การเชื่อมต่อกับความรู้สึก และ ความจริงใจ ที่สื่อออกมาจากการเล่น



เราควรถามตัวเองว่า ความล้าหลังคือการใช้เครื่องดนตรีเก่าหรือเครื่องดนตรีที่มีพื้นฐานจากวัฒนธรรม เก่าแก่ หรือจะเป็นการ ละเลยเสียง ที่มี คุณค่าทางวัฒนธรรม และเต็มไปด้วย ความรู้สึก ที่เครื่องมือดิจิตอลไม่สามารถสื่อออกมาได้



เครื่องกระทบแบบโบราณเหล่านี้ไม่ได้เป็น ของตกยุค แต่เป็น สะพาน ที่เชื่อมผู้คนผ่าน จังหวะที่มีชีวิต และ เสียงที่ยังหายใจ อยู่



ในขณะที่เทคโนโลยีใหม่ ๆ ทำให้เราสามารถสร้างเสียงที่สมบูรณ์แบบจากการ ประมวลผลดิจิตอล เสียงจากเครื่องดนตรีโบราณเหล่านี้กลับเป็น การย้อนกลับสู่ต้นกำเนิด ความ คลาสสิก ที่ไม่ต้องการความสมบูรณ์แบบ แต่มีความ แท้จริง



คำถาม: เสียงที่ไม่สมบูรณ์แบบบางครั้ง… กลับสมบูรณ์ในด้าน “ความรู้สึก” คุณยังจำเสียงแบบนั้นได้ไหม?



#เสียงที่มีชีวิต” คือเสียงที่ไม่เพียงแค่ ฟังด้วยหู แต่เป็นเสียงที่ ฟังด้วยหัวใจ เสียงที่กระทบและสื่อสารออกไปในทางที่ ลึกซึ้ง และ สัมผัสได้ถึงความเป็นมนุษย์



เครื่องดนตรี 𝗽𝗲𝗿𝗰𝘂𝘀𝘀𝗶𝗼𝗻 ไม่ว่าจะเป็น 𝗽𝗮𝗱 ไฟฟ้า หรือ กลองไม้ชนเผ่า ต่างก็มีบทบาทที่แตกต่างกันในชีวิตของนักดนตรี หรือผู้ที่มีความสัมพันธ์กับเสียง



𝗣𝗮𝗱 ไฟฟ้า อาจจะเป็นเครื่องมือที่เน้นความ แม่นยำ, สม่ำเสมอ, และ ความชัดเจน ของเจตนาการตีแต่ละครั้ง มันเป็นการฝึกฝนให้เรามี การควบคุมตัวเอง ได้ดีในทุกๆ การเคลื่อนไหว จังหวะ และท่วงทำนองที่เล่นออกมา



ส่วน กลองไม้ชนเผ่า กลับให้บทเรียนที่แตกต่างออกไป มันไม่ได้มุ่งเน้นที่ความสมบูรณ์แบบหรือความแม่นยำ แต่มันสอนให้เรา ปล่อยใจ และ รับรู้เสียง ที่เกิดขึ้น ณ ขณะนั้นแบบที่ไม่ต้องการการตัดสินหรือการคาดหวัง เสียงเหล่านั้นสอนให้เราตระหนักถึง ความไม่สมบูรณ์ และ การอยู่กับสิ่งที่เกิดขึ้น อย่างแท้จริง



ในทางหนึ่ง, 𝗽𝗮𝗱 อาจฝึกเราให้มีเทคนิคที่ดีขึ้น แต่ในทางกลับกัน, กลองไม้ สอนให้เรามี การเชื่อมต่อ กับเสียงในแบบที่ ไม่ต้องการการควบคุม ทุกครั้ง เพราะเสียงที่เกิดขึ้นจากกลองไม้มีความ ไม่คาดหวัง และ ไม่เหมือนเดิม ทุกครั้งที่ตี



แต่ในท้ายที่สุด, คำถามที่สำคัญที่สุดคือ: ถ้าในวันที่คุณพูดไม่ออก แต่ยังอยากสื่อสารบางอย่างออกไป คุณจะ หยิบ 𝗽𝗮𝗱 หรือ หยิบกลองไม้?



คำตอบนั้นอาจจะบอกได้ถึงวิธีที่คุณเลือกที่จะ เชื่อมต่อ กับตัวเอง และสิ่งที่คุณอยากสื่อสารกับโลกใบนี้  


 
 
 

Comments


bottom of page