top of page
Search

เครื่องดนตรีคือสิ่งประดิษฐ์…แต่วิธีฟังคือวัฒนธรรม สิ่งที่ถูก “สร้าง” กับสิ่งที่ถูก “ได้ยิน”



เครื่องดนตรีทุกชิ้น ล้วนเป็นผลลัพธ์ของเทคโนโลยี วัสดุ และความคิดสร้างสรรค์ของมนุษย์ในแต่ละยุคแต่ละวัฒนธรรม ตั้งแต่กลองหินในยุคก่อนประวัติศาสตร์ ไวโอลินในยุโรปยุคบาโรก ไปจนถึงซินธิไซเซอร์ในศตวรรษที่ 𝟮𝟭 แต่ในขณะที่ "เครื่องดนตรี" สามารถวัดได้ ชั่งได้ ออกแบบได้ วิธีที่มนุษย์แต่ละกลุ่ม "ฟัง" เครื่องดนตรีนั้น กลับแตกต่างอย่างลึกซึ้ง และไม่สามารถวัดได้ด้วยหน่วยทางวิทยาศาสตร์



เสียงจึงไม่ใช่แค่ฟิสิกส์ แต่คือวัฒนธรรม การฟังไม่ใช่แค่รับคลื่นเสียง แต่คือกระบวนการแปลความหมาย ซึ่งมีรากอยู่ในภาษา ความเชื่อ ประสบการณ์ และระบบคิดของผู้ฟังแต่ละคน



คำถาม: เราฟังเสียงเพราะมันเพราะ หรือเพราะมีใครบอกเราว่าแบบนี้เรียกว่าเพราะ?





เสียงไม่ใช่แค่สิ่งที่ได้ยิน แต่คือสิ่งที่สร้างขึ้นจากวัฒนธรรม ความรู้ และร่างกายมนุษย์



เครื่องดนตรีคือการรวมตัวกันของวัสดุ ความรู้ เทคโนโลยี และความตั้งใจของมนุษย์ ที่เปลี่ยน “เสียง” ให้กลายเป็นการสื่อสาร ไม่ว่าจะกับเทพเจ้า ผู้อื่น หรือกับตัวเอง มันไม่ใช่แค่สิ่งของที่ทำเสียงได้ แต่คือสิ่งที่มนุษย์ตั้งใจ “ให้เสียงนั้นมีความหมาย”



ตลอดประวัติศาสตร์ เครื่องดนตรีถูกพัฒนาขึ้นจากบริบทที่ต่างกันทั่วโลก ทั้งภูมิศาสตร์ วัตถุดิบ และวัฒนธรรมความเชื่อ ยิ่งมองลึกเข้าไป เราจะพบว่า เครื่องดนตรีไม่ได้แค่ “ให้เสียง” แต่คือการออกแบบโลกทัศน์ของการฟัง เสียงที่ได้จึงเป็นผลรวมขององค์ความรู้หลากแขนง: วิศวกรรม, ฟิสิกส์, ช่างฝีมือ, ความรู้ด้านร่างกายมนุษย์ และศิลปะวัฒนธรรม



 #ร่างกายกับเครื่องมือ: ความแม่นยำ ความไหลลื่น และอารมณ์



เครื่องสายของตะวันตก เช่น ไวโอลิน ถูกออกแบบอย่างแม่นยำให้ควบคุมเสียงได้ละเอียด ผู้เล่นสามารถกดสายได้ตรงจุดที่ต้องการ เสียงที่ได้จึงสะท้อนความเที่ยงตรงของโน้ต ความสามารถของนิ้ว และฝีมือทางเทคนิค ขณะที่เครื่องดนตรีเอเชีย เช่น กู่เจิง จะเข้ หรือขิม กลับเน้น “การไล่เสียง” เสียงที่ได้ไม่จำเป็นต้องตรงเส้นเสียงใดเสียงหนึ่ง แต่อยู่ระหว่างเสียง มีความ “ไหล” มากกว่า “หยุดนิ่ง”



นี่แสดงให้เห็นว่า ไม่ใช่เพียงเสียงที่ต่าง แต่การออกแบบเครื่องดนตรีสะท้อนถึงแนวคิดของวัฒนธรรมที่แตกต่างกันด้วย ตะวันตกให้ความสำคัญกับความแม่นยำและโครงสร้าง ขณะที่ตะวันออกอาจเน้นอารมณ์ ความเคลื่อนไหว และมิติที่ไม่แน่นอนของเสียง





ทุกชิ้นส่วนของเครื่องดนตรีล้วนมีเหตุผลในการเลือกใช้:



๐ ไม้ไผ่ ถูกเลือกในหลายพื้นที่ของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เพราะมีอยู่มาก ขึ้นง่าย มีน้ำหนักเบา และให้เสียงนุ่มนวล



๐ หนังสัตว์ เช่น หนังควาย หรือหนังแพะ ถูกใช้ในกลอง ไม่เพียงเพราะคุณสมบัติทางเสียง แต่ยังมีความหมายในพิธีกรรม



๐ โลหะ เช่น สำริด หรือทองเหลือง ถูกใช้ในฆ้องหรือฉิ่ง เพราะเสียงที่สามารถสื่อสารไกลและคงอยู่ได้นาน เหมาะกับพื้นที่โล่งหรือภูเขา



เครื่องดนตรีพื้นบ้านจึงไม่ได้เป็นแค่เครื่องมือทางเสียง แต่เป็นการใช้ทรัพยากรในพื้นที่มาแปรรูปเป็นสิ่งที่เชื่อมโยงกับประเพณี ความเชื่อ และสภาพแวดล้อมทางธรรมชาติ การเล่นเครื่องดนตรีพื้นบ้านจึงไม่ใช่เพียงแค่การ “แสดงดนตรี” แต่คือการแสดงออกถึง “วิถีชีวิต”





ลองนึกภาพ:



  ถ้าเราเปลี่ยนระนาดเอกจากไม้ชิงชันเป็นพลาสติก



   เปลี่ยนพิณอีสานจากไม้เนื้อแข็งเป็นโลหะหล่อ



  หรือแทนที่จะใช้มือทำ เราใช้เครื่องจักร 𝟯𝗗 𝗽𝗿𝗶𝗻𝘁𝗲𝗿 ปริ้นท์ทุกชิ้นส่วน



เสียงจะยังเหมือนเดิมหรือเปล่า? อาจไม่ใช่แค่เสียงที่เปลี่ยน แต่ความรู้สึกก็เปลี่ยนไปด้วย ความทรงจำ ความผูกพัน และสัมผัสของผู้เล่นอาจไม่ตอบสนองแบบเดิมอีกต่อไป



ความเปลี่ยนแปลงของวัสดุและกระบวนการผลิตจึงไม่ได้ส่งผลแค่ทางเทคนิค แต่มันคือการเปลี่ยนวัฒนธรรมเสียง เปลี่ยนประสบการณ์การเล่น เปลี่ยนวิธีที่คนรับฟัง และอาจเปลี่ยนแม้กระทั่งจุดประสงค์ของเครื่องดนตรีนั้นไปเลยก็ได้



  #คำถามที่สำคัญ: วัสดุใหม่ = วัฒนธรรมใหม่?



ถ้าเครื่องดนตรีเดิมถูกผลิตจากวัสดุใหม่ทั้งหมด ไม่มีไม้เดิม เสียงเดิม หรือกรรมวิธีเดิมเหลืออยู่เลย เรายังเรียกมันว่า “เครื่องดนตรีเดิม” ได้อยู่หรือเปล่า?



นี่ไม่ใช่แค่คำถามเชิงภาษาหรือเชิงเทคนิค แต่คือคำถามทางวัฒนธรรม:



"เครื่องดนตรี" หมายถึงรูปร่างภายนอก? เสียง? ความรู้สึกขณะเล่น? หรือความทรงจำร่วมของคนในสังคม?



หากคำตอบคือ “ใช่ มันยังคงเป็นเครื่องดนตรีเดิม” แปลว่าเราให้ความสำคัญกับฟังก์ชันหรือภาพจำมากกว่ารายละเอียดวัสดุ



แต่ถ้าคำตอบคือ “ไม่” แปลว่าเครื่องดนตรีคือสิ่งที่หล่อหลอมจากเวลา วัสดุ และความรู้สึก ไม่สามารถแทนที่ได้ด้วยโครงสร้างภายนอก





บางคนอาจตอบว่า เครื่องดนตรีเปลี่ยนไปได้ วัฒนธรรมต้องยืดหยุ่น เช่น กีตาร์ไฟฟ้าไม่ได้ใช้ไม้แบบเดียวกับกีตาร์คลาสสิก แต่ก็กลายเป็นเครื่องดนตรีหลักของศตวรรษที่ 𝟮𝟬 หรืออย่างซินธิไซเซอร์ ที่สร้างเสียงที่ไม่มีอยู่จริงในธรรมชาติ ก็ยังเป็นที่รักของผู้ฟังทั่วโลก



แต่ในอีกมุมหนึ่ง การเปลี่ยนวัสดุอาจทำให้ “ราก” ของเสียงขาดหายไปโดยไม่รู้ตัว เสียงนั้นอาจยังอยู่ แต่จิตวิญญาณเดิมอาจไม่อยู่แล้ว เช่น ถ้าพิณอีสานถูกเปลี่ยนให้เล่นได้ด้วยแอปพลิเคชันบนมือถือ เสียงอาจยังใกล้เคียงเดิม แต่การนั่งลงขัดสมาธิ จับพิณด้วยสองมือ สัมผัสสายด้วยปลายนิ้ว และได้ยินเสียงกังวานจากไม้จริงๆ หายไป





เสียงที่เราคิดว่า "เพราะ" ไม่ได้มาจากหู แต่เกิดจากประสบการณ์ที่เราสั่งสมมา



ในทางชีววิทยา มนุษย์ทุกคนมีโสตประสาทที่สามารถรับรู้คลื่นเสียงในช่วงประมาณ 𝟮𝟬𝗛𝘇–𝟮𝟬,𝟬𝟬𝟬𝗛𝘇 ได้เหมือนกัน แต่การ “ฟัง” ไม่ใช่แค่เรื่องของการได้ยิน “เสียง” การฟังคือการแปลเสียงให้กลายเป็น “ความหมาย” และความหมายที่ว่านั้น...ไม่เคยเป็นกลาง



 #เสียงคือภาษา  และทุกภาษาก็ต้องเรียนรู้



เด็กที่โตมากับเพลงกล่อมเด็กไทยจะคุ้นกับเสียงไม้ไผ่ เสียงระนาด เสียงเพียงออ ที่มีการตกแต่งเสียงอย่างอ่อนช้อย เด็กอีกคนที่โตในนิวยอร์กกับดนตรีฮิปฮอป จะคุ้นกับจังหวะหนักแน่น คอร์ดซ้ำๆ และเสียงเบสที่แน่นลึก แม้ทั้งสองคนจะมีหูที่สามารถ “ได้ยิน” เสียงเดียวกัน แต่การ “รู้สึก” ต่อเสียงนั้นกลับต่างกันโดยสิ้นเชิง ความรู้สึกว่านั่นคือเสียงเพราะ น่าฟัง หรือแม้แต่เป็น “ดนตรี” หรือไม่นั้น ไม่ได้เกิดจากธรรมชาติ แต่เกิดจาก “การเรียนรู้ร่วมกันในวัฒนธรรมหนึ่ง”



นักชาติพันธุ์ดนตรีอย่าง 𝗕𝗿𝘂𝗻𝗼 𝗡𝗲𝘁𝘁𝗹 (𝟮𝟬𝟬𝟱) และ 𝗦𝘁𝗲𝘃𝗲𝗻 𝗙𝗲𝗹𝗱 (𝗙𝗲𝗹𝗱, 𝟭𝟵𝟵𝟬) ชี้ให้เห็นว่า "เสียง" จะกลายเป็น "ดนตรี" ก็ต่อเมื่อมีวัฒนธรรมเข้าไป “รับฟัง” และตีความมัน เสียงที่อยู่ในธรรมชาติจึงไม่อาจเรียกว่าเป็นดนตรีโดยอัตโนมัติ จนกว่าจะมีคนฟังเข้าไปตีความ เช่น เสียงนก เสียงลม เสียงฝน จะกลายเป็น “ดนตรี” เมื่อมีบริบททางวัฒนธรรมไปสถาปนาให้มันเป็นเช่นนั้น



*** อ้างอิง



𝗡𝗲𝘁𝘁𝗹, 𝗕. (𝟮𝟬𝟬𝟱). 𝗧𝗵𝗲 𝗦𝘁𝘂𝗱𝘆 𝗼𝗳 𝗘𝘁𝗵𝗻𝗼𝗺𝘂𝘀𝗶𝗰𝗼𝗹𝗼𝗴𝘆: 𝗧𝗵𝗶𝗿𝘁𝘆-𝗢𝗻𝗲 𝗜𝘀𝘀𝘂𝗲𝘀 𝗮𝗻𝗱 𝗖𝗼𝗻𝗰𝗲𝗽𝘁𝘀. 𝗨𝗿𝗯𝗮𝗻𝗮: 𝗨𝗻𝗶𝘃𝗲𝗿𝘀𝗶𝘁𝘆 𝗼𝗳 𝗜𝗹𝗹𝗶𝗻𝗼𝗶𝘀 𝗣𝗿𝗲𝘀𝘀.



𝗙𝗲𝗹𝗱, 𝗦. (𝟭𝟵𝟵𝟬). 𝗦𝗼𝘂𝗻𝗱 𝗮𝗻𝗱 𝗦𝗲𝗻𝘁𝗶𝗺𝗲𝗻𝘁: 𝗕𝗶𝗿𝗱𝘀, 𝗪𝗲𝗲𝗽𝗶𝗻𝗴, 𝗣𝗼𝗲𝘁𝗶𝗰𝘀, 𝗮𝗻𝗱 𝗦𝗼𝗻𝗴 𝗶𝗻 𝗞𝗮𝗹𝘂𝗹𝗶 𝗘𝘅𝗽𝗿𝗲𝘀𝘀𝗶𝗼𝗻. 𝗣𝗵𝗶𝗹𝗮𝗱𝗲𝗹𝗽𝗵𝗶𝗮: 𝗨𝗻𝗶𝘃𝗲𝗿𝘀𝗶𝘁𝘆 𝗼𝗳 𝗣𝗲𝗻𝗻𝘀𝘆𝗹𝘃𝗮𝗻𝗶𝗮 𝗣𝗿𝗲𝘀𝘀.





ระบบเสียงที่เราคุ้นเคยในดนตรีตะวันตก เช่น 𝗲𝗾𝘂𝗮𝗹 𝘁𝗲𝗺𝗽𝗲𝗿𝗮𝗺𝗲𝗻𝘁 (ที่แบ่ง 𝗼𝗰𝘁𝗮𝘃𝗲 ออกเป็น 𝟭𝟮 เสียงเท่าๆ กัน) เป็นเพียง “หนึ่งในหลายระบบ” เท่านั้น และที่สำคัญคือ มันไม่ได้ “เพราะ” โดยธรรมชาติ



ระบบนี้ถือกำเนิดในยุโรปเพื่อให้สามารถเปลี่ยนคีย์ได้สะดวกบนเปียโน แต่ต้องแลกด้วยการ “เพี้ยนเล็กน้อย” ของแต่ละเสียงจากระบบบริสุทธิ์ทางฟิสิกส์ เช่น 𝗣𝘆𝘁𝗵𝗮𝗴𝗼𝗿𝗲𝗮𝗻 𝘁𝘂𝗻𝗶𝗻𝗴 หรือ 𝗝𝘂𝘀𝘁 𝗶𝗻𝘁𝗼𝗻𝗮𝘁𝗶𝗼𝗻 มันจึงเป็น “ทางสายกลาง” ที่ประดิษฐ์ขึ้น ไม่ใช่สัจธรรมของดนตรี



ในวัฒนธรรมอื่น เช่น:



  ดนตรีอินเดียใช้ 𝗥𝗮𝗴𝗮 ที่มีไมโครโทน (ระยะเสียงเล็กกว่า 𝘀𝗲𝗺𝗶𝘁𝗼𝗻𝗲)



  ดนตรีตะวันออกกลางใช้ 𝗺𝗮𝗾𝗮𝗺 ที่มีเสียงแทรกซึ่งไม่ตรงกับเปียโน



  ดนตรีอาฟริกันหลายกลุ่มใช้จังหวะหลายชั้น (𝗽𝗼𝗹𝘆𝗿𝗵𝘆𝘁𝗵𝗺) ที่ไม่เข้าอยู่ในโครงสร้าง 𝟰/𝟰 หรือ 𝟯/𝟰 แบบยุโรปเลย



คนที่เติบโตมาในวัฒนธรรมเหล่านี้จะ “ได้ยิน” ความเพราะในสิ่งที่คนตะวันตกอาจคิดว่า “เพี้ยน” และในทางกลับกัน ความรู้สึกว่าเสียงเมเจอร์คือ “เสียงแห่งความสุข” ก็อาจไม่เกิดขึ้นเลย หากคุณโตมาในวัฒนธรรมที่ไม่มีคอร์ดเมเจอร์



 #วิธีฟังในโลกยุคใหม่: ใครกำหนดมาตรฐาน?



ในยุคดิจิทัล สื่อกลายเป็นผู้กำหนดนิยามใหม่ของ "เสียงเพราะ"



  เพลงถูก 𝗰𝗼𝗺𝗽𝗿𝗲𝘀𝘀 ให้แน่นขึ้นเพราะต้องแข่งกันบนแพลตฟอร์มสตรีมมิ่ง



  นักร้องที่ใช้ 𝗮𝘂𝘁𝗼-𝘁𝘂𝗻𝗲 กลายเป็นบรรทัดฐานใหม่ของเสียงร้อง “เป๊ะ”



เสียง 𝗹𝗼-𝗳𝗶 ที่ครั้งหนึ่งเคยถูกมองว่า "คุณภาพต่ำ" กลายเป็นแฟชั่นของความ “ดิบ” “จริงใจ” หรือ “คลาสสิก” ไปแล้วในกลุ่มคนฟังรุ่นใหม่



สิ่งเหล่านี้เปลี่ยนไม่เพียงแค่ “เสียง” ที่เราฟัง แต่เปลี่ยน “หู” ของเราให้ชินกับสิ่งที่ไม่ได้มาจากธรรมชาติอีกต่อไป



หูของเราเรียนรู้ที่จะยอมรับเสียงที่ถูกประดิษฐ์ขึ้นใหม่ เหมือนกับที่ลิ้นของเรายอมรับความหวานจากน้ำตาลสังเคราะห์



 #การฟัง = การมีส่วนร่วมในวัฒนธรรม



การฟังไม่ใช่ทักษะเฉพาะตัว แต่คือพฤติกรรมที่ฝึกฝนผ่านสังคม:



  การ “จำได้” ว่าเพลงนี้มาจากยุคไหน



  การ “รู้สึก” ว่าเสียงนี้ฟังแล้วเศร้า



  หรือแม้แต่การ “คาดเดา” ว่าท่อนต่อไปจะเป็นอย่างไร



ทั้งหมดนี้เกิดจากการที่เราดู 𝗠𝗩 ร่วมกัน ฟังเพลงในร้านอาหารเดียวกัน หรือได้ยินเสียงนั้นซ้ำๆ ใน 𝗧𝗶𝗸𝗧𝗼𝗸, 𝗥𝗲𝗲𝗹𝘀, หรือซีรีส์ที่ชอบ การฟังจึงไม่ใช่ “การได้ยินอย่างเป็นกลาง” แต่คือการตีความเสียงผ่านเลนส์ของวัฒนธรรม ความทรงจำ และอารมณ์ร่วม



  #แล้วใครออกแบบ “วิธีฟัง”?



การฝึกหู (𝗲𝗮𝗿 𝘁𝗿𝗮𝗶𝗻𝗶𝗻𝗴) ที่ใช้ในระบบการศึกษาดนตรีส่วนใหญ่ ถูกออกแบบตามแนวคิดดนตรีคลาสสิกตะวันตก เช่น:



  ฝึกแยกเสียง 𝗶𝗻𝘁𝗲𝗿𝘃𝗮𝗹 ระหว่างโน้ตในระบบ 𝗲𝗾𝘂𝗮𝗹 𝘁𝗲𝗺𝗽𝗲𝗿𝗮𝗺𝗲𝗻𝘁



  ฝึกฟังคอร์ดแบบ 𝗺𝗮𝗷𝗼𝗿 / 𝗺𝗶𝗻𝗼𝗿 / 𝗱𝗶𝗺𝗶𝗻𝗶𝘀𝗵𝗲𝗱



   ฝึกจังหวะตามระบบเมตริคแบบยุโรป





วิธีฝึกหูแบบนี้ครอบคลุมความหลากหลายของโลกจริงหรือเปล่า? หรือเป็นเพียงวิธีฝึกที่บ่มเพาะ “การฟังแบบเดียว” แล้วผลักวิธีฟังอื่นให้เป็นของแปลก?



ดนตรีจากชุมชนอื่นอาจใช้เสียงที่ไม่อยู่ในระบบนี้ เช่น เสียงร้อง 𝘁𝗵𝗿𝗼𝗮𝘁 𝘀𝗶𝗻𝗴𝗶𝗻𝗴 จากมองโกเลีย จังหวะของดนตรีกานา หรือเสียงของเครื่องดนตรีพื้นบ้านไทย ซึ่งทั้งหมดอาจไม่สามารถ “วัด” ได้ด้วยระบบเดิม



  #การฟังคือการเลือก “ความหมาย” ของเสียง



เมื่อเราฟังเสียง ไม่ว่าเสียงดนตรี เสียงธรรมชาติ หรือแม้แต่เสียงเงียบ เรากำลังตีความสิ่งที่ได้ยิน การตีความนั้นขึ้นกับหลายปัจจัย:



  เราเคยได้ยินเสียงนี้จากบริบทไหนมาก่อน?



  มีเรื่องราว ความทรงจำ หรืออารมณ์ผูกอยู่กับเสียงนั้นหรือเปล่า?



  เรา “คาดหวัง” ว่าเสียงที่เพราะควรเป็นแบบไหน?



หากเปรียบเสียงเป็นตัวอักษร การฟังคือการอ่าน และทุกคนเรียนอ่านจาก "ตำรา" ที่ต่างกันไปตามวัฒนธรรมของตัวเอง



𝟯. #เสียงเดียวกัน อาจถูกแปลต่างกัน



เมื่อเสียงไม่ใช่แค่สิ่งที่ถูก "ได้ยิน" แต่คือสิ่งที่ถูก "ตีความ"



“เสียง” ไม่เคยเดินทางโดยลำพัง มันเดินทางไปพร้อมกับเรื่องเล่า ความทรงจำ และวิธีฟัง





เมื่อเสียงคลื่นเคลื่อนที่จากเครื่องดนตรี เข้าสู่หูของผู้ฟัง มันไม่ได้เดินทางเข้าไปใน “ภาชนะเปล่า” หากแต่เคลื่อนเข้าสู่พื้นที่ที่เต็มไปด้วยความเชื่อ ค่านิยม และประสบการณ์ของผู้ฟัง



เสียงกลองชุดเดียวกัน อาจถูกตีความว่า "ทรงพลัง" ในห้องซ้อมของวงร็อก แต่ในห้องเรียนดนตรีคลาสสิก มันอาจถูกมองว่า "หยาบ" หรือ "ไม่มีรูปแบบ"



บนเวทีแจ๊สเดียวกัน เสียงเดียวกันอาจกลายเป็นพื้นที่ของ “การสนทนา” ระหว่างเครื่องดนตรี ที่มีพลวัต แปรเปลี่ยนไปตามอารมณ์ของผู้เล่น



เสียงจึงไม่เคย “บริสุทธิ์” หรือ “สื่อสารตัวมันเอง” เสมอ แต่ต้องผ่าน “เครื่องแปล” ของผู้ฟังเสมอ และเครื่องแปลแต่ละเครื่องก็ต่างกันไป





การที่เสียงเดียวกันสามารถสื่ออารมณ์ ความรู้สึก หรือแม้แต่คุณค่าทางศีลธรรมที่ต่างกันในแต่ละวัฒนธรรมนั้น ไม่ใช่ความบังเอิญ แต่คือธรรมชาติของภาษาทุกชนิด เสียงดนตรีจึงไม่ต่างจากคำพูด คำเดียวกันอาจหมายถึงสิ่งตรงกันข้ามในคนละภาษา



ตัวอย่างเชิงวัฒนธรรม:



๐ 𝗩𝗶𝗯𝗿𝗮𝘁𝗼 หนัก ๆ ในดนตรีตะวันตกคลาสสิก เป็นสัญลักษณ์ของ “ความรู้สึกอย่างลึกซึ้ง” หรือ “ความอิน”



๐ แต่ในดนตรีญี่ปุ่น เช่น 𝗚𝗮𝗴𝗮𝗸𝘂 หรือเครื่องสายในสาย 𝗭𝗲𝗻 กลับเน้นความเรียบ ความนิ่ง เสียงที่ "บริสุทธิ์จากการปรุงแต่ง" 𝗩𝗶𝗯𝗿𝗮𝘁𝗼 จึงอาจถูกมองว่า “รบกวน” หรือ “เกินพอดี”



เช่นเดียวกับดนตรีพื้นบ้านภาคอีสานของไทย ที่เสียงพิณอาจสั่น เสียงร้องอาจเปล่งแหลมและหยอกเย้า ซึ่งในบางหูอาจมองว่า "โลว์เทค" หรือ "ไม่จริงจัง" หากฟังผ่านมาตรฐานแบบตะวันตก แต่ในท้องถิ่น เสียงเหล่านั้นเต็มไปด้วยอารมณ์ รอยยิ้ม และพลังชีวิต



  #เสียงในบริบทเชิงพาณิชย์: เครื่องมือการตลาดและการควบคุมอารมณ์



ไม่ใช่แค่ในดนตรีเท่านั้น แม้แต่ในโลกของสื่อและโฆษณา เสียงก็ถูกจัดวางอย่างมีชั้นเชิงเพื่อ "แปล" ให้ตรงกับเป้าหมายทางการตลาด



ตัวอย่าง:



๐ เสียงเพอร์คัชชันแน่น ๆ แบบ 𝗖𝗶𝗻𝗲𝗺𝗮𝘁𝗶𝗰 ในโฆษณารถยนต์ = “ความมั่นใจ เท่ ทันสมัย”



๐ เสียงเดียวกันในสารคดีสัตว์ป่า = “ความตึงเครียด ไม่เป็นมิตร หรือคุกคาม”



สิ่งนี้แสดงให้เห็นว่า บริบทคือกรอบการตีความ และเสียงสามารถ “พูดได้หลายภาษา” แล้วใครเป็นคนกำหนดภาษาเหล่านั้น?





นักชาติพันธุ์ดนตรีอย่าง 𝗝𝗼𝗵𝗻 𝗕𝗹𝗮𝗰𝗸𝗶𝗻𝗴 กล่าวว่า “เสียงดนตรีไม่สามารถเข้าใจได้โดยปราศจากบริบททางวัฒนธรรม” เสียงที่ "ดี" หรือ "ไม่ดี" ไม่ได้มีอยู่โดยธรรมชาติ แต่ถูกนิยามผ่านระบบคิด เช่น:



  ระบบดนตรี



  สื่อการฟัง



   สถาบันการศึกษา



  อุตสาหกรรมบันเทิง



  หรือแม้แต่ “ความทรงจำส่วนตัว”



สิ่งที่คุณรู้สึกว่า “พังหู” อาจเป็นเสียงที่ทำให้ใครอีกคน “ร้องไห้” ได้จากความทรงจำ



เสียงที่คุณบอกว่า “น่าเบื่อ” อาจเป็นเสียงที่คนในชุมชนอีกฟังเพื่อ “รักษาโรค”



***อ้างอิง : 𝗕𝗹𝗮𝗰𝗸𝗶𝗻𝗴, 𝗝. (𝟭𝟵𝟳𝟯). 𝗛𝗼𝘄 𝗠𝘂𝘀𝗶𝗰𝗮𝗹 𝗶𝘀 𝗠𝗮𝗻? 𝗦𝗲𝗮𝘁𝘁𝗹𝗲: 𝗨𝗻𝗶𝘃𝗲𝗿𝘀𝗶𝘁𝘆 𝗼𝗳 𝗪𝗮𝘀𝗵𝗶𝗻𝗴𝘁𝗼𝗻 𝗣𝗿𝗲𝘀𝘀.





เมื่อเสียงเดินทางถึงผู้ฟัง ความหมายจึงถือกำเนิด แต่ความหมายไม่ใช่สิ่งคงที่ เพราะผู้ฟังแต่ละคน:



   เติบโตจากวัฒนธรรมที่ต่างกัน



  ใช้ภาษาและอารมณ์ที่ต่างกัน



  เชื่อมโยงเสียงเข้ากับความทรงจำที่ต่างกัน



ยกตัวอย่างง่าย ๆ:



๐ เสียงระฆังในคริสต์ศาสนาอาจเป็นสัญญาณของพิธีกรรม ความศักดิ์สิทธิ์



๐ เสียงระฆังแบบเดียวกันในภาพยนตร์อาจใช้เพื่อสร้างความรู้สึกหลอนหรือสูญเสีย



๐ สำหรับคนบางคน เสียงนั้นอาจแค่คือ "เสียงรบกวนจากวัดใกล้บ้าน"



หากเสียงเดียวกันสามารถถูกแปลไปได้หลากหลายความหมายตามผู้ฟังและบริบท แล้ว... เรายังจะกล้ายืนยันได้อีกหรือว่า “เสียงที่ดี” มีเพียงแบบเดียว? จะเป็นไปได้ไหมว่า:



   “เสียงดี” ไม่ใช่คุณสมบัติของเสียง แต่เป็นคุณสมบัติของ “สายตา (และหู) ของผู้ฟัง”



  การศึกษาดนตรีที่เน้นการ “ฟังให้ถูก” อาจกำลังบีบวิธีฟังให้แคบลง แทนที่จะเปิดกว้าง?



  ปิดท้าย: การฟังคือการเจรจา ไม่ใช่การตัดสิน



การฟังเสียงดนตรีในศตวรรษที่ 𝟮𝟭 ไม่อาจจำกัดไว้แค่การรับรู้ท่วงทำนอง หรือวิเคราะห์โครงสร้างเสียงเพียงอย่างเดียวอีกต่อไป เราจำเป็นต้องฝึกหูให้ฟัง “ความหมาย” ที่หลากหลาย ฝึกใจให้ “ไม่รีบแปลเสียงคนอื่นด้วยภาษาของเรา”และกล้ายอมรับว่าเสียงเดียวกันอาจมีความหมายมากกว่าหนึ่ง หรือแม้แต่ขัดแย้งกันโดยสิ้นเชิง



เสียงจึงเป็นเหมือนบทกวี ที่ต้องการ “นักอ่าน” มากพอ ๆ กับ “นักแต่ง” และทุกหูคือพจนานุกรมเล่มหนึ่ง



  #วัฒนธรรมการฟัง: เปลี่ยนได้ และเปลี่ยนอยู่ตลอดเวลา



เมื่อการฟังไม่ใช่เพียงการเปิดหู แต่คือการเปิดใจให้เข้าใจโลกที่ไม่หยุดเปลี่ยน เสียงไม่เคยเดินทางอย่างลอยตัว มันผูกติดอยู่กับ “ยุค” ที่มันถูกฟัง



  #เสียงเดียวกันในยุคต่างกัน อาจไม่ใช่เสียงเดียวกันอีกต่อไป



ในยุคหนึ่ง “เสียงสังเคราะห์” (𝘀𝘆𝗻𝘁𝗵𝗲𝘀𝗶𝘇𝗲𝗱 𝘀𝗼𝘂𝗻𝗱) เคยเป็นสิ่งที่ถูกสบประมาทว่า “ปลอม”


ในอีกยุคหนึ่ง มันคือแก่นของดนตรีแนว 𝗽𝗼𝗽 และ 𝗲𝗹𝗲𝗰𝘁𝗿𝗼𝗻𝗶𝗰 ที่ชวนให้รู้สึก “ล้ำยุค” และ “ทันสมัย”



ในยุคหนึ่ง แจ๊สคือ “เสียงของคนชายขอบ”



ในอีกยุค มันคือ “ดนตรีชั้นสูง” ที่สอนในคอนเซอร์วาทอรี (𝗰𝗼𝗻𝘀𝗲𝗿𝘃𝗮𝘁𝗼𝗿𝗶𝗲𝘀)



การฟังจึงไม่เคยเป็นเพียงการตอบสนองเสียงแบบอัตโนมัติ แต่มันคือกระบวนการสังคมที่เปลี่ยนแปลงได้ตามเวลา ใครที่มีอำนาจในยุคหนึ่ง อาจเป็นคน “ตัดสิน” ว่าอะไรคือเสียงที่ควรถูกฟัง แต่เมื่ออำนาจเปลี่ยน แผนที่ของเสียงก็เปลี่ยนตาม



  #การฟังคือการเรียนรู้ ไม่ใช่ธรรมชาติ



นักดนตรีวิทยาอย่าง 𝗖𝗵𝗿𝗶𝘀𝘁𝗼𝗽𝗵𝗲𝗿 𝗦𝗺𝗮𝗹𝗹 เคยเสนอมุมมองว่า “การฟังคือการมีส่วนร่วมในวัฒนธรรม” (𝗠𝘂𝘀𝗶𝗰𝗸𝗶𝗻𝗴 ≠ 𝗝𝘂𝘀𝘁 𝗟𝗶𝘀𝘁𝗲𝗻𝗶𝗻𝗴, 𝗯𝘂𝘁 𝗣𝗮𝗿𝘁𝗶𝗰𝗶𝗽𝗮𝘁𝗶𝗻𝗴 𝗶𝗻 𝗠𝗲𝗮𝗻𝗶𝗻𝗴-𝗠𝗮𝗸𝗶𝗻𝗴) นั่นหมายความว่า การฟังเพลงไม่ใช่แค่การเปิดลำโพง หรือกด 𝗽𝗹𝗮𝘆 แต่คือการเข้าไปมีส่วนร่วมกับ:



  ระบบคุณค่าที่เสียงนั้นพกมาด้วย



  เรื่องเล่าทางประวัติศาสตร์



  ความทรงจำร่วมของชุมชน



  และแม้แต่ แนวคิดเรื่องความจริง ความปลอม หรือความเป็นมนุษย์



  #เสียง “จริง” คืออะไร? ใครเป็นคนกำหนด?



เสียงที่เราถือว่า “เป็นธรรมชาติ” หรือ “ของแท้” จริง ๆ แล้วมีพื้นฐานมาจากความเชื่อที่เปลี่ยนแปลงได้



เสียงร้องของนักร้องที่มีการ 𝗮𝘂𝘁𝗼-𝘁𝘂𝗻𝗲 ถูกมองว่า “ปลอม” หรือ “ไร้ฝีมือ” ในยุคหนึ่ง แต่ในยุคถัดมา มันกลายเป็น 𝗮𝗲𝘀𝘁𝗵𝗲𝘁𝗶𝗰 หลักของวัฒนธรรม 𝘁𝗿𝗮𝗽, 𝗵𝘆𝗽𝗲𝗿𝗽𝗼𝗽, หรือ 𝗴𝗹𝗶𝘁𝗰𝗵 𝗺𝘂𝘀𝗶𝗰



เสียงดนตรีที่มี 𝗻𝗼𝗶𝘀𝗲 เคยถูกมองว่าเป็นเสียงผิดพลาด แต่กลายมาเป็นหัวใจของดนตรีแนว 𝗹𝗼-𝗳𝗶, 𝗻𝗼𝗶𝘀𝗲 𝗿𝗼𝗰𝗸, หรือ 𝘀𝗼𝘂𝗻𝗱 𝗮𝗿𝘁



สิ่งนี้ทำให้เรากลับมาถามได้ว่า: สิ่งที่เราเคยเชื่อว่า “ไพเราะโดยธรรมชาติ” นั้นเป็นเพียงสิ่งที่ “เราถูกฝึกให้รู้สึกว่าเพราะ” หรือไม่?



  #วิธีฟังเปลี่ยน เมื่ออะไรเปลี่ยน?



𝟭. เทคโนโลยี การมาของหูฟังคุณภาพสูง / แพลตฟอร์มอย่าง 𝗦𝗽𝗼𝘁𝗶𝗳𝘆 / อัลกอริทึมที่เลือกเพลงแทนเราทุกวัน ทำให้เราฟังเพลงในสภาพแวดล้อมที่แคบลง (𝗲𝗰𝗵𝗼 𝗰𝗵𝗮𝗺𝗯𝗲𝗿) แม้จะดูเหมือนหลากหลาย



𝟮. การเปิดรับวัฒนธรรมใหม่ เสียงที่เราเคยรู้สึกว่า "ไม่เข้าหู" เช่น 𝗽𝗲𝗻𝘁𝗮𝘁𝗼𝗻𝗶𝗰 𝘀𝗰𝗮𝗹𝗲 จากจีน เสียง 𝗺𝗶𝗰𝗿𝗼𝘁𝗼𝗻𝗲 จากตะวันออกกลาง หรือเสียงเพี้ยน ๆ ในอินโดนีเซีย กำลังกลายเป็นเสียง “เท่” ในโลกของ 𝗳𝘂𝘀𝗶𝗼𝗻 𝗺𝘂𝘀𝗶𝗰



𝟯. โครงสร้างสังคมและอำนาจ การเปลี่ยนผ่านของกระแสอำนาจ เช่น 𝗴𝗲𝗻𝗱𝗲𝗿 𝗽𝗼𝗹𝗶𝘁𝗶𝗰𝘀, 𝗽𝗼𝘀𝘁-𝗰𝗼𝗹𝗼𝗻𝗶𝗮𝗹 𝗰𝗿𝗶𝘁𝗶𝗾𝘂𝗲, หรือกระแส 𝗱𝗲𝗰𝗼𝗹𝗼𝗻𝗶𝘇𝗮𝘁𝗶𝗼𝗻 ทำให้ “เสียงของคนชายขอบ” ค่อย ๆ ได้รับการฟัง เช่น เสียงของศิลปิน 𝘁𝗿𝗮𝗻𝘀/𝗻𝗼𝗻-𝗯𝗶𝗻𝗮𝗿𝘆, เสียงแร็ปจากคนชาติพันธุ์พื้นเมือง หรือเสียงของคนที่พูดภาษาน้อย





เมื่อเราบอกว่า "เสียงนี้เพราะ" หรือ "เพลงนี้ไม่ใช่ดนตรี" เรากำลังแสดงบางอย่างเกี่ยวกับตัวเรา ไม่ใช่แค่เกี่ยวกับเสียงนั้น



  เราโตมากับอะไร?



  เราให้ค่ากับอะไร?



  เราเชื่อว่าความเป็น “ดนตรีที่ดี” ต้องหน้าตาแบบไหน?



 เราพร้อมจะปล่อยมือจากนิยามเดิมแค่ไหน?





ถ้าเสียงที่เราเคยคิดว่า “ไพเราะ” หรือ “เป็นธรรมชาติ” เปลี่ยนได้ตามยุคสมัย แล้ว “ธรรมชาติของเสียง” มีอยู่จริงหรือไม่? หรือจริง ๆ แล้ว ไม่มี “ธรรมชาติของเสียง” มีแต่ “ธรรมชาติของการฟัง” ที่เปลี่ยนแปลงอยู่เสมอ และสะท้อนความซับซ้อนของโลกที่เราอยู่



บทสรุป เครื่องดนตรี คือสิ่งประดิษฐ์ที่จับต้องได้ ออกแบบซ้ำได้ และวัดผลได้ตามหลักฟิสิกส์ แต่สิ่งที่ “ฟัง” ได้นั้น กลับซับซ้อนกว่านั้นมาก เพราะการฟังไม่ใช่แค่เรื่องของหู แต่มันคือ ประสบการณ์ทางวัฒนธรรม ที่แต่ละคนมีร่วมกับเสียงนั้น เสียงเดียวกัน อาจเป็นบทเพลงกล่อมนอนในวัยเด็กของใครบางคน แต่กลับเป็นเสียงเตือนภัยในชีวิตของอีกคนหนึ่ง เสียงกีตาร์ไฟฟ้าอาจแปลว่าเสรีภาพสำหรับบางคน แต่เป็นความวุ่นวายสำหรับอีกคน



สิ่งเหล่านี้สะท้อนว่า “อัตลักษณ์ของเสียง” ไม่ได้อยู่ในตัวเสียงนั้นเอง แต่เกิดจาก ความสัมพันธ์ ระหว่างเสียงนั้นกับผู้ฟัง กับความทรงจำ กับสื่อที่ฟัง กับบริบททางสังคมที่ห้อมล้อมเสียงนั้น



ดังนั้น...



ถ้าเรายอมรับว่าวิธีฟังคือผลผลิตของ การเรียนรู้ทางวัฒนธรรม และไม่ใช่ธรรมชาติที่เหมือนกันทุกคน



คำถามสำคัญคือ: เรายังสามารถพูดถึงคำว่า “ดนตรีที่ดีกว่า” ได้จริงหรือ?



หรือเราควรเปลี่ยนจากการตัดสินว่าอะไร "ดีกว่า" เป็นการตั้งคำถามว่า ดนตรีนั้นดีสำหรับใคร? ในบริบทไหน? และด้วยเหตุผลอะไร?



เพราะเมื่อเรายอมรับว่า การฟังคือวัฒนธรรม การให้คุณค่าเสียงดนตรีใดเสียงหนึ่ง ย่อมไม่ใช่เรื่องของความถูกต้องสากล แต่คือการยอมรับความหลากหลายทางมนุษยศาสตร์ ที่ไม่มีใครฟังผิด ไม่มีใครฟังถูก มีแต่คนฟัง “ต่างกัน”   


 
 
 

Comments


bottom of page