“ถ้าทุกโรงเรียนมีวงโยธวาทิต...ประเทศนี้จะเปลี่ยนไปอย่างไร❓”
- Dr.Kasem THipayametrakul
- Jul 1
- 2 min read

วงโยธวาทิตมักถูกมองว่าเป็นกิจกรรมเสริมที่มีไว้ในโรงเรียนขนาดใหญ่หรือโรงเรียนที่มีทรัพยากรเพียงพอเท่านั้น แต่ถ้าสมมุติฐานเปลี่ยนไปว่า “ทุกโรงเรียนในประเทศต้องมีวงโยธวาทิต” และให้เด็กได้เรียนรู้ผ่านกิจกรรมนี้อย่างจริงจัง…อะไรจะเกิดขึ้นกับสังคมไทย? คำถามนี้ไม่ใช่แค่เรื่องการสนับสนุนดนตรี แต่เป็นคำถามถึงโครงสร้างของการเรียนรู้ร่วมกัน การฝึกวินัย และการสร้างพลเมืองที่มีความรับผิดชอบ ผ่านเสียงดนตรีและจังหวะร่วม
วงโยธวาทิตไม่ใช่แค่การเรียนดนตรีหรือการเดินขบวนอย่างพร้อมเพรียง — แต่เป็น “#โรงเรียนของวินัย” ที่ซ่อนอยู่ในทุกจังหวะการก้าวเดิน ทุกการกำกับลมหายใจ และทุกครั้งที่เด็กต้องเล่นโน้ตให้ตรงแบบไม่มีโอกาสแก้ตัว การฝึกวงโยฯ จึงไม่ได้ฝึกแค่ร่างกาย แต่เป็นการฝึก “#ระบบในตัวเอง” ซึ่งเป็นรากฐานของวินัยทางใจที่ลึกซึ้งและยั่งยืน
ลองคิดดูว่า เด็กอายุ 𝟭𝟬 ขวบ ที่ต้องตื่นเช้ามาซ้อมดนตรี เดินซ้อมท่ากลางแดด ควบคุมท่าทางให้นิ่งตลอดการแสดง ฝึกเป่าโน้ตตามจังหวะอย่างแม่นยำ โดยไม่มีใครมาบอกให้ “#มีสมาธิ” หรือ “#ตั้งใจ” ตลอดเวลา เขาไม่ได้แค่ทำตามคำสั่ง — แต่กำลังเรียนรู้การควบคุมตัวเองจากภายใน เพื่อให้ทั้งร่างกายและจิตใจสอดคล้องกัน
การควบคุมกล้ามเนื้อให้เดินให้ตรง รักษาฟอร์มให้เป๊ะในขณะที่เป่าเครื่องดนตรีไปด้วย ต้องอาศัยสมาธิที่สูงมาก เด็กจึงต้องฝึกฟังเสียงหัวใจของตัวเอง หายใจให้เป็นระบบ รู้จังหวะพักและจังหวะลุย — นี่คือแบบฝึกหัดของการ “เข้าใจตัวเองผ่านร่างกาย” ซึ่งยากจะหาได้ในห้องเรียนทั่วไป
เมื่อเด็กเรียนรู้ที่จะควบคุมร่างกาย เขาจะเริ่มควบคุมอารมณ์ ความวอกแวก และความคิดกระจัดกระจายได้ด้วย พื้นฐานทางกายจึงกลายเป็นทางใจ เด็กจะเริ่มรับรู้ได้ว่า “ถ้าร่างกายอยู่กับที่ ใจจะนิ่งขึ้น” และนั่นคือทักษะที่จะติดตัวเขาไปตลอดชีวิต — ไม่ว่าจะใช้ในห้องสอบ ห้องประชุม หรือเวลาต้องเผชิญสถานการณ์ที่กดดัน
✧ คำถามชวนคิด: ถ้าเด็ก 𝟭𝟬 ขวบเริ่มเข้าใจการควบคุมร่างกายและจังหวะใจของตนเองผ่านวงโยฯ — คุณคิดว่าเขาจะเติบโตเป็นผู้ใหญ่แบบไหน?
บางที ผู้ใหญ่ที่เรากำลังมองหา — คนที่มั่นคง อดทน และรู้จังหวะชีวิต — อาจไม่ได้เริ่มจากการเรียนรู้ในตำรา แต่จากเสียงกลอง เสียงเป่า และจังหวะเดินที่เป๊ะในวัยเยาว์ก็เป็นได้
ในโลกที่ทุกคนอยากพูดให้เสียงตัวเองดังที่สุด เรากลับลืมสอนสิ่งสำคัญที่สุดอย่างหนึ่งไป — การฟัง แต่ในวงโยธวาทิต การฟังไม่ได้ถูกบังคับ ไม่ได้สอนผ่านตำรา หรือท่องจำเป็นนิยามสั้นๆ ว่า “ฟังคืออะไร” การฟังในวงโยฯ เกิดขึ้นเองจากสถานการณ์จริง — ที่หากไม่ฟัง...วงก็พัง
เด็กที่อยู่ในวงโยฯ รู้ตั้งแต่วันแรกว่า เขาไม่สามารถเป่าแตรให้ดังกว่าคนอื่นโดยไม่ฟังว่าใครกำลังเล่นอะไรอยู่ หรือหากตีกลองออกจังหวะเพียงเสี้ยววินาที ก็อาจทำให้ทั้งขบวนสะดุดได้ เสียงของตนเองจึงต้อง “#อยู่ร่วม” กับเสียงของคนอื่นเสมอ — นี่คือการฝึกฟังในแบบที่ไม่มีห้องเรียนวิชาไหนให้ได้
การฟังในบริบทของวงโยฯ ไม่ใช่แค่ได้ยิน แต่คือการฟังเพื่อ “จูน” ตัวเองให้กลมกลืนกับส่วนรวม ฟังเพื่อรู้ว่าควรดังหรือเบา ฟังเพื่อรู้ว่าควรเล่นเมื่อไร และควรถอยเมื่อไร นี่คือทักษะของการอยู่ร่วมอย่างลึกซึ้งที่เราไม่ค่อยได้พูดถึงในระบบการศึกษา
ที่สำคัญคือ ไม่มีใครในวงโยฯ ได้เปรียบเพราะเสียงดัง ไม่มีใครเก่งเพราะเล่นเร็ว หรือโชว์เด่น เพราะสุดท้ายแล้ว สิ่งที่ดีงามที่สุดคือ “#ความสมดุล” ของทุกเสียง — ไม่ใช่แค่เสียงของตัวเอง
ลองจินตนาการว่า ถ้าเด็กทุกคนในโรงเรียนผ่านประสบการณ์แบบนี้ ได้ซึมซับระบบของการฟังแบบไม่รู้ตัว ได้เรียนรู้ว่าการพูดไม่ใช่สิ่งสำคัญที่สุด แต่คือการฟังอย่างเข้าใจเพื่อสร้างสิ่งใหญ่ร่วมกัน สังคมนั้นจะเป็นอย่างไรในอีกสิบปี?
✧ คำถามชวนคิด: ถ้าทุกโรงเรียนสอนให้เด็กฟังกันด้วยจังหวะ มากกว่าด้วยเสียงตะโกน — สังคมไทยจะเป็นอย่างไรในอีก 𝟭𝟬 ปี?
บางทีปัญหาที่ใหญ่ที่สุดของประเทศ อาจไม่ใช่เรื่องนโยบาย หรือการบริหารจัดการ แต่อาจเป็นเพราะเราขาดคนที่ “ฟังเป็น” ต่างหาก และถ้าการฟังอย่างแท้จริงเริ่มได้ตั้งแต่ชั้นประถม — ผ่านเสียงทรัมเป็ต กลองใหญ่ หรือปี่สก็อต — เราอาจมีอนาคตที่กลมกลืนกว่าที่เป็นอยู่ในวันนี้ก็ได้
ในยุคที่โลกหมุนเร็วขึ้นเรื่อย ๆ เด็กหลายคนเติบโตมาพร้อมกับความคาดหวังว่าทุกอย่างควรได้ “เร็ว” และ “ง่าย” — การตอบข้อความต้องทันที คลิปวิดีโอต้องกระชับ 𝟭𝟱 วินาที และผลลัพธ์ต้องเห็นตอนนี้ เดี๋ยวนี้
แต่วงโยธวาทิตคือโลกที่ตรงกันข้ามโดยสิ้นเชิง
ไม่มีใครเล่นวงโยฯ แล้วเก่งทันที การเดินพร้อมกันเป๊ะๆ ต้องอาศัยการฝึกหลายสัปดาห์ การตีหนึ่งจังหวะตรงตามโน้ตเป๊ะในเสี้ยววินาที อาจต้องซ้อมล่วงหน้าเป็นเดือน และการแสดงเพียงไม่กี่นาทีในงานใหญ่ๆ นั้น...คือผลลัพธ์ของ “การซ้อมซ้ำๆ ทุกวันโดยไม่มีใครเห็น”
นี่คือบทเรียนเรื่อง “ความอดทนแบบยั่งยืน” ซึ่งหายากขึ้นเรื่อยๆ ในยุคของวัฒนธรรมเร่งด่วน เด็กที่ผ่านการฝึกวงโยไม่เพียงแค่เก่งดนตรีหรือเดินตรง แต่กำลังฝึก “อยู่กับความไม่สมบูรณ์” อย่างอดทน ฝึกการยอมรับความผิดพลาดแล้วเริ่มใหม่ ฝึกการอดทนกับอากาศร้อน เจ็บกล้ามเนื้อ หรือเสียงตะโกนจากครู — โดยมีเป้าหมายที่ใหญ่กว่า “ตัวเอง”
ความอดทนที่วงโยฯ สอนนั้น ไม่ใช่แค่การกัดฟันสู้ แต่คือการเข้าใจว่า สิ่งดีๆ ใช้เวลา และ การซ้อมซ้ำคือกระบวนการสำคัญพอๆ กับผลลัพธ์
หากโรงเรียนทั่วประเทศมีวงโยฯ เด็กไทยจำนวนมากจะได้ฝึกความอดทนแบบนี้ — ซึ่งไม่ใช่แค่ทักษะชีวิต แต่คือ “#นิสัยการทำงานระยะยาว” ที่จำเป็นในโลกแรงงานยุคใหม่ ที่ต้องเผชิญปัญหาซับซ้อน ต้องทำงานเป็นทีม และต้องพัฒนาต่อเนื่องโดยไม่ยอมแพ้ง่ายๆ
✧ คำถามชวนคิด: ถ้าเด็กรุ่นใหม่มีความอดทนต่อความล้มเหลวเหมือนตอนฝึก 𝗺𝗮𝗿𝗰𝗵𝗶𝗻𝗴...อนาคตของแรงงานไทยจะเปลี่ยนไปอย่างไร?
บางที เราอาจไม่ได้ต้องการแรงงานที่เรียนจบเร็ว หรือทำงานเร็วที่สุด แต่ต้องการคนที่ “ไม่ถอย” เมื่อเจอปัญหา และพร้อมลุกขึ้นมาเดินใหม่ในจังหวะที่แม่นยำกว่าเดิม — แบบที่พวกเขาเคยฝึกมาในลานซ้อมหลังเลิกเรียน
𝟰. #วงโยฯคือการฝึก 𝗟𝗲𝗮𝗱𝗲𝗿𝘀𝗵𝗶𝗽 และ 𝗙𝗼𝗹𝗹𝗼𝘄𝗲𝗿𝘀𝗵𝗶𝗽 #ไปพร้อมกัน ♫
หากถามว่าเด็กไทยได้เรียนรู้เรื่อง “#ภาวะผู้นำ” จากที่ไหน ส่วนใหญ่อาจนึกถึงกิจกรรมลูกเสือ การเลือกตั้งประธานนักเรียน หรือการนำเสนอหน้าชั้นเรียน — แต่มีอีกที่หนึ่งที่เด็กๆ จะได้ฝึกทั้งการ “นำ” และ “ตาม” ในเวลาเดียวกัน นั่นคือ วงโยธวาทิต
เพราะในวงโยฯ ไม่มีใครเป็นผู้นำตลอดเวลา และไม่มีใครตามตลอดไป ทุกคนต้องผลัดบทบาท หมุนเวียนตำแหน่ง เรียนรู้ว่าบางครั้งเราคือหัวแถวที่คนอื่นรอฟัง แต่บางครั้งเราก็อยู่ท้ายแถวที่ต้องปรับตามผู้นำอย่างแม่นยำ จุดแข็งของวงโยไม่ใช่แค่เสียงเครื่องเป่าที่ประสานกันสวยงาม — แต่คือความเข้าใจของสมาชิกแต่ละคนว่า “เราจะทำให้ทั้งขบวนเดินไปได้อย่างสมดุล” ได้อย่างไร
𝗟𝗲𝗮𝗱𝗲𝗿𝘀𝗵𝗶𝗽 ในวงโยฯ จึงไม่ใช่การยืนสั่งหรือยื่นคำตอบ แต่คือการ “รักษาจังหวะของคนอื่น” ขณะที่เราก็กำลังเล่นของตัวเอง 𝗙𝗼𝗹𝗹𝗼𝘄𝗲𝗿𝘀𝗵𝗶𝗽 เองก็ไม่ใช่ความเงียบหรือการยอมจำนน — แต่คือการฟังอย่างตั้งใจ รออย่างมีเป้าหมาย และทำหน้าที่ในตำแหน่งของตนให้ดีที่สุดเพื่อไม่ให้ขบวนเสียสมดุล
วงโยฯ จึงฝึกให้เด็กๆ เข้าใจว่า การเป็นผู้นำไม่ใช่เรื่องของสถานะ แต่คือเรื่องของความรับผิดชอบ — และการเป็นผู้ตามไม่ใช่เรื่องของลำดับชั้น แต่คือการทำหน้าที่เพื่อเป้าหมายร่วม
ลองจินตนาการดูว่า หากเด็กทั่วประเทศเคยมีประสบการณ์เหล่านี้ เคย “ฟัง” คนอื่นโดยไม่กลัวว่าจะเสียงเบาเกินไป เคย “รอ” คนอื่นโดยไม่คิดว่าตัวเองล่าช้า และเคย “ยอมถอย” จากแถวหน้าเพื่อให้ขบวนเดินได้... ประเทศเราจะมีวัฒนธรรมแบบไหน?
✧ คำถามชวนคิด: ถ้าทุกคนในประเทศเคยมีประสบการณ์เป็นทั้งผู้นำและผู้ตาม...จะเกิดอะไรขึ้นกับวัฒนธรรมการเมืองของไทย?
บางทีปัญหาทางการเมืองไม่ได้อยู่ที่ “ใครควรนำ” แต่อยู่ที่เรายังไม่เคยฝึกให้คนรุ่นใหม่รู้ว่า “จะเป็นผู้ตามอย่างมีศักดิ์ศรีได้อย่างไร”
𝟱. วงโยฯ คือพื้นที่ปลอดภัยในการ “#ยอมแพ้แบบมีศักดิ์ศรี” ♫
ในสนามแข่งขันของวงโยธวาทิต ไม่มีใครรับประกันได้ว่าทุกอย่างจะสมบูรณ์แบบ เด็กบางคนอาจเดินหลุดจังหวะ บางคนอาจเป่าโน้ตผิด บางคนอาจล้มลงต่อหน้าผู้ชมหลายพันคน แต่มีกฎเหล็กข้อหนึ่งที่ไม่เขียนไว้ในคู่มือใด ๆ แต่ทุกคนในวงรู้ดีคือ — “ห้ามหยุดเล่น”
ต่อให้ผิดพลาด ก็ต้องยืนให้ครบเพลง ซ้อมใหม่ในวันพรุ่งนี้ และกลับมาแสดงอีกครั้งโดยไม่ใช้ความผิดพลาดครั้งก่อนเป็นข้ออ้างในการถอยหลัง
สิ่งนี้คือบทเรียนสำคัญของชีวิตที่ระบบห้องเรียนทั่วไปแทบไม่เคยให้ คือ การยอมรับความล้มเหลวโดยไม่สูญเสียคุณค่าในตัวเอง
เพราะในห้องเรียน การทำข้อสอบผิดคือคะแนนที่ลดลง คือการถูกตำหนิ คือการโดนเปรียบเทียบ แต่ในสนามวงโย ความผิดพลาดคือส่วนหนึ่งของกระบวนการฝึกฝน ไม่ใช่บทสรุปของความสามารถ เด็กจะไม่ถูกหัวเราะเยาะถ้าเป่าผิด แต่จะถูกให้กำลังใจและส่งกลับไปฝึกซ้ำ เพราะทุกคนในวงเคยพลาดมาแล้วทั้งนั้น
การฝึกซ้อมกับความล้มเหลวเช่นนี้ สร้าง 𝗺𝗶𝗻𝗱𝘀𝗲𝘁 ที่สำคัญในศตวรรษที่ 𝟮𝟭 — 𝗚𝗿𝗼𝘄𝘁𝗵 𝗠𝗶𝗻𝗱𝘀𝗲𝘁 หรือความเชื่อว่าความสามารถของเราสามารถพัฒนาได้ผ่านความพยายาม ไม่ใช่สิ่งที่ตัดสินกันแค่ครั้งเดียว บนเวทีเดียว
ถ้าเด็กไทยทุกคนได้มีพื้นที่ที่สามารถล้มได้จริง ๆ โดยไม่ถูกดุด่า ไม่ถูกตำหนิ หรือไม่รู้สึกว่าตัวเอง "แย่กว่าใคร" เราอาจได้เห็นคนรุ่นใหม่ที่กล้าลองมากขึ้น กล้าริเริ่มสิ่งใหม่มากขึ้น และที่สำคัญ กล้าที่จะ “ล้มอีก” ถ้ามันคือทางไปข้างหน้า
✧ คำถามชวนคิด: ถ้าเด็กไทยทุกคนเคยล้มในสนาม แล้วลุกขึ้นมาโดยไม่มีใครด่า... วัฒนธรรมการกลัวความล้มเหลว จะยังฝังรากลึกอยู่ไหมในสังคมนี้?
ลองนึกภาพสนามกีฬาที่มีเด็กหลายร้อยคน กำลังเดิน ก้าว เล่น ท่าร่าง หันมุม และเป่าเครื่องดนตรีอย่างพร้อมเพรียง โดยไม่มีใครพูดออกมาว่าจะเริ่มเมื่อไหร่ หรือจะหยุดยังไง — นั่นคือพลังของวงโยธวาทิต ที่ไม่ใช่แค่การเล่นดนตรี แต่คือการฝึก “ความพร้อมเพรียง” ที่เกิดจากการ ฟัง การ รู้ตำแหน่งของตัวเอง และการ ประสานกับผู้อื่น อย่างเป็นระบบ
ในสังคมที่เสียงตะโกนดังกว่าจังหวะเงียบ วงโยฯ คือพื้นที่ที่เด็ก ๆ ได้เรียนรู้ว่าการเคลื่อนไหวร่วมกันไม่จำเป็นต้องมีผู้นำที่สั่งทุกจังหวะ แต่ต้องมีความเข้าใจร่วมกันในกฎ ความไว้ใจในคนข้าง ๆ และความตั้งใจที่จะ “ไปด้วยกัน” ให้ถึงจุดหมาย
การซ้อมวงโยคือแบบฝึกหัดของพลังพลเมือง (𝗖𝗶𝘃𝗶𝗰 𝗣𝗼𝘄𝗲𝗿) ที่ไม่มีในหนังสือเรียนพลเมืองเด็ก เพราะมันไม่ได้สอนให้เชื่อฟังอย่างเดียว แต่สอนให้คิดร่วม ทำร่วม ปรับจังหวะให้เท่ากัน และยอมรับว่า “ความสำเร็จของทั้งวง” สำคัญกว่าการโชว์เดี่ยวของใครคนหนึ่ง
เด็กที่เคยเดินไปพร้อมกันเป็นร้อย ๆ คน ย่อมเข้าใจว่าการรวมพลังไม่ใช่เรื่องบังเอิญ ไม่ใช่การโพสต์ให้เหมือนกัน หรือแชร์ให้ไวกว่า แต่คือการตั้งใจเคลื่อนไหวอย่างมีจังหวะ ด้วยเป้าหมายเดียวกัน — นี่คือทักษะสำคัญของ “การเปลี่ยนแปลงสังคม” ในระยะยาว
✧ คำถามชวนคิด: ถ้าคนรุ่นใหม่เคย “เดินให้พร้อมกัน” มาตั้งแต่ ม.ต้น — คุณคิดว่าความสามารถในการรวมพลังเพื่อสังคมจะเปลี่ยนไปไหม? หรือเราจะยังใช้แค่เสียงในหน้าจอ…แทนการลงมือจริง?
วงโยธวาทิตไม่ใช่แค่กิจกรรมเสริมที่มีไว้เพื่อประกวดแข่งขัน หรือสร้างชื่อเสียงให้โรงเรียน หากแต่มันคือหนึ่งในรูปแบบของ “การศึกษาพลเมือง” ที่จับต้องได้ — เป็นการเรียนรู้ผ่านร่างกาย เสียง และจังหวะ ที่เด็ก ๆ ทุกคนมีส่วนร่วม ไม่ว่าจะเก่งเรียนหรือไม่ ไม่ว่าจะอยู่แถวหน้า หรือท้ายขบวน
ในขบวนวงโยฯ เด็กได้ฝึกฝนความอดทนผ่านการซ้อมซ้ำ ความรับผิดชอบผ่านการเล่นให้ตรงจังหวะ การเคารพผู้อื่นผ่านการฟังเสียงของคนรอบข้าง และการควบคุมตนเองผ่านการเดินให้เป็นระบบ ทุกท่วงท่าที่เคลื่อนไหว ทุกจังหวะที่เปล่งเสียง ล้วนเป็นบทเรียนที่ลึกซึ้งและฝังรากอยู่ในตัวเด็ก มากกว่าคำสอนใด ๆ ที่อยู่ในหนังสือ
การมีวงโยฯ ในทุกโรงเรียน ไม่ใช่เรื่องของการ “ผลิตนักดนตรี” แต่คือการ “ปลูกฝังวัฒนธรรม” — วัฒนธรรมของการเคลื่อนไหวร่วมกันอย่างมีจังหวะ วัฒนธรรมของความกล้าที่จะล้ม และลุกขึ้นใหม่ วัฒนธรรมของการฟังโดยไม่ต้องพูดดัง และการอยู่ร่วมกันโดยไม่ต้องแข่งกันเสมอไป
ห้องเรียนไม่ควรมีแค่กระดานดำ โต๊ะเรียน หรือบทเรียนวิชาการเท่านั้น แต่ควรมี “สนามซ้อม” สำหรับการเป็นพลเมืองที่มีหัวใจ มีวินัย และมีความเข้าใจในจังหวะของคนอื่น — เหมือนอย่างที่วงโยธวาทิตทำอยู่ทุกวัน
✧ คำถามสุดท้าย: ถ้าความพร้อมเพรียงเกิดขึ้นได้ในสนาม 𝗺𝗮𝗿𝗰𝗵𝗶𝗻𝗴 โดยไม่มีคำสั่งตรง ๆ…ทำไมเราจะสร้างมันในสังคมจริงไม่ได้? หรือเราแค่ยังไม่เคย “ซ้อมร่วมกัน” จริง ๆ เลย?
コメント