top of page
Search

🥁 𝗦𝘆𝗺𝗽𝗵𝗼𝗻𝗶𝗰 𝗕𝗮𝗻𝗱 จะเป็นไปได้ไหม หากไม่มีเพอร์คัชชัน❓

  • Writer: Dr.Kasem THipayametrakul
    Dr.Kasem THipayametrakul
  • Jul 15
  • 2 min read
ree

หากเราตอบคำถามว่า “𝗦𝘆𝗺𝗽𝗵𝗼𝗻𝗶𝗰 𝗕𝗮𝗻𝗱 จะเล่นได้ไหม ถ้าไม่มีเพอร์คัชชัน?” ในเชิงเทคนิค คำตอบคือ “ได้” แน่นอนว่าโน้ตเมโลดี้ยังคงอยู่ เพลงยังคงจบลงตามโครงสร้าง ผู้ชมอาจไม่ทันสังเกตว่าบางจังหวะเงียบไป



แต่เมื่อเราขยับคำถามไปในระดับกระบวนการเรียนรู้ คำตอบจะไม่ง่ายขนาดนั้น





การไม่มีเพอร์คัชชัน หมายถึงการสูญเสีย “พลังงานกลาง” ที่กำกับจังหวะ แรงส่ง และไดนามิกทางอารมณ์ของวงดนตรี เพลงอาจยังเล่นจบ แต่จะขาด “มิติ” ที่ทำให้การฟังลึกซึ้งขึ้น เช่น การเปลี่ยนช่วงตอน 𝗖𝗿𝗲𝘀𝗰𝗲𝗻𝗱𝗼 โดยไม่มี 𝗰𝘆𝗺𝗯𝗮𝗹 𝗿𝗼𝗹𝗹 หรือจังหวะเต้นของ 𝗯𝗮𝘀𝘀 𝗱𝗿𝘂𝗺 ที่เป็นเหมือน “หัวใจ” ของวงหายไป





เพอร์คัชชันสอนให้เด็ก “รอจังหวะ”, “ควบคุมความเงียบ” และ “สื่อสารแบบไม่ใช่คำพูด” ซึ่งเป็นทักษะทางดนตรีและทางสังคมที่ลึกซึ้งมาก หากไม่มีเพอร์คัชชัน กระบวนการเหล่านี้จะถูกตัดออกจากห้องเรียนไปโดยไม่รู้ตัว





เพอร์คัชชันคือเครื่องดนตรีที่ไม่ได้มีบทบาทนำ แต่มีคุณค่าทางโครงสร้าง ความเงียบของพวกเขาสอนให้เพื่อนร่วมวงเคารพเสียงที่ไม่เด่น เมื่อไม่มีเพอร์คัชชัน ผู้เรียนจะยังเห็นคุณค่าของ “เสียงที่สนับสนุน” ได้อยู่ไหม?



  𝗦𝘆𝗺𝗽𝗵𝗼𝗻𝗶𝗰 𝗕𝗮𝗻𝗱 ยังเป็นพื้นที่การเรียนรู้ที่ครบถ้วนอยู่หรือไม่?



วงดนตรีไม่ได้เป็นเพียงพื้นที่ฝึกซ้อม แต่คือพื้นที่ทดลองบทบาท ความสัมพันธ์ และความร่วมมือ ถ้าบางบทบาทถูกตัดหายไป ความเข้าใจของเด็กต่อคำว่า “วง” อาจถูกตีกรอบเหลือแค่ “ใครเล่นเยอะ ใครเด่น” แทนที่จะเป็น “ใครมีหน้าที่อะไรเพื่อให้ทั้งวงเคลื่อนไปด้วยกัน”



การไม่มีเพอร์คัชชันอาจไม่ทำให้เพลงหยุด



แต่การไม่มีเพอร์คัชชัน อาจทำให้บทเรียนบางอย่างของการเป็นมนุษย์ในวงดนตรี…ขาดหายไป



𝟭. เพอร์คัชชันในฐานะ “#โครงสร้างเงียบ”: จังหวะที่ไม่ได้ถูกได้ยินเสมอไป



ในวงดุริยางค์ซิมโฟนิก (𝗦𝘆𝗺𝗽𝗵𝗼𝗻𝗶𝗰 𝗕𝗮𝗻𝗱) เครื่องเพอร์คัชชันมักจะถูกมองว่าเป็น “เสียงตกแต่ง” หรือองค์ประกอบที่ทำหน้าที่เพิ่มสีสันให้กับดนตรี อย่างไรก็ตาม หากมองให้ลึกลงไปในบทบาทที่แท้จริง เพอร์คัชชันคือองค์ประกอบที่ “โอบล้อม” การฟังและการเล่นของนักดนตรีทุกคน — โดยเฉพาะในแง่ของการควบคุม “เวลา” และ “พลังงาน” ที่ไม่ได้แสดงตัวอย่างเด่นชัดเหมือนเมโลดี้



เครื่องอย่าง 𝘁𝗶𝗺𝗽𝗮𝗻𝗶, 𝗯𝗮𝘀𝘀 𝗱𝗿𝘂𝗺, หรือแม้แต่ 𝘀𝗻𝗮𝗿𝗲 𝗱𝗿𝘂𝗺 ไม่ได้มีแค่เสียงที่จับต้องได้ แต่ยังให้ “จุดยึดทางเวลา” (𝘁𝗲𝗺𝗽𝗼𝗿𝗮𝗹 𝗮𝗻𝗰𝗵𝗼𝗿𝘀) ซึ่งช่วยให้นักดนตรีคนอื่นสามารถรู้ได้ว่าเสียงของตน “อยู่ตรงไหน” ภายในกรอบของเพลง ยิ่งในบทเพลงที่ไม่มีจังหวะที่ชัดเจน เช่น เพลงที่มีการ 𝗿𝘂𝗯𝗮𝘁𝗼 หรือการเปลี่ยนไดนามิกบ่อยครั้ง เพอร์คัชชันจะทำหน้าที่ “พยุง” จังหวะและรักษาโครงสร้างของเวลาไว้โดยไม่ต้องเป็นเสียงที่ดังที่สุดในวง



นอกจากนี้ เพอร์คัชชันยังมีบทบาทใน “การวางพลังงาน” ของวง เช่น การไล่ระดับพลังเสียงจากเบาไปดัง หรือการเน้นย้ำจุดเปลี่ยนสำคัญของโครงสร้างดนตรี เช่น การเข้าสู่ท่อนใหม่ หรือการกลับมาเล่นธีมเดิม (𝗿𝗲𝗰𝗮𝗽𝗶𝘁𝘂𝗹𝗮𝘁𝗶𝗼𝗻) โดยไม่ต้องพูดหรือสื่อสารด้วยสายตาเลย — เสียงเพียงไม่กี่พยางค์จากเพอร์คัชชันก็สามารถส่งสัญญาณไปทั่ววงได้



หากไม่มีเครื่องเพอร์คัชชัน นักเรียนจะต้องพึ่งพาการฟังเชิงโครงสร้างที่ซับซ้อนมากขึ้น และต้องพัฒนา “จิตสำนึกทางเวลา” (𝗶𝗻𝗻𝗲𝗿 𝘁𝗶𝗺𝗶𝗻𝗴) อย่างเข้มข้นขึ้น ซึ่งแม้อาจเป็นสิ่งที่ฝึกฝนได้ แต่ก็ทำให้กระบวนการเรียนรู้ในวงมีความท้าทายมากขึ้น โดยเฉพาะในระดับเริ่มต้น



เพราะฉะนั้น คำถามว่า “ถ้าไม่มีเพอร์คัชชัน นักดนตรีจะยังรู้ตำแหน่งของตนในโครงสร้างได้หรือไม่?” อาจนำไปสู่การถกเถียงมากกว่าคำตอบ เพราะเพอร์คัชชันไม่ได้ทำหน้าที่ให้ “ได้ยิน” เท่านั้น — แต่ทำหน้าที่เป็น “กรอบ” ของการได้ยิน และเป็นโครงสร้างล่องหนที่ทำให้ทุกเสียงในวงสามารถมีที่ทางของตนอย่างมั่นคง



𝟮. การเรียนรู้แบบมีบริบท: เมื่อเสียงคือเครื่องมือพัฒนา “#ความร่วมมือ



ในห้องเรียนดนตรี เสียงไม่ได้เป็นเพียงผลลัพธ์ของการเล่นเครื่องดนตรี แต่ยังเป็น “เครื่องมือในการสร้างความสัมพันธ์” ระหว่างผู้เรียนด้วยกันเอง และระหว่างผู้เรียนกับเสียงของผู้อื่น



𝗟𝘂𝗰𝘆 𝗚𝗿𝗲𝗲𝗻 (𝟮𝟬𝟬𝟴) เสนอแนวคิดสำคัญในงาน 𝗠𝘂𝘀𝗶𝗰, 𝗜𝗻𝗳𝗼𝗿𝗺𝗮𝗹 𝗟𝗲𝗮𝗿𝗻𝗶𝗻𝗴 𝗮𝗻𝗱 𝘁𝗵𝗲 𝗦𝗰𝗵𝗼𝗼𝗹 ว่าการเรียนรู้ดนตรีที่มีประสิทธิภาพ ควรเน้นที่การฝึก “การฟังผู้อื่น” อย่างมีเจตนา มากกว่าการฝึกเล่นของตัวเองให้ตรงโน้ตเท่านั้น เสียงของเพื่อนร่วมวง — ไม่ว่าจะเป็นเบสที่อยู่ไกล หรือเพอร์คัชชันที่มักอยู่ด้านหลัง — คือ “บริบทของเสียง” ที่หล่อหลอมความเข้าใจและความร่วมมือในการเล่นดนตรี



เพอร์คัชชันในวงซิมโฟนิกแบรนด์เปรียบได้กับ “บทสนทนาเบื้องหลัง” ที่แม้จะไม่โดดเด่นที่สุด แต่ก็มีพลังในการจัดวางจังหวะ อารมณ์ และพลังงานร่วมกัน เมื่อผู้เรียนฟังเพอร์คัชชัน พวกเขากำลังฝึกทักษะทางสังคมสำคัญ เช่น การรอจังหวะ การเคารพพื้นที่ของเสียงอื่น และการประสานใจโดยไม่จำเป็นต้องใช้คำพูด



หากตัดบทบาทของเพอร์คัชชันออกจากกระบวนการเรียนรู้ นอกจากจะสูญเสียมิติของโครงสร้างทางจังหวะแล้ว ยังอาจทำให้บทเรียนด้าน “ความร่วมมือผ่านเสียง” ลดทอนลงด้วย เสียงที่เคยเป็นตัวแทนของการเคารพกันในดนตรี อาจกลายเป็นเสียงที่ไม่ถูกรับฟัง — และบทเรียนนี้อาจขาดหายไปอย่างเงียบ ๆ



เพราะฉะนั้น เพอร์คัชชันจึงไม่ได้เป็นเพียงเสียง “เคาะ” แต่เป็นเสียงที่เชื้อเชิญให้เรา “ฟังกันและกัน” เพื่อสร้างบทเพลงร่วมกันอย่างมีความหมาย



***อ้างอิง 𝗚𝗿𝗲𝗲𝗻, 𝗟. (𝟮𝟬𝟬𝟴). 𝗠𝘂𝘀𝗶𝗰, 𝗶𝗻𝗳𝗼𝗿𝗺𝗮𝗹 𝗹𝗲𝗮𝗿𝗻𝗶𝗻𝗴 𝗮𝗻𝗱 𝘁𝗵𝗲 𝘀𝗰𝗵𝗼𝗼𝗹: 𝗔 𝗻𝗲𝘄 𝗰𝗹𝗮𝘀𝘀𝗿𝗼𝗼𝗺 𝗽𝗲𝗱𝗮𝗴𝗼𝗴𝘆. 𝗔𝘀𝗵𝗴𝗮𝘁𝗲 𝗣𝘂𝗯𝗹𝗶𝘀𝗵𝗶𝗻𝗴.



𝟯. เสียงที่เปล่ง และเสียงที่ “#สัมพันธ์



เมื่อ “#การฟัง” สำคัญเท่ากับ “#การเล่น



𝗦𝗺𝗮𝗹𝗹 (𝟭𝟵𝟵𝟴) เสนอว่า “ดนตรี” ไม่ใช่แค่ผลลัพธ์ของเสียงที่เกิดขึ้น แต่เป็นพฤติกรรมและกิจกรรมทางสังคม (𝗺𝘂𝘀𝗶𝗰𝗸𝗶𝗻𝗴) ซึ่งหมายถึงทุกสิ่งที่เกี่ยวข้องกับการเล่นดนตรี การฟังดนตรี การเตรียมตัว หรือแม้กระทั่งการตั้งค่าเวทีดนตรี ล้วนเป็นส่วนหนึ่งของกิจกรรมดนตรีที่มีความหมาย



ในแง่นี้ นักดนตรีไม่ได้เป็นแค่ “#ผู้สร้างเสียง” แต่เป็น “ผู้ปฏิบัติการร่วมในระบบของความสัมพันธ์” ที่เสียงแต่ละเสียงมีบทบาทและความหมายต่อกันในวงดนตรี การเล่นดนตรีจึงเป็นการสื่อสารและสร้างความสัมพันธ์ระหว่างผู้เล่น รวมถึงผู้ฟังด้วย



สำหรับเครื่องเพอร์คัชชัน บทบาทของมันไม่ใช่แค่การให้จังหวะเพียงอย่างเดียว แต่เป็นส่วนหนึ่งของบทสนทนาในวงดนตรี ที่ทำให้เกิดความสมดุลและความร่วมมือของเสียงทุกเสียง



ผู้เล่นเพอร์คัชชันมักไม่ได้เล่นต่อเนื่องตลอดเพลง พวกเขาต้องนับจังหวะเงียบจำนวนมาก บางครั้งรอมากกว่า 𝟭𝟬𝟬 ห้อง เพื่อจะเคาะเพียง 𝟭 ครั้ง แต่การเคาะครั้งนั้นต้อง แม่นยำ ร่วมจังหวะกับวง และส่งแรงสะเทือนไปในระดับโครงสร้างของบทเพลง สิ่งเหล่านี้ต้องการการฟังที่ลึก และความสามารถในการ “อยู่กับเสียงของผู้อื่น” มากกว่าการเล่นให้ตรงตามโน้ตของตน



การรอจังหวะ การควบคุมความเงียบ และการเข้าพร้อมกันกับวง ไม่ใช่แค่ทักษะเชิงเทคนิค แต่คือพฤติกรรมทางดนตรีที่สะท้อนวินัย ความตั้งใจ และการให้เกียรติเพื่อนร่วมวง — เป็นทักษะที่สอนเรื่อง “ความสัมพันธ์” ได้ดีกว่าคำสอนในตำราใด ๆ



หากเราตัดเครื่องเพอร์คัชชันออกจากวงดนตรี เราอาจไม่ได้สูญเสียเพียงเสียงบางเสียงเท่านั้น แต่ยังอาจสูญเสีย พื้นที่การเรียนรู้ที่ทำให้เด็กได้ฝึกการรออย่างมีจิตสำนึก, การฟังอย่างตั้งใจ, และการมีส่วนร่วมในความเงียบ — ซึ่งล้วนเป็นรากฐานสำคัญของดนตรีในฐานะพฤติกรรมร่วมของมนุษย์



ดังนั้น “#เพอร์คัชชัน” ไม่ได้เป็นเพียงจังหวะหรือความดัง แต่คือบทเรียนแห่งความสัมพันธ์ที่ซ่อนอยู่ในความเงียบ



และเมื่อสิ่งนี้หายไป คำถามที่สำคัญไม่ใช่แค่ว่าเพลงจะยังไพเราะอยู่ไหม — แต่คือ เราจะยังสอน “ความสัมพันธ์ผ่านเสียง” ได้อย่างไร?



***อ้างอิง 𝗦𝗺𝗮𝗹𝗹, 𝗖. (𝟭𝟵𝟵𝟴). 𝗠𝘂𝘀𝗶𝗰𝗸𝗶𝗻𝗴: 𝗧𝗵𝗲 𝗠𝗲𝗮𝗻𝗶𝗻𝗴𝘀 𝗼𝗳 𝗣𝗲𝗿𝗳𝗼𝗿𝗺𝗶𝗻𝗴 𝗮𝗻𝗱 𝗟𝗶𝘀𝘁𝗲𝗻𝗶𝗻𝗴. 𝗪𝗲𝘀𝗹𝗲𝘆𝗮𝗻 𝗨𝗻𝗶𝘃𝗲𝗿𝘀𝗶𝘁𝘆 𝗣𝗿𝗲𝘀𝘀.



𝟰. “#เสียงที่ไม่เป็นเสียงหลัก” กับทัศนคติของนักเรียน



เมื่อการรอ คือบทเรียนของความเข้าใจวงดนตรี



เครื่องเพอร์คัชชันหลายชิ้น เช่น ไทรแองเกิล แทมบูรีน หรือคาบาซ่า มักมีบทบาทเฉพาะช่วงเวลา — เล่นเพียงไม่กี่จังหวะในเพลงหนึ่ง ๆ และใช้เวลาส่วนใหญ่นั่ง “รอ” อย่างเงียบ ๆ อยู่หลังเวที สิ่งนี้ฟังดูเหมือน “ไม่มีอะไรให้เรียนรู้” แต่ในความจริง นี่คือบทเรียนสำคัญที่ทรงพลัง



การรออย่างมีความหมาย สอนให้นักเรียนเข้าใจว่า การมีคุณค่าในวงดนตรีไม่ได้ขึ้นอยู่กับความถี่ของเสียงที่เปล่งออกมา แต่ขึ้นอยู่กับความพร้อมเพรียง ความแม่นยำ และเจตนาเบื้องหลังการเล่นเสียงเดียวให้เป๊ะตรงเวลา นี่คือทักษะของการ เป็นส่วนหนึ่งของวง ไม่ใช่แค่ อยู่ในวง



ถ้าเด็กไม่เคยได้รับบทบาทแบบนี้เลย — ไม่เคยถูกวางให้อยู่ในจุดที่ต้องรอ ต้องฟัง และต้องสังเกตเพื่อให้การมีอยู่ของตน “เกิดผล” อย่างพอดี — พวกเขาอาจเรียนรู้ว่า “คนที่มีค่าคือคนที่ได้เล่นเยอะ” โดยไม่เข้าใจว่า ความหมายของวงดนตรีคือความร่วมมือที่ต่างคนต่างมีบทบาท และแต่ละบทบาทมีคุณค่าต่อทั้งภาพรวม



การเล่นเครื่องเพอร์คัชชันจึงไม่ใช่แค่เรื่องของเทคนิค แต่คือบทเรียนแห่งวุฒิภาวะ การยอมรับบทบาทเล็ก ๆ โดยไม่ลดความรับผิดชอบ และการเข้าใจว่าความเงียบก็มีเสียงในเชิงสื่อความหมาย



เมื่อเราให้พื้นที่กับ “เสียงที่ไม่เป็นเสียงหลัก” เรากำลังปลูกฝังทัศนคติแบบวงดนตรีอย่างแท้จริง — วงที่ทุกเสียงสำคัญ แม้จะมาเพียงหนึ่งครั้งตลอดทั้งเพลง



𝟱. วงที่ไม่มี “#เสียงเคาะ” คือวงที่ไม่มีอะไรอีก?



#เพอร์คัชชัน” ไม่ใช่แค่การเคาะ แต่คือหัวใจลมหายใจของวงดนตรี



เมื่อเราถามว่า “𝗦𝘆𝗺𝗽𝗵𝗼𝗻𝗶𝗰 𝗕𝗮𝗻𝗱 จะเป็นไปได้ไหม หากไม่มีเพอร์คัชชัน”



คำถามนั้นอาจไม่ได้สะท้อนแค่ความสมบูรณ์ของเสียง แต่คือการท้าทายต่อ แก่นของการเรียนรู้ดนตรีแบบร่วมมือ



เพราะเครื่องเคาะคือหนึ่งในกลุ่มเครื่องดนตรีที่ ไม่ใช้คำพูด แต่สื่อสารได้ชัดที่สุด — ทั้งในเชิงจังหวะ ความรู้สึก และพลังงานร่วม



ลองจินตนาการว่า...



๐ ถ้าไม่มีเพอร์คัชชัน นักเรียนจะยังได้ฝึก “ภาวะภายใน” (𝗶𝗻𝗻𝗲𝗿 𝗽𝘂𝗹𝘀𝗲) หรือไม่? เพราะจังหวะภายในไม่ได้ถูกฝึกจากเครื่องเป่าเพียงอย่างเดียว แต่ถูกย้ำและขัดเกลาด้วย “เสียงเคาะ” ที่เปรียบเสมือนเมโทรโนมมีชีวิต



๐ ถ้าไม่มีเพอร์คัชชัน การสื่อสารแบบไม่ใช้คำจะยังมีอยู่ไหม? เพราะการเล่นเพอร์คัชชันคือการฟัง การเฝ้ารอ และการร่วมเล่นที่เกิดขึ้นโดยไม่ต้องพูดอะไร — แต่ทำให้ทั้งวงรับรู้ถึง “จังหวะร่วม” อย่างเป็นธรรมชาติ



๐ ถ้าไม่มีเพอร์คัชชัน วงยังสื่อสารความหมายได้ครบหรือไม่? ความรู้สึกของฉากสงคราม ความเงียบก่อนการระเบิดของอารมณ์ หรือพลังงานที่ส่งผ่านแค่เสียงตีหนึ่งครั้ง — สิ่งเหล่านี้ยากจะถ่ายทอดผ่านเสียงเป่าเพียงอย่างเดียว



การไม่มีเพอร์คัชชันในวง ไม่ได้แค่ทำให้เสียงบางอย่างหายไป แต่มันคือการสูญเสีย “ภาษาหนึ่ง” ที่ใช้สื่อสารระหว่างมนุษย์ผ่านเวลา ความเงียบ และแรงสั่นสะเทือน



เพราะฉะนั้น คำถามจึงไม่ใช่แค่ “ถ้าไม่มีเพอร์คัชชัน วงยังเล่นได้ไหม”



แต่คือ “#ถ้าไม่มีเสียงเคาะ — วงนั้นยังสื่อสารเป็นวงอยู่หรือเปล่า?”



 บทสรุป


เพอร์คัชชัน — เมื่อเสียงเคาะกลายเป็นบทเรียนเรื่อง “#การอยู่ร่วม



แม้เครื่องเพอร์คัชชันจะไม่ใช่พระเอกของเวที ไม่ได้มีเมโลดี้ให้จดจำ ไม่ได้โซโล่อย่างสม่ำเสมอ แต่สิ่งที่มันสร้างไว้ในทุกบทเพลง คือจังหวะร่วม (𝘀𝗵𝗮𝗿𝗲𝗱 𝗽𝘂𝗹𝘀𝗲), ความนิ่งที่มีความหมาย (𝗽𝘂𝗿𝗽𝗼𝘀𝗲𝗳𝘂𝗹 𝘀𝗶𝗹𝗲𝗻𝗰𝗲), และพื้นที่ที่นักดนตรีคนอื่นจะ “ยึด” เพื่อวางเสียงของตัวเองอย่างมั่นใจ



ในแง่หนึ่ง เพอร์คัชชันคือ “#เสียงที่ไม่เคยอ้างตัวเป็นศูนย์กลาง



แต่กลับมีพลังในการกำกับจังหวะชีวิตของวง



พวกเขารอในความเงียบ เล่นในความแม่นยำ และจบลงโดยไม่ต้องปรบมือก็ได้ — เพราะบทบาทของพวกเขาคือการพยุงทั้งวงให้เดินหน้าอย่างราบรื่น



นี่คือบทเรียนสำคัญที่นักเรียนดนตรีควรได้สัมผัส เพราะมันไม่เพียงเกี่ยวกับการ “เล่นให้ถูกต้อง”



แต่คือการฝึกจิตใจให้ อยู่กับคนอื่นได้โดยไม่ต้องเป็นจุดเด่น



มันคือการฝึกภาวะภายในที่ยอมรับว่า “ไม่จำเป็นต้องมีเสียงตลอดเวลา จึงจะมีคุณค่า”



ในยุคที่เด็กๆ เติบโตมากับการแข่งกันเป็นที่หนึ่ง แข่งกันดัง แข่งกันเด่น เครื่องเพอร์คัชชันอาจเป็นครูที่ดีที่สุดในเรื่อง “ความร่วมมือ” (𝗰𝗼𝗹𝗹𝗮𝗯𝗼𝗿𝗮𝘁𝗶𝗼𝗻), “การฟัง” (𝗮𝘁𝘁𝗲𝗻𝘁𝗶𝘃𝗲 𝗹𝗶𝘀𝘁𝗲𝗻𝗶𝗻𝗴) และ “การเข้าใจบริบท” (𝗰𝗼𝗻𝘁𝗲𝘅𝘁𝘂𝗮𝗹 𝘀𝗲𝗻𝘀𝗶𝘁𝗶𝘃𝗶𝘁𝘆)



เราจึงไม่ควรถามเพียงว่า



“ถ้าไม่มีเพอร์คัชชัน วงยังเล่นได้หรือไม่?”



แต่ควรถามว่า



“ถ้าเด็กไม่เคยเรียนรู้การเป็นส่วนหนึ่งของความเงียบและจังหวะร่วม พวกเขาจะเข้าใจความหมายของการอยู่ร่วมในวงดนตรีได้อย่างไร?”



เสียงเคาะอาจเงียบในบางขณะ แต่ในความเงียบนั้น มีเสียงของ “ความรับผิดชอบร่วมกัน” กำลังทำงานอยู่เสมอ

 
 
 

Comments


bottom of page