🎓 หากเด็กเรียนดนตรีโดยไม่ใช้โน้ตเลยจะเกิดอะไรขึ้น⁉️ 🎼
- Dr.Kasem THipayametrakul
- 5 days ago
- 4 min read

ในกระบวนการเรียนรู้ดนตรี โดยเฉพาะในเด็กช่วงเริ่มต้น มีคำถามพื้นฐานหนึ่งที่มักถูกหยิบยกขึ้นมาทั้งในวงสนทนาของครูดนตรี ผู้ปกครอง และแม้แต่ตัวผู้เรียนเองว่า:
“จำเป็นแค่ไหนที่เด็กต้องเริ่มเรียนดนตรีจากการอ่านโน้ต?” และถ้าสอนโดย ไม่ใช้โน้ตเลย ตั้งแต่ต้น จะส่งผลดีหรือผลเสียในระยะยาว?
คำถามนี้อาจฟังดูเป็นเรื่องวิธีการสอนในชั้นเรียน แต่ในความเป็นจริงแล้ว คำถามนี้ได้เปิดประตูไปสู่ประเด็นในระดับลึกมากกว่านั้น เช่น ความสัมพันธ์ระหว่าง “การฟัง” กับ “การเขียน” ในดนตรี, บทบาทของสัญลักษณ์ทางเสียง, และการกำหนด “นิยามของความเข้าใจดนตรี” ผ่านระบบการเรียนรู้ที่แตกต่างกัน
ในหลายสังคมที่ไม่มีระบบการบันทึกโน้ตอย่างตะวันตก เด็กเรียนรู้ดนตรีโดยการฟัง เลียนแบบ และซึมซับจากสภาพแวดล้อมโดยตรง ซึ่งแสดงให้เห็นว่ามนุษย์มีศักยภาพในการเรียนรู้เสียงโดยไม่ต้องพึ่งพาสัญลักษณ์ใด ๆ เลย เช่นเดียวกับที่เราเรียนรู้ภาษาแม่โดยไม่ต้องรู้จักอักษรก่อนจะพูดได้
ในทางกลับกัน ระบบดนตรีสากลในโลกตะวันตก โดยเฉพาะตั้งแต่ยุคคลาสสิกเป็นต้นมา กลับให้ความสำคัญกับ “#โน้ตดนตรี” ในฐานะภาษาเขียน ที่ไม่ได้ทำหน้าที่เพียงบันทึกเสียง แต่ยังเป็นเครื่องมือในการคิด วิเคราะห์ สื่อสาร และพัฒนาแนวดนตรีในเชิงโครงสร้าง
ดังนั้น การตั้งคำถามว่า "#จะเกิดอะไรขึ้นถ้าเด็กไม่ได้ใช้โน้ตเลย" ไม่ได้หมายความว่าโน้ตดีหรือเลว แต่เป็นการเปิดประเด็นเพื่อวิเคราะห์ว่าการมีหรือไม่มี “สื่อกลางทางสัญลักษณ์” ส่งผลต่อพัฒนาการด้านใดบ้าง ทั้งในแง่ของทักษะ ทัศนคติ และความสามารถในการสื่อสารข้ามบริบท
บทความนี้จึงไม่เพียงแค่นำเสนอข้อมูลเปรียบเทียบจากมุมมองของครูดนตรีเท่านั้น แต่ยังวางอยู่บนฐานของงานวิจัยสหสาขาวิชา ทั้งจากดนตรีศึกษา จิตวิทยาการเรียนรู้ ชาติพันธุ์ดนตรีวิทยา และทฤษฎีทางภาษาศาสตร์ เพื่อสร้างภาพรวมที่มีความลุ่มลึกและเชิญชวนให้ผู้อ่านไม่เพียงแค่รับข้อมูล แต่ได้มีพื้นที่ในการตั้งคำถามกับตัวเองต่อไปว่า
“เรากำลังสอนดนตรีเพื่ออะไร?” และ “ความเข้าใจดนตรีที่แท้จริงควรถูกวัดจากอะไร?”
𝟭. #ธรรมชาติของการเรียนรู้ดนตรี: เสียงมาก่อนสัญลักษณ์
หนึ่งในหลักการที่ได้รับการยอมรับในหมู่ผู้เชี่ยวชาญด้านดนตรีศึกษาคือ แนวคิดที่ว่า “เสียง” มาก่อน “สัญลักษณ์” กล่าวคือ มนุษย์รับรู้และเข้าใจดนตรีผ่านประสบการณ์ทางการฟัง ก่อนที่จะเข้าใจดนตรีในรูปของโน้ตหรือภาษาสัญลักษณ์เขียน การเรียนรู้ดนตรีจึงควรเคารพกระบวนการธรรมชาติของสมองในการรับเสียง การจดจำ และการสร้างความหมาย ก่อนจะเชื่อมโยงสิ่งเหล่านั้นเข้ากับระบบการเขียน
𝙀𝙙𝙬𝙞𝙣 𝙀. 𝙂𝙤𝙧𝙙𝙤𝙣 (𝟭𝟵𝟵𝟳) ผู้พัฒนาทฤษฎี 𝙈𝙪𝙨𝙞𝙘 𝙇𝙚𝙖𝙧𝙣𝙞𝙣𝙜 𝙏𝙝𝙚𝙤𝙧𝙮 ซึ่งเป็นหนึ่งในแนวคิดร่วมสมัยที่ทรงอิทธิพลที่สุดในโลกดนตรีศึกษา เสนอว่าการเรียนรู้ดนตรีมีพื้นฐานอยู่ที่ความสามารถที่เรียกว่า 𝙖𝙪𝙙𝙞𝙖𝙩𝙞𝙤𝙣 ซึ่งหมายถึงกระบวนการทางความคิดที่ผู้เรียน “ได้ยิน” และ “เข้าใจ” ดนตรีในใจ แม้ในขณะที่ไม่มีเสียงเกิดขึ้นจริง ความสามารถนี้เป็นสิ่งที่พัฒนาได้จากการฟังอย่างมีคุณภาพ ไม่ใช่จากการอ่านโน้ต
𝙂𝙤𝙧𝙙𝙤𝙣 เปรียบ 𝙖𝙪𝙙𝙞𝙖𝙩𝙞𝙤𝙣 กับความสามารถด้านภาษาธรรมชาติ เช่นเดียวกับที่เด็กสามารถพูดได้ก่อนจะเรียนอ่านและเขียน เด็กก็สามารถ “ฟังและคิดเป็นดนตรี” ได้โดยไม่ต้องรู้จักโน้ตใด ๆ เลย และเมื่อระบบการฟังในใจนี้พัฒนาเพียงพอแล้ว การเรียนรู้สัญลักษณ์ดนตรี (𝙣𝙤𝙩𝙖𝙩𝙞𝙤𝙣) จึงค่อยเริ่มขึ้นในขั้นถัดไป โดยทำหน้าที่เป็น “เครื่องมือ” เพื่อสื่อสาร ไม่ใช่เป็นเงื่อนไขเริ่มต้นของการเรียนรู้ดนตรี
แนวคิดนี้ได้รับการสนับสนุนจากนักการศึกษาดนตรีอีกหลายคน เช่น 𝙕𝙤𝙡𝙩𝙖́𝙣 𝙆𝙤𝙙𝙖́𝙡𝙮 (𝟭𝟴𝟴𝟮–𝟭𝟵𝟲𝟳) ที่พัฒนาแนวทาง 𝙆𝙤𝙙𝙖́𝙡𝙮 𝙈𝙚𝙩𝙝𝙤𝙙 ในประเทศฮังการี โดยเน้นการเรียนรู้ผ่าน “เสียงพูด ร้อง ฟัง” เป็นลำดับแรก 𝙆𝙤𝙙𝙖́𝙡𝙮 เปรียบว่า “โน้ตดนตรีก็เหมือนตัวอักษร” ซึ่งไม่ควรถูกสอนก่อนที่เด็กจะ “พูดภาษาดนตรี” ได้เสียก่อน กล่าวคือ เด็กควรพัฒนาหูดนตรี (𝙢𝙪𝙨𝙞𝙘𝙖𝙡 𝙚𝙖𝙧) และการตอบสนองทางร่างกายและอารมณ์ต่อดนตรีก่อน แล้วจึงเรียนรู้การอ่านและเขียนภายหลัง
ในมุมมองของจิตวิทยาพัฒนาการ แนวคิดนี้สอดคล้องกับทฤษฎีของ 𝙅𝙚𝙖𝙣 𝙋𝙞𝙖𝙜𝙚𝙩 ที่ระบุว่าเด็กเรียนรู้ผ่านประสบการณ์ทางประสาทสัมผัสและการลงมือทำก่อนที่จะพัฒนาความคิดเชิงนามธรรม การอ่านโน้ต — ในฐานะการตีความสัญลักษณ์ที่ซับซ้อน — จึงควรถูกเสนอในช่วงเวลาที่เด็กพร้อมจะเชื่อมโยงเสียงกับนามธรรม ไม่ใช่ตั้งแต่เริ่มต้น
คำถามคือ:
๐ คุณเคยเห็นเด็กที่สามารถเล่นเพลงทั้งเพลงได้อย่างแม่นยำ โดยไม่เคยอ่านโน้ตมาก่อนหรือไม่?
๐ เด็กที่เล่นจาก “หู” ได้อย่างคล่องแคล่ว โดยจดจำจังหวะ, โครงสร้าง, และไดนามิกได้ — เขากำลังแสดง “ความเข้าใจดนตรี” หรือเพียงแค่ความสามารถในการจำเสียง?
๐ ความเข้าใจในดนตรีควรถูกวัดจากความสามารถในการอ่านโน้ต หรือจากคุณภาพของการฟังและแสดงออกทางดนตรี?
คำถามเหล่านี้เปิดพื้นที่ให้เราทบทวนภาพจำของระบบการเรียนดนตรีที่เน้นการอ่านตั้งแต่ต้น และท้าทายให้เราพิจารณาว่าการสอนที่ “เคารพธรรมชาติของเสียง” จะส่งผลอย่างไรต่อความเข้าใจที่ลึกซึ้งในระยะยาว
𝟮. #ระบบโน้ตคือภาษาเขียนของดนตรี: การขาดโน้ต = การขาด 𝙡𝙞𝙩𝙚𝙧𝙖𝙘𝙮
แม้ว่าการเรียนดนตรีโดยอาศัยการฟังและเลียนแบบจะเป็นธรรมชาติของมนุษย์ และสามารถพัฒนาความเชื่อมโยงกับเสียงได้อย่างลึกซึ้ง แต่ในโลกดนตรีร่วมสมัยที่ต้องอาศัยการทำงานร่วมกับผู้อื่น การถ่ายทอดความคิดเชิงซับซ้อน และการวิเคราะห์อย่างเป็นระบบ การมี “ภาษาเขียน” สำหรับดนตรี — หรือระบบโน้ต — จึงไม่อาจมองข้ามได้
หากเปรียบเทียบกับการเรียนรู้ภาษา ระบบโน้ตดนตรีทำหน้าที่เช่นเดียวกับตัวอักษรในภาษาเขียน มันคือ เครื่องมือกลางทางวัฒนธรรม ที่ทำให้ความคิดดนตรีสามารถส่งต่อระหว่างบุคคล ระหว่างรุ่น และข้ามวัฒนธรรมได้อย่างมีประสิทธิภาพ การไม่มีความสามารถในการอ่านโน้ตในบริบทนี้ จึงไม่ได้แค่หมายถึงการขาด “ทักษะทางเทคนิค” เท่านั้น แต่ยังหมายถึง การขาดความสามารถในการเข้าถึงเนื้อหาทางดนตรีในระดับลึกเชิงระบบ หรือที่อาจเรียกว่า 𝙢𝙪𝙨𝙞𝙘𝙖𝙡 𝙡𝙞𝙩𝙚𝙧𝙖𝙘𝙮
นักวิจัยด้านดนตรีศึกษา 𝙇𝙪𝙘𝙮 𝙂𝙧𝙚𝙚𝙣 (𝟮𝟬𝟬𝟮) แห่ง 𝙄𝙣𝙨𝙩𝙞𝙩𝙪𝙩𝙚 𝙤𝙛 𝙀𝙙𝙪𝙘𝙖𝙩𝙞𝙤𝙣, 𝙐𝙣𝙞𝙫𝙚𝙧𝙨𝙞𝙩𝙮 𝙤𝙛 𝙇𝙤𝙣𝙙𝙤𝙣 ได้ศึกษารูปแบบการเรียนรู้ของนักเรียนที่ไม่ได้ใช้โน้ตเลย โดยเน้นการเรียนแบบ “𝙞𝙣𝙛𝙤𝙧𝙢𝙖𝙡 𝙡𝙚𝙖𝙧𝙣𝙞𝙣𝙜” ผ่านการฟัง ลอกเลียน และทดลองเล่น ผลการวิจัยพบว่าเด็กกลุ่มนี้มี “ความกล้า” และ “ความยืดหยุ่น” ในการสำรวจเสียงดนตรี มีความคิดสร้างสรรค์และกล้าทดลองสิ่งใหม่ ๆ อย่างเป็นธรรมชาติ แต่ในระยะยาว เด็กเหล่านี้กลับเผชิญกับข้อจำกัดด้านหนึ่งที่ชัดเจนคือ ความสามารถในการถ่ายทอดความคิดของตนเองสู่ผู้อื่นในเชิงระบบ โดยเฉพาะเมื่อทำงานในบริบทของวงอาชีพที่ต้องใช้โน้ตในการสื่อสาร เช่น วงออร์เคสตรา สตูดิโอ หรือการทำงานกับผู้กำกับดนตรี
ในมุมมองของ 𝙋𝙝𝙞𝙡𝙞𝙥 𝙏𝙖𝙜𝙜 นักภาษาศาสตร์ดนตรี ผู้ศึกษาเรื่องสัญศาสตร์ (𝙨𝙚𝙢𝙞𝙤𝙩𝙞𝙘𝙨) ทางดนตรี ได้เสนอว่า โน้ตดนตรีคือ ระบบสัญลักษณ์ทางวัฒนธรรม ที่ทำหน้าที่มากกว่าแค่บันทึกเสียง มันคือเครื่องมือวิเคราะห์ แปลความ และจัดระเบียบความคิดดนตรีที่ซับซ้อน ไม่ว่าจะเป็นรูปแบบจังหวะ วลีดนตรี (𝙥𝙝𝙧𝙖𝙨𝙚 𝙨𝙩𝙧𝙪𝙘𝙩𝙪𝙧𝙚𝙨) หรือการเปลี่ยนแปลงด้านไดนามิกและบรรยากาศทางอารมณ์ ซึ่งสิ่งเหล่านี้ไม่สามารถอธิบายได้ด้วยคำพูดธรรมดา แต่สามารถสื่อสารได้ผ่านระบบโน้ตที่มีความเป็นสากล
สิ่งสำคัญที่ต้องเข้าใจคือ โน้ตดนตรีไม่ใช่แค่ “เทคนิค” แต่คือ ภาษา ที่มีไวยากรณ์ มีบริบท มีการตีความ ซึ่งสามารถเปิดประตูให้ผู้เรียนเข้าถึงแนวคิดดนตรีของศิลปินคนอื่น ๆ ได้ ไม่ว่าจะเป็น 𝙅𝙤𝙝𝙖𝙣𝙣 𝙎𝙚𝙗𝙖𝙨𝙩𝙞𝙖𝙣 𝘽𝙖𝙘𝙝, 𝘾𝙡𝙖𝙪𝙙𝙚 𝘿𝙚𝙗𝙪𝙨𝙨𝙮 หรือ 𝙅𝙤𝙝𝙣 𝘾𝙤𝙡𝙩𝙧𝙖𝙣𝙚 โดยไม่ต้องอยู่ร่วมยุคเดียวกันหรือใช้ภาษาเดียวกันเลย
การไม่มีโน้ตจึงเท่ากับการไม่มีเครื่องมือในการ “เข้าใจความคิด” ของผู้อื่นในเชิงลึก ไม่สามารถเก็บรักษาหรือถ่ายทอดองค์ความรู้ข้ามเวลาได้ และจำกัดขอบเขตของการเรียนรู้ไว้เพียงแต่สิ่งที่ได้ยินในปัจจุบันหรือจำได้เท่านั้น
คำถามคือ:
๐ หากไม่มีโน้ตดนตรีเลยในโลกนี้ เราจะสามารถจำแนก “รูปแบบความคิด” ของเพลงบรรเลง 𝟯 ส่วนของ 𝘽𝙖𝙘𝙝 ออกจากบรรยากาศแบบ 𝙞𝙢𝙥𝙧𝙚𝙨𝙨𝙞𝙤𝙣𝙞𝙨𝙢 ของ 𝘿𝙚𝙗𝙪𝙨𝙨𝙮 ได้อย่างไร?
๐ หากนักเรียนสามารถคิดริฟฟ์หรือเมโลดี้ที่ดีมากได้ แต่ไม่สามารถถ่ายทอดออกมาเป็นโน้ตหรืออธิบายต่อให้เพื่อนในวงเข้าใจได้ทันที นั่นจะส่งผลต่อการซ้อม การเรียบเรียง และการทำงานร่วมกันอย่างไร?
๐ ในสังคมที่ไม่มีระบบโน้ต เราจะเก็บรักษาความรู้ทางดนตรีในระยะยาวอย่างไรโดยไม่ผิดเพี้ยน?
๐ หากเด็กคนหนึ่งเล่นเก่งจากการจำหู แต่ไม่สามารถ “อ่าน” หรือ “เขียน” ความคิดดนตรีได้ เขาจะสามารถเข้าถึงงานของศิลปินจากอีกซีกโลกได้อย่างไร?
คำถามเหล่านี้ชวนให้เราทบทวนว่าวิธีการเรียนดนตรีในปัจจุบันได้ให้น้ำหนักกับการฟังมากกว่าการอ่านหรือไม่ และเรากำลังสอนดนตรีในฐานะ “ทักษะเฉพาะตัว” หรือ “ภาษาร่วมของมนุษย์” กันแน่
𝟯. #ข้อเปรียบเทียบ: วัฒนธรรมดนตรีที่ไม่มีโน้ต กับวัฒนธรรมที่ใช้โน้ต
ในหลายวัฒนธรรมทั่วโลก การขาด “ระบบโน้ตดนตรี” ไม่ได้แปลว่า “ด้อยพัฒนา” หรือ “ด้อยกว่า” ในทางดนตรีแต่อย่างใด ตรงกันข้าม บางระบบกลับพัฒนาขึ้นจนมีความซับซ้อนทางโครงสร้างและการแสดงออกไม่แพ้ดนตรีตะวันตกที่มีโน้ตเป็นเครื่องมือกลาง ข้อแตกต่างสำคัญคือ "วิธีการส่งต่อ" ความรู้ทางดนตรีระหว่างรุ่น และ "บริบท" ที่ระบบเหล่านั้นเติบโตขึ้นมา
ตัวอย่างที่ชัดเจนคือ ดนตรีอินเดีย ทั้งในสาย 𝙃𝙞𝙣𝙙𝙪𝙨𝙩𝙖𝙣𝙞 (ภาคเหนือ) และ 𝘾𝙖𝙧𝙣𝙖𝙩𝙞𝙘 (ภาคใต้) ซึ่งใช้ระบบการถ่ายทอดแบบ 𝙤𝙧𝙖𝙡 𝙩𝙧𝙖𝙣𝙨𝙢𝙞𝙨𝙨𝙞𝙤𝙣 ที่ไม่เพียงแค่การจำ แต่เป็นการเรียนรู้ที่ลงลึกถึงระดับการจินตนาการเสียง (𝙞𝙣𝙣𝙚𝙧 𝙝𝙚𝙖𝙧𝙞𝙣𝙜), การคิดเชิงโครงสร้าง (𝙘𝙤𝙣𝙘𝙚𝙥𝙩𝙪𝙖𝙡 𝙞𝙢𝙥𝙧𝙤𝙫𝙞𝙨𝙖𝙩𝙞𝙤𝙣) และการตอบสนองเชิงทันทีผ่านการฝึกแบบ 𝙜𝙪𝙧𝙪-𝙨𝙝𝙞𝙨𝙝𝙮𝙖 (ครู-ศิษย์) ซึ่งมีความเป็นส่วนตัวและเข้มงวดสูง นักดนตรีอินเดียสามารถคิดและเล่น 𝙧𝙖𝙜𝙖 ได้หลากหลายชั้นเชิง โดยไม่มีโน้ตเป็นฐานเลยแม้แต่น้อย
ดนตรีพื้นบ้านแอฟริกัน โดยเฉพาะในแถบแอฟริกาตะวันตกก็มีความซับซ้อนทางจังหวะ (𝙥𝙤𝙡𝙮𝙧𝙝𝙮𝙩𝙝𝙢) และโครงสร้างการโต้ตอบ (𝙘𝙖𝙡𝙡-𝙖𝙣𝙙-𝙧𝙚𝙨𝙥𝙤𝙣𝙨𝙚) สูงมาก โดยไม่มีการใช้โน้ตดนตรีในแบบตะวันตก ระบบการเรียนรู้ในบริบทเหล่านี้เน้นการซึมซับ การเลียนแบบด้วยหู และการแสดงออกในชุมชนเป็นหลัก ซึ่งเป็นกลไกทางสังคมที่ช่วยให้ดนตรีคงอยู่ได้ข้ามรุ่น
ในทางตรงข้าม ดนตรีตะวันตก โดยเฉพาะในสายคลาสสิก หรือดนตรีร่วมสมัยแบบแจ๊ส ใช้ระบบโน้ตเพื่อสร้างสิ่งที่นักชาติพันธุ์ดนตรีวิทยาอย่าง 𝘽𝙧𝙪𝙣𝙤 𝙉𝙚𝙩𝙩𝙡 เรียกว่า “𝙥𝙚𝙧𝙢𝙖𝙣𝙚𝙣𝙩 𝙙𝙞𝙖𝙡𝙤𝙜𝙪𝙚” — หรือ “บทสนทนาแบบถาวร” คือ ความคิดดนตรีที่สามารถถูกบันทึก เก็บรักษา และทำให้กลับมาเล่นใหม่ได้โดยไม่ขึ้นอยู่กับบริบทต้นทาง
โน้ตดนตรีในบริบทนี้จึงทำหน้าที่เป็น “ภาษาเขียนทางดนตรี” ที่ไม่ได้มีไว้เพื่อช่วยจำเท่านั้น แต่เป็นระบบการคิดแบบวิภาษวิธี (𝙙𝙞𝙖𝙡𝙚𝙘𝙩𝙞𝙘 𝙩𝙝𝙞𝙣𝙠𝙞𝙣𝙜) — กล่าวคือ นักดนตรีสามารถ อ่าน, วิเคราะห์, ตีความ, และ ต่อยอด จากสิ่งที่คนรุ่นก่อนบันทึกไว้ แม้ไม่ได้อยู่ร่วมกันในเวลาและสถานที่เดียวกันเลยก็ตาม
อย่างไรก็ตาม 𝘽𝙧𝙪𝙣𝙤 𝙉𝙚𝙩𝙩𝙡 ได้ตั้งข้อสังเกตว่า วัฒนธรรมที่ไม่ใช้โน้ตมักจะมีพลังสูงในเชิงประสบการณ์และการแสดงออก แต่จะมีข้อจำกัดเมื่อพยายามถ่ายโอนองค์ความรู้ออกนอกกรอบวัฒนธรรมนั้น เช่น เด็กที่เติบโตในระบบดนตรีพื้นบ้านของชุมชนอาจเก่งในรูปแบบของตนเอง แต่จะยากต่อการเคลื่อนตัวเข้าสู่วงการดนตรีระดับนานาชาติที่มีข้อกำหนดชัดเจนเรื่องการอ่านโน้ต การทำงานร่วมกับคนต่างภาษา หรือการบันทึกงานในระบบอุตสาหกรรม
นั่นจึงนำไปสู่คำถามสำคัญทางการศึกษา:
หากเป้าหมายของการเรียนดนตรี คือการสร้างศิลปินที่สามารถสื่อสารได้กว้างขวางหลากหลายวัฒนธรรม ระบบการเรียนที่ไม่มีโน้ต จะตอบสนองเป้าหมายนั้นได้เพียงพอหรือไม่?
และในขณะเดียวกัน เราก็ควรย้อนกลับไปถามด้วยว่า:
หากเรายึดติดกับโน้ตมากเกินไป จะทำให้เราสูญเสียมิติของ “ดนตรีที่มีชีวิตอยู่จริง” ซึ่งอยู่ในความสัมพันธ์ของหู ร่างกาย และสภาพแวดล้อมหรือไม่?
𝟰. #แนวทางเชิงสังเคราะห์: พัฒนา “หู” และ “ตา” ไปพร้อมกัน
แนวคิดที่ว่าการเรียนดนตรีควรเริ่มจาก “เสียง” ก่อน “สัญลักษณ์” นั้นไม่ใช่แนวคิดใหม่ หากแต่นำไปปฏิบัติได้หลากหลายวิธี ในแง่นี้ งานของ 𝙎𝙝𝙞𝙣𝙞𝙘𝙝𝙞 𝙎𝙪𝙯𝙪𝙠𝙞 ผู้ก่อตั้ง 𝙎𝙪𝙯𝙪𝙠𝙞 𝙈𝙚𝙩𝙝𝙤𝙙 ในญี่ปุ่น จึงเป็นกรณีศึกษาสำคัญในการสังเคราะห์ระหว่างทฤษฎีทางพัฒนาการมนุษย์และการฝึกฝนดนตรี
หลักการของ 𝙎𝙪𝙯𝙪𝙠𝙞 ตั้งอยู่บนแนวคิดว่า เด็กทุกคนสามารถเรียนรู้ดนตรีได้อย่างเป็นธรรมชาติ เหมือนการเรียนรู้ภาษาพูดของแม่ — เด็กควรได้ “ฟัง” และ “เลียนเสียง” ก่อนจะรู้ว่าคำเหล่านั้นเขียนอย่างไร
ในขั้นต้น เด็กไม่จำเป็นต้องรู้จักโน้ต แต่จะเรียนรู้ผ่านการฟังและการเล่นซ้ำ จากนั้นจึงค่อย ๆ เสริมความเข้าใจเชิงโครงสร้าง และการอ่านโน้ตอย่างเป็นระบบเมื่อเด็กเริ่มสร้างความสัมพันธ์ระหว่าง “เสียง” และ “รูป”
แนวทางนี้ได้รับการสนับสนุนจากงานของ 𝘿𝙧. 𝙍𝙤𝙗𝙚𝙧𝙩 𝘿𝙪𝙠𝙚 (𝙐𝙣𝙞𝙫𝙚𝙧𝙨𝙞𝙩𝙮 𝙤𝙛 𝙏𝙚𝙭𝙖𝙨) ซึ่งศึกษาเรื่องการเรียนรู้ดนตรีและพัฒนาการของเด็กมาอย่างต่อเนื่อง เขาพบว่า เด็กที่พัฒนาทักษะดนตรีได้อย่างมั่นคงในระยะยาว ไม่ใช่เด็กที่จำโน้ตเก่ง หรือเล่นแม่นที่สุดในระยะสั้น แต่คือ “เด็กที่เข้าใจโครงสร้างเสียง และสามารถสื่อสารความเข้าใจนั้นผ่านหลายสื่อ” ไม่ว่าจะเป็น:
๐ การฟัง (𝙖𝙪𝙧𝙖𝙡 𝙘𝙤𝙢𝙥𝙧𝙚𝙝𝙚𝙣𝙨𝙞𝙤𝙣)
๐ การเล่น (𝙢𝙤𝙩𝙤𝙧 𝙨𝙠𝙞𝙡𝙡 𝙚𝙭𝙚𝙘𝙪𝙩𝙞𝙤𝙣)
๐ การอ่าน (𝙨𝙮𝙢𝙗𝙤𝙡𝙞𝙘 𝙙𝙚𝙘𝙤𝙙𝙞𝙣𝙜)
๐ การเขียน (𝙨𝙮𝙢𝙗𝙤𝙡𝙞𝙘 𝙚𝙣𝙘𝙤𝙙𝙞𝙣𝙜)
๐ การวิเคราะห์ (𝙨𝙩𝙧𝙪𝙘𝙩𝙪𝙧𝙖𝙡 𝙧𝙚𝙛𝙡𝙚𝙘𝙩𝙞𝙤𝙣)
สิ่งนี้สัมพันธ์กับทฤษฎี “𝙈𝙪𝙡𝙩𝙞𝙥𝙡𝙚 𝙍𝙚𝙥𝙧𝙚𝙨𝙚𝙣𝙩𝙖𝙩𝙞𝙤𝙣𝙨” ในงานของ 𝙅𝙚𝙧𝙤𝙢𝙚 𝘽𝙧𝙪𝙣𝙚𝙧 ที่เสนอว่าการเรียนรู้จะลึกซึ้งขึ้นเมื่อผู้เรียนสามารถแสดง “ความเข้าใจเดียวกัน” ผ่าน “รูปแบบที่ต่างกัน” เช่น การพูด การวาด การเล่น หรือการเขียนโน้ต
#แนวปฏิบัติแบบผสมผสาน: “หู” และ “ตา” ไม่จำเป็นต้องแข่งขันกัน
ในระบบการสอนแบบ 𝙊𝙧𝙛𝙛 𝙎𝙘𝙝𝙪𝙡𝙬𝙚𝙧𝙠 (เยอรมนี) หรือ 𝘿𝙖𝙡𝙘𝙧𝙤𝙯𝙚 𝙀𝙪𝙧𝙝𝙮𝙩𝙝𝙢𝙞𝙘𝙨 (สวิตเซอร์แลนด์) ต่างก็ยืนยันถึงคุณค่าของ “การเคลื่อนไหวและการฟัง” ควบคู่กับการอ่านเขียนเชิงสัญลักษณ์ โดยไม่รีบแยกวิธีการเหล่านี้ออกจากกันอย่างเด็ดขาด
ในทางปฏิบัติ ครูดนตรีจำนวนมากพบว่า:
๐ การให้เด็ก “ร้องและเคลื่อนไหวประกอบ” ก่อนอ่านโน้ต ช่วยให้เด็กเข้าใจโครงสร้างดนตรีโดยไม่ต้องแปลผ่านสัญลักษณ์ทันที
๐ การใช้รูปแบบ “𝙜𝙧𝙖𝙥𝙝𝙞𝙘 𝙣𝙤𝙩𝙖𝙩𝙞𝙤𝙣” หรือ “โน้ตภาพ” ชั่วคราวก่อนใช้โน้ตมาตรฐาน เป็นวิธีเปลี่ยนผ่านที่ดีระหว่างระบบหูกับตา
๐ การให้เด็กแต่งเพลงง่าย ๆ ด้วยเสียงก่อน แล้วค่อยให้ถ่ายทอดออกมาในรูปของโน้ต เป็นวิธีที่ช่วยพัฒนาทั้งสองระบบไปพร้อมกัน
การเรียนรู้ดนตรีที่ลึกซึ้ง ไม่ได้เกิดจากการเลือก “หู” หรือ “ตา” แต่เกิดจากการทำให้ทั้งสองกลายเป็นภาษาร่วมกัน เสียงคือสิ่งมีชีวิต — โน้ตคือลายลักษณ์อักษรของเสียง — เด็กที่เข้าใจทั้งสองย่อมสามารถเป็นนักดนตรีที่ฟังได้ดี พูดได้ชัด และเขียนได้ลึก
#สรุปเปรียบเทียบ: ไม่ใช้โน้ตเลย กับ ใช้โน้ตตั้งแต่ต้น
การเรียนดนตรีที่ไม่ใช้โน้ตและการเรียนดนตรีที่ใช้โน้ตตั้งแต่ต้นมีข้อดีและข้อจำกัดในแต่ละด้าน โดยทั้งสองแนวทางมีผลกระทบต่อการพัฒนาทักษะดนตรีของผู้เรียนในหลาย ๆ มิติ ทั้งในแง่ของการเข้าใจเสียง, การสื่อสาร, การเล่นร่วมวง, ความคิดสร้างสรรค์, และโอกาสในระบบดนตรีระดับสากล ซึ่งทั้งหมดนี้สะท้อนถึงการออกแบบกระบวนการเรียนรู้ที่แตกต่างกันไป
#ไม่ใช้โน้ตเลย: นักเรียนที่เรียนดนตรีโดยไม่ใช้โน้ตเริ่มต้นจากการฟังและจดจำเสียงผ่านประสบการณ์ตรง ซึ่งช่วยให้พวกเขามีความเข้าใจเสียงในระดับที่ลึกซึ้งและเป็นธรรมชาติ การฟังเป็นกระบวนการสำคัญที่ช่วยฝึกฝนการแยกแยะความแตกต่างของเสียง, จังหวะ, และไดนามิก โดยไม่ต้องอาศัยสัญลักษณ์ทางดนตรี การเรียนรู้เช่นนี้มักจะพัฒนาได้เร็วในช่วงแรก เนื่องจากนักเรียนสามารถสร้างการเชื่อมโยงที่แข็งแกร่งระหว่างเสียงและประสบการณ์ชีวิตจริง
#ใช้โน้ตตั้งแต่ต้น: การเริ่มเรียนดนตรีด้วยการใช้โน้ตตั้งแต่ต้นอาจทำให้การเข้าใจเสียงเป็นไปได้ช้ากว่า เพราะเด็กจะมีกรอบที่ค่อนข้างจำกัดในช่วงแรกโดยเฉพาะกับการตีความเสียงและจังหวะจากโน้ตดนตรี การมุ่งเน้นที่โน้ตอาจทำให้การเรียนรู้มีความเป็นระบบและมีข้อจำกัดในด้านความเข้าใจเชิงลึกถึงรายละเอียดทางดนตรี
#ไม่ใช้โน้ตเลย: การสื่อสารทางดนตรีในระบบนี้มักจะจำกัดอยู่ในบริบทที่มีการฝึกฝนแบบตัวต่อตัวกับครูหรือในวงดนตรีที่ไม่เป็นทางการ นักเรียนจะต้องเรียนรู้ผ่านการฟังและการแสดงออกที่เป็นการโต้ตอบกันอย่างตรงไปตรงมา แม้ว่าจะสามารถสื่อสารได้ดีในวงจำกัด แต่การถ่ายทอดความคิดทางดนตรีไปยังบุคคลอื่นหรือผู้ที่ไม่ได้มีการฝึกฝนร่วมกันอาจทำได้ยาก
#ใช้โน้ตตั้งแต่ต้น: การใช้โน้ตทำให้การสื่อสารทางดนตรีมีความแม่นยำและชัดเจนมากขึ้น โดยเฉพาะในการเล่นร่วมกับนักดนตรีคนอื่น ๆ หรือการถ่ายทอดความคิดดนตรีในรูปแบบที่สามารถเข้าใจได้ง่าย ไม่ว่าจะเป็นการเล่นในวงดนตรีมืออาชีพ หรือการบันทึกผลงาน
#ไม่ใช้โน้ตเลย: การเล่นร่วมวงในกรณีที่ไม่มีการใช้โน้ตสามารถทำได้ดีในวงที่ไม่เป็นทางการหรือตามลักษณะของดนตรีที่เน้นการโต้ตอบผ่านหู เช่น ดนตรีพื้นบ้านหรือดนตรีแจ๊สในบางกรณี การเรียนรู้ในลักษณะนี้ช่วยให้เด็กพัฒนาความสามารถในการปรับตัวให้เข้ากับสภาพแวดล้อมดนตรีที่ไม่มีกฎเกณฑ์ที่ตายตัว แต่จะมีข้อจำกัดเมื่อเข้าสู่วงการที่ต้องการความชัดเจนทางโน้ต
#ใช้โน้ตตั้งแต่ต้น: ในทางกลับกัน การใช้โน้ตตั้งแต่ต้นทำให้การเล่นร่วมวงในระดับมืออาชีพหรือวงที่มีความซับซ้อนทำได้ง่ายและมีประสิทธิภาพมากขึ้น เนื่องจากการใช้โน้ตช่วยให้การสื่อสารทางดนตรีระหว่างนักดนตรีแต่ละคนเป็นไปได้อย่างราบรื่น แม้ในวงที่มีความยากลำบากหรือการแสดงที่ซับซ้อน
#ไม่ใช้โน้ตเลย: ระบบการเรียนรู้ที่ไม่ใช้โน้ตสามารถเปิดโอกาสให้เด็กได้พัฒนาความคิดสร้างสรรค์ที่ไม่ถูกจำกัดด้วยกรอบของโน้ต เพราะพวกเขาจะต้องใช้จินตนาการในการเล่นและสร้างสรรค์ดนตรีด้วยหู การฟังเป็นกระบวนการสำคัญในการสร้างสรรค์ โดยเฉพาะในช่วงแรกที่ไม่มีกรอบในการตัดสินว่า “ถูก” หรือ “ผิด” ส่งผลให้เด็กสามารถทดลองและสำรวจสิ่งใหม่ ๆ ได้มากขึ้น
#ใช้โน้ตตั้งแต่ต้น: การเรียนรู้ที่ใช้โน้ตตั้งแต่แรกอาจทำให้ความคิดสร้างสรรค์ถูกจำกัดโดยกรอบของโน้ตดนตรี ซึ่งจะมีการตัดสินความถูกต้องที่มีพื้นฐานจากสัญลักษณ์ที่เป็นมาตรฐาน การใช้โน้ตมากเกินไปอาจทำให้เด็กไม่สามารถคิดนอกกรอบหรือขาดความยืดหยุ่นในการสร้างสรรค์ในลักษณะใหม่ ๆ
#ไม่ใช้โน้ตเลย: การเรียนดนตรีที่ไม่ใช้โน้ตมีข้อจำกัดในระดับวิชาชีพ เนื่องจากการขาดระบบที่เป็นมาตรฐานอาจทำให้การทำงานร่วมกับนักดนตรีคนอื่น ๆ ในระบบดนตรีระดับสากลทำได้ยาก นักดนตรีที่ไม่ได้เรียนรู้การใช้โน้ตดนตรีอาจไม่สามารถเข้าใจหรือปฏิบัติตามข้อกำหนดในงานดนตรีสากลได้อย่างเต็มที่
#ใช้โน้ตตั้งแต่ต้น: การใช้โน้ตตั้งแต่ต้นช่วยเปิดโอกาสให้เด็กสามารถเข้าสู่ระบบดนตรีระดับสากลได้ง่ายขึ้น โดยเฉพาะในงานที่ต้องการความแม่นยำในการถ่ายทอดโน้ต เช่น ดนตรีคลาสสิกหรือการทำงานในวงการดนตรีที่มีมาตรฐานสูง การเข้าใจและสามารถใช้โน้ตได้จะช่วยให้เด็กมีโอกาสก้าวหน้าในอาชีพดนตรีที่มีการยอมรับในระดับสากล
#ดังนั้น การเลือกวิธีการเรียนรู้ดนตรีโดยไม่ใช้โน้ตเลยหรือใช้โน้ตตั้งแต่ต้นมีข้อดีและข้อจำกัดในด้านต่าง ๆ และทั้งสองวิธีมีความเหมาะสมในบริบทที่แตกต่างกัน ขึ้นอยู่กับเป้าหมายการเรียนรู้และประเภทของดนตรีที่ต้องการศึกษา ในการสอนดนตรีให้มีประสิทธิภาพ นักการศึกษาควรพิจารณาการผสมผสานระหว่างการใช้หูและการใช้โน้ตในลำดับที่เหมาะสมเพื่อให้ผู้เรียนสามารถพัฒนาทักษะดนตรีในหลายมิติ และเตรียมพร้อมสำหรับทั้งการแสดงออกในลักษณะเฉพาะตัวและการทำงานในระบบดนตรีสากลที่มีมาตรฐาน
#สุดท้าย การเรียนดนตรีไม่ใช่แค่การฝึกฝนทักษะการเล่นเครื่องดนตรีเท่านั้น แต่ยังเป็นการพัฒนาในเชิงความเข้าใจและความสามารถในการสื่อสารทางเสียงผ่านภาษาแห่งดนตรี ซึ่งมีความซับซ้อนและหลากหลายไปตามแนวทางการเรียนรู้ที่เราสามารถเลือกได้
หากคุณเป็น #นักเรียนดนตรี คุณเคยถามตัวเองไหมว่าคุณต้องการเติบโตในแบบไหน? คุณอยากเล่นดนตรีให้เก่งด้วยหู จดจำและตีความเพลงจากสิ่งที่คุณได้ยินแล้วสามารถแสดงออกมาได้ทันที หรือคุณอยากมีความเข้าใจในดนตรีทั้งระบบ ทั้งในแง่ของการฟัง การเล่น และการอ่านโน้ตที่สามารถใช้ได้ในทุกบริบท? การเลือกเส้นทางการเรียนรู้จะมีผลต่อแนวทางการฝึกฝนและการแสดงออกทางดนตรีของคุณในอนาคต
สำหรับ #ครูดนตรี การเลือกวิธีการสอนก็เป็นการตัดสินใจที่สำคัญ คุณคิดว่าโน้ตเป็นเพียง "เครื่องมือ" ที่ช่วยให้ผู้เรียนเข้าใจและสื่อสารดนตรี หรือมันเป็น “กรอบ” ที่อาจจำกัดความคิดสร้างสรรค์และความหลากหลายทางดนตรีของนักเรียน? เมื่อเลือกที่จะสอนการอ่านโน้ตในระยะแรก คุณก็ต้องพิจารณาว่ามันจะไม่ทำให้เด็กพลาดโอกาสในการพัฒนาความเข้าใจเสียงและความคิดสร้างสรรค์ที่มีอยู่อย่างเป็นธรรมชาติ
หากคุณมี ไอเดียดนตรีดี ๆ ที่อยากจะสื่อออกมา คุณอยากให้มันอยู่แค่ในตัวคุณและเล่นแค่ภายในกรอบที่คุณคุ้นเคย หรือคุณอยากบันทึกมันลงบนโน้ตดนตรีเพื่อให้คนรุ่นต่อไปสามารถตีความและสร้างสรรค์ต่อได้? การบันทึกผลงานในรูปแบบที่เป็นระบบและสามารถถ่ายทอดไปยังคนอื่นได้ไม่เพียงแต่ช่วยให้ไอเดียของคุณไม่สูญหาย แต่ยังช่วยให้ดนตรีของคุณมีอายุยืนยาวและสามารถถูกนำไปพัฒนาต่อในอนาคต
การเลือกเส้นทางในการเรียนดนตรีและการถ่ายทอดมันนั้นไม่มีคำตอบที่ถูกหรือผิด แต่ทุกเส้นทางที่เลือก ล้วนมีคุณค่าและบทเรียนที่สามารถเติบโตและพัฒนาได้อย่างไม่สิ้นสุด สิ่งสำคัญคือการมีทัศนคติที่เปิดกว้างและพร้อมรับสิ่งใหม่ ๆ เพื่อพัฒนาตัวเองทั้งในฐานะนักดนตรีและผู้สอนดนตรี
๐ คุณพร้อมที่จะทดลองเรียนรู้และพัฒนาตนเองในแนวทางที่แตกต่างไปจากที่เคยทำหรือยัง
๐ 𝙂𝙤𝙧𝙙𝙤𝙣, 𝙀. 𝙀. (𝟭𝟵𝟵𝟳). 𝙈𝙪𝙨𝙞𝙘 𝙡𝙚𝙖𝙧𝙣𝙞𝙣𝙜 𝙩𝙝𝙚𝙤𝙧𝙮: 𝘼 𝙙𝙚𝙫𝙚𝙡𝙤𝙥𝙢𝙚𝙣𝙩𝙖𝙡 𝙥𝙚𝙧𝙨𝙥𝙚𝙘𝙩𝙞𝙫𝙚. 𝙂𝙄𝘼 𝙋𝙪𝙗𝙡𝙞𝙘𝙖𝙩𝙞𝙤𝙣𝙨.
๐ 𝙆𝙤𝙙𝙖́𝙡𝙮, 𝙕. (𝟭𝟵𝟲𝟳). 𝙏𝙝𝙚 𝙞𝙣𝙛𝙡𝙪𝙚𝙣𝙘𝙚 𝙤𝙛 𝙢𝙪𝙨𝙞𝙘 𝙚𝙙𝙪𝙘𝙖𝙩𝙞𝙤𝙣 𝙤𝙣 𝙘𝙝𝙞𝙡𝙙𝙧𝙚𝙣. 𝘽𝙪𝙙𝙖𝙥𝙚𝙨𝙩: 𝙀𝙙𝙞𝙩𝙞𝙤 𝙈𝙪𝙨𝙞𝙘𝙖.
๐ 𝙂𝙧𝙚𝙚𝙣, 𝙇. (𝟮𝟬𝟬𝟮). 𝙃𝙤𝙬 𝙥𝙤𝙥𝙪𝙡𝙖𝙧 𝙢𝙪𝙨𝙞𝙘𝙞𝙖𝙣𝙨 𝙡𝙚𝙖𝙧𝙣: 𝘼 𝙬𝙖𝙮 𝙖𝙝𝙚𝙖𝙙 𝙛𝙤𝙧 𝙢𝙪𝙨𝙞𝙘 𝙚𝙙𝙪𝙘𝙖𝙩𝙞𝙤𝙣. 𝘼𝙨𝙝𝙜𝙖𝙩𝙚 𝙋𝙪𝙗𝙡𝙞𝙨𝙝𝙞𝙣𝙜.
๐ 𝙋𝙞𝙖𝙜𝙚𝙩, 𝙅. (𝟭𝟵𝟱𝟮). 𝙏𝙝𝙚 𝙤𝙧𝙞𝙜𝙞𝙣𝙨 𝙤𝙛 𝙞𝙣𝙩𝙚𝙡𝙡𝙞𝙜𝙚𝙣𝙘𝙚 𝙞𝙣 𝙘𝙝𝙞𝙡𝙙𝙧𝙚𝙣. 𝙄𝙣𝙩𝙚𝙧𝙣𝙖𝙩𝙞𝙤𝙣𝙖𝙡 𝙐𝙣𝙞𝙫𝙚𝙧𝙨𝙞𝙩𝙞𝙚𝙨 𝙋𝙧𝙚𝙨𝙨.
๐ 𝙉𝙚𝙩𝙩𝙡, 𝘽. (𝟮𝟬𝟬𝟱). 𝙏𝙝𝙚 𝙨𝙩𝙪𝙙𝙮 𝙤𝙛 𝙚𝙩𝙝𝙣𝙤𝙢𝙪𝙨𝙞𝙘𝙤𝙡𝙤𝙜𝙮: 𝙏𝙝𝙞𝙧𝙩𝙮-𝙤𝙣𝙚 𝙞𝙨𝙨𝙪𝙚𝙨 𝙖𝙣𝙙 𝙘𝙤𝙣𝙘𝙚𝙥𝙩𝙨 (𝟮𝙣𝙙 𝙚𝙙.). 𝙐𝙣𝙞𝙫𝙚𝙧𝙨𝙞𝙩𝙮 𝙤𝙛 𝙄𝙡𝙡𝙞𝙣𝙤𝙞𝙨 𝙋𝙧𝙚𝙨𝙨.
๐ 𝙎𝙪𝙯𝙪𝙠𝙞, 𝙎. (𝟭𝟵𝟲𝟵). 𝙉𝙪𝙧𝙩𝙪𝙧𝙚𝙙 𝙗𝙮 𝙡𝙤𝙫𝙚: 𝘼 𝙣𝙚𝙬 𝙖𝙥𝙥𝙧𝙤𝙖𝙘𝙝 𝙩𝙤 𝙚𝙙𝙪𝙘𝙖𝙩𝙞𝙤𝙣. 𝙀𝙭𝙥𝙤𝙨𝙞𝙩𝙞𝙤𝙣 𝙋𝙧𝙚𝙨𝙨.
๐ 𝘿𝙪𝙠𝙚, 𝙍. 𝘼. (𝟮𝟬𝟭𝟭). 𝙍𝙚𝙨𝙚𝙖𝙧𝙘𝙝 𝙤𝙣 𝙢𝙪𝙨𝙞𝙘 𝙡𝙚𝙖𝙧𝙣𝙞𝙣𝙜: 𝘼 𝙜𝙪𝙞𝙙𝙚 𝙛𝙤𝙧 𝙩𝙝𝙚 𝙩𝙚𝙖𝙘𝙝𝙚𝙧. 𝙊𝙭𝙛𝙤𝙧𝙙
𝙐𝙣𝙞𝙫𝙚𝙧𝙨𝙞𝙩𝙮 𝙋𝙧𝙚𝙨𝙨.
Comments