“เสียงของเด็กในวงโยฯ สะท้อนวัฒนธรรมองค์กรอย่างไร❓”
- Dr.Kasem THipayametrakul
- Jul 8
- 3 min read

วงโยฯ คือ “#ภาพจำลององค์กรขนาดย่อม” ที่พูดเสียงดังมากกว่าที่หลายคนคิด
แม้ในมุมมองของระบบการศึกษาแบบเดิม วงโยธวาทิตจะถูกจัดเป็น “กิจกรรมเสริมหลักสูตร” หรือ “กิจกรรมพิเศษ” ที่ไม่ได้อยู่ในวิชาแกน แต่ในความเป็นจริง วงโยฯ กลับเป็น “ระบบการเรียนรู้” ที่ซับซ้อนที่สุดระบบหนึ่งในโรงเรียน
เพราะมันไม่ได้สอนแค่ “เล่นให้ถูกโน้ต” แต่มันคือพื้นที่ที่สอนการอยู่ร่วมกับผู้อื่น ผ่านวินัย ความสัมพันธ์ และเสียง
ลองจินตนาการว่าโรงเรียนหนึ่งคือโลกแห่งความรู้ “#วงโยฯ” ก็คือเมืองเล็ก ๆ ที่มีโครงสร้างสังคมของตัวเองในโลกนั้น
มันมีสิ่งที่คล้ายกับองค์กรในชีวิตจริงเกือบครบถ้วน:
ลำดับขั้น → รุ่นพี่ รุ่นน้อง ผู้นำกลุ่ม หัวหน้าสาย
การแบ่งหน้าที่ → ใครเล่นเครื่องไหน ใครดูแลเครื่อง ใครดูแลตารางซ้อม
การตัดสินใจแบบรวมศูนย์ → มักมีบุคคลกลุ่มหนึ่งที่มีอำนาจตัดสินว่า "เสียงไหนควรได้ยิน"
ระบบสื่อสาร → ทั้งแบบเป็นทางการ (จากครูหรือผู้ฝึกสอน) และแบบไม่เป็นทางการ (ผ่านการซ้อม การมองตา หรือการแก้ไขกันเองระหว่างเพื่อน)
ในหลายครั้ง ระบบเหล่านี้ชัดเจนกว่าห้องเรียนทั่วไปเสียอีก เพราะวงโยฯ วัดผลแบบ “เสียงจริง” ที่ได้ยินชัดเจนทันที — ตีผิด = ได้ยินเลย / ไม่ฟังกัน = วงพัง
เสียงที่เกิดในวงโยฯ จึงไม่ใช่เสียงดนตรีอย่างเดียว
แต่มันคือ “เสียงสะท้อนของวัฒนธรรมการจัดการคน” ในระดับย่อมๆ
แล้วเสียงของเด็กในวงสะท้อนอะไร?
สิ่งสำคัญที่เราควรถามไม่ใช่แค่ “เสียงเพราะไหม” แต่คือ:
๐ เด็กคนนั้น กล้าใช้เสียงของตัวเองหรือเปล่า?
๐ เขากำลัง เล่นตามคำสั่ง หรือ แสดงตัวตนผ่านเสียงจริง ๆ?
๐ เขารู้สึกไหมว่าเสียงของเขามี “คุณค่า” หรือแค่ “หน้าที่”?
หลายครั้ง เด็กในวงโยฯ เติบโตในสภาพแวดล้อมที่ฝึกให้เขา “#ตีให้ตรง” แต่ไม่ได้ฝึกให้เขา “ตีอย่างมั่นใจในตัวเอง”
ความต่างระหว่างสองอย่างนี้คือความต่างระหว่าง "การทำงานตามบท" กับ "การทำงานที่มีชีวิต"
ถ้าเรามองวงโยฯ เป็นสังคม...
เราจะเห็นว่าเสียงแต่ละเสียง ไม่ได้เท่ากันโดยธรรมชาติ แต่ถูกออกแบบ จัดวาง และส่งผ่านความคาดหวังจากระบบอำนาจขนาดเล็กในวงนั้น
ดังนั้น ถ้าเด็กตีได้เป๊ะ แต่ไม่กล้าถาม ไม่กล้าเสนอ ไม่กล้าแสดงความเห็น→ แปลว่าเราอาจมีวงที่ “เสียงดี” แต่ “ความสัมพันธ์เงียบ”
วงโยฯ จึงสามารถเป็นทั้ง:
ห้องเรียนสำหรับการฝึกเสียง
หรือกรอบจำกัดเสียงที่เด็กจะกล้าส่งออกมา
ทั้งหมดขึ้นอยู่กับว่า “คนในวง” จัดวางระบบความสัมพันธ์แบบไหน
ถ้าวงโยฯ เงียบเกินไป อาจไม่ได้แปลว่า “พร้อม” แต่อาจแปลว่า “ถูกกดไว้”
ในช่วงก่อนการแสดง วงโยธวาทิตที่ “เงียบสนิท” มักถูกมองว่าเป็นวงที่ “#มีวินัย” หรือ “#พร้อมแล้ว” สำหรับการขึ้นเวที — ไม่มีใครพูด ไม่มีใครโวยวาย ทุกอย่างนิ่งกริบ ราวกับเครื่องจักรที่ตั้งเวลาไว้เป๊ะ
แต่วินัยที่เงียบเชียบนี้…บางครั้งก็คือ ความเงียบของความกลัว ไม่ใช่ความสงบของความมั่นใจ
เพราะในบางวัฒนธรรม... “เสียงเงียบ” = “พื้นที่ไม่ปลอดภัย”
หลายวงโยฯ โดยเฉพาะในระบบโรงเรียนไทย ถูกจัดการภายใต้โครงสร้างอำนาจแบบแนวดิ่ง:
๐ รุ่นพี่มีสิทธิออกคำสั่ง
๐ เด็กใหม่ทำตามอย่างเดียว
๐ ความผิด = ความล้มเหลว
๐ ความคิด = ความเสี่ยง
สิ่งที่เกิดขึ้นคือ…เด็กในวงเรียนรู้ว่า “ยิ่งเงียบ ยิ่งอยู่รอด”
เพราะเสียงที่พูดออกมาอาจกลายเป็นเสียงที่ทำให้ “โดนมองว่าไม่รู้จักที่ต่ำที่สูง” หรือ “ทำให้ดูไม่มืออาชีพ”
เชื่อมหากับแนวคิดทางองค์กร: 𝗣𝘀𝘆𝗰𝗵𝗼𝗹𝗼𝗴𝗶𝗰𝗮𝗹 𝗦𝗮𝗳𝗲𝘁𝘆
งานของ 𝗔𝗺𝘆 𝗘𝗱𝗺𝗼𝗻𝗱𝘀𝗼𝗻 (𝗛𝗮𝗿𝘃𝗮𝗿𝗱 𝗕𝘂𝘀𝗶𝗻𝗲𝘀𝘀 𝗦𝗰𝗵𝗼𝗼𝗹) ทำให้แนวคิดเรื่อง ความปลอดภัยทางจิตใจ (𝗣𝘀𝘆𝗰𝗵𝗼𝗹𝗼𝗴𝗶𝗰𝗮𝗹 𝗦𝗮𝗳𝗲𝘁𝘆) กลายเป็นแนวคิดหลักขององค์กรยุคใหม่
เธอระบุว่า “องค์กรที่เงียบเกินไป ไม่ใช่องค์กรที่ดี แต่อาจเป็นองค์กรที่ สมาชิกไม่กล้าพูด และซ่อนปัญหาไว้ภายใน”
และถ้าเรานำมาส่องในวงโยฯ จะเห็นภาพคล้ายกันเป๊ะ:
๐ เด็กตีผิด → ไม่กล้าขอซ้อมใหม่ เพราะกลัวเสียงหัวเราะหรือคำว่า “ไม่พร้อม”
๐ ไม่เข้าใจท่อนยาก → เงียบไว้ดีกว่า เพราะกลัวโดนตำหนิว่าไม่ตั้งใจ
๐ มีไอเดีย → ไม่กล้าเสนอ เพราะกลัว “ล้ำเส้น” หรือโดนมองว่า “เกินตัว”
ในระยะสั้น วงอาจจะดูราบรื่น แต่ในระยะยาว…เด็กเรียนรู้ที่จะ “เซฟตัวเอง” แทนที่จะ “กล้าเติบโต”
อ้างอิง: 𝗘𝗱𝗺𝗼𝗻𝗱𝘀𝗼𝗻, 𝗔. 𝗖. (𝟭𝟵𝟵𝟵). 𝗣𝘀𝘆𝗰𝗵𝗼𝗹𝗼𝗴𝗶𝗰𝗮𝗹 𝘀𝗮𝗳𝗲𝘁𝘆 𝗮𝗻𝗱 𝗹𝗲𝗮𝗿𝗻𝗶𝗻𝗴 𝗯𝗲𝗵𝗮𝘃𝗶𝗼𝗿 𝗶𝗻 𝘄𝗼𝗿𝗸 𝘁𝗲𝗮𝗺𝘀. 𝗔𝗱𝗺𝗶𝗻𝗶𝘀𝘁𝗿𝗮𝘁𝗶𝘃𝗲 𝗦𝗰𝗶𝗲𝗻𝗰𝗲 𝗤𝘂𝗮𝗿𝘁𝗲𝗿𝗹𝘆, 𝟰𝟰(𝟮), 𝟯𝟱𝟬-𝟯𝟴𝟯.
ความเงียบที่บีบให้เป๊ะ ≠ พื้นที่ปลอดภัยที่กล้าเป็นตัวเอง
ความเป๊ะในวงโยฯ ไม่ผิด — การมีวินัย การฟังคำสั่ง การทำตามแผน เป็นทักษะสำคัญในงานดนตรีระดับสูง แต่ถ้ามันแลกมากับ:
๐ เด็กไม่กล้าผิด
๐ ไม่กล้าถาม
๐ ไม่กล้าเรียนรู้จากกัน
แปลว่าเราสร้างนักดนตรีที่ “แม่น” แต่ “ไม่กล้าโต”
และนี่ไม่ใช่แค่เรื่องวิธีการซ้อม แต่มันคือ ภาพสะท้อนของวัฒนธรรมโรงเรียน ที่เน้นการควบคุมมากกว่าการสร้างพื้นที่ปลอดภัย
วงโยฯ ที่ดี จึงไม่เงียบ — แต่คือวงที่ “กล้าฟังเสียงของกันและกัน”
ลองจินตนาการวงโยฯ ที่สมาชิกทุกคนกล้าพูดว่า:
๐ “พี่ครับ ผมยังไม่เข้าใจท่อนนี้เลยครับ ขอซ้ำได้ไหม”
๐ “ผมรู้สึกว่าเราน่าจะลองเวอร์ชั่นจังหวะอื่นได้ไหม”
๐ “อันนี้ยังไม่เข้าที่เลยครับ ลองอีกรอบมั้ย?”
เสียงเหล่านี้ฟังดู ‘รกหู’ สำหรับบางคน แต่ในความเป็นจริง มันคือเสียงของทีมที่มีชีวิต มันคือเสียงของ “#ความกล้า” ที่กำลังต่อสู้กับ “ความเงียบแบบปลอม ๆ”
อย่าให้ความเงียบหลอกว่าเราพร้อม
เพราะความพร้อมที่แท้จริง ไม่ได้วัดจากความเงียบ
แต่วัดจากว่า…คนในวง “#กล้าทำเสียง” หรือไม่
เสียงไม่ใช่แค่เสียงดนตรี แต่คือเสียงของความมั่นใจ เสียงของคำถาม เสียงของความอยากลองผิดลองถูก
และถ้าเด็กไม่กล้าเปล่งเสียงนั้นออกมา…ระบบของเราอาจไม่ได้มีปัญหาแค่เรื่องซ้อม แต่อาจมีปัญหาเรื่อง “ความสัมพันธ์ในระดับลึก” ที่เรามองข้ามมาตลอด
การจัดระบบเสียงในวง = การจัดความสัมพันธ์ในองค์กร
เสียงในวงโยฯ ไม่ได้ถูกกำหนดแค่จาก “#โน้ตบนกระดาษ” หรือ “ไดนามิกที่คอนดักเตอร์สั่ง” แต่มันถูกกำหนดโดยโครงสร้างของ “#อำนาจทางดนตรี” ที่ซ่อนอยู่ในระบบ ซึ่งถ้าเราฟังให้ดี มันกำลังบอกเราว่า…
ใครมีสิทธิ “เปล่งเสียง” / ใครต้อง “เงียบ” / ใครถูก “ทำให้หายไป”
𝗛𝗶𝗲𝗿𝗮𝗿𝗰𝗵𝘆 𝗼𝗳 𝗦𝗼𝘂𝗻𝗱 = ลำดับชั้นของเสียงในวงโยฯ
ลองสังเกตสิ่งเหล่านี้ในวงโยฯ ที่คุณรู้จัก:
๐ กลุ่ม 𝗯𝗿𝗮𝘀𝘀 ได้ 𝘀𝗼𝗹𝗼 เสมอ → เสียงของเขาถูกฟัง ถูกเชิดชู ถูกชี้ว่า “#สำคัญ”
๐ กลุ่ม 𝗽𝗲𝗿𝗰𝘂𝘀𝘀𝗶𝗼𝗻 ถูกสั่งให้ตีเบาที่สุด → แม้จะมีพลัง แต่ถูกลดทอนลงอย่างตั้งใจ
๐ เด็กบางคนในกลุ่ม 𝗮𝘂𝘅𝗶𝗹𝗶𝗮𝗿𝘆 หรือสีสันเบื้องหลัง → ไม่มีโน้ตให้เล่นในบางเพลง แต่ถูกบอกให้ “ยืนเฉย ๆ รอจังหวะ”
๐ ตอนเกิดปัญหา → ไม่มีใครถามความเห็นจากมือกลอง หรือเด็กหลังแถวเลย
นี่ไม่ใช่แค่เรื่อง การจัดดนตรี แต่มันคือ “การจัดความสัมพันธ์เชิงสัญญะ” ที่สอนเด็กโดยไม่รู้ตัวว่า:
"บางเสียงสำคัญกว่าเสียงอื่น"
"บางคนถูกฟัง บางคนต้องเงียบ"
"บางตำแหน่งมีอำนาจ บางตำแหน่งคือแค่ผู้สนับสนุนเงียบ ๆ"
เสียงที่ดัง ≠ เสียงที่มีค่าเสมอ
เสียงที่เบา ≠ เสียงที่ไร้คุณค่า
ในวงดนตรีที่ดี เสียงทั้งหมดควรมี “บทบาทเชิงคุณภาพ” ที่ต่างกัน ไม่ใช่ “บทบาทเชิงอำนาจ” เราไม่ควรตีความว่าเสียงเบา = ต่ำต้อย หรือเสียงดัง = สำคัญกว่า
๐ เบสไลน์ที่นิ่ง อาจเป็นพื้นฐานของ 𝗴𝗿𝗼𝗼𝘃𝗲 ทั้งวง
๐ ฉาบเบา ๆ อาจเป็นตัวเปลี่ยนอารมณ์ของทั้งพาร์ท
๐ 𝗿𝗲𝘀𝘁 ที่แน่นิ่ง คือจังหวะของการ “เว้นวรรค” ที่ตั้งใจ
เสียงทุกเสียงควรได้รับการ อธิบายว่า “#มีค่า” อย่างไร ไม่ใช่ถูกทำให้เด็กเข้าใจว่า “ของเธอมันไม่มีอะไร”
ความเงียบในวง คือบทเรียนทางสังคม
เมื่อเด็กคนหนึ่งยืนอยู่กับเพื่อน แต่ไม่มีโน้ต หรือถูกสั่งให้ตีเบาแบบแทบไม่ได้ยิน หรือไม่มีใครฟังเสียงของเขาตอนซ้อม
เด็กจะเริ่มตั้งคำถามในใจว่า:
“เสียงของเราสำคัญมั้ย?”
“เราควรอยู่ตรงนี้หรือเปล่า?”
“ถ้าเราเงียบไปเลย…จะมีใครสังเกตมั้ย?”
และนี่คือจุดเริ่มต้นของ การถดถอยของความมั่นใจ ไม่ใช่แค่ในวงดนตรี
แต่ในบทบาทของตัวเองในชีวิตจริง
ถ้าจัดความสัมพันธ์เสียงใหม่ เด็กจะรู้ว่า “#ทุกเสียงมีคุณค่า”
วงโยฯ ที่ดีไม่ใช่วงที่ทำให้ทุกคนดังเท่ากัน แต่คือวงที่ อธิบายให้ทุกคนเข้าใจว่า “เสียงของเธอมีหน้าที่สำคัญ”
๐ 𝗦𝗼𝗹𝗼 ไม่ได้ดังกว่าแบ็กกราวด์…แค่ต่างกัน
๐ ตีกลองไม่ได้สำคัญน้อยกว่าเป่าเมโลดี้…แค่มีบทบาทที่แตกต่าง
๐ คนที่ยืนเฉย ๆ ก็ไม่ได้ไร้ค่า…ถ้าเขารู้ว่าเขากำลัง “รอจังหวะของตัวเอง”
เมื่อวงโยฯ สื่อสารให้เด็กเข้าใจคุณค่าของเสียงที่ต่างกันได้
เด็กจะกล้าฟังกัน – กล้าช่วยกัน – และกล้าแสดงตัวตนในแบบที่ไม่ต้องแย่งกันดัง
วงโยฯ คือโมเดลสังคมขนาดย่อม
เสียง = อำนาจ
การฟัง = ความสัมพันธ์
และความเงียบ = ตัวสะท้อนวัฒนธรรมที่ลึกกว่าที่เห็น
เมื่อเด็กในวงรู้สึกว่าเสียงของเขา “มีคุณค่า”
แม้จะไม่ได้ดัง…แต่ได้รับความเข้าใจ
เด็กคนนั้นจะเติบโตเป็น “#มนุษย์ที่ฟังผู้อื่น” และ “#กล้าพูดอย่างมีความหมาย”
เมื่อวงโยฯ เป็นพื้นที่ให้ “#เด็กมีเสียงของตัวเอง” พวกเขาจะโตแบบมั่นคงกว่าที่คิด
วงโยฯ ไม่ใช่แค่กิจกรรมทางดนตรี หรือการฝึกทักษะการตีเครื่องเคาะ แต่มันคือ พื้นที่สำคัญ ที่เด็ก ๆ ได้ “ฝึกพูด ฝึกฟัง และฝึกแสดงออก” ซึ่งเป็นทักษะที่ส่งผลต่อพัฒนาการด้านจิตใจและสังคมของพวกเขาในระยะยาว
เสียงของตัวเอง คือสิ่งที่วัยรุ่นต้องค้นหาและพิสูจน์
นักจิตวิทยาพัฒนาการวัยรุ่นอย่าง 𝗗𝗿. 𝗟𝗮𝘂𝗿𝗲𝗻𝗰𝗲 𝗦𝘁𝗲𝗶𝗻𝗯𝗲𝗿𝗴 ได้เน้นว่า ช่วงวัยรุ่นเป็นช่วงเวลาที่สำคัญมาก ๆ เพราะเป็นช่วงที่เด็ก ๆ กำลัง “ค้นหาเสียงของตัวเอง” ในโลกนี้ พวกเขาทดลองตั้งคำถามและท้าทายตัวเองและสังคมว่า:
๐ “เสียงของฉันสำคัญจริงไหม?”
๐ “ฉันพูดได้ไหมโดยไม่กลัวถูกปฏิเสธ?”
๐ “ฉันจะแสดงความคิดและความรู้สึกอย่างไรได้บ้าง?”
ถ้าวัยรุ่นไม่ได้รับ พื้นที่ที่ปลอดภัยและเปิดกว้าง ให้ทดลองพูดและแสดงออก เสียงของพวกเขาจะถูกกดทับ และส่งผลให้เกิดคำถามเชิงลบต่อคุณค่าของตัวเอง เช่น
“ถ้าฉันไม่กล้าพูดแสดงว่าฉันไม่มีความสำคัญหรือเปล่า?” “ถ้าความคิดของฉันไม่ถูกฟัง…ฉันควรพยายามทำไม?”
อ้างอิง:
๐ 𝗦𝘁𝗲𝗶𝗻𝗯𝗲𝗿𝗴, 𝗟. (𝟮𝟬𝟬𝟱). 𝗖𝗼𝗴𝗻𝗶𝘁𝗶𝘃𝗲 𝗮𝗻𝗱 𝗮𝗳𝗳𝗲𝗰𝘁𝗶𝘃𝗲 𝗱𝗲𝘃𝗲𝗹𝗼𝗽𝗺𝗲𝗻𝘁 𝗶𝗻 𝗮𝗱𝗼𝗹𝗲𝘀𝗰𝗲𝗻𝗰𝗲. 𝗧𝗿𝗲𝗻𝗱𝘀 𝗶𝗻 𝗖𝗼𝗴𝗻𝗶𝘁𝗶𝘃𝗲 𝗦𝗰𝗶𝗲𝗻𝗰𝗲𝘀, 𝟵(𝟮), 𝟲𝟵-𝟳𝟰.
๐ 𝗦𝘁𝗲𝗶𝗻𝗯𝗲𝗿𝗴, 𝗟. (𝟮𝟬𝟭𝟰). 𝗔𝗴𝗲 𝗼𝗳 𝗢𝗽𝗽𝗼𝗿𝘁𝘂𝗻𝗶𝘁𝘆: 𝗟𝗲𝘀𝘀𝗼𝗻𝘀 𝗳𝗿𝗼𝗺 𝘁𝗵𝗲 𝗡𝗲𝘄 𝗦𝗰𝗶𝗲𝗻𝗰𝗲 𝗼𝗳 𝗔𝗱𝗼𝗹𝗲𝘀𝗰𝗲𝗻𝗰𝗲. 𝗛𝗼𝘂𝗴𝗵𝘁𝗼𝗻 𝗠𝗶𝗳𝗳𝗹𝗶𝗻 𝗛𝗮𝗿𝗰𝗼𝘂𝗿𝘁.
วงโยฯ ที่ดีไม่ใช่วงที่ตีเสียงดังที่สุด แต่เป็นวงที่ให้เด็กกล้าพูด
วงโยฯ ที่ส่งเสริมเด็กให้ “มีเสียงของตัวเอง” คือวงที่สร้างบรรยากาศเปิดใจ ฟังกันจริง ๆ เด็กจะรู้สึกว่าพวกเขาไม่ใช่แค่ “เครื่องมือในการตีตามโน้ต” แต่เป็น “สมาชิกที่สำคัญ” ของวง
เช่น ในวงที่ดี เด็กจะกล้าพูดว่า:
๐ “ครูครับ ผมยังไม่มั่นใจ ขอซ้อมอีกได้ไหม”
เด็กไม่กลัวว่าการขอซ้อมซ้ำจะถูกมองว่า “ขี้เกียจ” หรือ “ทำไม่ได้” แต่เห็นว่าเป็นการพัฒนาตัวเองอย่างจริงจัง
๐ “ผมรู้สึกว่าท่อนนี้เราน่าจะตีแบบนี้นะครับ”
เด็กกล้าเสนอความคิดเห็นที่อาจจะแตกต่างจากครูหรือรุ่นพี่ และได้รับการตอบรับหรืออภิปรายอย่างเคารพ
๐ “น้องคนนี้ดูเครียดๆ เราช่วยอะไรได้ไหม”
เด็กในวงเริ่มสังเกตและใส่ใจ “เสียงที่ไม่ได้อยู่ในโน้ต” เช่น สัญญาณความเครียด ความรู้สึก หรือความไม่สบายใจของเพื่อน
เสียงที่ไม่ได้อยู่ในโน้ต คือเสียงของความเป็นมนุษย์
เสียงในวงโยฯ ไม่ได้มีแค่เสียงเครื่องดนตรี แต่มีเสียงของความรู้สึก การสื่อสาร และความสัมพันธ์ เด็กที่ได้รับการสนับสนุนให้พูดออกมาในแง่ของความรู้สึก หรือความต้องการจริง ๆ จะรู้สึกมั่นคงในตัวเอง และพร้อมเผชิญกับความท้าทายมากขึ้น
สิ่งเหล่านี้คือ “เสียงที่สร้างมนุษย์ในโลกแห่งความสัมพันธ์” ซึ่งสำคัญกว่าเสียงที่ดังหรือแม่นยำทางเทคนิคเสียอีก
วงโยฯ เป็นเหมือน “#โรงเรียนชีวิต” เล็ก ๆ
นอกจากสอนทักษะดนตรี วงโยฯ ยังสอนให้เด็กเรียนรู้การสื่อสารที่จริงใจ การฟังอย่างตั้งใจ และการร่วมมือกันเป็นทีม
เด็กที่มีโอกาสฝึกใช้เสียงของตัวเองในวง จะได้รับบทเรียน:
๐ การรับฟังเสียงของผู้อื่นอย่างเคารพ
๐ การแสดงความคิดอย่างกล้าหาญ
๐ การแก้ไขความขัดแย้งด้วยความเข้าใจ
สิ่งนี้จะทำให้พวกเขาเติบโตเป็นผู้ใหญ่ที่มั่นคง มีความสัมพันธ์ที่ดี และรู้จักคุณค่าของตัวเอง
เสียงของเด็กในวงโยฯ ไม่ใช่แค่เสียงดนตรี แต่มันคือเสียงของตัวตนและความมั่นใจ
วงโยฯ ที่เปิดพื้นที่ให้เด็กมีเสียงของตัวเองอย่างแท้จริง จะช่วยให้พวกเขาเติบโตเป็นมนุษย์ที่รู้จักฟัง รู้จักพูด และกล้าสื่อสารในโลกกว้าง
เพราะการที่เด็กได้ฝึกใช้เสียงของตัวเองในสังคมเล็ก ๆ แบบวงโยฯ คือการเตรียมความพร้อมที่ดีที่สุดสำหรับชีวิตจริงในอนาคต
บทสรุป เสียงที่เกิดขึ้นในวงโยธวาทิตมิได้เป็นเพียงแค่องค์ประกอบทางดนตรีที่ช่วยเติมเต็มบทเพลงเท่านั้น หากแต่เป็นเสียงที่สะท้อนถึงระบบความสัมพันธ์และโครงสร้างภายในของวงอย่างลึกซึ้ง เสียงเหล่านี้เผยให้เห็นว่า สมาชิกแต่ละคนในวงรู้สึกอย่างไรต่อบทบาทและตำแหน่งของตนเองในระบบนั้น ๆ
ประการแรก เสียงในวงบ่งบอกว่าเด็กแต่ละคนรู้สึกว่าตนเองมี “#ที่ยืน” หรือมีบทบาทที่ชัดเจนในวงหรือไม่ การที่สมาชิกรู้สึกว่าตนเองมีความสำคัญและได้รับการยอมรับ จะช่วยส่งเสริมความมั่นใจและแรงจูงใจในการพัฒนาฝีมือ ขณะเดียวกัน หากสมาชิกรู้สึกว่าตนเองไร้บทบาทหรือถูกมองข้าม เสียงของพวกเขาจะเบาลงอย่างเห็นได้ชัด และอาจสะท้อนความไม่มั่นใจหรือความรู้สึกแยกตัวออกจากกลุ่ม
ประการที่สอง เสียงในวงยังสะท้อนถึงความรู้สึกของสมาชิกว่าพวกเขาสามารถแสดงความคิดเห็นหรือสื่อสารความต้องการโดยไม่ต้องกลัว “เสียหน้า” หรือถูกตัดสินในทางลบหรือไม่ วงดนตรีที่มีวัฒนธรรมการสื่อสารเปิดกว้าง จะทำให้เด็กกล้าส่งเสียงของตนเองออกมาอย่างเต็มที่ ไม่ว่าจะเป็นการแสดงความไม่เข้าใจ การขอซ้อมเพิ่ม หรือการเสนอแนวทางตีที่คิดว่าน่าจะเหมาะสม ความกล้าแสดงออกเหล่านี้ไม่เพียงช่วยพัฒนาคุณภาพดนตรี แต่ยังส่งผลดีต่อทักษะการสื่อสารและการทำงานร่วมกับผู้อื่นในชีวิตจริง
ประการสุดท้าย วงโยธวาทิตที่ดีต้องเป็นพื้นที่ที่สมาชิกทุกคนรู้สึกว่าเสียงของตนเองถูก “#ฟัง” จริง ๆ ไม่ใช่เพียงแค่การฟังตามหน้าที่ หรือฟังเพื่อความสงบเรียบร้อยเท่านั้น การฟังอย่างตั้งใจและเปิดใจ จะช่วยสร้างบรรยากาศของความไว้วางใจและความเคารพในกันและกัน ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญของการทำงานเป็นทีมที่มีประสิทธิภาพ
ท้ายที่สุด แม้ว่าการแสดงดนตรีจะสิ้นสุดลงเมื่อจบการแสดง แต่ประสบการณ์และความเชื่อมั่นในเสียงของตัวเองที่ได้รับในช่วงเวลานั้น จะยังคงติดตัวสมาชิกไปอีกนาน และมีบทบาทสำคัญต่อการพัฒนาบุคลิกภาพ ความมั่นใจในตัวเอง และความสัมพันธ์ในสังคมของพวกเขาต่อไป
คำถาม: ในวงโยธวาทิตของคุณวันนี้ มีเสียงของสมาชิกท่านใดบ้างที่ถูกกลบหรือเบาจนแทบไม่มีใครได้ยิน ทั้งที่พวกเขาเป็นส่วนสำคัญของวงอย่างต่อเนื่อง? คุณคิดว่าจะมีวิธีใดบ้างที่จะช่วยเปิดโอกาสให้เสียงเหล่านั้นได้รับการรับฟังและมีบทบาทมากขึ้น?
การสร้างพื้นที่ให้ทุกเสียง “#ได้ยิน” อย่างเท่าเทียมกัน จะส่งผลอย่างไรต่อคุณภาพของวงและความสัมพันธ์ระหว่างสมาชิก?
คำถามเหล่านี้เชิญชวนให้เราทบทวนบทบาทของเสียงที่ไม่ได้อยู่แค่ในโน้ตเพลง แต่เป็นเสียงของมนุษย์ที่มีความคิด ความรู้สึก และความหวังในตัวเอง ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญของการสร้างสังคมดนตรีที่เข้มแข็งและยั่งยืน
Comentarios