top of page
Search

การใช้ 𝗦𝘁𝗶𝗰𝗸𝗶𝗻𝗴 𝗣𝗮𝘁𝘁𝗲𝗿𝗻 ให้สร้างสรรค์มากขึ้น 🥁

  • Writer: Dr.Kasem THipayametrakul
    Dr.Kasem THipayametrakul
  • 1 day ago
  • 6 min read
ree

𝟭. 𝗦𝘁𝗶𝗰𝗸𝗶𝗻𝗴 = ภาษา ♬



เวลาพูดถึง 𝘀𝘁𝗶𝗰𝗸𝗶𝗻𝗴 𝗽𝗮𝘁𝘁𝗲𝗿𝗻 (การจัดลำดับมือซ้าย–ขวา เช่น 𝗥 = 𝗥𝗶𝗴𝗵𝘁, 𝗟 = 𝗟𝗲𝗳𝘁) นักเรียนกลองจำนวนมากมักมองว่ามันเป็นเพียง เครื่องมือทางเทคนิค ที่ใช้ในการเอาชนะความเร็ว หรือใช้เป็น “การบ้านทางกล้ามเนื้อ” เพื่อเพิ่มความแข็งแรงของมือ แต่หากมองในเชิงลึกกว่านั้น 𝘀𝘁𝗶𝗰𝗸𝗶𝗻𝗴 ไม่ใช่เพียงการฝึกเพื่อ “ตีให้ได้” เท่านั้น หากแต่ทำหน้าที่เหมือน ภาษา ที่มือกลองใช้ในการสื่อสารกับวงดนตรีและผู้ฟัง



เช่นเดียวกับการพูดภาษา:



  𝗥 และ 𝗟 = พยัญชนะ → เป็นโครงสร้างพื้นฐานของเสียง



  𝗔𝗰𝗰𝗲𝗻𝘁 และ 𝗴𝗵𝗼𝘀𝘁 𝗻𝗼𝘁𝗲 = สระและโทนเสียง → เพิ่มความแตกต่างด้านน้ำหนักและอารมณ์



  เมื่อรวมกัน → กลายเป็น คำ ประโยค และวลีดนตรี ที่มีความหมาย



การมอง 𝘀𝘁𝗶𝗰𝗸𝗶𝗻𝗴 เป็นภาษาช่วยให้การซ้อม 𝗿𝘂𝗱𝗶𝗺𝗲𝗻𝘁𝘀 อย่าง 𝘀𝗶𝗻𝗴𝗹𝗲 𝘀𝘁𝗿𝗼𝗸𝗲 𝗿𝗼𝗹𝗹, 𝗱𝗼𝘂𝗯𝗹𝗲 𝘀𝘁𝗿𝗼𝗸𝗲 𝗿𝗼𝗹𝗹, 𝗽𝗮𝗿𝗮𝗱𝗶𝗱𝗱𝗹𝗲 หรือ 𝗳𝗹𝗮𝗺 ไม่ใช่เพียงการซ้อมมือ แต่คือการซ้อม “คำศัพท์” ที่จะนำไปใช้เล่าเรื่องในดนตรีได้จริง



  มุมมองทางวิชาการ



นักวิจัยด้าน 𝗺𝗼𝘁𝗼𝗿 𝗹𝗲𝗮𝗿𝗻𝗶𝗻𝗴 เช่น 𝗪𝘂𝗹𝗳 & 𝗟𝗲𝘄𝘁𝗵𝘄𝗮𝗶𝘁𝗲 (𝟮𝟬𝟭𝟲) ชี้ว่า การเรียนรู้ทักษะการเคลื่อนไหวจะมีประสิทธิภาพมากขึ้นหากผู้เรียนมุ่งความสนใจไปที่ ผลลัพธ์ของเสียง (𝘀𝗼𝘂𝗻𝗱 𝗼𝘂𝘁𝗰𝗼𝗺𝗲) แทนที่จะจดจ่อที่การเคลื่อนไหวของร่างกายเพียงอย่างเดียว ซึ่งตรงกับแนวคิดการมอง 𝘀𝘁𝗶𝗰𝗸𝗶𝗻𝗴 เป็น “ภาษา” เพราะการตีแต่ละครั้งไม่ใช่เป้าหมายในตัวเอง แต่เป็นหน่วยเสียงที่สามารถสร้าง “ความหมายทางดนตรี” ได้



เช่น การเล่น 𝗽𝗮𝗿𝗮𝗱𝗶𝗱𝗱𝗹𝗲 (𝗥𝗟𝗥𝗥 𝗟𝗥𝗟𝗟) หากมองเพียงว่าเป็น “ลำดับมือ” นักเรียนอาจรู้สึกว่าน่าเบื่อ แต่หากมองว่า 𝗥 และ 𝗟 คือตัวอักษร ที่สามารถจัดใหม่เพื่อสร้างประโยคดนตรี 𝗣𝗮𝗿𝗮𝗱𝗶𝗱𝗱𝗹𝗲 ก็กลายเป็น “คำพูด” ที่สามารถปรับ 𝗮𝗰𝗰𝗲𝗻𝘁, เปลี่ยนตำแหน่ง หรือย้ายไป 𝗼𝗿𝗰𝗵𝗲𝘀𝘁𝗿𝗮𝘁𝗶𝗼𝗻 ที่ต่างกันเพื่อเล่าเรื่องได้ไม่รู้จบ



  มิติของการเป็น “#ภาษา



  การสื่อสารกับผู้ฟัง


๐ การเลือก 𝗮𝗰𝗰𝗲𝗻𝘁 หนักหรือนุ่ม เปรียบเหมือนการเลือกใช้คำที่ “เสียงแข็ง” หรือ “อ่อนโยน”


๐ 𝗴𝗵𝗼𝘀𝘁 𝗻𝗼𝘁𝗲 คือคำกระซิบที่ไม่ได้พูดออกมาตรง ๆ แต่ทำให้ประโยคเต็มขึ้น



  การสื่อสารกับวง


๐ การเล่น 𝘀𝘁𝗶𝗰𝗸𝗶𝗻𝗴 ที่ชัดเจนบน 𝗵𝗶-𝗵𝗮𝘁 สามารถส่งสัญญาณ 𝗴𝗿𝗼𝗼𝘃𝗲 ให้มือเบส


๐ การเว้นช่อง (𝗿𝗲𝘀𝘁𝘀) อาจเป็นการ “เว้นวรรค” ให้กับนักร้องหรือโซโล่



  การสร้างเอกลักษณ์ส่วนตัว


๐ มือกลองแต่ละคนมี “สำเนียงภาษา” ของตนเอง เช่น 𝗦𝘁𝗲𝘃𝗲 𝗚𝗮𝗱𝗱 ใช้ 𝗽𝗮𝗿𝗮𝗱𝗶𝗱𝗱𝗹𝗲-𝗱𝗶𝗱𝗱𝗹𝗲 จนกลายเป็น 𝘀𝗶𝗴𝗻𝗮𝘁𝘂𝗿𝗲


๐ เมื่อใช้ 𝘀𝘁𝗶𝗰𝗸𝗶𝗻𝗴 ในแบบที่สอดคล้องกับบุคลิก → ผู้ฟังจำ “เสียง” ของมือกลองคนนั้นได้ทันที



คำถาม


๐ เวลาคุณซ้อม 𝗿𝘂𝗱𝗶𝗺𝗲𝗻𝘁𝘀 วันนี้ คุณซ้อมเพื่อ “ตีให้ถูก” หรือเพื่อ “สร้างคำใหม่ ๆ” ในการเล่าเรื่องดนตรี?


๐ หาก 𝗽𝗮𝗿𝗮𝗱𝗶𝗱𝗱𝗹𝗲 เป็นเพียง “คำ” คุณเคยพยายามทำให้มันกลายเป็น “ประโยค” หรือ “เรื่องราว” บ้างหรือไม่?


๐ ถ้าเปรียบกลองเป็นภาษา คุณอยากให้สำเนียงของคุณถูกจดจำว่า “พูดเร็วและแรง” หรือ “พูดชัด ลึก และมีความหมาย”?



อ้างอิง : 𝗪𝘂𝗹𝗳, 𝗚., & 𝗟𝗲𝘄𝘁𝗵𝘄𝗮𝗶𝘁𝗲, 𝗥. (𝟮𝟬𝟭𝟲). 𝗢𝗽𝘁𝗶𝗺𝗶𝘇𝗶𝗻𝗴 𝗽𝗲𝗿𝗳𝗼𝗿𝗺𝗮𝗻𝗰𝗲 𝘁𝗵𝗿𝗼𝘂𝗴𝗵 𝗶𝗻𝘁𝗿𝗶𝗻𝘀𝗶𝗰 𝗺𝗼𝘁𝗶𝘃𝗮𝘁𝗶𝗼𝗻 𝗮𝗻𝗱 𝗮𝘁𝘁𝗲𝗻𝘁𝗶𝗼𝗻 𝗳𝗼𝗿 𝗹𝗲𝗮𝗿𝗻𝗶𝗻𝗴: 𝗧𝗵𝗲 𝗢𝗣𝗧𝗜𝗠𝗔𝗟 𝘁𝗵𝗲𝗼𝗿𝘆 𝗼𝗳 𝗺𝗼𝘁𝗼𝗿 𝗹𝗲𝗮𝗿𝗻𝗶𝗻𝗴. 𝗣𝘀𝘆𝗰𝗵𝗼𝗻𝗼𝗺𝗶𝗰 𝗕𝘂𝗹𝗹𝗲𝘁𝗶𝗻 & 𝗥𝗲𝘃𝗶𝗲𝘄, 𝟮𝟯(𝟱), 𝟭𝟯𝟴𝟮–𝟭𝟰𝟭𝟰.



𝟮. มิติของ 𝗦𝘁𝗶𝗰𝗸𝗶𝗻𝗴 𝗣𝗮𝘁𝘁𝗲𝗿𝗻 ♬



การมอง 𝘀𝘁𝗶𝗰𝗸𝗶𝗻𝗴 𝗽𝗮𝘁𝘁𝗲𝗿𝗻 เพียงแค่เป็น 𝗿𝘂𝗱𝗶𝗺𝗲𝗻𝘁𝘀 (เช่น 𝘀𝗶𝗻𝗴𝗹𝗲 𝘀𝘁𝗿𝗼𝗸𝗲, 𝗱𝗼𝘂𝗯𝗹𝗲 𝘀𝘁𝗿𝗼𝗸𝗲, 𝗽𝗮𝗿𝗮𝗱𝗶𝗱𝗱𝗹𝗲) ทำให้ขอบเขตการใช้งานแคบเกินไป นักเรียนจำนวนมากจึงใช้ 𝘀𝘁𝗶𝗰𝗸𝗶𝗻𝗴 แบบท่องจำ → “𝗥 𝗟 𝗥 𝗟” หรือ “𝗥 𝗟 𝗥 𝗥 𝗟 𝗥 𝗟 𝗟” โดยไม่รู้ว่ามันสามารถแตกแขนงออกไปสู่ความสร้างสรรค์ที่กว้างไกลกว่านั้น หากมองมันในหลายมิติ จะพบว่าทุก 𝘀𝘁𝗶𝗰𝗸𝗶𝗻𝗴 ที่คุ้นเคยสามารถกลายเป็น “ประโยคใหม่” ได้เสมอ ทั้งในเชิงกลไก เสียง จังหวะ และความเป็นดนตรี



𝟭) มิติทางกลไก (𝗠𝗲𝗰𝗵𝗮𝗻𝗶𝗰𝘀)



ทุก 𝘀𝘁𝗶𝗰𝗸𝗶𝗻𝗴 𝗽𝗮𝘁𝘁𝗲𝗿𝗻 มีความสัมพันธ์โดยตรงกับร่างกายผู้เล่น การเปลี่ยนแค่ลำดับมือก็ส่งผลให้กล้ามเนื้อที่ใช้ทำงานแตกต่างทันที



เปลี่ยน 𝗮𝗰𝗰𝗲𝗻𝘁 จาก 𝗥 → 𝗟 → หากมือขวาเป็น 𝗱𝗼𝗺𝗶𝗻𝗮𝗻𝘁 การย้าย 𝗮𝗰𝗰𝗲𝗻𝘁 มาที่มือซ้ายคือการบังคับให้กล้ามเนื้อที่ไม่ถนัดพัฒนา ซึ่งเป็นการฝึกสมดุลของร่างกายโดยตรง



𝗠𝗼𝗲𝗹𝗹𝗲𝗿 𝘀𝘁𝗿𝗼𝗸𝗲 → การใช้ท่าตีแบบโบกแขน (𝘄𝗵𝗶𝗽 𝗺𝗼𝘁𝗶𝗼𝗻) ทำให้ 𝘀𝘁𝗶𝗰𝗸𝗶𝗻𝗴 𝗽𝗮𝘁𝘁𝗲𝗿𝗻 ที่เดิมต้องใช้แรงมาก กลับเบาและไหลลื่นขึ้น



𝗥𝗲𝗯𝗼𝘂𝗻𝗱 𝗰𝗼𝗻𝘁𝗿𝗼𝗹 → เมื่อเข้าใจการปล่อยไม้เด้งกลับ (𝗿𝗲𝗯𝗼𝘂𝗻𝗱) 𝘀𝘁𝗶𝗰𝗸𝗶𝗻𝗴 อย่าง 𝗱𝗼𝘂𝗯𝗹𝗲 𝘀𝘁𝗿𝗼𝗸𝗲 จะไม่ใช่ “การออกแรงสองครั้ง” แต่เป็น “ครั้งเดียว + การปล่อยให้เด้ง”



𝗙𝗶𝗻𝗴𝗲𝗿 𝗰𝗼𝗻𝘁𝗿𝗼𝗹 → ยิ่ง 𝗽𝗮𝘁𝘁𝗲𝗿𝗻 ซับซ้อน เช่น 𝗽𝗮𝗿𝗮𝗱𝗶𝗱𝗱𝗹𝗲-𝗱𝗶𝗱𝗱𝗹𝗲 การใช้ปลายนิ้วช่วยควบคุม จะทำให้สามารถเล่นได้เร็วและยาวนานโดยไม่เมื่อย



มิติ 𝗺𝗲𝗰𝗵𝗮𝗻𝗶𝗰𝘀 สอนให้เห็นว่า 𝘀𝘁𝗶𝗰𝗸𝗶𝗻𝗴 ไม่ใช่ “การสั่งมือซ้าย-ขวา” แต่คือ การสื่อสารกับร่างกาย ว่าจะใช้แรงอย่างไรให้มีประสิทธิภาพ



𝟮) มิติทางเสียง (𝗦𝗼𝘂𝗻𝗱)



เมื่อย้ายตำแหน่งการตี เสียงและอารมณ์จะเปลี่ยนไปทันที แม้ 𝘀𝘁𝗶𝗰𝗸𝗶𝗻𝗴 จะเหมือนเดิม 𝟭𝟬𝟬%



  𝗣𝗮𝗿𝗮𝗱𝗶𝗱𝗱𝗹𝗲 บน 𝗵𝗶-𝗵𝗮𝘁 + 𝘀𝗻𝗮𝗿𝗲 → ให้ 𝗴𝗿𝗼𝗼𝘃𝗲 ที่ 𝘁𝗶𝗴𝗵𝘁 และคม



  𝗣𝗮𝗿𝗮𝗱𝗶𝗱𝗱𝗹𝗲 เดียวกันบน 𝗿𝗶𝗱𝗲 + 𝘁𝗼𝗺 → ให้ 𝘁𝗲𝘅𝘁𝘂𝗿𝗲 ที่เปิดกว้างและชวนลอย



การสลับ 𝘀𝘁𝗶𝗰𝗸 บน 𝘀𝗻𝗮𝗿𝗲 / 𝗿𝗶𝗺 / 𝗿𝗶𝗺𝘀𝗵𝗼𝘁 → แม้ 𝗽𝗮𝘁𝘁𝗲𝗿𝗻 เดิม แต่เสียงและพลังงานทางอารมณ์ต่างกันโดยสิ้นเชิง



การ 𝗼𝗿𝗰𝗵𝗲𝘀𝘁𝗿𝗮𝘁𝗶𝗼𝗻 𝘀𝘁𝗶𝗰𝗸𝗶𝗻𝗴 (เช่น 𝗥 ตีบน 𝘀𝗻𝗮𝗿𝗲, 𝗟 ตีบน 𝗳𝗹𝗼𝗼𝗿 𝘁𝗼𝗺) ทำให้เกิดเสียง 𝘀𝘁𝗲𝗿𝗲𝗼 𝗲𝗳𝗳𝗲𝗰𝘁 ที่ขยายมิติของเพลง



 มิติ 𝘀𝗼𝘂𝗻𝗱 ทำให้เข้าใจว่า 𝘀𝘁𝗶𝗰𝗸𝗶𝗻𝗴 = “สัญลักษณ์” ที่ยังไม่สมบูรณ์ ต้องแปลเป็น “เสียงจริง” ก่อนจึงจะกลายเป็นดนตรี



𝟯) มิติทางจังหวะ (𝗥𝗵𝘆𝘁𝗵𝗺)



การมอง 𝘀𝘁𝗶𝗰𝗸𝗶𝗻𝗴 ในฐานะจังหวะเปิดโอกาสให้สร้างความรู้สึกใหม่ ๆ โดยไม่ต้องเปลี่ยน 𝗽𝗮𝘁𝘁𝗲𝗿𝗻



  𝗣𝗮𝗿𝗮𝗱𝗶𝗱𝗱𝗹𝗲 ใน 𝟭𝟲𝘁𝗵 𝗻𝗼𝘁𝗲 𝗳𝗲𝗲𝗹 → ฟังเป็น 𝗴𝗿𝗼𝗼𝘃𝗲 ธรรมดา



  𝗣𝗮𝗿𝗮𝗱𝗶𝗱𝗱𝗹𝗲 เดียวกันใน 𝘁𝗿𝗶𝗽𝗹𝗲𝘁 𝗳𝗲𝗲𝗹 → กลายเป็น 𝗴𝗿𝗼𝗼𝘃𝗲 ที่โยกและ 𝘀𝘄𝗶𝗻𝗴



𝗗𝗶𝘀𝗽𝗹𝗮𝗰𝗲𝗺𝗲𝗻𝘁 → การเลื่อน 𝗮𝗰𝗰𝗲𝗻𝘁 ไปครึ่ง 𝗯𝗲𝗮𝘁 หรือ 𝟭/𝟭𝟲 ทำให้ผู้ฟังรู้สึกว่า 𝗴𝗿𝗼𝗼𝘃𝗲 “สะดุด” แต่ยังอยู่ในกรอบ → เกิด 𝘁𝗲𝗻𝘀𝗶𝗼𝗻 และ 𝗿𝗲𝗹𝗲𝗮𝘀𝗲



𝗣𝗼𝗹𝘆𝗿𝗵𝘆𝘁𝗵𝗺 𝘀𝘁𝗶𝗰𝗸𝗶𝗻𝗴 → นำ 𝘀𝘁𝗶𝗰𝗸𝗶𝗻𝗴 𝟯-𝗻𝗼𝘁𝗲 (𝗥 𝗟 𝗥) เล่นซ้ำใน 𝗳𝗲𝗲𝗹 𝟰/𝟰 → จะเกิด 𝗰𝗿𝗼𝘀𝘀-𝗿𝗵𝘆𝘁𝗵𝗺 ที่ซ้อนทับกัน ฟังเหมือน 𝗴𝗿𝗼𝗼𝘃𝗲 ซับซ้อนแต่แท้จริงคือ 𝘀𝘁𝗶𝗰𝗸𝗶𝗻𝗴 ง่าย ๆ



 มิติ 𝗿𝗵𝘆𝘁𝗵𝗺 ทำให้เห็นว่า 𝘀𝘁𝗶𝗰𝗸𝗶𝗻𝗴 = โครงสร้างเวลา ที่สามารถเลื่อนได้ ขยายได้ และซ้อนกันได้



𝟰) มิติทางดนตรี (𝗠𝘂𝘀𝗶𝗰𝗮𝗹𝗶𝘁𝘆)



ท้ายที่สุด 𝘀𝘁𝗶𝗰𝗸𝗶𝗻𝗴 𝗽𝗮𝘁𝘁𝗲𝗿𝗻 ไม่ควรถูกใช้เพื่อ “โชว์ว่าซ้อม 𝗿𝘂𝗱𝗶𝗺𝗲𝗻𝘁𝘀 มาเยอะ” แต่ควรถูกใช้เหมือน กล่องเครื่องมือ (𝘁𝗼𝗼𝗹𝗯𝗼𝘅) ที่เลือกหยิบเมื่อเพลงต้องการ



หากเพลงเป็น 𝗯𝗮𝗹𝗹𝗮𝗱 ที่อ่อนโยน → 𝗽𝗮𝗿𝗮𝗱𝗶𝗱𝗱𝗹𝗲 ที่ตีเบา ๆ ด้วย 𝗯𝗿𝘂𝘀𝗵 อาจเหมาะกว่าการใส่ 𝗳𝗶𝗹𝗹-𝗶𝗻 ที่ซับซ้อน



หากเพลงร็อกต้องการพลังตรงไปตรงมา → 𝘀𝗶𝗻𝗴𝗹𝗲 𝘀𝘁𝗿𝗼𝗸𝗲 ที่ 𝘀𝘁𝗲𝗮𝗱𝘆 บน 𝗵𝗶-𝗵𝗮𝘁 อาจสร้างพลังได้มากกว่าการโชว์ 𝘀𝘁𝗶𝗰𝗸 𝘁𝗿𝗶𝗰𝗸



ในการ 𝗶𝗺𝗽𝗿𝗼𝘃𝗶𝘀𝗮𝘁𝗶𝗼𝗻 → 𝘀𝘁𝗶𝗰𝗸𝗶𝗻𝗴 ที่เปลี่ยน 𝗮𝗰𝗰𝗲𝗻𝘁 และ 𝗼𝗿𝗰𝗵𝗲𝘀𝘁𝗿𝗮𝘁𝗶𝗼𝗻 ตลอดเวลา สามารถเล่าเรื่องดนตรีได้โดยไม่ต้องคิด “ลิคส์ใหม่” เสมอ



 มิติ 𝗺𝘂𝘀𝗶𝗰𝗮𝗹𝗶𝘁𝘆 ทำให้ 𝘀𝘁𝗶𝗰𝗸𝗶𝗻𝗴 = เครื่องมือเล่าเรื่อง ไม่ใช่เป้าหมายในตัวเอง



คำถาม


๐ คุณเคยลอง “ย้าย 𝗽𝗮𝘁𝘁𝗲𝗿𝗻 เดิม” ไปอยู่บนเครื่องอื่น โดยไม่เปลี่ยน 𝘀𝘁𝗶𝗰𝗸𝗶𝗻𝗴 ไหม?


๐ ผลลัพธ์ทางเสียงที่ได้ ทำให้คุณคิดว่า 𝗽𝗮𝘁𝘁𝗲𝗿𝗻 นี้มี “อารมณ์ใหม่” อย่างไร?


๐ เมื่อคุณใช้ 𝘀𝘁𝗶𝗰𝗸𝗶𝗻𝗴 ในการเล่นเพลงจริง คุณใช้มันเพื่อ “โชว์ว่าฝึกมาแล้ว” หรือเพื่อ “เติมเต็มสิ่งที่เพลงต้องการ”?



𝟯. เทคนิคการสร้างสรรค์จาก 𝗦𝘁𝗶𝗰𝗸𝗶𝗻𝗴 เดิม ♬



การฝึก 𝘀𝘁𝗶𝗰𝗸𝗶𝗻𝗴 ไม่จำเป็นต้องเป็นเพียง “การท่อง 𝗿𝘂𝗱𝗶𝗺𝗲𝗻𝘁𝘀” แต่สามารถพัฒนาให้เป็นแหล่งสร้างสรรค์ที่ไร้ขอบเขตได้ สิ่งสำคัญคือการมองว่า 𝘀𝘁𝗶𝗰𝗸𝗶𝗻𝗴 คือ “แม่แบบ” (𝘁𝗲𝗺𝗽𝗹𝗮𝘁𝗲) ที่สามารถแตกแขนงออกไปเป็น 𝗴𝗿𝗼𝗼𝘃𝗲, 𝘁𝗲𝘅𝘁𝘂𝗿𝗲, 𝗳𝗶𝗹𝗹 หรือแม้แต่ไอเดีย 𝗶𝗺𝗽𝗿𝗼𝘃𝗶𝘀𝗮𝘁𝗶𝗼𝗻 ได้ เมื่อเริ่มต้นจาก 𝘀𝘁𝗶𝗰𝗸𝗶𝗻𝗴 เดิม ๆ เช่น 𝗽𝗮𝗿𝗮𝗱𝗶𝗱𝗱𝗹𝗲 หรือ 𝗱𝗼𝘂𝗯𝗹𝗲 𝘀𝘁𝗿𝗼𝗸𝗲 การปรับแค่ 𝗮𝗰𝗰𝗲𝗻𝘁, 𝗼𝗿𝗰𝗵𝗲𝘀𝘁𝗿𝗮𝘁𝗶𝗼𝗻 หรือการเลื่อนจังหวะ ก็สามารถเปลี่ยนการตีธรรมดาให้กลายเป็นดนตรีที่มีชีวิตชีวา



𝟯.𝟭 𝗣𝗮𝗿𝗮𝗱𝗶𝗱𝗱𝗹𝗲 → 𝗚𝗿𝗼𝗼𝘃𝗲



𝗣𝗮𝗿𝗮𝗱𝗶𝗱𝗱𝗹𝗲 (𝗥𝗟𝗥𝗥 𝗟𝗥𝗟𝗟) ถือเป็น 𝗿𝘂𝗱𝗶𝗺𝗲𝗻𝘁 พื้นฐาน แต่เมื่อใส่ 𝗮𝗰𝗰𝗲𝗻𝘁 อย่างตั้งใจ มันสามารถกลายเป็น 𝗴𝗿𝗼𝗼𝘃𝗲 ที่มีชีวิตได้ทันที



𝗔𝗰𝗰𝗲𝗻𝘁 บนโน้ตแรกของแต่ละกลุ่ม → เกิด 𝗳𝗹𝗼𝘄 ที่ต่อเนื่องเหมือนคลื่น (𝘄𝗮𝘃𝗲-𝗹𝗶𝗸𝗲 𝗺𝗼𝘁𝗶𝗼𝗻) ฟังแล้ว 𝘀𝗺𝗼𝗼𝘁𝗵 และ 𝗻𝗮𝘁𝘂𝗿𝗮𝗹 ผู้ฟังจะสัมผัสได้ถึงความ “ไหล” แม้กลองจะตี 𝗽𝗮𝘁𝘁𝗲𝗿𝗻 ซ้ำ ๆ



𝗔𝗰𝗰𝗲𝗻𝘁 บนโน้ตที่สอง → สร้างความรู้สึก 𝘀𝘆𝗻𝗰𝗼𝗽𝗮𝘁𝗶𝗼𝗻 เพราะการเน้นไม่ได้อยู่บน 𝗯𝗲𝗮𝘁 หลักอีกต่อไป แต่เลื่อนไปในตำแหน่งที่ไม่คาดคิด ผลลัพธ์คือ 𝗴𝗿𝗼𝗼𝘃𝗲 ที่ “กวนหู” คล้ายการสะดุดเล็กน้อย แต่กลับทำให้เพลงมีชีวิตชีวาและดึงดูดความสนใจ



 𝗣𝗮𝗿𝗮𝗱𝗶𝗱𝗱𝗹𝗲 จึงเป็นตัวอย่างที่ดีของการ “เปลี่ยนจากแบบฝึก → ดนตรี” เพียงเพราะการวาง 𝗮𝗰𝗰𝗲𝗻𝘁 ต่างตำแหน่ง



𝟯.𝟮 𝗗𝗼𝘂𝗯𝗹𝗲 𝗦𝘁𝗿𝗼𝗸𝗲 → 𝗧𝗲𝘅𝘁𝘂𝗿𝗲



𝗗𝗼𝘂𝗯𝗹𝗲 𝘀𝘁𝗿𝗼𝗸𝗲 (𝗥𝗥, 𝗟𝗟) เป็น 𝗿𝘂𝗱𝗶𝗺𝗲𝗻𝘁 ที่นักเรียนมักใช้เพื่อฝึกความเร็ว แต่จริง ๆ แล้วสามารถใช้เพื่อสร้าง 𝘁𝗲𝘅𝘁𝘂𝗿𝗲 ที่ละเอียดอ่อนภายใต้ 𝗴𝗿𝗼𝗼𝘃𝗲 ได้



การใช้ 𝗱𝗼𝘂𝗯𝗹𝗲 𝘀𝘁𝗿𝗼𝗸𝗲 เป็น 𝗴𝗵𝗼𝘀𝘁 𝗻𝗼𝘁𝗲 → เช่น แทรก 𝗥𝗥 หรือ 𝗟𝗟 เบา ๆ ลงบน 𝘀𝗻𝗮𝗿𝗲 ขณะเล่น 𝗴𝗿𝗼𝗼𝘃𝗲 หลัก จะเกิด “เสียงพร่า (𝘀𝗵𝗶𝗺𝗺𝗲𝗿)” ที่ไม่เด่นชัด แต่เพิ่มความลึก (𝗱𝗲𝗽𝘁𝗵) ให้กับจังหวะ



ในแนว 𝗷𝗮𝘇𝘇 หรือ 𝗥&𝗕 → 𝗱𝗼𝘂𝗯𝗹𝗲 𝘀𝘁𝗿𝗼𝗸𝗲 แบบเบา ๆ ทำให้ 𝗴𝗿𝗼𝗼𝘃𝗲 ฟัง “หรู” และเต็มมากขึ้น โดยไม่จำเป็นต้องเพิ่มเครื่องดนตรีอื่น



 จากแบบฝึกแห้ง ๆ ที่เน้นความแม่น การนำ 𝗱𝗼𝘂𝗯𝗹𝗲 𝘀𝘁𝗿𝗼𝗸𝗲 มาใช้เชิง 𝘁𝗲𝘅𝘁𝘂𝗿𝗲 ทำให้กลองมีมิติและบรรยากาศใหม่



𝟯.𝟯 𝗦𝘁𝗶𝗰𝗸𝗶𝗻𝗴 + 𝗢𝗿𝗰𝗵𝗲𝘀𝘁𝗿𝗮𝘁𝗶𝗼𝗻



การ 𝗼𝗿𝗰𝗵𝗲𝘀𝘁𝗿𝗮𝘁𝗶𝗼𝗻 หมายถึงการ “จัดวางเสียง” ของ 𝘀𝘁𝗶𝗰𝗸𝗶𝗻𝗴 บนเครื่องกลองต่าง ๆ การเปลี่ยนแค่ตำแหน่งตีทำให้ 𝗽𝗮𝘁𝘁𝗲𝗿𝗻 เดิมมีอารมณ์ใหม่ทันที



  𝗣𝗮𝗿𝗮𝗱𝗶𝗱𝗱𝗹𝗲 บน 𝘀𝗻𝗮𝗿𝗲 → เป็นแบบฝึกพื้นฐาน



𝗣𝗮𝗿𝗮𝗱𝗶𝗱𝗱𝗹𝗲 (𝗥 = 𝘀𝗻𝗮𝗿𝗲, 𝗟 = 𝗵𝗶-𝗵𝗮𝘁) → กลายเป็น 𝗴𝗿𝗼𝗼𝘃𝗲 𝗳𝘂𝗻𝗸 ที่มีการสลับเสียง 𝘀𝗻𝗮𝗿𝗲-𝗵𝗶-𝗵𝗮𝘁 ให้เกิดการเคลื่อนไหวทาง 𝘀𝘁𝗲𝗿𝗲𝗼



𝗣𝗮𝗿𝗮𝗱𝗶𝗱𝗱𝗹𝗲 (𝗥 = 𝗿𝗶𝗱𝗲, 𝗟 = 𝘀𝗻𝗮𝗿𝗲 + 𝗯𝗮𝘀𝘀 𝗱𝗿𝘂𝗺) → กลายเป็น 𝗳𝘂𝘀𝗶𝗼𝗻 𝗹𝗶𝗰𝗸 ที่มีความซับซ้อน ฟังเป็นเมโลดิกและมีพลังมากขึ้น



𝗢𝗿𝗰𝗵𝗲𝘀𝘁𝗿𝗮𝘁𝗶𝗼𝗻 ทำให้เห็นว่า 𝘀𝘁𝗶𝗰𝗸𝗶𝗻𝗴 ไม่ได้จำกัดอยู่บน 𝘀𝗻𝗮𝗿𝗲 แต่สามารถ “ท่องไปทั่ว 𝘀𝗲𝘁” และกลายเป็นประโยคดนตรีที่สดใหม่ได้เสมอ



𝟯.𝟰 𝗠𝗲𝘁𝗿𝗶𝗰 𝗗𝗶𝘀𝗽𝗹𝗮𝗰𝗲𝗺𝗲𝗻𝘁



หนึ่งในวิธีสร้างความตื่นเต้นที่สุดคือการเลื่อน (𝗱𝗶𝘀𝗽𝗹𝗮𝗰𝗲) 𝘀𝘁𝗶𝗰𝗸𝗶𝗻𝗴 ออกจากจุดที่ผู้ฟังคาดการณ์ไว้



  𝗣𝗮𝗿𝗮𝗱𝗶𝗱𝗱𝗹𝗲 ที่เล่นตรง 𝗯𝗲𝗮𝘁 → ฟังมั่นคงและชัดเจน



𝗣𝗮𝗿𝗮𝗱𝗶𝗱𝗱𝗹𝗲 ที่ 𝗮𝗰𝗰𝗲𝗻𝘁 ถูกเลื่อนคร่อม 𝗯𝗲𝗮𝘁 → ผู้ฟังจะรู้สึกว่า 𝗴𝗿𝗼𝗼𝘃𝗲 “หลุด” แต่เมื่อ 𝗽𝗮𝘁𝘁𝗲𝗿𝗻 กลับเข้าสู่ที่เดิม จะเกิด 𝘁𝗲𝗻𝘀𝗶𝗼𝗻 → 𝗿𝗲𝗹𝗲𝗮𝘀𝗲 ที่สร้างอารมณ์เร้าใจ



𝗗𝗶𝘀𝗽𝗹𝗮𝗰𝗲𝗺𝗲𝗻𝘁 คือการ “เล่นกับความคาดหวังของผู้ฟัง” ซึ่งเป็นหลักการเดียวกับการเล่าเรื่องดนตรี (𝗺𝘂𝘀𝗶𝗰𝗮𝗹 𝘀𝘁𝗼𝗿𝘆𝘁𝗲𝗹𝗹𝗶𝗻𝗴) → ความตึงเครียดที่ปล่อยออกในจังหวะที่ถูกต้องจะสร้าง 𝗶𝗺𝗽𝗮𝗰𝘁 ที่มากกว่าการตีตรง ๆ ตลอดเวลา



คำถาม


๐ ถ้าคุณเอา 𝗽𝗮𝗿𝗮𝗱𝗶𝗱𝗱𝗹𝗲 เดียวไปเล่น 𝟯 วิธี:


        𝟭 บน 𝘀𝗻𝗮𝗿𝗲 เท่านั้น,


        𝟮 𝗢𝗿𝗰𝗵𝗲𝘀𝘁𝗿𝗮𝘁𝗶𝗼𝗻 บนเครื่องต่าง ๆ,


𝟯 𝗗𝗶𝘀𝗽𝗹𝗮𝗰𝗲𝗺𝗲𝗻𝘁 𝗮𝗰𝗰𝗲𝗻𝘁 ให้คร่อม 𝗯𝗲𝗮𝘁 —คุณคิดว่าอันไหน “ยังเป็น 𝗽𝗮𝗿𝗮𝗱𝗶𝗱𝗱𝗹𝗲” ที่แท้จริง?


๐ การเปลี่ยนตำแหน่ง 𝗮𝗰𝗰𝗲𝗻𝘁 ทำให้ 𝗽𝗮𝘁𝘁𝗲𝗿𝗻 เดิม “เปลี่ยนความหมาย” อย่างไรในมุมมองของคุณ?


๐ เมื่อคุณใช้ 𝘀𝘁𝗶𝗰𝗸𝗶𝗻𝗴 ในการแสดงสด คุณเลือกใช้มันเพื่อ “โชว์” หรือเพื่อ “สร้างบทสนทนากับผู้ฟัง”?



𝟰. งานวิจัยที่เกี่ยวข้อง ♬



การมอง 𝘀𝘁𝗶𝗰𝗸𝗶𝗻𝗴 𝗽𝗮𝘁𝘁𝗲𝗿𝗻 ในฐานะ “เครื่องมือสร้างสรรค์” ไม่ได้เป็นเพียงมุมมองทางดนตรีเท่านั้น แต่ยังสอดคล้องกับงานวิจัยด้าน 𝗺𝗼𝘁𝗼𝗿 𝗹𝗲𝗮𝗿𝗻𝗶𝗻𝗴 และ 𝗺𝘂𝘀𝗶𝗰 𝗰𝗼𝗴𝗻𝗶𝘁𝗶𝗼𝗻 ที่ช่วยอธิบายว่าทำไมการซ้อมบางรูปแบบถึงทำให้การเรียนรู้ดนตรีมีประสิทธิภาพมากกว่า



𝟰.𝟭 การเปลี่ยน 𝗙𝗼𝗰𝘂𝘀 ในการเรียนรู้ (𝗪𝘂𝗹𝗳 & 𝗟𝗲𝘄𝘁𝗵𝘄𝗮𝗶𝘁𝗲, 𝟮𝟬𝟭𝟲)



งานของ 𝗪𝘂𝗹𝗳 & 𝗟𝗲𝘄𝘁𝗵𝘄𝗮𝗶𝘁𝗲 (𝟮𝟬𝟭𝟲) เกี่ยวกับ 𝗺𝗼𝘁𝗼𝗿 𝗹𝗲𝗮𝗿𝗻𝗶𝗻𝗴 พบว่า การเรียนรู้การเคลื่อนไหวจะมีประสิทธิภาพมากขึ้นหากผู้เรียนโฟกัสไปที่ “ผลลัพธ์ของการเคลื่อนไหว” (𝗲𝘅𝘁𝗲𝗿𝗻𝗮𝗹 𝗳𝗼𝗰𝘂𝘀) มากกว่าการโฟกัสไปที่ “การควบคุมร่างกาย” ของตนเอง (𝗶𝗻𝘁𝗲𝗿𝗻𝗮𝗹 𝗳𝗼𝗰𝘂𝘀)



𝗜𝗻𝘁𝗲𝗿𝗻𝗮𝗹 𝗳𝗼𝗰𝘂𝘀: นักเรียนที่ซ้อม 𝘀𝘁𝗶𝗰𝗸𝗶𝗻𝗴 โดยคิดว่า “มือซ้ายต้องตรงแบบนี้ นิ้วโป้งวางแบบนั้น” → ผลลัพธ์คือร่างกายแข็งเกร็ง และเรียนรู้ได้ช้า



𝗘𝘅𝘁𝗲𝗿𝗻𝗮𝗹 𝗳𝗼𝗰𝘂𝘀: นักเรียนที่ซ้อม 𝘀𝘁𝗶𝗰𝗸𝗶𝗻𝗴 โดยคิดว่า “เสียงนี้ต้องเบาเหมือนกระซิบ, 𝗮𝗰𝗰𝗲𝗻𝘁 นี้ต้องเด้งให้ 𝗴𝗿𝗼𝗼𝘃𝗲 เคลื่อน” → สมองจะเชื่อมโยงการเคลื่อนไหวเข้ากับเป้าหมายทางเสียง ทำให้การเล่น “เป็นธรรมชาติ” มากขึ้น



นี่ชี้ว่า การซ้อม 𝘀𝘁𝗶𝗰𝗸𝗶𝗻𝗴 ไม่ควรหยุดอยู่ที่การ “ทำมือให้ถูก” แต่ควรถามว่า “𝗽𝗮𝘁𝘁𝗲𝗿𝗻 นี้กำลังเล่าเรื่องอะไร” เช่น 𝗽𝗮𝗿𝗮𝗱𝗶𝗱𝗱𝗹𝗲 อาจเล่าเรื่องการไหล, 𝗱𝗼𝘂𝗯𝗹𝗲 𝘀𝘁𝗿𝗼𝗸𝗲 อาจเล่าเรื่องการกระเพื่อมของพลังงาน → เมื่อโฟกัสที่เสียง ผลลัพธ์คือทั้งเทคนิคและการสื่อสารดนตรีดีขึ้นพร้อมกัน



𝟰.𝟮 การสร้างความคาดหวังทางจังหวะ (𝗟𝗮𝗿𝗴𝗲 & 𝗝𝗼𝗻𝗲𝘀, 𝟭𝟵𝟵𝟵)



งานของ 𝗟𝗮𝗿𝗴𝗲 & 𝗝𝗼𝗻𝗲𝘀 (𝟭𝟵𝟵𝟵) เกี่ยวกับ 𝗱𝘆𝗻𝗮𝗺𝗶𝗰 𝗮𝘁𝘁𝗲𝗻𝗱𝗶𝗻𝗴 𝘁𝗵𝗲𝗼𝗿𝘆 อธิบายว่า สมองมนุษย์ไม่ได้ฟังจังหวะเพียงอย่างเดียว แต่จะสร้าง “𝗲𝘅𝗽𝗲𝗰𝘁𝗮𝘁𝗶𝗼𝗻 𝗼𝗳 𝗿𝗵𝘆𝘁𝗵𝗺” หรือความคาดหวังว่าจังหวะถัดไปควรจะเป็นอย่างไรอยู่ตลอดเวลา



  เมื่อ 𝘀𝘁𝗶𝗰𝗸𝗶𝗻𝗴 𝗽𝗮𝘁𝘁𝗲𝗿𝗻 เล่นซ้ำ → สมองผู้ฟังจะสร้างแบบจำลองว่า “เสียงต่อไปควรอยู่ตรงนี้”



เมื่อมือกลอง เปลี่ยน 𝘀𝘁𝗶𝗰𝗸𝗶𝗻𝗴 อย่างผิดคาด เช่น เปลี่ยน 𝗮𝗰𝗰𝗲𝗻𝘁 ไปอยู่ตำแหน่งที่ผู้ฟังไม่คาดหวัง หรือเลื่อน 𝗽𝗮𝘁𝘁𝗲𝗿𝗻 ออกไปครึ่ง 𝗯𝗲𝗮𝘁 → สมองจะถูกกระตุ้นให้ “ตื่นตัว” และสนใจมากขึ้น



หมายความว่า การใช้ 𝘀𝘁𝗶𝗰𝗸𝗶𝗻𝗴 แบบเดิมซ้ำ ๆ อาจสร้าง 𝘀𝗲𝗻𝘀𝗲 𝗼𝗳 𝘀𝘁𝗮𝗯𝗶𝗹𝗶𝘁𝘆 ให้ผู้ฟัง แต่ถ้าต้องการสร้าง ความเซอร์ไพรส์ หรือ ความตื่นเต้น มือกลองสามารถเปลี่ยน 𝘀𝘁𝗶𝗰𝗸𝗶𝗻𝗴 𝗽𝗮𝘁𝘁𝗲𝗿𝗻 เพียงเล็กน้อย ก็เพียงพอที่จะทำให้ผู้ฟังรู้สึกว่าเพลง “มีชีวิต”



𝟰.𝟯 เชื่อมโยงสองงานวิจัย



หากนำงานทั้งสองมามองร่วมกัน จะได้ภาพที่ชัดเจนขึ้นว่า 𝘀𝘁𝗶𝗰𝗸𝗶𝗻𝗴 𝗽𝗮𝘁𝘁𝗲𝗿𝗻 ไม่ใช่แค่เทคนิค แต่คือเครื่องมือสื่อสาร



  จาก 𝗪𝘂𝗹𝗳 & 𝗟𝗲𝘄𝘁𝗵𝘄𝗮𝗶𝘁𝗲 (𝟮𝟬𝟭𝟲) → มือกลองควรโฟกัสที่ “เสียงและอารมณ์” มากกว่าการ “ควบคุมมือ”



จาก 𝗟𝗮𝗿𝗴𝗲 & 𝗝𝗼𝗻𝗲𝘀 (𝟭𝟵𝟵𝟵) → การเล่น 𝘀𝘁𝗶𝗰𝗸𝗶𝗻𝗴 ที่ “คงที่” สร้างความมั่นคง (𝗲𝘅𝗽𝗲𝗰𝘁𝗮𝘁𝗶𝗼𝗻) แต่การเปลี่ยนแบบไม่คาดคิดช่วยสร้างความตื่นเต้น (𝘀𝘂𝗿𝗽𝗿𝗶𝘀𝗲)


ดังนั้น การซ้อม 𝘀𝘁𝗶𝗰𝗸𝗶𝗻𝗴 อย่างสร้างสรรค์จึงไม่ใช่การท่องจำเพื่อความเร็ว แต่คือการเรียนรู้ที่จะ “จัดการกับความคาดหวังของผู้ฟัง” และ “เล่าเรื่องผ่านเสียง”



คำถาม


๐ เวลาคุณซ้อม 𝘀𝘁𝗶𝗰𝗸𝗶𝗻𝗴 คุณโฟกัสไปที่ ตำแหน่งมือ หรือโฟกัสไปที่ ผลลัพธ์ทางเสียง มากกว่ากัน?


๐ คุณเคยลองเปลี่ยน 𝗮𝗰𝗰𝗲𝗻𝘁 ของ 𝘀𝘁𝗶𝗰𝗸𝗶𝗻𝗴 ในจังหวะที่ “ผิดคาด” เพื่อดูว่าผู้ฟัง (หรือเพื่อนในวง) มีปฏิกิริยาอย่างไรหรือไม่?


๐ ถ้าเปรียบการเล่นกลองเป็นการเล่าเรื่อง คุณอยากให้ 𝘀𝘁𝗶𝗰𝗸𝗶𝗻𝗴 ของคุณ “คาดเดาได้และมั่นคง” หรือ “เต็มไปด้วยความเซอร์ไพรส์”?



 อ้างอิง


๐ 𝗪𝘂𝗹𝗳, 𝗚., & 𝗟𝗲𝘄𝘁𝗵𝘄𝗮𝗶𝘁𝗲, 𝗥. (𝟮𝟬𝟭𝟲). 𝗢𝗽𝘁𝗶𝗺𝗶𝘇𝗶𝗻𝗴 𝗽𝗲𝗿𝗳𝗼𝗿𝗺𝗮𝗻𝗰𝗲 𝘁𝗵𝗿𝗼𝘂𝗴𝗵 𝗶𝗻𝘁𝗿𝗶𝗻𝘀𝗶𝗰 𝗺𝗼𝘁𝗶𝘃𝗮𝘁𝗶𝗼𝗻 𝗮𝗻𝗱 𝗮𝘁𝘁𝗲𝗻𝘁𝗶𝗼𝗻 𝗳𝗼𝗿 𝗹𝗲𝗮𝗿𝗻𝗶𝗻𝗴: 𝗧𝗵𝗲 𝗢𝗣𝗧𝗜𝗠𝗔𝗟 𝘁𝗵𝗲𝗼𝗿𝘆 𝗼𝗳 𝗺𝗼𝘁𝗼𝗿 𝗹𝗲𝗮𝗿𝗻𝗶𝗻𝗴. 𝗣𝘀𝘆𝗰𝗵𝗼𝗻𝗼𝗺𝗶𝗰 𝗕𝘂𝗹𝗹𝗲𝘁𝗶𝗻 & 𝗥𝗲𝘃𝗶𝗲𝘄, 𝟮𝟯(𝟱), 𝟭𝟯𝟴𝟮–𝟭𝟰𝟭𝟰.


๐ 𝗟𝗮𝗿𝗴𝗲, 𝗘. 𝗪., & 𝗝𝗼𝗻𝗲𝘀, 𝗠. 𝗥. (𝟭𝟵𝟵𝟵). 𝗧𝗵𝗲 𝗱𝘆𝗻𝗮𝗺𝗶𝗰𝘀 𝗼𝗳 𝗮𝘁𝘁𝗲𝗻𝗱𝗶𝗻𝗴: 𝗛𝗼𝘄 𝗽𝗲𝗼𝗽𝗹𝗲 𝘁𝗿𝗮𝗰𝗸 𝘁𝗶𝗺𝗲-𝘃𝗮𝗿𝘆𝗶𝗻𝗴 𝗲𝘃𝗲𝗻𝘁𝘀. 𝗣𝘀𝘆𝗰𝗵𝗼𝗹𝗼𝗴𝗶𝗰𝗮𝗹 𝗥𝗲𝘃𝗶𝗲𝘄, 𝟭𝟬𝟲(𝟭), 𝟭𝟭𝟵–𝟭𝟱𝟵.



𝟱. การฝึกสำหรับมือกลอง



การทำให้ 𝘀𝘁𝗶𝗰𝗸𝗶𝗻𝗴 𝗽𝗮𝘁𝘁𝗲𝗿𝗻 กลายเป็น “เครื่องมือทางดนตรี” แทนที่จะเป็น “แบบฝึกที่ซ้ำซาก” จำเป็นต้องผ่านการทดลองและเปรียบเทียบหลายวิธี เพื่อให้เข้าใจว่า เพียงเปลี่ยนวิธีคิดเล็กน้อย ผลลัพธ์ทางอารมณ์ของผู้ฟังก็เปลี่ยนทันที



𝟱.𝟭 ขั้นตอนการฝึก



เลือก 𝗿𝘂𝗱𝗶𝗺𝗲𝗻𝘁 เพียง 𝟭 แบบ เช่น 𝗽𝗮𝗿𝗮𝗱𝗶𝗱𝗱𝗹𝗲 (𝗥𝗟𝗥𝗥 𝗟𝗥𝗟𝗟) แล้วลองฝึก 𝟰 วิธีดังนี้:



   𝗦𝗶𝗻𝗴𝗹𝗲 𝗗𝘆𝗻𝗮𝗺𝗶𝗰 บน 𝗦𝗻𝗮𝗿𝗲



  เล่น 𝗽𝗮𝗿𝗮𝗱𝗶𝗱𝗱𝗹𝗲 บน 𝘀𝗻𝗮𝗿𝗲 𝗱𝗿𝘂𝗺 เพียงอย่างเดียว ด้วย 𝗱𝘆𝗻𝗮𝗺𝗶𝗰 เดียว (เช่น 𝗺𝗳 = 𝗺𝗲𝘇𝘇𝗼 𝗳𝗼𝗿𝘁𝗲)


  จุดประสงค์: ทำให้รู้จักกับ 𝗳𝗹𝗼𝘄 ของ 𝘀𝘁𝗶𝗰𝗸𝗶𝗻𝗴 โดยไม่พึ่งลูกเล่นอื่น ๆ


  คำถามที่ควรถามระหว่างซ้อม: “𝗣𝗮𝘁𝘁𝗲𝗿𝗻 นี้เล่าเรื่องอะไร เมื่อมันถูกเล่นแบบเรียบง่ายที่สุด?”



  𝗔𝗰𝗰𝗲𝗻𝘁 𝗗𝗶𝘀𝗽𝗹𝗮𝗰𝗲𝗺𝗲𝗻𝘁



  ย้ายตำแหน่ง 𝗮𝗰𝗰𝗲𝗻𝘁 ไปยังโน้ตตัวอื่น เช่น จากโน้ตแรก → โน้ตสอง หรือโน้ตสี่


  เปรียบเทียบว่า “อารมณ์ของ 𝗴𝗿𝗼𝗼𝘃𝗲” เปลี่ยนไปอย่างไรเมื่อ 𝗮𝗰𝗰𝗲𝗻𝘁 เคลื่อน


นี่ตรงกับงานของ 𝗟𝗮𝗿𝗴𝗲 & 𝗝𝗼𝗻𝗲𝘀 (𝟭𝟵𝟵𝟵) ที่อธิบายเรื่อง 𝗲𝘅𝗽𝗲𝗰𝘁𝗮𝘁𝗶𝗼𝗻 𝗼𝗳 𝗿𝗵𝘆𝘁𝗵𝗺 → ผู้ฟังจะรู้สึกตื่นตัวเมื่อได้ยินการเปลี่ยนที่ไม่คาดคิด



  𝗢𝗿𝗰𝗵𝗲𝘀𝘁𝗿𝗮𝘁𝗶𝗼𝗻 บน 𝗧𝗼𝗺/𝗖𝘆𝗺𝗯𝗮𝗹



แจกแจงมือขวา–ซ้ายไปบนเครื่องต่าง ๆ เช่น 𝗥 = 𝗿𝗶𝗱𝗲 𝗰𝘆𝗺𝗯𝗮𝗹, 𝗟 = 𝘀𝗻𝗮𝗿𝗲 หรือ 𝗥 = 𝗳𝗹𝗼𝗼𝗿 𝘁𝗼𝗺, 𝗟 = 𝗵𝗶-𝗵𝗮𝘁


  นักศึกษาจะเห็นว่า 𝘀𝘁𝗶𝗰𝗸𝗶𝗻𝗴 เดิม กลายเป็น 𝗴𝗿𝗼𝗼𝘃𝗲 ใหม่ที่มี 𝗰𝗵𝗮𝗿𝗮𝗰𝘁𝗲𝗿 ต่างออกไปโดยสิ้นเชิง


การเปลี่ยน “พื้นที่เสียง” (𝘀𝗼𝘂𝗻𝗱 𝘀𝗽𝗮𝗰𝗲) ทำให้เข้าใจว่า 𝘀𝘁𝗶𝗰𝗸𝗶𝗻𝗴 ไม่ได้เป็นแค่ 𝗽𝗮𝘁𝘁𝗲𝗿𝗻 ทางกายภาพ แต่คือ “ชุดสีเสียง” (𝗽𝗮𝗹𝗲𝘁𝘁𝗲 𝗼𝗳 𝘀𝗼𝘂𝗻𝗱𝘀)



  𝗚𝗿𝗼𝗼𝘃𝗲 𝗛𝘆𝗯𝗿𝗶𝗱 กับ 𝗕𝗮𝘀𝘀 𝗗𝗿𝘂𝗺



  เติม 𝗯𝗮𝘀𝘀 𝗱𝗿𝘂𝗺 เข้าไปตามจุดใดจุดหนึ่ง เช่น ตีพร้อมกับ 𝗥 ทุกครั้ง หรือเพิ่มลงบน 𝗱𝗼𝘄𝗻𝗯𝗲𝗮𝘁


  𝗣𝗮𝗿𝗮𝗱𝗶𝗱𝗱𝗹𝗲 เดิมจะกลายเป็น 𝗴𝗿𝗼𝗼𝘃𝗲 ที่สมบูรณ์สำหรับใช้ในเพลง 𝗳𝘂𝗻𝗸, 𝗳𝘂𝘀𝗶𝗼𝗻 หรือแม้แต่ 𝗽𝗼𝗽


นี่สะท้อนแนวคิดของ 𝗪𝘂𝗹𝗳 & 𝗟𝗲𝘄𝘁𝗵𝘄𝗮𝗶𝘁𝗲 (𝟮𝟬𝟭𝟲) ว่า การโฟกัสที่ “ผลลัพธ์ทางเสียง” (เสียง 𝗴𝗿𝗼𝗼𝘃𝗲 ที่ออกมา) มีพลังต่อการเรียนรู้มากกว่าการโฟกัสที่ “มือซ้าย–ขวา”



𝟱.𝟮 การเก็บข้อมูลและการสะท้อน (𝗥𝗲𝗳𝗹𝗲𝗰𝘁𝗶𝗼𝗻)



  ลองอัดวิดีโอทั้ง 𝟰 แบบ แล้วเปิดให้เพื่อนฟัง โดยไม่บอกว่ารูปแบบใดคือแบบไหน



  ให้เพื่อนแต่ละคนเขียนตอบว่า “อารมณ์หรือความรู้สึกใดที่เขาได้รับจากเสียงกลองนี้” เช่น มั่นคง, กวน ๆ, ลื่นไหล, กดดัน



หลังจากนั้นจึงเปิดเผยว่า ทั้งหมดคือ 𝘀𝘁𝗶𝗰𝗸𝗶𝗻𝗴 เดียวกัน (𝗽𝗮𝗿𝗮𝗱𝗶𝗱𝗱𝗹𝗲) แต่เปลี่ยนวิธีการเล่น → จุดนี้จะทำให้ตระหนักว่า 𝘀𝘁𝗶𝗰𝗸𝗶𝗻𝗴 𝗽𝗮𝘁𝘁𝗲𝗿𝗻 ไม่ใช่ “คณิตศาสตร์ของมือ” แต่คือ “ภาษาเสียง”



คำถาม


๐ เวลาคุณซ้อม 𝗿𝘂𝗱𝗶𝗺𝗲𝗻𝘁 วันนี้ คุณโฟกัสไปที่ กล้ามเนื้อ (มือซ้าย–ขวา) หรือที่ เสียง (ผลลัพธ์ทางอารมณ์) มากกว่ากัน?


๐ คุณคิดว่าการ “ย้าย 𝘀𝘁𝗶𝗰𝗸𝗶𝗻𝗴 เดิมไปบนเครื่องดนตรีอื่น” ทำให้คุณยังเป็น “มือกลองที่ซ้อม 𝗿𝘂𝗱𝗶𝗺𝗲𝗻𝘁” หรือกลายเป็น “นักเล่าเรื่องดนตรีที่ใช้กลอง” กันแน่?


๐ ถ้า 𝗽𝗮𝗿𝗮𝗱𝗶𝗱𝗱𝗹𝗲 หนึ่งชุดสามารถสร้างอารมณ์ได้หลายแบบ คุณจะเลือกใช้ “เวอร์ชันใด” เมื่ออยู่บนเวทีจริง?



การฝึกนี้จะทำให้นักศึกษาเข้าใจว่า การสร้างสรรค์ไม่ได้มาจากการจำ 𝗿𝘂𝗱𝗶𝗺𝗲𝗻𝘁 เพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ แต่เกิดจากการใช้ 𝗿𝘂𝗱𝗶𝗺𝗲𝗻𝘁 เดิม ๆ อย่างชาญฉลาด โดยเปลี่ยน 𝗱𝘆𝗻𝗮𝗺𝗶𝗰, 𝗮𝗰𝗰𝗲𝗻𝘁, 𝗼𝗿𝗰𝗵𝗲𝘀𝘁𝗿𝗮𝘁𝗶𝗼𝗻 และ 𝗴𝗿𝗼𝗼𝘃𝗲 → สิ่งนี้คือหัวใจของการพัฒนา “ภาษาเฉพาะตัว” ของนักดนตรี



𝟲. บทสรุป: 𝗦𝘁𝗶𝗰𝗸𝗶𝗻𝗴 𝗣𝗮𝘁𝘁𝗲𝗿𝗻 = เครื่องมือสร้างสรรค์ ไม่ใช่กำแพง



ในโลกของการเรียนกลอง หลายครั้งที่นักศึกษามอง 𝘀𝘁𝗶𝗰𝗸𝗶𝗻𝗴 𝗽𝗮𝘁𝘁𝗲𝗿𝗻 (เช่น 𝗽𝗮𝗿𝗮𝗱𝗶𝗱𝗱𝗹𝗲, 𝗱𝗼𝘂𝗯𝗹𝗲 𝘀𝘁𝗿𝗼𝗸𝗲, 𝗳𝗹𝗮𝗺 𝗮𝗰𝗰𝗲𝗻𝘁) เป็นเพียง “การบ้านที่ต้องท่องจำ” หรือ “ข้อสอบที่ต้องทำให้ถูกต้อง” แต่หากมองให้ลึกขึ้น จะพบว่า 𝘀𝘁𝗶𝗰𝗸𝗶𝗻𝗴 ไม่ได้เป็น “กำแพง” ที่คอยจำกัดความคิดสร้างสรรค์ กลับกัน มันคือ เครื่องมือ ที่นักดนตรีสามารถหยิบมาใช้ซ้ำ ๆ ได้อย่างไม่รู้จบ



  𝗣𝗮𝗿𝗮𝗱𝗶𝗱𝗱𝗹𝗲 เพียงหนึ่งชุด อาจถูกใช้เป็น 𝗿𝘂𝗱𝗶𝗺𝗲𝗻𝘁 บน 𝘀𝗻𝗮𝗿𝗲 เพื่อฝึกมือซ้าย–ขวาให้สมดุล



  𝗣𝗮𝗿𝗮𝗱𝗶𝗱𝗱𝗹𝗲 เดียวกัน เมื่อย้าย 𝗮𝗰𝗰𝗲𝗻𝘁 ไปคนละตำแหน่ง อาจกลายเป็น 𝗴𝗿𝗼𝗼𝘃𝗲 ที่มีความรู้สึกใหม่



𝗣𝗮𝗿𝗮𝗱𝗶𝗱𝗱𝗹𝗲 ในอีกเวอร์ชัน เมื่อถูก 𝗼𝗿𝗰𝗵𝗲𝘀𝘁𝗿𝗮𝘁𝗲 ลงบน 𝗰𝘆𝗺𝗯𝗮𝗹 และ 𝘁𝗼𝗺 ก็สามารถกลายเป็น 𝗳𝗶𝗹𝗹-𝗶𝗻 ที่สดใหม่ในเพลง



  𝗣𝗮𝗿𝗮𝗱𝗶𝗱𝗱𝗹𝗲 ที่เล่นเบา ๆ ด้วย 𝗴𝗵𝗼𝘀𝘁 𝗻𝗼𝘁𝗲 อาจทำหน้าที่เป็น 𝘁𝗲𝘅𝘁𝘂𝗿𝗲 เติมมิติให้กับเสียงรวมของวง



  และ 𝗽𝗮𝗿𝗮𝗱𝗶𝗱𝗱𝗹𝗲 เดิม ๆ นี่เอง เมื่อถูกเล่นในวง อาจกลายเป็น บทสนทนา ที่โต้ตอบกับนักดนตรีคนอื่นได้



กล่าวอีกแบบหนึ่ง 𝘀𝘁𝗶𝗰𝗸𝗶𝗻𝗴 𝗽𝗮𝘁𝘁𝗲𝗿𝗻 เป็นเหมือนตัวอักษรของภาษา → เมื่อรวม 𝗮𝗰𝗰𝗲𝗻𝘁, 𝗱𝘆𝗻𝗮𝗺𝗶𝗰 และ 𝗼𝗿𝗰𝗵𝗲𝘀𝘁𝗿𝗮𝘁𝗶𝗼𝗻 เข้าไป มันจะกลายเป็น “คำ” และ “ประโยค” ทางดนตรีที่ผู้เล่นสามารถเล่าเรื่องได้ไม่รู้จบ



คำถามสำคัญ จึงไม่ใช่เพียงว่า “คุณตี 𝗽𝗮𝘁𝘁𝗲𝗿𝗻 ได้ถูกต้องตามโน้ตหรือไม่” แต่คือ “คุณใช้ 𝗽𝗮𝘁𝘁𝗲𝗿𝗻 นี้สร้างอะไรให้กับเพลง?”


๐ คุณใช้มันเพื่อโชว์ความแม่นยำส่วนตัว หรือเพื่อสร้าง 𝗴𝗿𝗼𝗼𝘃𝗲 ที่ทำให้ทั้งวงมีชีวิต?


๐ คุณใช้มันเพื่อเติมเต็มช่องว่างของเพลง หรือเพื่อสร้างบทสนทนากับเบส, กีตาร์ และนักร้อง?


๐ คุณใช้มันเพื่อแสดงว่า “คุณเก่ง” หรือเพื่อทำให้ผู้ฟัง “อินกับเพลง”?



𝗦𝘁𝗶𝗰𝗸𝗶𝗻𝗴 𝗽𝗮𝘁𝘁𝗲𝗿𝗻 จึงไม่ใช่ปลายทางของการฝึก แต่คือ สะพาน ที่เชื่อมจาก “#ทักษะทางเทคนิค” ไปสู่ “#การเล่าเรื่องทางดนตรี” การเข้าใจมิตินี้จะทำให้คุณก้าวจากการเป็นเพียง “ผู้ตีโน้ตตามแบบฝึก” ไปสู่การเป็น นักดนตรีที่ใช้กลองเป็นภาษา ได้อย่างแท้จริง

 
 
 

Comments


bottom of page