ถ้าต้องสื่อสารอารมณ์โกรธผ่านกลอง คุณจะทำยังไง❓
- Dr.Kasem THipayametrakul
- 5 days ago
- 4 min read

กลองในฐานะ “#ภาษาแห่งอารมณ์”
ดนตรีไม่ใช่เพียงการสร้างเสียงไพเราะ แต่คือ ภาษาแห่งอารมณ์ ที่สามารถถ่ายทอดได้ทุกมิติ ตั้งแต่ความสุข ความเศร้า ความเหงา ความรัก ไปจนถึงความโกรธที่ร้อนแรง อารมณ์เหล่านี้ไม่เพียงถูกถ่ายทอดผ่านทำนองหรือเนื้อร้อง แต่ยังส่งผ่านจังหวะ น้ำหนัก และพลังงานที่ผู้ฟังสามารถรับรู้ได้โดยตรง แม้จะไม่เข้าใจทฤษฎีดนตรีใด ๆ ก็ตาม
หนึ่งในเครื่องดนตรีที่มีพลังมากที่สุดในการแสดงออกทางอารมณ์ก็คือ กลอง เพราะกลองไม่ได้เป็นเพียงเครื่องมือที่ใช้ “กำหนดจังหวะ” หรือ “ทำให้เพลงเดินต่อไปได้” เท่านั้น แต่ทุก 𝘀𝘁𝗿𝗼𝗸𝗲 ที่กระทบผิวกลอง, ทุก 𝗮𝗰𝗰𝗲𝗻𝘁 ที่เน้นย้ำ และทุก 𝗱𝘆𝗻𝗮𝗺𝗶𝗰 ที่ปรับเพิ่มหรือลด ล้วนทำหน้าที่เสมือนคำพูดใน บทสนทนาทางดนตรี ระหว่างผู้เล่นกับผู้ฟัง
ในเชิงจิตวิทยาดนตรี มีการอธิบายว่ากลองสามารถทำหน้าที่เป็น ตัวกลางเชื่อมโยงทางอารมณ์ (𝗲𝗺𝗼𝘁𝗶𝗼𝗻𝗮𝗹 𝗺𝗲𝗱𝗶𝗮𝘁𝗼𝗿) ได้อย่างทรงพลัง เพราะการตอบสนองของผู้ฟังต่อเสียงกลองมักเกิดขึ้นในระดับร่างกายและสัญชาตญาณโดยตรง เช่น หัวใจเต้นตามจังหวะ เบ้าหน้าตึงเมื่อได้ยินเสียง 𝗮𝗰𝗰𝗲𝗻𝘁 หนัก หรือรู้สึกตึงเครียดเมื่อกลองเร่งความเร็ว นั่นหมายความว่า กลองไม่เพียงแค่ “ถูกได้ยิน” แต่ยัง “ถูกสัมผัส” โดยตรงในร่างกายของผู้ฟัง
จากมุมมองทางวัฒนธรรม กลองถูกใช้มาอย่างยาวนานในฐานะ เครื่องมือสื่อสารอารมณ์ของชุมชน ไม่ว่าจะเป็นการตีกลองในพิธีกรรม การรบ หรือการเฉลิมฉลอง ทุกการตีไม่ใช่แค่จังหวะเพื่อการเต้นรำ แต่ยังเป็นการถ่ายทอดพลังงานดิบ (𝗿𝗮𝘄 𝗲𝗻𝗲𝗿𝗴𝘆) ที่เชื่อมโยงผู้คนเข้าหากัน เมื่อย้ายเข้าสู่บริบทของเวทีสมัยใหม่ ไม่ว่าจะเป็นแจ๊ส ร็อก หรือเมทัล บทบาทของกลองก็ยังคงไม่เปลี่ยน นั่นคือการเป็น หัวใจที่เต้นด้วยอารมณ์ ของทั้งวง
เมื่อหันกลับมาสู่ประเด็นเฉพาะของอารมณ์ “โกรธ” คำถามสำคัญที่เกิดขึ้นคือ:
หากเราต้องการสื่อสารความโกรธผ่านกลอง เราจะทำอย่างไร?
เราจะเลือกใช้ “ความเร็ว” หรือ “ความหนัก” เป็นภาษา?
เราจะสร้างความโกรธแบบระเบิดทันที หรือความโกรธที่ค่อย ๆ กดดันคนฟังทีละน้อย?
และท้ายที่สุด เราต้องการให้ผู้ฟัง “ได้ยินความโกรธ” หรือ “รู้สึกโกรธไปพร้อมกับเรา”?
คำถามเหล่านี้มิได้เป็นเพียงข้อสงสัยเชิงเทคนิค แต่คือการสะท้อนถึง แก่นของบทบาทกลอง ในฐานะภาษาของอารมณ์ ว่ามันจะถูกใช้เพียงเพื่อสร้างเสียงดัง หรือถูกใช้เพื่อเชื่อมโยงความรู้สึกระหว่างผู้เล่นกับผู้ฟังอย่างแท้จริง
𝟭. #ความโกรธ = พลังงานดิบที่ต้องถูกจัดการ ♬
เมื่อเอ่ยถึง “#ความโกรธ” ภาพที่ผุดขึ้นในใจของใครหลายคนคือการปะทุของอารมณ์ดิบ—เสียงตะโกน การกระแทกโต๊ะ การเคลื่อนไหวรุนแรงไร้ทิศทาง ทว่าภายในโลกของดนตรี ความโกรธไม่ได้ถูกถ่ายทอดในรูปแบบ “#การระเบิด” อย่างเดียว หากแต่ถูก กลั่นกรองให้มีโครงสร้าง เพื่อเปลี่ยนพลังงานดิบให้เป็น เสียงที่สื่อสารได้ชัดเจน และยังคงสามารถเชื่อมโยงกับผู้ฟังได้โดยตรง
นักวิจัยด้านจิตวิทยาดนตรี เช่น 𝗝𝘂𝘀𝗹𝗶𝗻 & 𝗦𝗹𝗼𝗯𝗼𝗱𝗮 (𝟮𝟬𝟭𝟬) อธิบายว่า อารมณ์รุนแรง (𝗶𝗻𝘁𝗲𝗻𝘀𝗲 𝗲𝗺𝗼𝘁𝗶𝗼𝗻𝘀) อย่างความโกรธมักถูกถ่ายทอดผ่านคุณลักษณะเสียงที่พบซ้ำกันในดนตรีหลากหลายวัฒนธรรมทั่วโลก ไม่ว่าจะเป็นเพลงร็อก เพลงพื้นบ้าน หรือแม้แต่การตีกลองพิธีกรรมในชนเผ่า ล้วนมีรูปแบบเสียงที่คล้ายกันเมื่อสื่อสารความโกรธหรือความเดือดดาล ได้แก่:
ความดัง (𝗟𝗼𝘂𝗱𝗻𝗲𝘀𝘀): เสียงกลองที่ถูกตีอย่างเต็มแรง เช่น 𝗿𝗶𝗺𝘀𝗵𝗼𝘁 บน 𝘀𝗻𝗮𝗿𝗲 หรือการตี 𝗰𝗿𝗮𝘀𝗵 𝗰𝘆𝗺𝗯𝗮𝗹 แบบเปิดสุดแรง คล้ายกับการ “ตะโกน” ในภาษาอารมณ์ของดนตรี ผู้ฟังไม่จำเป็นต้องมีความรู้ทฤษฎี ก็สามารถรับรู้ได้ทันทีว่ากำลังมีบางสิ่งปะทุขึ้นมา
จังหวะกระแทก (𝗔𝗰𝗰𝗲𝗻𝘁𝘀): สมองมนุษย์ถูกฝึกผ่านวิวัฒนาการให้ตีความเสียงสั้น แรง และกระแทกว่าเป็น “สัญญาณอันตราย” เช่น เสียงกิ่งไม้หัก เสียงสัตว์คำราม หรือเสียงฟ้าผ่า → เมื่อมือกลองใส่ 𝗮𝗰𝗰𝗲𝗻𝘁 หนัก ๆ บน 𝗵𝗶-𝗵𝗮𝘁 หรือ 𝘀𝗻𝗮𝗿𝗲 ผู้ฟังจะรู้สึกเหมือนถูกกระแทกด้วยระเบิดเล็ก ๆ ที่แทรกอยู่ในเพลง
ความเร็วและความถี่ (𝗙𝗮𝘀𝘁 & 𝗗𝗲𝗻𝘀𝗲 𝗣𝗮𝘁𝘁𝗲𝗿𝗻𝘀): ร่างกายของคนที่โกรธมักมีสัญญาณทางกายภาพชัดเจน: หัวใจเต้นแรงขึ้น หายใจถี่ขึ้น กล้ามเนื้อเกร็งตึง → เมื่อกลองใส่โน้ตถี่ เช่น 𝟭𝟲𝘁𝗵 𝗻𝗼𝘁𝗲 𝗿𝗼𝗹𝗹 หรือแม้แต่การเร่งความเร็วของ 𝗴𝗿𝗼𝗼𝘃𝗲 ก็จะสร้างความรู้สึกเร่งด่วนและกดดันขึ้นทันที
สิ่งเหล่านี้สัมพันธ์กับ ระบบประสาทในสมอง โดยตรง โดยเฉพาะ 𝗮𝗺𝘆𝗴𝗱𝗮𝗹𝗮 ซึ่งเป็นศูนย์กลางการประมวลผลอารมณ์ด้านความกลัวและความโกรธ เสียงที่ดัง เร็ว หรือกระแทกจะกระตุ้น 𝗮𝗺𝘆𝗴𝗱𝗮𝗹𝗮 ให้ตอบสนองราวกับกำลังเผชิญหน้ากับภัยอันตรายตามธรรมชาติ เช่น เสียงฟ้าผ่า เสียงสัตว์นักล่า หรือแม้แต่เสียงการปะทะกันในสภาวะอันตราย → นี่คือเหตุผลว่าทำไมกลองจึงสามารถเป็น “ตัวกระตุ้นอารมณ์” ได้อย่างฉับพลัน
ในเชิงวัฒนธรรม กลองถูกใช้ในพิธีกรรมหรือสนามรบมาอย่างยาวนานเพื่อกระตุ้นความโกรธและพลังต่อสู้ เช่น การใช้กลองทหาร (𝘄𝗮𝗿 𝗱𝗿𝘂𝗺) เพื่อเร้าใจทหารให้ฮึกเหิมก่อนออกรบ หรือกลองชนเผ่าที่ใช้ในพิธีเรียกพลังวิญญาณ ล้วนเป็นการใช้ “เสียงดังและจังหวะกระแทก” เพื่อเชื่อมโยงผู้ฟังกับพลังงานทางอารมณ์เดียวกัน
ในเชิงปฏิบัติสำหรับมือกลอง ความโกรธจึงไม่ใช่แค่การตีให้ดังที่สุดตลอดเวลา แต่คือ การจัดการพลังงานดิบ ให้กลายเป็นโครงสร้างที่สื่อสารได้ ตัวอย่างเช่น:
การคุม 𝗱𝘆𝗻𝗮𝗺𝗶𝗰 ให้มีจุดเบา–ดังเพื่อสร้างความตึงเครียดและการระเบิด
การเลือกใช้ 𝘁𝗶𝗺𝗯𝗿𝗲 จาก 𝗰𝘆𝗺𝗯𝗮𝗹 ที่มีเสียงแตกพร่า (เช่น 𝗖𝗵𝗶𝗻𝗮 𝗰𝘆𝗺𝗯𝗮𝗹) เพื่อเพิ่มความ “สกปรก” ของอารมณ์
การใช้ 𝘀𝗶𝗹𝗲𝗻𝗰𝗲 หรือการหยุดเล่นชั่วขณะ เพื่อสร้างช่องว่างก่อนการปะทุครั้งใหม่
หากพลังโกรธถูกปล่อยออกมาอย่างไร้รูปแบบ มันจะกลายเป็นเพียง “เสียงดังวุ่นวาย” ที่ผู้ฟังรับรู้เป็นความรำคาญ แต่หากพลังโกรธถูกควบคุมอย่างมีกลยุทธ์ มันจะกลายเป็น ภาษาดนตรี ที่ทำให้ผู้ฟังสัมผัสได้ถึงความเข้มข้นทางอารมณ์โดยไม่ต้องเข้าใจทฤษฎีแม้แต่น้อย
คำถาม
๐ เมื่อคุณเล่นกลอง คุณกำลัง “ปล่อยโกรธ” หรือกำลัง “จัดการความโกรธ” ให้ออกมาเป็นเสียงที่มีความหมาย?
๐ คุณเคยพิจารณาหรือไม่ว่า “ความเงียบ” อาจสื่อความโกรธได้ชัดเจนพอ ๆ กับเสียงระเบิดของ 𝗰𝗿𝗮𝘀𝗵 𝗰𝘆𝗺𝗯𝗮𝗹?
๐ ในมุมของคุณ ความโกรธควรจะถูกแสดงออกแบบ “ดิบ” หรือแบบ “ถูกควบคุม” จึงจะสื่อสารได้ชัดเจนที่สุด?
*** อ้างอิง
๐ 𝗝𝘂𝘀𝗹𝗶𝗻, 𝗣. 𝗡., & 𝗦𝗹𝗼𝗯𝗼𝗱𝗮, 𝗝. 𝗔. (𝗘𝗱𝘀.). (𝟮𝟬𝟭𝟬). 𝗛𝗮𝗻𝗱𝗯𝗼𝗼𝗸 𝗼𝗳 𝗺𝘂𝘀𝗶𝗰 𝗮𝗻𝗱 𝗲𝗺𝗼𝘁𝗶𝗼𝗻: 𝗧𝗵𝗲𝗼𝗿𝘆, 𝗿𝗲𝘀𝗲𝗮𝗿𝗰𝗵, 𝗮𝗽𝗽𝗹𝗶𝗰𝗮𝘁𝗶𝗼𝗻𝘀. 𝗢𝘅𝗳𝗼𝗿𝗱 𝗨𝗻𝗶𝘃𝗲𝗿𝘀𝗶𝘁𝘆 𝗣𝗿𝗲𝘀𝘀.
หาก “#ความโกรธ” เป็นพลังงานดิบ การตีความโกรธผ่านกลองก็คือการเปลี่ยนพลังงานนั้นให้กลายเป็น ภาษาเสียง ที่จับต้องได้ กลองไม่เพียงเป็นเครื่องจังหวะ แต่คือเครื่องมือที่สามารถ แปลงอารมณ์ให้เป็นแรงกดดันทางเสียง ซึ่งผู้ฟังรับรู้ได้ทั้งในระดับร่างกายและอารมณ์
𝗗𝘆𝗻𝗮𝗺𝗶𝗰𝘀: ความดัง = การตะโกน
ความดัง (𝗱𝘆𝗻𝗮𝗺𝗶𝗰) เป็นสัญญาณอารมณ์ที่มนุษย์รับรู้ได้โดยสัญชาตญาณ นักจิตวิทยาดนตรีอธิบายว่าเสียงที่ดังขึ้นกะทันหันมักเชื่อมโยงกับ “ภัยคุกคาม” ในธรรมชาติ เช่น ฟ้าผ่า หรือสัตว์นักล่า → เมื่อมือกลองใช้ 𝗱𝘆𝗻𝗮𝗺𝗶𝗰 อย่างเจตนา เสียงนั้นจึงไม่ใช่เพียง “ดัง” แต่คือการส่งสารอารมณ์
𝗥𝗶𝗺𝘀𝗵𝗼𝘁 บน 𝘀𝗻𝗮𝗿𝗲 คล้ายการฟาดโต๊ะอย่างแรงในชีวิตจริง เสียงแหลม คม และระเบิดออกมาทันที ทำให้ผู้ฟังรู้สึกถึงการ “ปะทุ” ของอารมณ์
𝗖𝗿𝗮𝘀𝗵 หรือ 𝗖𝗵𝗶𝗻𝗮 𝗰𝘆𝗺𝗯𝗮𝗹 เปรียบเหมือนการปลดปล่อยพลังเกินขอบเขต ความแตกพร่าของเสียงทำให้รู้สึกหยาบ ก้าวร้าว ไม่ประณีต
𝗔𝗰𝗰𝗲𝗻𝘁 หนัก ๆ บน 𝗯𝗲𝗮𝘁 หลัก ให้ผลลัพธ์เหมือนการ “ตะโกนใส่หน้า” ด้วยน้ำหนักจังหวะที่กดทับผู้ฟังในทันที
𝗥𝗵𝘆𝘁𝗵𝗺𝗶𝗰 𝗗𝗲𝗻𝘀𝗶𝘁𝘆: ความหนาแน่นของเสียง
อีกหนึ่งคุณลักษณะที่ถ่ายทอดความโกรธได้ชัดคือการเพิ่มความหนาแน่นของ 𝗽𝗮𝘁𝘁𝗲𝗿𝗻
𝗥𝗼𝗹𝗹 ต่อเนื่องบน 𝘀𝗻𝗮𝗿𝗲 หรือ 𝘁𝗼𝗺 ทำให้ผู้ฟังเหมือนถูกกระหน่ำโดยคลื่นเสียงไม่หยุดพัก คล้ายความโกรธที่พรั่งพรูออกมา
𝗗𝗼𝘂𝗯𝗹𝗲 𝗯𝗮𝘀𝘀 𝗱𝗿𝘂𝗺 ที่รัวถี่ สร้าง “กำแพงเสียง” (𝘄𝗮𝗹𝗹 𝗼𝗳 𝘀𝗼𝘂𝗻𝗱) ที่กดดันทั้งร่างกายและจิตใจ ผู้ฟังจะรู้สึกเหมือนอยู่ในห้องที่กำลังถูกแรงสั่นสะเทือนถาโถม
𝗦𝘆𝗻𝗰𝗼𝗽𝗮𝘁𝗶𝗼𝗻 & 𝗗𝗶𝘀𝗽𝗹𝗮𝗰𝗲𝗺𝗲𝗻𝘁: จังหวะกวนอารมณ์
ความโกรธไม่ได้มีเพียงการ “ระเบิดตรง ๆ” แต่ยังสามารถสื่อด้วยความรู้สึก “หงุดหงิด คุมไม่อยู่” ได้เช่นกัน
𝗦𝘆𝗻𝗰𝗼𝗽𝗮𝘁𝗶𝗼𝗻 คือการเน้นจังหวะที่ไม่ใช่จังหวะหลัก ทำให้ 𝗴𝗿𝗼𝗼𝘃𝗲 รู้สึก “คาดเดาไม่ได้” เหมือนอารมณ์ที่ไม่มั่นคง
𝗗𝗶𝘀𝗽𝗹𝗮𝗰𝗲𝗺𝗲𝗻𝘁 (การเลื่อน 𝗽𝗮𝘁𝘁𝗲𝗿𝗻 ครึ่ง 𝗯𝗲𝗮𝘁 หรือ 𝗾𝘂𝗮𝗿𝘁𝗲𝗿 𝗯𝗲𝗮𝘁) ทำให้ 𝗴𝗿𝗼𝗼𝘃𝗲 สะดุดเล็กน้อย คล้ายการก้าวพลาดที่ตั้งใจสร้างความรู้สึกไม่สบายใจ → ผู้ฟังจะรู้สึกว่าบางสิ่งผิดปกติ แม้จะไม่รู้ทฤษฎี
𝗧𝗶𝗺𝗯𝗿𝗲: คุณภาพเสียงที่บอกความรู้สึก
นอกจากจังหวะและความดังแล้ว “คุณภาพของเสียง” (𝘁𝗶𝗺𝗯𝗿𝗲) ก็สะท้อนลักษณะความโกรธที่ต่างกันได้
𝗦𝗻𝗮𝗿𝗲 แห้ง (𝘁𝗶𝗴𝗵𝘁, 𝗺𝘂𝘁𝗲𝗱) ให้ความรู้สึกเฉียบคม ดุดัน คล้ายการ “ตบหน้า”
𝗧𝗼𝗺 เสียงต่ำ สร้างความหนักหน่วงลึก เหมือนเสียงคำรามของสัตว์ใหญ่
𝗖𝘆𝗺𝗯𝗮𝗹 ที่แตกพร่า (𝘁𝗿𝗮𝘀𝗵𝘆, 𝗱𝗶𝗿𝘁𝘆) ถ่ายทอดอารมณ์ดิบ หยาบโลน สื่อถึงความโกรธที่ไร้การปรุงแต่ง
𝗚𝗿𝗼𝗼𝘃𝗲 หนักหน่วง: พลังงานสองขั้ว
ความโกรธไม่จำเป็นต้องเร็วเสมอไป แต่สามารถถ่ายทอดได้สองแบบที่ต่างกันโดยสิ้นเชิง
𝗚𝗿𝗼𝗼𝘃𝗲 ช้าแต่หนัก (เช่น 𝗱𝗼𝗼𝗺 หรือ 𝘀𝗹𝘂𝗱𝗴𝗲 𝗺𝗲𝘁𝗮𝗹) คือความโกรธที่ “เย็นชา” และ “คั่งค้าง” เหมือนภูเขาไฟที่รอวันระเบิด เสียงกลองที่ทุ้ม ลากยาว และลงน้ำหนักทุก 𝗯𝗲𝗮𝘁 สร้างความกดดันทางจิตใจราวกับแรงกดทับ
𝗚𝗿𝗼𝗼𝘃𝗲 เร็วรัว (𝗯𝗹𝗮𝘀𝘁 𝗯𝗲𝗮𝘁 หรือ 𝗳𝗮𝘀𝘁 𝗽𝘂𝗻𝗸 𝗱𝗿𝘂𝗺𝗺𝗶𝗻𝗴) คือความโกรธที่ “เดือดพล่าน” และ “ปะทุทันที” เสียงถี่และไม่หยุดพักเหมือนคนตะโกนด้วยความเดือดดาลไม่ให้ผู้ฟังได้หายใจ
คำถาม
๐ เวลาคุณต้องการสื่อสาร “ความโกรธ” ผ่านกลอง คุณเลือกใช้ ความดัง (𝗱𝘆𝗻𝗮𝗺𝗶𝗰) เป็นหลัก หรือใช้ จังหวะกวน (𝘀𝘆𝗻𝗰𝗼𝗽𝗮𝘁𝗶𝗼𝗻) เพื่อบอกความไม่มั่นคง?
๐ คุณคิดว่าผู้ฟังจะ “รู้สึกโกรธ” ไปกับคุณได้มากกว่า หากคุณเล่น เร็วและรัว หรือ ช้าและหนัก?
๐ ในการซ้อม คุณเคยทดลองไหมว่าการเปลี่ยน 𝘁𝗶𝗺𝗯𝗿𝗲 ของ 𝘀𝗻𝗮𝗿𝗲 หรือ 𝗰𝘆𝗺𝗯𝗮𝗹 เพียงเล็กน้อย สามารถเปลี่ยนอารมณ์ของทั้งเพลงจาก “โกรธเดือด” ไปสู่ “โกรธเย็นชา” ได้ทันที?
แม้ “#ความโกรธ” จะเป็นอารมณ์ที่ดูเป็นสากล แต่การถ่ายทอดออกมาผ่านกลองนั้นมีวิธีที่แตกต่างกันตาม ยุคสมัย แนวเพลง และบริบททางวัฒนธรรม ตัวอย่างจากมือกลองในวงการดนตรีสากลแสดงให้เห็นว่า กลองสามารถกลายเป็น “เครื่องมือสื่อสารความโกรธ” ได้หลายรูปแบบ โดยไม่ได้ขึ้นกับการแสดงออกทางเทคนิคที่ซับซ้อนเสมอไป แต่ขึ้นกับ วิธีการเล่าเรื่องอารมณ์ ที่กลองสร้างขึ้น
𝗗𝗮𝘃𝗲 𝗚𝗿𝗼𝗵𝗹 – 𝗡𝗶𝗿𝘃𝗮𝗻𝗮, 𝗦𝗺𝗲𝗹𝗹𝘀 𝗟𝗶𝗸𝗲 𝗧𝗲𝗲𝗻 𝗦𝗽𝗶𝗿𝗶𝘁
การตี 𝘀𝗻𝗮𝗿𝗲 𝗿𝗶𝗺𝘀𝗵𝗼𝘁 ที่ เต็มแรงทุก 𝗯𝗲𝗮𝘁 ของ 𝗗𝗮𝘃𝗲 𝗚𝗿𝗼𝗵𝗹 ในเพลงนี้ ไม่เพียงสร้างพลังเสียง แต่ยังทำหน้าที่เป็น “เสียงตะโกนของวัยรุ่นยุค 𝟵𝟬𝘀” ที่เต็มไปด้วยความคับข้องใจและการต่อต้านสังคม เสียงกลองของเขาไม่ได้หวังโชว์ทักษะการเล่นซับซ้อน แต่คือการทำให้เพลงทั้งเพลงถูกขับเคลื่อนไปด้วยความโกรธที่เป็นจริง
𝗥𝗶𝗺𝘀𝗵𝗼𝘁 ของ 𝗚𝗿𝗼𝗵𝗹 ให้ความรู้สึกเหมือนการฟาดโต๊ะซ้ำ ๆ เพื่อเรียกร้องให้โลกหันมาฟังเสียงของคนรุ่นใหม่
𝗖𝗿𝗮𝘀𝗵 𝗰𝘆𝗺𝗯𝗮𝗹 ที่ถูกตีแบบเปิดเต็มทุกครั้ง ย้ำถึงการ “ระเบิด” ของพลังที่ไม่อาจถูกกดไว้ได้
𝗚𝗿𝗼𝗼𝘃𝗲 ที่ตรงไปตรงมา ทำให้ผู้ฟังเข้าถึงอารมณ์โกรธได้โดยไม่ต้องตีความทางเทคนิค
ผลลัพธ์คือ กลองในเพลงนี้กลายเป็น ตัวแทนของการปะทุทางวัฒนธรรม มากกว่าการเป็นเพียงองค์ประกอบดนตรี
𝗝𝗼𝗲𝘆 𝗝𝗼𝗿𝗱𝗶𝘀𝗼𝗻 – 𝗦𝗹𝗶𝗽𝗸𝗻𝗼𝘁, 𝗗𝘂𝗮𝗹𝗶𝘁𝘆
𝗝𝗼𝗲𝘆 𝗝𝗼𝗿𝗱𝗶𝘀𝗼𝗻 ใช้กลองเพื่อสร้าง “กำแพงโกรธ” ที่ปะทุไม่หยุดพัก 𝗗𝗼𝘂𝗯𝗹𝗲 𝗯𝗮𝘀𝘀 𝗱𝗿𝘂𝗺 ที่รัวต่อเนื่องผสานกับ 𝘀𝗻𝗮𝗿𝗲 𝗮𝗰𝗰𝗲𝗻𝘁 ที่หนักแน่นทุกช่วงเวลาสำคัญ ทำให้เกิดบรรยากาศของความกดดันทางเสียงที่เกินกว่าจะต้านทานได้
การรัว 𝗱𝗼𝘂𝗯𝗹𝗲 𝗯𝗮𝘀𝘀 เปรียบได้กับหัวใจที่เต้นเร็วเกินควบคุม ความโกรธจึงถูกเล่าเรื่องผ่าน ชีพจรเสียง ที่ถี่จนแทบไม่เหลือที่ว่างหายใจ
𝗦𝗻𝗮𝗿𝗲 ที่ถูก 𝗮𝗰𝗰𝗲𝗻𝘁 หนักกลายเป็น “หมัด” ที่ต่อยลงบน 𝗴𝗿𝗼𝗼𝘃𝗲 อย่างต่อเนื่อง
การเล่นของ 𝗝𝗼𝗿𝗱𝗶𝘀𝗼𝗻 ไม่ได้สร้างแค่ความเร็ว แต่ยังสร้าง ความรู้สึกถูกบีบคั้น เหมือนผู้ฟังถูกต้อนให้ติดอยู่ในห้องแห่งความโกรธ
สิ่งนี้สะท้อนให้เห็นว่าความโกรธในดนตรี 𝗺𝗲𝘁𝗮𝗹 ไม่ได้ถูกแสดงด้วยการ “ตะโกนเสียงเดียว” แต่เป็นการ ถาโถมอย่างต่อเนื่อง ที่ทำให้ผู้ฟังถูกห้อมล้อมด้วยความเดือดพล่าน
𝗘𝗹𝘃𝗶𝗻 𝗝𝗼𝗻𝗲𝘀 – 𝗝𝗼𝗵𝗻 𝗖𝗼𝗹𝘁𝗿𝗮𝗻𝗲 𝗤𝘂𝗮𝗿𝘁𝗲𝘁 (𝗟𝗶𝘃𝗲 𝗣𝗲𝗿𝗳𝗼𝗿𝗺𝗮𝗻𝗰𝗲𝘀)
ตรงข้ามกับสองตัวอย่างก่อนหน้า 𝗘𝗹𝘃𝗶𝗻 𝗝𝗼𝗻𝗲𝘀 ใช้ความโกรธในเชิง ปฏิสัมพันธ์ทางดนตรี มากกว่าความดังหรือความเร็วเพียงอย่างเดียว กลองของเขาเต็มไปด้วย 𝗽𝗼𝗹𝘆𝗿𝗵𝘆𝘁𝗵𝗺 ที่หนาแน่น 𝗮𝗰𝗰𝗲𝗻𝘁 ที่หลุดกรอบ และการ 𝗰𝗮𝗹𝗹 & 𝗿𝗲𝘀𝗽𝗼𝗻𝘀𝗲 ตลอดเวลาระหว่าง 𝗖𝗼𝗹𝘁𝗿𝗮𝗻𝗲 และตัวเขาเอง
𝗣𝗼𝗹𝘆𝗿𝗵𝘆𝘁𝗵𝗺 ของ 𝗘𝗹𝘃𝗶𝗻 ทำให้ผู้ฟังรู้สึกเหมือนกำลังอยู่ในสถานการณ์ “โต้เถียง” ทางอารมณ์
𝗔𝗰𝗰𝗲𝗻𝘁 ที่ไม่ตรงกับจังหวะปกติทำให้บรรยากาศเต็มไปด้วยความตึงเครียดและไม่คาดเดาได้
การตอบสนองต่อ 𝘀𝗮𝘅𝗼𝗽𝗵𝗼𝗻𝗲 ของ 𝗖𝗼𝗹𝘁𝗿𝗮𝗻𝗲 กลายเป็น บทสนทนาที่ดุดัน ราวกับสองคนกำลังแลกเปลี่ยนความโกรธที่ลึกซึ้งผ่านภาษาเสียง
ความโกรธในกรณีนี้ไม่ได้เป็นเพียง “การปะทุ” แต่เป็น พลังสร้างสรรค์ ที่ผลักให้ดนตรีเดินหน้าไปข้างหน้า
แม้บริบทจะต่างกัน แต่สิ่งที่ 𝗗𝗮𝘃𝗲 𝗚𝗿𝗼𝗵𝗹, 𝗝𝗼𝗲𝘆 𝗝𝗼𝗿𝗱𝗶𝘀𝗼𝗻 และ 𝗘𝗹𝘃𝗶𝗻 𝗝𝗼𝗻𝗲𝘀 มีร่วมกันคือ
พวกเขาไม่ได้ใช้กลองเพื่อ อวดเทคนิค
พวกเขาใช้กลองเพื่อ เล่าเรื่องของความโกรธ ด้วยภาษาเฉพาะตัว
ความโกรธในกลองไม่ใช่ “เสียงดัง” เพียงอย่างเดียว แต่คือการ เลือกเครื่องมือ จังหวะ และปฏิสัมพันธ์ เพื่อถ่ายทอดความรู้สึกอย่างแท้จริง
คำถาม
๐ ถ้าคุณต้องการสื่อสาร “ความโกรธ” ผ่านกลอง คุณอยากทำให้มันตรงไปตรงมาแบบ 𝗗𝗮𝘃𝗲 𝗚𝗿𝗼𝗵𝗹, ถาโถมต่อเนื่องแบบ 𝗝𝗼𝗲𝘆 𝗝𝗼𝗿𝗱𝗶𝘀𝗼𝗻 หรือแฝงไว้ในบทสนทนาดนตรีแบบ 𝗘𝗹𝘃𝗶𝗻 𝗝𝗼𝗻𝗲𝘀?
๐ ในการเล่นจริง คุณเคยสังเกตหรือไม่ว่า ความโกรธในตัวคุณ มีรูปแบบใกล้เคียงกับใครมากที่สุด?
๐ ผู้ฟังของคุณจะ “ได้ยินกลอง” หรือ “ได้ยินความโกรธ” ผ่านกลองของคุณ?
***อ้างอิง
๐ 𝗖𝗮𝘁𝗲𝗳𝗼𝗿𝗶𝘀, 𝗧. (𝟮𝟬𝟭𝟭). 𝗔𝗿𝗲 𝗪𝗲 𝗡𝗼𝘁 𝗡𝗲𝘄 𝗪𝗮𝘃𝗲? 𝗠𝗼𝗱𝗲𝗿𝗻 𝗣𝗼𝗽 𝗮𝘁 𝘁𝗵𝗲 𝗧𝘂𝗿𝗻 𝗼𝗳 𝘁𝗵𝗲 𝟭𝟵𝟴𝟬𝘀. 𝗨𝗻𝗶𝘃𝗲𝗿𝘀𝗶𝘁𝘆 𝗼𝗳 𝗠𝗶𝗰𝗵𝗶𝗴𝗮𝗻 𝗣𝗿𝗲𝘀𝘀.
๐ 𝗠𝗰𝗜𝘃𝗲𝗿, 𝗝. (𝟮𝟬𝟭𝟱). 𝗦𝗹𝗶𝗽𝗸𝗻𝗼𝘁: 𝗗𝘆𝘀𝗳𝘂𝗻𝗰𝘁𝗶𝗼𝗻𝗮𝗹 𝗙𝗮𝗺𝗶𝗹𝘆 𝗣𝗼𝗿𝘁𝗿𝗮𝗶𝘁𝘀. 𝗢𝗺𝗻𝗶𝗯𝘂𝘀 𝗣𝗿𝗲𝘀𝘀.
๐ 𝗕𝗲𝗿𝗹𝗶𝗻𝗲𝗿, 𝗣. (𝟭𝟵𝟵𝟰). 𝗧𝗵𝗶𝗻𝗸𝗶𝗻𝗴 𝗶𝗻 𝗝𝗮𝘇𝘇: 𝗧𝗵𝗲 𝗜𝗻𝗳𝗶𝗻𝗶𝘁𝗲 𝗔𝗿𝘁 𝗼𝗳 𝗜𝗺𝗽𝗿𝗼𝘃𝗶𝘀𝗮𝘁𝗶𝗼𝗻. 𝗨𝗻𝗶𝘃𝗲𝗿𝘀𝗶𝘁𝘆 𝗼𝗳 𝗖𝗵𝗶𝗰𝗮𝗴𝗼 𝗣𝗿𝗲𝘀𝘀.
𝟰. 𝗚𝗿𝗼𝗼𝘃𝗲 โกรธ ≠ แค่ตีแรง ♬
เวลาพูดถึง “การเล่นกลองแบบโกรธ” หลายคนมักนึกถึงการตีให้ดังที่สุด ตี 𝗰𝗿𝗮𝘀𝗵 ทุกจังหวะ และเพิ่มความเร็วให้มากที่สุด แต่ในความเป็นจริง ความโกรธที่ทรงพลังที่สุดในดนตรีไม่ได้มาจาก “เสียงดังตลอดเวลา” หากมาจาก การจัดการพลังงานอย่างมีทิศทาง คล้ายการใช้ไฟที่ถูกควบคุม—เมื่อปล่อยถูกจังหวะ จะเผาไหม้ได้รุนแรงกว่าการเผาแบบไร้ขอบเขต
๐ ความดังที่เลือกใช้ ไม่ใช่ความดังตลอดเวลา
หากกลองตี 𝗰𝗿𝗮𝘀𝗵 𝗰𝘆𝗺𝗯𝗮𝗹 ทุกจังหวะ เพลงจะกลายเป็นเพียง เสียงดังมั่ว ที่ทำให้ผู้ฟังรู้สึกเหนื่อยล้าแทนที่จะเข้าถึงพลังความโกรธที่แท้จริง การเลือก 𝗮𝗰𝗰𝗲𝗻𝘁 ให้ถูกจังหวะและมีความหมาย จึงเป็นสิ่งสำคัญ เช่น การใช้ 𝗿𝗶𝗺𝘀𝗵𝗼𝘁 หนัก ๆ บนจังหวะที่เชื่อมไปสู่คอรัส หรือการฟาด 𝗰𝗿𝗮𝘀𝗵 ในตอนที่โซโล่ถึงจุดสูงสุด สิ่งเหล่านี้คือ การเลือกใช้ความดังเป็น “คำพูดสำคัญ” ไม่ใช่การพูดตะโกนตลอดเวลา
๐ 𝗣𝘂𝗹𝘀𝗲 ที่มั่นคง = หัวใจของความโกรธ
ความโกรธที่ไร้ทิศทางอาจทำให้ผู้ฟัง “หนี” แต่ความโกรธที่ยังคงรักษา 𝗽𝘂𝗹𝘀𝗲 หรือ 𝘀𝘁𝗲𝗮𝗱𝘆 𝗯𝗲𝗮𝘁 ไว้ได้ จะทำให้ผู้ฟังถูกดึงเข้าสู่บรรยากาศร่วมกัน เสมือนกำลังเดินไปพร้อมกับพลังอารมณ์ของผู้เล่น นักวิจัยด้านจิตวิทยาดนตรี เช่น 𝗖𝗹𝗮𝘆𝘁𝗼𝗻 (𝟮𝟬𝟬𝟬) เคยอธิบายว่า 𝘀𝗲𝗻𝘀𝗲 𝗼𝗳 𝘁𝗶𝗺𝗲 ที่ร่วมกันคือแก่นแท้ของการสร้างประสบการณ์ดนตรีร่วมกัน → สำหรับมือกลอง การโกรธโดยไม่ทำลาย 𝗽𝘂𝗹𝘀𝗲 คือการ สร้างแรงกดดันที่จับต้องได้ มากกว่าการตีแรงแต่ไร้ทิศทาง
๐ ความเงียบ = อาวุธที่มองไม่เห็น
อีกหนึ่งเทคนิคสำคัญคือ “การปล่อย 𝘀𝗽𝗮𝗰𝗲” ความเงียบในดนตรีไม่ใช่การหยุดเฉย ๆ แต่คือ แรงกดดันที่ถูกสร้างจากการเว้นวรรค เช่น การหยุดกลองทันทีหลังการฟาด 𝗿𝗶𝗺𝘀𝗵𝗼𝘁 หนัก ๆ จะทำให้ผู้ฟังรู้สึกเหมือนถูกตัดลมหายใจ หรือการเว้นจังหวะก่อนกลับเข้ามาใน 𝗴𝗿𝗼𝗼𝘃𝗲 จะยิ่งทำให้พลังที่ตามมาทวีคูณ การใช้ 𝘀𝗶𝗹𝗲𝗻𝗰𝗲 แบบนี้ทำให้ความโกรธถูกขยายโดยการ “ขาดหาย” ไม่ใช่การ “ล้นเกิน”
๐ ตัวอย่างเทคนิคที่ใช้ได้จริง
𝗥𝗶𝗺𝘀𝗵𝗼𝘁 และ 𝗰𝗿𝗮𝘀𝗵 → ใช้เฉพาะช่วงที่ต้องการเน้นความเข้มข้น
𝗚𝗵𝗼𝘀𝘁 𝗻𝗼𝘁𝗲 → เพิ่มความหนาแน่นโดยไม่ทำให้เพลงล้น
𝗕𝗿𝗲𝗮𝗸𝘀 และ 𝗿𝗲𝘀𝘁𝘀 → ทำให้ผู้ฟัง “คาดหวัง” และรู้สึกกดดัน
การเน้น 𝗱𝗼𝘄𝗻𝗯𝗲𝗮𝘁 → ทำให้ 𝗴𝗿𝗼𝗼𝘃𝗲 เหมือนมีแรงถ่วงที่หนักแน่น กดผู้ฟังให้อยู่ในอารมณ์ร่วม
๐ ความโกรธที่มี “หัวใจ”
หากเปรียบความโกรธที่ไร้การควบคุมคือเสียงระเบิดที่หายไปในไม่กี่วินาที ความโกรธที่ถูกควบคุมด้วย 𝗴𝗿𝗼𝗼𝘃𝗲 คือไฟที่ลุกไหม้ต่อเนื่องและอบอวลอยู่ในห้องทั้งห้อง การรักษา 𝘀𝘁𝗲𝗮𝗱𝘆 𝗯𝗲𝗮𝘁 ทำให้ความโกรธไม่ใช่เพียง “เสียงดังชั่วคราว” แต่กลายเป็น พลังงานที่สะกดผู้ฟังให้อยู่กับเพลงได้ยาวนานกว่า
คำถาม
๐ เวลาคุณเล่นกลอง คุณเลือกที่จะตีแรงทุกจังหวะ หรือคุณเลือก “จังหวะที่ควรตีแรง” เพื่อให้มันมีความหมาย?
๐ คุณเคยลองใช้ ความเงียบ เป็นส่วนหนึ่งของการสื่อสารความโกรธหรือยัง?
๐ ถ้าความโกรธของคุณต้องกลายเป็น 𝗴𝗿𝗼𝗼𝘃𝗲 ที่ผู้ฟังรู้สึกได้ คุณจะจัดการพลังนั้นให้ “อยู่ใน 𝗽𝘂𝗹𝘀𝗲” อย่างไร?
บทสรุปของการใช้กลองเพื่อสื่อสารอารมณ์โกรธ ไม่ได้จบเพียงแค่ “การตีแรง” หรือ “การเพิ่มความเร็ว” แต่คือการหันกลับมาถามตัวเองว่า เรากำลังเลือกภาษาใดในการเล่าเรื่องทางอารมณ์ ผ่านเครื่องดนตรีที่ทรงพลังที่สุดในแง่ของ จังหวะและพลังงาน
เวลาโกรธ คุณเลือก “ความเร็ว” หรือ “ความหนัก” เป็นภาษา?
นักจิตวิทยาดนตรีจำนวนมากชี้ว่า ผู้ฟังรับรู้ความโกรธผ่านสองมิติหลัก ๆ คือ ความเร่งรัด (𝘂𝗿𝗴𝗲𝗻𝗰𝘆) และ แรงกดดัน (𝗶𝗻𝘁𝗲𝗻𝘀𝗶𝘁𝘆) ความเร็ว (𝘁𝗲𝗺𝗽𝗼) สื่อถึงความเร่งร้อน เหมือนหัวใจเต้นถี่ไม่หยุด ในขณะที่ความหนัก (𝘄𝗲𝗶𝗴𝗵𝘁) ของการตี 𝗮𝗰𝗰𝗲𝗻𝘁 หรือ 𝗴𝗿𝗼𝗼𝘃𝗲 ช้าแต่หนาแน่น กลับสร้างความรู้สึกกดดันที่อึดอัดและยาวนานกว่า มือกลองจึงต้องถามตนเองว่า “ภาษา” ที่เลือกใช้คือแบบไหน และผลลัพธ์ที่ส่งถึงผู้ฟังคืออะไร
คุณเคยลองบีบอัดความโกรธให้อยู่ใน 𝗴𝗿𝗼𝗼𝘃𝗲 ช้า หนัก จนคนฟังรู้สึกอึดอัดไปกับคุณหรือยัง?
ดนตรี 𝗺𝗲𝘁𝗮𝗹 แบบ 𝗱𝗼𝗼𝗺 หรือ 𝘀𝗹𝘂𝗱𝗴𝗲 แสดงให้เห็นว่า ความโกรธไม่จำเป็นต้องเร็วเสมอไป การค่อย ๆ บีบอัดพลังลงใน 𝗴𝗿𝗼𝗼𝘃𝗲 ช้า ๆ หนัก ๆ อาจทำให้คนฟังรู้สึกถูกบังคับให้อยู่ในสภาวะอึดอัดทางอารมณ์ร่วมกับคุณ ยิ่งเมื่อกลองรักษา 𝗽𝘂𝗹𝘀𝗲 อย่างมั่นคงและเลือก 𝗮𝗰𝗰𝗲𝗻𝘁 อย่างชาญฉลาด ความโกรธที่สื่อออกมาจะไม่เพียงแต่ได้ยิน แต่จะ “กดทับ” ลงบนร่างกายและอารมณ์ของผู้ฟังอย่างแท้จริง
คุณอยากให้ผู้ฟัง “ได้ยินเสียงโกรธ” หรือ “รู้สึกโกรธไปพร้อมคุณ”?
นี่คือคำถามที่สะท้อนถึง แก่นของศิลปะการตีกลอง การตีให้ดังหรือเร็วอาจทำให้ผู้ฟัง “ได้ยิน” ความโกรธ แต่การจัดการพลังงาน การเลือก 𝘀𝗽𝗮𝗰𝗲 การใช้ 𝘀𝗶𝗹𝗲𝗻𝗰𝗲 และการรักษา 𝗴𝗿𝗼𝗼𝘃𝗲 ที่มั่นคง จะทำให้ผู้ฟัง “รู้สึกโกรธไปพร้อมคุณ” ราวกับว่าหัวใจของพวกเขาเต้นไปตามหัวใจกลอง เสมือนว่าพลังงานดิบถูกถ่ายทอดโดยตรงเข้าสู่ร่างกายของผู้ฟัง
เพราะสุดท้ายแล้ว กลองไม่ใช่แค่เครื่องกำหนดจังหวะ แต่คือ หัวใจที่เต้นด้วยอารมณ์ และหนึ่งในอารมณ์ที่มันสื่อได้ดังและชัดที่สุด ก็คือ ความโกรธ—พลังงานดิบที่เมื่อถูกควบคุมอย่างมีศิลปะ จะเปลี่ยนจากเสียงดังวุ่นวายให้กลายเป็น เสียงที่สะกดคนฟังจนน่าขนลุก
Comments