เมื่อ ‘สติ’ กลายเป็นเครื่องมือสร้างสรรค์ทางดนตรี
- Dr.Kasem THipayametrakul
- 11 minutes ago
- 3 min read

“การคิด” กับ “การตื่นรู้” ไม่ใช่เรื่องเดียวกัน
ในโลกของดนตรี เรามักเชื่อว่า “#ความคิดสร้างสรรค์” มาจากเทคนิคที่เหนือชั้น ทฤษฎีที่แน่น หรือจินตนาการที่พุ่งไกล แต่มีสิ่งหนึ่งที่มักถูกมองข้าม ทั้งที่มันอาจเป็น รากฐานลึกที่สุด ของทุกเสียงที่เกิดขึ้น นั่นคือ “สติ”
ลองถามตัวเองดูว่า...
ทำไมบางครั้ง...การ “หยุดคิด” ถึงทำให้ดนตรีไหลลื่นขึ้น?
ทำไมจังหวะที่ดีที่สุด...มักเกิดในตอนที่เรา “ไม่ได้พยายาม”?
ทำไมบางคนยิ่งฝึก ยิ่งตีแน่น แต่กลับรู้สึก “ตัน” ทางความรู้สึก?
ในบทความนี้ อยากชวนคุณลองมองใหม่ว่า
สติ (𝗠𝗶𝗻𝗱𝗳𝘂𝗹𝗻𝗲𝘀𝘀) ไม่ใช่แค่เครื่องมือควบคุม ไม่ใช่แค่ช่วยให้ตีแม่น
แต่มันคือ “พื้นที่ว่างภายใน” ที่เปิดทางให้ความคิดสร้างสรรค์ทางดนตรี “เกิดขึ้น” ได้โดยไม่ฝืน
𝟭. สติ คือ “พื้นที่ว่าง” ที่ความคิดสร้างสรรค์สามารถเกิดได้
เวลาพูดถึง “ความคิดสร้างสรรค์” เรามักนึกถึงไอเดียที่ปิ๊งขึ้นมาอย่างเฉียบพลัน การฝึกฝนที่เข้มข้น หรือการคิดแบบนอกกรอบ แต่ในความเป็นจริง พื้นที่ที่ทำให้ไอเดียเหล่านั้น “เกิดขึ้นได้” กลับไม่ใช่ความคิดมากมายซ้อนกัน แต่มักเป็น “ความว่าง” ที่อิสระจากการตัดสินล่วงหน้า
นักจิตวิทยา 𝗗𝗿. 𝗘𝗹𝗹𝗲𝗻 𝗟𝗮𝗻𝗴𝗲𝗿 จาก 𝗛𝗮𝗿𝘃𝗮𝗿𝗱 พูดถึงแนวคิด “𝗠𝗶𝗻𝗱𝗳𝘂𝗹𝗻𝗲𝘀𝘀” ในงานวิจัยหลายชิ้นว่า แท้จริงแล้วความคิดสร้างสรรค์ไม่ใช่ผลของการ “พยายามคิด” แต่เกิดจาก “การสังเกตสิ่งใหม่ในสิ่งเก่า” หรือการไม่รีบตัดสินและเปิดรับสิ่งที่ปรากฏในปัจจุบันขณะ
แล้วในฐานะ “มือกลอง” สิ่งนี้แปลว่าอะไร?
ลองนึกถึง 𝗯𝗮𝘀𝗶𝗰 𝗴𝗿𝗼𝗼𝘃𝗲 ที่คุณเล่นมาแล้วนับพันครั้ง สิ่งที่แยกมือกลองที่ยังเติบโตกับ 𝗴𝗿𝗼𝗼𝘃𝗲 เดิมๆ ออกจากมือกลองที่หยุดพัฒนา คือ “วิธีที่เขาฟัง”
คนที่เบื่อ 𝗴𝗿𝗼𝗼𝘃𝗲 นั้น จะตีมันแบบเดิมทุกครั้ง
แต่คนที่มี “สติ” จะฟังสิ่งเดิมด้วยมุมใหม่ เช่น...
๐ ถ้าเปลี่ยนตำแหน่ง 𝗴𝗵𝗼𝘀𝘁 𝗻𝗼𝘁𝗲 เล็กน้อย เสียงจะ 𝗯𝗮𝗹𝗮𝗻𝗰𝗲 ขึ้นไหม?
๐ ถ้าลองปล่อย 𝗵𝗶-𝗵𝗮𝘁 ให้เปิดคลุม 𝘀𝗻𝗮𝗿𝗲 บางจังหวะ จะเกิด 𝘁𝗲𝘅𝘁𝘂𝗿𝗲 ที่น่าสนใจหรือเปล่า?
๐ ถ้าตี 𝗴𝗿𝗼𝗼𝘃𝗲 เดิมแต่ 𝗳𝗼𝗰𝘂𝘀 ที่ 𝘁𝗼𝗻𝗲 ของไม้กับหนังกลอง จะเปลี่ยน 𝗺𝗼𝗼𝗱 ได้ไหม?
ความต่างนี้ไม่ได้อยู่ที่ทักษะ แต่มาจาก “เจตจำนงในการฟัง” คนที่มีสติจะไม่ฟังแบบเดิมโดยอัตโนมัติ แต่ฟังเพื่อ "เข้าใจใหม่"
“จังหวะเดิมอาจไม่เคยน่าเบื่อ ถ้าเราฟังมันเหมือนเป็นครั้งแรก”
สติจึงเป็น “พื้นที่ว่าง” ที่เปิดทางให้ความคิดใหม่ๆ แทรกเข้ามาได้
คล้ายกับภาพวาดที่ต้องมีพื้นที่ขาว ดนตรีก็ต้องการ “ช่องว่าง” ให้เสียงใหม่ๆ ได้เกิดขึ้นโดยไม่ถูกทับด้วยนิสัยเดิม ความรีบ หรือ 𝗲𝗴𝗼
โดยเฉพาะในยุคที่ทุกคนแข่งกันเร็วขึ้น เล่นเก่งขึ้น แชร์มากขึ้น มือกลองที่กล้าฟังแบบช้าๆ ลึกๆ และ “อยู่กับ 𝗴𝗿𝗼𝗼𝘃𝗲 อย่างมีสติ” จึงเป็นคนที่แตกต่าง และมักจะเป็นคนที่ “พูดด้วยเสียงกลองได้ชัดเจน” ที่สุด
คำถาม: เวลาคุณเล่น 𝗯𝗮𝘀𝗶𝗰 𝗴𝗿𝗼𝗼𝘃𝗲 ซ้ำๆ คุณยัง “ฟังใหม่” เหมือนฟังสิ่งที่เพิ่งเกิดขึ้น? หรือคุณ ฟังมันด้วยความเบื่อ เพราะคิดว่าคุณรู้มันหมดแล้ว?
อ้างอิง: 𝗟𝗮𝗻𝗴𝗲𝗿, 𝗘. 𝗝. (𝟮𝟬𝟬𝟱). 𝗢𝗻 𝗯𝗲𝗰𝗼𝗺𝗶𝗻𝗴 𝗮𝗻 𝗮𝗿𝘁𝗶𝘀𝘁: 𝗥𝗲𝗶𝗻𝘃𝗲𝗻𝘁𝗶𝗻𝗴 𝘆𝗼𝘂𝗿𝘀𝗲𝗹𝗳 𝘁𝗵𝗿𝗼𝘂𝗴𝗵 𝗺𝗶𝗻𝗱𝗳𝘂𝗹 𝗰𝗿𝗲𝗮𝘁𝗶𝘃𝗶𝘁𝘆. 𝗕𝗮𝗹𝗹𝗮𝗻𝘁𝗶𝗻𝗲 𝗕𝗼𝗼𝗸𝘀.
𝟮. สติเปลี่ยน “การควบคุม” ให้กลายเป็น “การเปิดรับ”
ในโลกของดนตรี โดยเฉพาะสำหรับมือกลอง เรามักถูกฝึกให้ “ควบคุม” ทุกอย่าง คุมจังหวะให้เป๊ะ คุมสปีดให้นิ่ง คุมไดนามิกให้แม่น แต่ในความเป็นจริง ความสามารถที่ “ลึก” ที่สุดของนักดนตรีอาจไม่ใช่การควบคุมได้เก่ง แต่คือการ “เปิดรับ” ได้มาก
ลองนึกถึงช่วงเวลาที่คุณ 𝘀𝗼𝗹𝗼 หรือ 𝗶𝗺𝗽𝗿𝗼𝘃𝗶𝘀𝗲…คุณกำลัง “ขับเคลื่อนดนตรี” หรือ “ให้ดนตรีพาไป”?
การสร้างสรรค์ดนตรีที่แท้จริงไม่ใช่การวางแผนล่วงหน้า แต่คือการ “เกิดขึ้น”
นักจิตวิทยาชื่อดัง 𝗠𝗶𝗵𝗮𝗹𝘆 𝗖𝘀𝗶𝗸𝘀𝘇𝗲𝗻𝘁𝗺𝗶𝗵𝗮𝗹𝘆𝗶 ได้ศึกษาพฤติกรรมของศิลปิน นักดนตรี นักเต้น และนักกีฬาระดับโลก และพบสิ่งที่เรียกว่า “ภาวะ 𝗙𝗹𝗼𝘄” คือสภาวะที่บุคคลจดจ่ออยู่กับสิ่งที่ทำจนลืมตัวตนของตนเอง
ในช่วงเวลานั้น “ความพยายาม” จะลดลง
ความรู้สึกว่า “ฉันกำลังทำสิ่งนี้” จะค่อยๆ หายไป
สิ่งที่เหลืออยู่คือ การเป็นส่วนหนึ่งกับสิ่งที่กำลังเกิดขึ้น
สำหรับมือกลอง ภาวะนี้เกิดขึ้นตอนที่คุณไม่ได้ “คิดก่อนตี” แต่เสียงมัน “ออกมาเอง” โดยไม่ต้องบังคับ
เหมือน 𝗳𝗶𝗹𝗹 ที่ดีไม่ได้มาจากการวางแผนล่วงหน้า แต่เกิดจากการฟังสิ่งที่เกิดขึ้นแล้วปล่อยให้มือ-ใจ-เสียงมันไหลไปพร้อมกัน
การมี “สติ” ไม่ได้แปลว่า “ต้องควบคุม” แต่แปลว่า “ตื่นรู้พอจะไม่ขวางทาง”
สติในบริบทนี้ ไม่ใช่แค่การจับจังหวะให้เป๊ะ หรือคุมตัวเองให้ไม่พลาด แต่มันคือความตื่นรู้ที่ละเอียดพอจะ เปิดทางให้บางอย่างเกิดขึ้น โดยไม่ถูกขัดจังหวะด้วย 𝗲𝗴𝗼 ความกลัว หรือความรีบ
ลองนึกถึงสถานการณ์ที่คุณกำลัง 𝗶𝗺𝗽𝗿𝗼𝘃𝗶𝘀𝗲:
ถ้าคุณ “คิดว่าอยากโชว์เทคนิค” คุณจะเล่นในสิ่งที่เตรียมไว้
แต่ถ้าคุณ “ฟังให้มากพอ” คุณอาจเล่นในสิ่งที่ไม่เคยคิดออกเลย แต่มันเข้ากับดนตรีมากกว่าเดิม
นั่นคือความแตกต่างระหว่าง “การควบคุม” กับ “การเปิดรับ”
ความไว้วางใจใน “สัญชาตญาณที่ตื่นรู้”
สิ่งนี้ไม่ใช่การมั่วหรือเดา แต่มันคือการ ฝึกฝนอย่างลึกซึ้งจนมือกับหูทำงานประสานกัน
แล้วคุณปล่อยให้มันทำงาน โดยที่ “ตัวตนของคุณไม่ต้องคุมมันอีกต่อไป”
มือกลองที่เข้า 𝗳𝗹𝗼𝘄 ได้ไว ไม่ใช่คนที่เก่งที่สุด แต่คือคนที่ ไว้ใจเสียง และรู้ว่า บางครั้งเสียงที่ดีที่สุดไม่ได้มาจากเรา แต่มันมาจากดนตรีเอง
คำถาม: เวลาคุณ 𝗶𝗺𝗽𝗿𝗼𝘃𝗶𝘀𝗶𝗻𝗴...คุณกำลัง “บอกดนตรีให้เป็นยังไง” หรือคุณ “เปิดใจฟังว่าดนตรีอยากให้คุณเล่นอะไร”?
อ้างอิง: 𝗖𝘀𝗶𝗸𝘀𝘇𝗲𝗻𝘁𝗺𝗶𝗵𝗮𝗹𝘆𝗶, 𝗠. (𝟭𝟵𝟵𝟬). 𝗙𝗹𝗼𝘄: 𝗧𝗵𝗲 𝗽𝘀𝘆𝗰𝗵𝗼𝗹𝗼𝗴𝘆 𝗼𝗳 𝗼𝗽𝘁𝗶𝗺𝗮𝗹 𝗲𝘅𝗽𝗲𝗿𝗶𝗲𝗻𝗰𝗲. 𝗛𝗮𝗿𝗽𝗲𝗿 & 𝗥𝗼𝘄.
𝟯. สติในฐานะเครื่องมือสร้าง “ความหมาย” ไม่ใช่แค่เสียง
เสียงของกลองนั้นปราศจากเมโลดี้ แต่สามารถเล่าเรื่องได้ หากผู้เล่นรู้วิธี “อยู่กับความรู้สึก” ในระหว่างการเล่น ไม่ว่าจะเป็นความสงบนิ่งในเสียง 𝗰𝘆𝗺𝗯𝗮𝗹 𝗿𝗼𝗹𝗹 ความเร่งเร้าใน 𝗿𝗶𝗺𝘀𝗵𝗼𝘁 ที่จงใจ หรือความเปลี่ยนแปลงที่เกิดจากการเว้นจังหวะ สติในที่นี้ไม่ใช่แค่การ “ควบคุมมือให้แม่น” แต่คือความสามารถในการ “รู้ว่าตัวเองกำลังรู้สึกอะไร” และยอมให้สิ่งนั้นออกมาในรูปของเสียง
สติคือการ “ฟังความรู้สึก” ของตัวเอง ก่อนจะส่งต่อให้คนฟัง
มือกลองที่เล่นเก่ง ไม่จำเป็นต้องตีให้เยอะ แต่ต้องตีให้ มีความรู้สึกอยู่ในเสียง
และนั่นต้องอาศัยสติ ไม่ใช่เพื่อควบคุม แต่เพื่อรับรู้
รับบรู้ว่าตอนนี้กำลังรู้สึก “สงบ” หรือ “กระวนกระวาย”
รู้ว่าต้อง “ซัพพอร์ต” หรือ “แสดงตัว”
รู้ว่าเสียงแบบไหนสะท้อนสิ่งที่ใจเรากำลังเป็น
เมื่อมือกับเสียงกลายเป็น “กระจก” ของใจ เสียงจะไม่ใช่แค่ 𝗽𝗮𝘁𝘁𝗲𝗿𝗻 อีกต่อไป แต่มันจะ “เล่าเรื่อง” ได้
จากโน้ตดิบสู่ความหมายที่มีชีวิต
ในบางครั้ง คุณอาจตี 𝗽𝗮𝘁𝘁𝗲𝗿𝗻 เดิมซ้ำๆ แต่ในวันหนึ่ง เสียงเดียวกันนั้นอาจ สัมผัสคนดูได้ลึกกว่าเดิม
เพราะวันนั้นคุณตีจากความรู้สึกที่ “จริง” ไม่ใช่จากการจำหรือซ้อม นั่นแหละคือพลังของสติในฐานะเครื่องมือเล่าเรื่อง
𝗝𝗼𝗵𝗻 𝗖𝗮𝗴𝗲 เคยเขียนไว้ว่า
“𝗜 𝗵𝗮𝘃𝗲 𝗻𝗼𝘁𝗵𝗶𝗻𝗴 𝘁𝗼 𝘀𝗮𝘆 𝗮𝗻𝗱 𝗜 𝗮𝗺 𝘀𝗮𝘆𝗶𝗻𝗴 𝗶𝘁.”
คนจำนวนมากเข้าใจผิดว่าคำนี้คือ “การยอมแพ้” แต่จริงๆ แล้ว นี่คือคำพูดของคนที่ มีพื้นที่ภายในมากพอ ให้เสียงมันพูดด้วยตัวของมันเอง โดยที่เราไม่ต้องไปบังคับมัน
เสียงดนตรีที่มี “ความหมาย” ไม่ต้องตะโกน
มันไม่ต้องเร็ว ,ไม่ต้องโชว์ ,ไม่ต้องพิสูจน์อะไร
มันแค่ “จริง” และนั่นมากพอแล้วที่คนฟังจะ “รู้สึกได้”
คำถาม: ตอนคุณเล่นเพลงหนึ่ง…คุณกำลังทำให้ 𝗽𝗮𝘁𝘁𝗲𝗿𝗻 สมบูรณ์? หรือคุณกำลัง “พูดบางอย่างที่อยู่ข้างใน” โดยใช้เสียงเป็นภาษากลาง?
อ้างอิง: 𝗖𝗮𝗴𝗲, 𝗝. (𝟭𝟵𝟲𝟭). 𝗦𝗶𝗹𝗲𝗻𝗰𝗲: 𝗟𝗲𝗰𝘁𝘂𝗿𝗲𝘀 𝗮𝗻𝗱 𝘄𝗿𝗶𝘁𝗶𝗻𝗴𝘀. 𝗪𝗲𝘀𝗹𝗲𝘆𝗮𝗻 𝗨𝗻𝗶𝘃𝗲𝗿𝘀𝗶𝘁𝘆 𝗣𝗿𝗲𝘀𝘀.
𝟰. สติคือการปล่อย “ตัวเรา” เพื่อให้ “ดนตรีเกิด”
บนเวทีที่เต็มไปด้วยเสียง คนที่น่าจดจำที่สุดอาจไม่ใช่คนที่ “เล่นเสียงดังที่สุด”
แต่คือคนที่ “ทำให้ทุกเสียงรวมกันเป็นเพลงเดียวได้”
และสิ่งนั้นจะเกิดขึ้นไม่ได้เลย ถ้าเรา “ไม่ยอมถอยจากตัวตนของตัวเอง”
ดนตรีไม่ได้ต้องการให้คุณแสดงตัว… แต่ต้องการให้คุณ “หายไป”
นักดนตรีบางคนเก่งมาก แต่เสียงของพวกเขากลับ “ไม่เคยเข้ากับวง”
เพราะทุกครั้งที่เขาเล่น เขาพยายามประกาศว่า “ฉันอยู่ตรงนี้!”
แต่ดนตรีที่ดีจริง กลับเกิดจากคนที่ ฟังวงก่อนจะฟังตัวเอง และกล้ายอมรับว่าบางครั้ง “ความเงียบของเรา” ก็คือส่วนหนึ่งของดนตรี
มือกลองที่ยิ่งใหญ่ ไม่ใช่คนที่ตีเยอะ แต่คือคนที่ รู้ว่าเมื่อไรควรตี และเมื่อไรควรหยุด
บางครั้งการตีเบาๆ ในจังหวะที่เหมาะสม ให้พื้นที่กับนักร้อง ให้ซาวด์ของกีตาร์ได้หายใจ
คือสิ่งที่ “ยกระดับทั้งวง” มากกว่าการโชว์ 𝗳𝗶𝗹𝗹 ซับซ้อนใดๆ
ดนตรีเป็นของหมู่ ไม่ใช่ของเรา และการมี “สติ” คือการยอมรับความจริงข้อนั้น พร้อมทั้งวางตัวให้พอดี ไม่มากไป ไม่น้อยไป เพื่อให้เพลงทั้งเพลงได้เกิด
สติคือการ “ลบตัวเอง” ในแบบที่ไม่มีอะไรถูกลดทอน
คุณไม่ได้หายไปจากเสียง แต่คุณหายไปจาก “ความอยากจะเป็นอะไร” ในเสียงนั้น เหลือไว้แค่ “ดนตรีที่แท้” ที่บริสุทธิ์พอให้คนฟังรู้สึกว่าเขาได้ยินบางอย่าง “ที่ไม่ใช่คุณ” แต่คือ ความจริงของเพลง
คำถาม: คุณอยากให้คนจำคุณจาก “ลวดลาย”? หรืออยากให้คนจำได้ว่า “คุณฟังเป็น”?
𝟱. สติในกระบวนการแต่งเพลง การเรียบเรียง และการสื่อสารข้ามวัฒนธรรม
เสียงที่ไพเราะที่สุด อาจไม่ได้มาจากความรู้ที่มากที่สุด แต่มาจาก ความเงียบภายในที่นิ่งพอ ที่จะฟังเสียงบางอย่างที่คนอื่นไม่ได้ยิน
ก่อนจะเล่น… ก่อนจะเรียบเรียง… ก่อนจะเขียนเมโลดี้
ลองเงียบ แล้วฟังเสียงบางอย่างในตัวเองก่อน
หลายครั้งเรานั่งลงเพื่อแต่งเพลง โดยเอาความรู้ทั้งหมดออกมาเรียงเป็น 𝗽𝗮𝘁𝘁𝗲𝗿𝗻 แต่ลึกๆ เรารู้สึกว่า “มันยังไม่ใช่” เสียงมันถูก แต่ ความหมายมันยังไม่เกิด
เพราะแท้จริงแล้ว “เพลงไม่ได้เกิดจากเสียง” เพลงเกิดจากความรู้สึกที่ถูกฟังจนตกผลึกเป็นเสียง
“สติที่ลึกพอ จะช่วยให้เราได้ยินว่าเสียงไหน ‘จำเป็นต้องเกิด’ โดยไม่ต้องฝืน”
เสียงทุกเสียงที่เราใส่ลงในเพลง
ถามได้ว่า:
มันจำเป็นจริงๆ ไหม?
มันขัดขวาง หรือมันเปิดทาง?
มันเพิ่มพลังให้เพลง หรือแค่โชว์ว่าเรารู้เยอะ?
สติคือผู้กรองความคิดที่แยกระหว่าง “ความอยากใส่” กับ “สิ่งที่ต้องพูดจริงๆ”
บางครั้งการเรียบเรียงที่ดีที่สุด ไม่ใช่การเพิ่มเครื่องดนตรี แต่คือการ ตัดเสียงที่ไม่จำเป็นออก เพื่อให้แก่นของเพลงชัดเจน
สื่อสารข้ามวัฒนธรรมด้วยความเคารพ ไม่ใช่การเลียนแบบ
ในยุคที่ใครๆ ก็ใส่เสียงขลุ่ยญี่ปุ่นแบบ 𝗹𝗼-𝗳𝗶 หรือสเกลอาหรับลงในเพลงได้ง่ายๆ
สิ่งที่แยกระหว่างเสียงที่ “จริง” กับเสียงที่ “ลอย” คือ เจตนาและสติที่อยู่เบื้องหลังการเลือกใช้
ดนตรีวัฒนธรรมอื่นไม่ใช่แค่ 𝘁𝗲𝘅𝘁𝘂𝗿𝗲 แต่คือประวัติศาสตร์ ภาษา และจิตวิญญาณ การใส่เสียงแบบ “ฟังพอรู้ว่าเป็นชาติไหน” อาจขายได้ง่าย แต่ถ้าใส่โดยไม่มีสติ มันคือ “เสียงเปลือก” ที่กลวง
สติจะถามเราว่า:
เราใส่เสียงนี้เพราะมันเท่ หรือเพราะเรารู้จักมันจริงๆ?
เราเข้าใจวัฒนธรรมนั้นในฐานะมนุษย์ หรือแค่ในฐานะ 𝘀𝗼𝘂𝗻𝗱 𝗲𝗳𝗳𝗲𝗰𝘁?
แต่งเพลงด้วยใจที่ฟัง ไม่ใช่แค่สมองที่วางแผน
เสียงในหัวเราอาจดัง แต่เสียงจากหัวใจเงียบกว่า และต้อง “สติ” เท่านั้น ที่จะเงียบพอได้ยินมัน
บางครั้งความรู้ที่เรามี จะชวนให้เราไปทางหนึ่ง แต่ถ้าเราฟังให้ดี เราอาจได้ยินบางอย่างที่ “เรียบง่ายกว่า” “ซื่อกว่า” และ “จริงกว่า”
เพราะสุดท้ายแล้ว ดนตรีที่คนฟังรู้สึกได้ ไม่ใช่ดนตรีที่ถูกเขียนมาด้วยสูตร แต่คือดนตรีที่ถูก “ฟังออกมา” จากภายใน
คำถาม: คุณแต่งเพลงจากสิ่งที่ “ควร” จะมี? หรือจากการเงียบพอที่จะฟังว่า “หัวใจคุณอยากจะพูดอะไรจริงๆ?”
บทสรุป: ความคิดสร้างสรรค์ไม่ได้เริ่มจากเสียง แต่มาจาก “ความเงียบ”
เรามักเข้าใจว่า “เสียง” คือจุดเริ่มต้นของดนตรี แต่ในความเป็นจริง ดนตรีเริ่มจาก “พื้นที่ว่าง”
…พื้นที่ว่างที่เปิดรับเสียงอย่างรู้ตัว
…พื้นที่ว่างที่ปราศจากการตัดสิน
และพื้นที่ว่างนั้น ก็คือสิ่งที่ สติ สร้างขึ้นมา
มือกลองที่เล่นได้ทุกแนว นักแต่งเพลงที่เรียบเรียงได้ทุกแบบ ไม่ได้มี “ข้อมูล” มากที่สุด แต่มี “ความเงียบภายใน” ที่ใหญ่พอ ให้เสียงใดๆ ก็สามารถ “เกิดขึ้น” ได้ โดยไม่ถูกควบคุม ♬
สุดท้ายนี้...คุณกล้าเงียบพอจะฟังดนตรีเกิดขึ้นในใจคุณหรือยัง?
Comments