top of page
Search

🎧 ถ้าไม่มีคำว่า ‘ดนตรี’ เราจะเรียกสิ่งที่เราทำว่าอะไร❓♬

  • Writer: Dr.Kasem THipayametrakul
    Dr.Kasem THipayametrakul
  • 1 day ago
  • 3 min read


𝟭. #ดนตรีเป็น ‘#คำ’ หรือ ‘#ภาวะ’?



คำว่า “ดนตรี” ดูเหมือนจะเป็นคำที่ทุกวัฒนธรรมรู้จักและใช้เรียกสิ่งที่เกิดจากเสียงที่มีรูปแบบและความหมาย แต่ในความเป็นจริง คำนี้เป็นเพียง “กรอบภาษา” ที่มนุษย์สร้างขึ้นเพื่อจัดระบบและจำแนกสิ่งที่เกิดจากเสียง การเคลื่อนไหว และความรู้สึกต่าง ๆ ให้กลายเป็นหมวดหมู่หนึ่งที่เราเข้าใจร่วมกัน



ก่อนที่คำนี้จะเกิดขึ้น มนุษย์ได้สัมผัสและตอบสนองต่อเสียงในธรรมชาติรอบตัวอยู่แล้ว เช่นเสียงลมพัด เสียงฝนตก เสียงร้องของแม่ เสียงจังหวะเท้าที่เดิน การรวมตัวกันของเสียงเหล่านี้ในพิธีกรรมหรือประเพณีต่าง ๆ ที่มนุษย์มีโดยไม่จำเป็นต้องเรียกมันว่า “ดนตรี”



คำถามเชิงปรัชญาจึงเกิดขึ้นว่า หากไม่มีคำว่า “ดนตรี” สิ่งที่เราทำอยู่ยังคงมีอยู่ไหม? หรือเรากำลังเพียงเปลี่ยนกรอบภาษาเพื่ออธิบายสิ่งเดิมในมุมมองที่แตกต่าง? และเมื่อไม่มีกรอบภาษานั้น เสียงเหล่านั้นยังคงมีความหมายหรือคุณค่าต่อเราในแบบเดียวกันหรือไม่?



ในทางหนึ่ง “ดนตรี” อาจไม่ใช่สิ่งที่มีอยู่โดยธรรมชาติ แต่เป็น “ภาวะ” ที่มนุษย์สร้างขึ้นเพื่อให้เราเข้าใจและมีปฏิสัมพันธ์กับเสียงและความรู้สึกอย่างมีระเบียบ แต่ในอีกทางหนึ่งเสียงเหล่านั้นอาจดำรงอยู่ในรูปแบบที่ลึกซึ้งและหลากหลายกว่าที่คำว่า “ดนตรี” จะสามารถบรรยายได้





คำว่า "ดนตรี" ในแต่ละภาษา ไม่ได้มีความหมายเดียวกันเสมอไป และไม่ได้ปรากฏในทุกวัฒนธรรมด้วยซ้ำ ในโลกตะวันตก คำว่า 𝗺𝘂𝘀𝗶𝗰 มีรากมาจากภาษากรีกคำว่า 𝗺𝗼𝘂𝘀𝗶𝗸𝗲̄ ซึ่งเป็นคำที่หมายถึงศิลปะทั้งหมดของเทพธิดา “มิวส์” (𝗠𝘂𝘀𝗲𝘀) ไม่ใช่แค่เสียงดนตรี แต่รวมถึง กวี การเล่าเรื่อง ปรัชญา และแม้แต่ ดาราศาสตร์ ก็ยังอยู่ในขอบเขตของ 𝗺𝗼𝘂𝘀𝗶𝗸𝗲̄ 𝘁𝗲𝗰𝗵𝗻𝗲̄ (ศิลปะแห่งแรงบันดาลใจ)



อย่างไรก็ตาม เมื่อเวลาผ่านไป ภาษาในโลกตะวันตกเริ่มจำแนกความรู้เป็นแขนงชัดเจนขึ้น “ดนตรี” จึงถูกตัดขาดออกจากศิลปะแขนงอื่น กลายเป็นสิ่งที่ “ต้องมีโครงสร้างเสียง” มีโน้ต มีจังหวะ มีไวยากรณ์ ซึ่งเป็นการเปลี่ยนจาก ภาวะ แห่งแรงบันดาลใจ มาเป็น ระบบ ที่ต้องควบคุมได้



ในบริบทนี้ แนวคิดของ 𝗠𝗶𝗰𝗵𝗲𝗹 𝗙𝗼𝘂𝗰𝗮𝘂𝗹𝘁 จึงเข้ามาอธิบายปรากฏการณ์นี้ได้อย่างลึกซึ้ง 𝗙𝗼𝘂𝗰𝗮𝘂𝗹𝘁 เสนอว่า "ภาษาไม่ใช่แค่เครื่องมือบรรยายโลก แต่เป็นเครื่องมือในการควบคุมโลก" เมื่อใดที่เราตั้งชื่อให้บางสิ่ง เมื่อนั้นเรากำลัง “สร้างระเบียบ” ให้กับมัน และตัดความเป็นไปได้อื่น ๆ ออกไป ในกรณีของดนตรี การตั้งชื่อว่าเสียงใด “คือดนตรี” เท่ากับเรากำลัง...ตัดสินว่าเสียงใดมีคุณค่าทางศิลปะ, คัดเลือกเสียงที่อยู่ในระบบวาทกรรมของโน้ต จังหวะ และสเกล, ปิดกั้นเสียงอื่น ๆ ที่อยู่นอกระบบ เช่น เสียงบังเอิญ เสียงธรรมชาติ หรือแม้แต่เสียงของความเงียบ



𝗙𝗼𝘂𝗰𝗮𝘂𝗹𝘁 เรียกการจัดระเบียบเหล่านี้ว่า “𝗿𝗲𝗴𝗶𝗺𝗲𝘀 𝗼𝗳 𝘁𝗿𝘂𝘁𝗵” (ระบอบแห่งความจริง) ซึ่งหมายถึงวิธีที่สังคมกำหนดว่า “อะไรคือสิ่งจริง” และ “อะไรคือสิ่งที่พูดได้” เมื่อเราพูดว่า "นี่คือดนตรี" เราไม่ได้แค่บรรยายเสียง แต่เรากำลัง “สร้างพื้นที่ของความจริง” ที่เสียงอื่น ๆ ถูกทำให้เป็น 𝗻𝗼𝗶𝘀𝗲 หรือ ความวุ่นวาย ไปในทันที



  อ้างอิง


๐ 𝗙𝗼𝘂𝗰𝗮𝘂𝗹𝘁, 𝗠. (𝟭𝟵𝟳𝟮). 𝗧𝗵𝗲 𝗔𝗿𝗰𝗵𝗮𝗲𝗼𝗹𝗼𝗴𝘆 𝗼𝗳 𝗞𝗻𝗼𝘄𝗹𝗲𝗱𝗴𝗲. 𝗧𝗿𝗮𝗻𝘀𝗹𝗮𝘁𝗲𝗱 𝗯𝘆 𝗔. 𝗠. 𝗦𝗵𝗲𝗿𝗶𝗱𝗮𝗻 𝗦𝗺𝗶𝘁𝗵. 𝗟𝗼𝗻𝗱𝗼𝗻: 𝗧𝗮𝘃𝗶𝘀𝘁𝗼𝗰𝗸.


๐ 𝗙𝗼𝘂𝗰𝗮𝘂𝗹𝘁, 𝗠. (𝟭𝟵𝟳𝟲). 𝗣𝗼𝘄𝗲𝗿/𝗞𝗻𝗼𝘄𝗹𝗲𝗱𝗴𝗲: 𝗦𝗲𝗹𝗲𝗰𝘁𝗲𝗱 𝗜𝗻𝘁𝗲𝗿𝘃𝗶𝗲𝘄𝘀 𝗮𝗻𝗱 𝗢𝘁𝗵𝗲𝗿 𝗪𝗿𝗶𝘁𝗶𝗻𝗴𝘀, 𝟭𝟵𝟳𝟮–𝟭𝟵𝟳𝟳. 𝗘𝗱𝗶𝘁𝗲𝗱 𝗯𝘆 𝗖. 𝗚𝗼𝗿𝗱𝗼𝗻. 𝗡𝗲𝘄 𝗬𝗼𝗿𝗸: 𝗣𝗮𝗻𝘁𝗵𝗲𝗼𝗻 𝗕𝗼𝗼𝗸𝘀.


๐ 𝗙𝗼𝘂𝗰𝗮𝘂𝗹𝘁, 𝗠. (𝟭𝟵𝟴𝟬). 𝗧𝗿𝘂𝘁𝗵 𝗮𝗻𝗱 𝗣𝗼𝘄𝗲𝗿. 𝗜𝗻 𝗣𝗼𝘄𝗲𝗿/𝗞𝗻𝗼𝘄𝗹𝗲𝗱𝗴𝗲: 𝗦𝗲𝗹𝗲𝗰𝘁𝗲𝗱 𝗜𝗻𝘁𝗲𝗿𝘃𝗶𝗲𝘄𝘀 𝗮𝗻𝗱 𝗢𝘁𝗵𝗲𝗿 𝗪𝗿𝗶𝘁𝗶𝗻𝗴𝘀, 𝟭𝟵𝟳𝟮–𝟭𝟵𝟳𝟳. 𝗘𝗱𝗶𝘁𝗲𝗱 𝗯𝘆 𝗖. 𝗚𝗼𝗿𝗱𝗼𝗻. 𝗡𝗲𝘄 𝗬𝗼𝗿𝗸: 𝗣𝗮𝗻𝘁𝗵𝗲𝗼𝗻 𝗕𝗼𝗼𝗸𝘀.



 ตัวอย่าง


>>> เสียงของคนที่ไม่มีโอกาสเข้าถึงเวที ไม่ได้รับการจัดการบันทึก หรือไม่ได้อยู่ในระบบโน้ต จะไม่ถูกเรียกว่า “ดนตรี” แม้มันจะมีพลังทางอารมณ์มหาศาล



>>> เสียงรอบตัวในพิธีกรรมพื้นบ้าน หรือการฟังเสียงนก เสียงฝน หากไม่มีภาษาที่เรียกมันว่า "ดนตรี" มันอาจถูกปิดโอกาสในการเป็นศิลปะ





𝗦𝘁𝗲𝘃𝗲𝗻 𝗙𝗲𝗹𝗱 นักมานุษยวิทยาดนตรี เสนอแนวคิด “𝗔𝗰𝗼𝘂𝘀𝘁𝗲𝗺𝗼𝗹𝗼𝗴𝘆” (𝗮𝗰𝗼𝘂𝘀𝘁𝗶𝗰 + 𝗲𝗽𝗶𝘀𝘁𝗲𝗺𝗼𝗹𝗼𝗴𝘆) เพื่ออธิบายว่า เสียงไม่ใช่แค่สิ่งที่เราฟัง แต่คือวิธีที่เรารับรู้ และเรียนรู้โลก



𝗙𝗲𝗹𝗱 ทำงานภาคสนามกับชาว 𝗞𝗮𝗹𝘂𝗹𝗶 ในปาปัวนิวกินี ซึ่งเป็นหนึ่งในกลุ่มชาติพันธุ์ที่ไม่มีคำเฉพาะแยกคำว่า "ดนตรี" ออกมาอย่างชัดเจน เสียงธรรมชาติ เช่น เสียงนก, เสียงน้ำตก, เสียงคร่ำครวญของผู้คน, เสียงจากพิธีกรรมและการเล่าเรื่อง...ถูกหลอมรวมอยู่ในชีวิตประจำวันและมีความหมายลึกซึ้งทางสังคมและอารมณ์



เสียงไม่ได้มีสถานะเป็น "𝗽𝗲𝗿𝗳𝗼𝗿𝗺𝗮𝗻𝗰𝗲" (การแสดง) แต่คือ "𝗽𝗿𝗲𝘀𝗲𝗻𝗰𝗲" (การดำรงอยู่ร่วมกัน) ในพิธีกรรมของ 𝗞𝗮𝗹𝘂𝗹𝗶 การร้องไห้หรือการขับเสียง คือการเชื่อมโยงกับวิญญาณบรรพบุรุษและธรรมชาติ ไม่ใช่การ "แสดงดนตรี" ตามความเข้าใจของตะวันตก



๐ เทียบกับวัฒนธรรมอื่น ๆ:



>>อินเดียใต้ – 𝗞𝗼𝗻𝗻𝗮𝗸𝗼𝗹



ในระบบดนตรีอินเดียใต้ (𝗖𝗮𝗿𝗻𝗮𝘁𝗶𝗰 𝗺𝘂𝘀𝗶𝗰) การเรียนรู้จังหวะไม่ได้เริ่มจากการเล่นเครื่องดนตรี แต่เริ่มจากการ “พูดจังหวะ” ด้วยปาก เรียกว่า 𝗞𝗼𝗻𝗻𝗮𝗸𝗼𝗹 เสียงพูดจึงไม่ได้เป็นเพียงภาษา แต่คือ “การเคลื่อนไหวของจังหวะ” ที่ฝังอยู่ในร่างกาย ดนตรีในบริบทนี้ไม่แยกออกจากร่างกาย การหายใจ และภาษา



>>𝗬𝗼𝗿𝘂𝗯𝗮 – ไนจีเรีย



ในวัฒนธรรม 𝗬𝗼𝗿𝘂𝗯𝗮 ของแอฟริกาตะวันตก การตีกลองไม่ใช่แค่ “แสดงจังหวะ” แต่เป็น “การสื่อสาร” กับเทพเจ้า เช่น กลอง 𝘁𝗮𝗹𝗸𝗶𝗻𝗴 𝗱𝗿𝘂𝗺 สามารถเลียนเสียงของภาษา 𝗬𝗼𝗿𝘂𝗯𝗮 ได้จริง ๆ ดนตรีจึงเป็น “ถ้อยคำ” และ “บทสนทนา” ไม่ใช่การแสดงเพื่อความบันเทิง



๐ เสียงในฐานะ "พฤติกรรมวัฒนธรรม" ไม่ใช่ "หมวดหมู่ศิลปะ"



ในหลายวัฒนธรรม เสียงเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตที่ ไม่ถูกตัดออกมาเป็นศิลปะ อย่างที่โลกตะวันตกทำ เสียงคือ “การกระทำทางสังคม” ไม่ใช่ “ผลงานศิลปะ” เช่น การร้องของแม่ให้ลูกหลับ, การขับเสียงในงานศพ, การตะโกนในพิธีเรียกฝนล้วนเป็น “การกระทำที่เต็มไปด้วยความหมาย” แม้จะไม่มีใครเรียกสิ่งเหล่านี้ว่า "ดนตรี"



๐ ข้อสังเกตเชิงมานุษยวิทยา:



𝟭. การไม่มีคำว่า "ดนตรี" ไม่ได้แปลว่าไม่มีความงามทางเสียง แต่มันสะท้อนว่า "ความงาม" และ "พลังของเสียง" อาจมีโครงสร้างที่ต่างออกไปโดยสิ้นเชิง



𝟮. เสียงและการเคลื่อนไหวมักมาด้วยกัน ในหลายวัฒนธรรม ดนตรี การเต้น การพูด การร้อง และการเคลื่อนไหวเป็นสิ่งเดียวกัน ไม่สามารถแยกออกจากกันได้ด้วยภาษา



𝟯. การไม่มีชื่อเรียก = เปิดกว้างมากกว่า เพราะไม่มีกรอบคำจำกัด เสียงจึงสามารถทำหน้าที่ได้หลายอย่างพร้อมกัน ทั้งสื่อสาร เยียวยา รวมกลุ่ม และเชื่อมโยงกับสิ่งศักดิ์สิทธิ์



   อ้างอิง


๐ 𝗙𝗲𝗹𝗱, 𝗦𝘁𝗲𝘃𝗲𝗻. (𝟮𝟬𝟭𝟮). 𝗦𝗼𝘂𝗻𝗱 𝗮𝗻𝗱 𝗦𝗲𝗻𝘁𝗶𝗺𝗲𝗻𝘁: 𝗕𝗶𝗿𝗱𝘀, 𝗪𝗲𝗲𝗽𝗶𝗻𝗴, 𝗣𝗼𝗲𝘁𝗶𝗰𝘀, 𝗮𝗻𝗱 𝗦𝗼𝗻𝗴 𝗶𝗻 𝗞𝗮𝗹𝘂𝗹𝗶 𝗘𝘅𝗽𝗿𝗲𝘀𝘀𝗶𝗼𝗻. 𝟯𝗿𝗱 𝗲𝗱𝗶𝘁𝗶𝗼𝗻. 𝗗𝘂𝗿𝗵𝗮𝗺: 𝗗𝘂𝗸𝗲 𝗨𝗻𝗶𝘃𝗲𝗿𝘀𝗶𝘁𝘆 𝗣𝗿𝗲𝘀𝘀.


๐ 𝗙𝗲𝗹𝗱, 𝗦𝘁𝗲𝘃𝗲𝗻. (𝟮𝟬𝟭𝟮). "𝗔𝗰𝗼𝘂𝘀𝘁𝗲𝗺𝗼𝗹𝗼𝗴𝘆." 𝗜𝗻 𝗞𝗲𝘆𝘄𝗼𝗿𝗱𝘀 𝗶𝗻 𝗦𝗼𝘂𝗻𝗱, 𝗲𝗱𝗶𝘁𝗲𝗱 𝗯𝘆 𝗗𝗮𝘃𝗶𝗱 𝗡𝗼𝘃𝗮𝗸 𝗮𝗻𝗱 𝗠𝗮𝘁𝘁 𝗦𝗮𝗸𝗮𝗸𝗲𝗲𝗻𝘆, 𝟭𝟮–𝟮𝟮. 𝗗𝘂𝗿𝗵𝗮𝗺: 𝗗𝘂𝗸𝗲 𝗨𝗻𝗶𝘃𝗲𝗿𝘀𝗶𝘁𝘆 𝗣𝗿𝗲𝘀𝘀.





หากคำว่า “ดนตรี” ไม่เคยถูกนิยาม เราอาจไม่ได้รู้จักมันในฐานะศิลปะ แต่ในฐานะ “ภาวะของการอยู่ร่วมกับเสียง” และเมื่อนั้น คำที่เราใช้เรียกสิ่งที่เราทำ อาจเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง



๐ การฟังร่วม (𝗖𝗼-𝗵𝗲𝗮𝗿𝗶𝗻𝗴)



คือการรับรู้ว่าเสียงที่เกิดขึ้นนั้นมีความหมาย เพราะมีใครอีกคนกำลังฟังอยู่พร้อมกับเรา เสียงไม่ใช่ของเราคนเดียว แต่คือสิ่งที่ต้องถูกแบ่งปันในพื้นที่เดียวกัน ไม่ว่าจะเป็นความเงียบ การเคาะ หรือแม้แต่เสียงลมหายใจ



๐ การสร้างความสัมพันธ์ (𝗥𝗲𝗹𝗮𝘁𝗶𝗼𝗻𝗮𝗹 𝗚𝗲𝘀𝘁𝘂𝗿𝗲)



เสียงที่เราทำขึ้นไม่ใช่เพียงการเล่นหรือแสดงออก แต่เป็นการสื่อสารว่า “ฉันอยู่ตรงนี้กับคุณ” เสียงหนึ่งเสียงอาจไม่ได้ส่งเพื่อสื่อความหมาย แต่เพื่อรักษาระยะห่าง ความใกล้ชิด หรือการตอบสนองบางอย่างในระดับที่ลึกกว่าคำพูด



๐ การเคลื่อนไหวของจิต (𝗚𝗲𝘀𝘁𝘂𝗿𝗮𝗹 𝗟𝗶𝘀𝘁𝗲𝗻𝗶𝗻𝗴)



เสียงบางเสียงในวัฒนธรรม เช่น เสียงของพิธีกรรม การสวด การหายใจแบบมีจังหวะ หรือเสียงก้าวเท้าที่มีแบบแผน ล้วนเป็นภาวะที่ผสานการเคลื่อนไหวทางกายกับการฟังทางใจ เช่นในศิลปะ “𝗠𝗮” ของญี่ปุ่น หรือการภาวนาในหลายศาสนา ที่เน้นการฟังช่องว่างมากกว่าการได้ยินตัวเสียง



๐ การทำให้เงียบกลายเป็นเสียง (𝗦𝗼𝗻𝗶𝗰 𝗥𝗲𝗳𝗿𝗮𝗺𝗶𝗻𝗴)



ในสังคมที่ไม่เรียกสิ่งนี้ว่า “ดนตรี” การเคลื่อนไหวอย่างเงียบ การละไว้ การรอ หรือการหยุดนิ่ง กลายเป็นส่วนหนึ่งของการฟังที่ลึกยิ่งขึ้น เสียงที่ไม่ได้ดังอาจกลายเป็นจุดเริ่มต้นของความหมายใหม่ เมื่อไม่มีกรอบภาษามาชี้นำว่าอะไรคือ “เพลง” หรือ “จังหวะ”



หากไม่มีคำว่า “ดนตรี” เราอาจต้องเริ่มเรียกสิ่งเหล่านี้ใหม่ ไม่ใช่เพราะเสียงเปลี่ยน แต่เพราะเราฟังด้วยวิธีที่เปลี่ยนไป



>>>เสียงในฐานะ “ภาวะร่วม” มากกว่า “สิ่งที่มีชื่อเรียก”



หากเราไม่มีคำว่า “ดนตรี” สิ่งที่เราอาจเข้าใจได้มากขึ้นคือ: เสียงคือพื้นที่ที่เราเจอกัน ไม่ต้องมีเวที ไม่ต้องมีคำ ไม่ต้องมีทฤษฎี แค่มีความตั้งใจจะฟัง และอยู่กับเสียงของกันและกันอย่างแท้จริง





𝗝𝗲𝗮𝗻-𝗟𝘂𝗰 𝗡𝗮𝗻𝗰𝘆 เสนอว่า “เสียงคือการสัมผัสที่ไม่มีวัตถุ” หมายถึงเสียงไม่ใช่สิ่งที่เราจับต้องได้แบบวัตถุ แต่มัน กระทบเรา อย่างลึกซึ้งโดยไม่ต้องผ่านการแปล เสียงเข้ามาในตัวเราโดยไม่ต้องขออนุญาต มันเข้ามาก่อนคำพูด ก่อนความคิด ก่อนกรอบของภาษา



แต่เมื่อเราตั้งชื่อเสียงว่า “ดนตรี” เรากำลัง ใส่กรอบ ให้กับสิ่งที่ไม่เคยต้องมีกรอบมาก่อน, เราวางเสียงไว้ใน “บรรทัดห้าเส้น” ,เราสร้างสเกลให้มัน ,เรานิยามว่ามันต้องมี 𝗿𝗵𝘆𝘁𝗵𝗺, 𝗺𝗲𝗹𝗼𝗱𝘆, 𝗵𝗮𝗿𝗺𝗼𝗻𝘆 เสียงไหนเข้าเงื่อนไข เราเรียกว่าดนตรี เสียงไหนไม่เข้า เราโยนทิ้งว่าเป็น 𝗻𝗼𝗶𝘀𝗲, เสียงรบกวน, เสียงไร้ความหมาย



๐ การตั้งชื่อ = การควบคุมการรับรู้



การเรียกเสียงว่า “ดนตรี” ทำให้มันสามารถถูกตีค่าว่าเป็นศิลปะชั้นสูงหรือไม่, ว่าเหมาะกับหอศิลป์หรือห้องเรียนดนตรี, ว่าเป็นของ “ใคร” คนมีทักษะเท่านั้นหรือไม่



เสียงของเด็กที่เคาะโต๊ะ เสียงถอนหายใจของพนักงาน เสียงเท้าของผู้ลี้ภัย เสียงของคนไม่มีเวที ทั้งหมดนี้ไม่ถูกเรียกว่าดนตรี ไม่ใช่เพราะมัน “ไม่ไพเราะ” แต่เพราะมัน “ไม่มีชื่ออยู่ในระบบ”



๐ แล้วถ้าเราปล่อยเสียงเป็นเสียงล่ะ?



ลองคิดว่า... ถ้าเรา ไม่ต้องเรียกมันว่าอะไรเลย เสียงอาจกลับคืนสู่ธรรมชาติของมัน: เป็นความเงียบที่เปิดให้เราได้ฟังตัวเอง เป็นเสียงของลมที่เตือนว่าเรายังมีชีวิต เป็นเสียงของความบังเอิญ ที่ทำให้เราหลุดจากความคาดหวัง



เสียงจึงไม่ใช่สิ่งที่เราควบคุมหรือประดิษฐ์ขึ้นเสมอไป มันคือสิ่งที่เราต้อง “เปิดรับ” อย่างไม่รู้ล่วงหน้า การตั้งชื่อ คือการบรรจุเสียงไว้ในกรอบ แต่การฟังโดยไม่รีบตั้งชื่อ คือการปล่อยให้เสียง “มีชีวิตของมันเอง”



  อ้างอิง


๐ 𝗡𝗮𝗻𝗰𝘆, 𝗝𝗲𝗮𝗻-𝗟𝘂𝗰. 𝗟𝗶𝘀𝘁𝗲𝗻𝗶𝗻𝗴. 𝗧𝗿𝗮𝗻𝘀𝗹𝗮𝘁𝗲𝗱 𝗯𝘆 𝗖𝗵𝗮𝗿𝗹𝗼𝘁𝘁𝗲 𝗠𝗮𝗻𝗱𝗲𝗹𝗹, 𝗙𝗼𝗿𝗱𝗵𝗮𝗺 𝗨𝗻𝗶𝘃𝗲𝗿𝘀𝗶𝘁𝘆 𝗣𝗿𝗲𝘀𝘀, 𝟮𝟬𝟬𝟳.



𝟲. #ดนตรีในฐานะภาวะ (𝘀𝘁𝗮𝘁𝗲) #ไม่ใช่วัตถุ (𝗼𝗯𝗷𝗲𝗰𝘁)



𝗧𝗶𝗺 𝗜𝗻𝗴𝗼𝗹𝗱 นักมานุษยวิทยาเสนอว่า การรับรู้เสียงไม่ใช่การ “เสพ” สิ่งที่ถูกผลิตไว้แล้ว แต่คือการ ร่วมอยู่ ในภาวะของเสียง เหมือนกับที่เราร่วมอยู่ในสายฝน ในแสงแดด หรือในความเงียบของป่า เขาเรียกสิ่งนี้ว่า “𝗰𝗼-𝗰𝗿𝗲𝗮𝘁𝗶𝗼𝗻” คือเสียงไม่ได้ถูกสร้างจากตัวบุคคลแล้วโยนออกมาให้คนอื่นฟัง แต่มันเกิดขึ้นจากความสัมพันธ์ ระหว่างผู้ฟัง ผู้เล่น สภาพแวดล้อม อุณหภูมิ ความชื้น ความตั้งใจ และแม้แต่ความบังเอิญ



๐ เสียงไม่ใช่วัตถุที่ส่งต่อ แต่คือบรรยากาศที่เราอยู่ร่วม



ลองคิดถึงสถานการณ์นี้: วงเครื่องสายกำลังซ้อมเพลงกลางแจ้งตอนฝนตกปรอย ๆ, เด็กคนหนึ่งวิ่งผ่านร้องตามแบบไม่ตั้งใจ, เสียงฝนเริ่มกลืนกับเสียงสายเอ็น, ผู้เล่นหันมาสบตากันโดยไม่พูด


ช่วงเวลานี้ไม่ใช่ “การแสดงดนตรี” แบบมีโครงสร้าง แต่มันคือ “ภาวะของเสียง” ที่ทุกคนมีส่วนร่วม โดยไม่ต้องมีชื่อเรียก



๐ เมื่อเสียงคือภาวะ เราไม่ต้อง “ทำดนตรี” เราแค่ “อยู่กับมัน”



แนวคิดนี้เปิดพื้นที่ใหม่ให้กับการฟัง: ไม่ใช่ฟังเพื่อประเมินว่า “ดีไหม” “ถูกหลักไหม” แต่คือการรับรู้ว่า “เราอยู่ในบางสิ่ง” ที่ไม่อาจแบ่งแยกได้


เหมือนในพิธีกรรมของชุมชนพื้นเมือง ที่เสียงของกลอง เสียงเท้า เสียงหายใจ และเสียงร้อง ไม่ได้แยกจากกัน เพราะไม่มีใคร “แสดง” ให้ใครดู มีแต่ทุกคนที่ “อยู่ร่วม” ในนั้น



๐ กลับสู่คำถามเดิม ถ้าไม่มีคำว่า ‘ดนตรี’...



เราก็ยังอาจ “รู้สึกถึงมัน” ได้ ไม่ใช่ในฐานะสิ่งที่ต้องตั้งชื่อ แต่ในฐานะ “𝗺𝗼𝗺𝗲𝗻𝘁” ที่เกิดขึ้นแล้วหายไป เหมือนกลิ่นหอมชั่วครู่ หรือเงาสะท้อนบนผิวน้ำ เสียงจึงเป็น ‘ภาวะ’ ที่เราเข้าไปอยู่ ไม่ใช่สิ่งที่เราครอบครอง และในภาวะนั้น เราอาจไม่ต้องรู้ด้วยซ้ำว่าเรา ‘กำลังเล่นดนตรี’



  อ้างอิง


๐ 𝗜𝗻𝗴𝗼𝗹𝗱, 𝗧. (𝟮𝟬𝟬𝟬). 𝗧𝗵𝗲 𝗽𝗲𝗿𝗰𝗲𝗽𝘁𝗶𝗼𝗻 𝗼𝗳 𝘁𝗵𝗲 𝗲𝗻𝘃𝗶𝗿𝗼𝗻𝗺𝗲𝗻𝘁: 𝗘𝘀𝘀𝗮𝘆𝘀 𝗼𝗻 𝗹𝗶𝘃𝗲𝗹𝗶𝗵𝗼𝗼𝗱, 𝗱𝘄𝗲𝗹𝗹𝗶𝗻𝗴 𝗮𝗻𝗱 𝘀𝗸𝗶𝗹𝗹. 𝗥𝗼𝘂𝘁𝗹𝗲𝗱𝗴𝗲.





เมื่อเราไม่มีคำว่า “ดนตรี” เราอาจเริ่มฟังใหม่อีกครั้ง ด้วยหูที่ไม่ตัดสิน และหัวใจที่ไม่เร่งตีความ เสียงเท้าของแม่ขณะเดินในครัว, เสียงลมหายใจแผ่วเบาของเพื่อนข้างตัว ,เสียงฝนหล่นลงบนสังกะสีในยามบ่ายเงียบงัน สิ่งเหล่านี้ ไม่เคยอยู่ในหมวด “ดนตรี” แต่ในบางขณะ พวกมันก็อาจไพเราะที่สุดเท่าที่เราจะได้ยิน หากเราเปิดใจฟังโดยไม่ต้องรีบร้อยเรียงให้มันเป็นรูปแบบใด



การฟังเช่นนี้ ไม่ใช่การฟังเพื่อ “แปล” ไม่ใช่การฟังเพื่อ “จับทำนอง” หรือ “สรรเสริญความสามารถของผู้เล่น” แต่คือการ “อยู่กับเสียง” อย่างไม่ต้องทำอะไรกับมันเลย เป็นการปล่อยให้เสียงเป็นของมันเอง ไม่ต้องเป็นตัวแทนของความรู้สึก ไม่ต้องเป็นองค์ประกอบของผลงาน ไม่ต้องมีจุดเริ่มต้น ท่อนฮุก หรือจุดจบ



และเมื่อเราฟังแบบนี้ได้ สิ่งที่เคย “เล็กน้อย” อาจกลายเป็นบทเพลง สิ่งที่เคย “ไม่มีค่า” อาจกลายเป็นช่วงเวลาทางศิลปะที่ลึกซึ้งที่สุดในวันนั้น เพราะการฟังที่แท้จริง อาจไม่ใช่การฟังเสียง แต่คือการฟังโลกอย่างไม่มีเงื่อนไข



๐ “บางที...การฟังอย่างไม่มีชื่อเรียก อาจทำให้เราได้ยินเสียงของชีวิตชัดขึ้น”



๐ “เมื่อไม่ต้องรีบหาว่ามันคืออะไร เราอาจเพิ่งรู้ว่าสิ่งนั้นงดงามแค่ไหน”


“คุณเคยได้ยินเสียงไหนในชีวิต ที่คุณไม่เคยเรียกมันว่าดนตรี แต่คุณจำมันได้จนวันนี้ไหม?”



 บทสรุป



คำว่า “#ดนตรี” เป็นสิ่งประดิษฐ์ของภาษา เป็นกรอบที่มนุษย์ใช้เพื่อแยกแยะ ระบุ และแลกเปลี่ยนประสบการณ์เกี่ยวกับเสียง มันทำให้เราพูดถึงสิ่งที่จับต้องไม่ได้ได้ง่ายขึ้น ทำให้เราสอน ถ่ายทอด วิเคราะห์ และพัฒนา “สิ่งนั้น” อย่างเป็นระบบ แต่ในขณะเดียวกัน คำนี้ก็เป็นเหมือนรั้วที่ขีดเส้นว่าอะไร “ใช่” และอะไร “ไม่ใช่” ดนตรี ตัดเสียงบางประเภทออกจากบทสนทนาเพียงเพราะมันไม่สอดคล้องกับโครงสร้าง หรือไม่เข้ากับค่านิยมหลักของศิลปะกระแสหลัก



การตั้งคำถามว่า “ถ้าไม่มีคำว่า ‘ดนตรี’ เราจะเรียกสิ่งที่เราทำว่าอะไร?” คือการหันกลับไปสำรวจเสียงในฐานะ “ภาวะ” มากกว่า “สิ่งของ” หรือ “งานศิลป์” คือการยอมให้เสียงดำรงอยู่อย่างเสรี โดยไม่ถูกบีบให้เข้าอยู่ในชื่อ หรือหมวดหมู่ใด คือการฟังใหม่ ไม่ใช่เพื่อแยกแยะ แต่เพื่อเข้าถึง และเมื่อเราไม่ต้องพยายามจัดเสียงให้อยู่ในคีย์ อยู่ในฟอร์ม หรืออยู่ในความคาดหวัง เราก็อาจได้ยินบางอย่างที่บริสุทธิ์กว่านั้น เสียงของความสัมพันธ์ เสียงของการหายใจร่วมกัน เสียงของโลกที่ไม่ต้องการให้ใครมาอธิบายมัน



เสียงในฐานะ “#ภาวะ” ไม่ได้ต้องการคำใด ๆ มาครอบครอง มันเพียงต้องการคนที่ยอม “#ฟังมันอย่างแท้จริง



๐ ถ้าไม่มีใครบอกว่าสิ่งนี้คือ "ดนตรี" คุณยังจะสร้างมันอยู่ไหม? หรือคุณจะเริ่มฟังเสียงอื่น ๆ ที่คุณเคยมองข้ามไป เสียงที่อาจไม่เคยถูกเรียกว่า "ศิลปะ" แต่กลับสะเทือนใจคุณได้มากกว่าโน้ตใด ๆ บนกระดาษ 


 
 
 

Comments


bottom of page