top of page
Search

“เพอร์คัชชันในวงโยฯ ไม่ใช่แค่กลุ่มจังหวะ...แต่มันคือพลังที่ยกทั้งวงขึ้นพร้อมกัน”

  • Writer: Dr.Kasem THipayametrakul
    Dr.Kasem THipayametrakul
  • May 16
  • 3 min read




ในโลกของวงโยธวาทิต เสียงของเพอร์คัชชันมักถูกเข้าใจว่าเป็นเพียงพื้นฐานของจังหวะ เป็นเหมือนเสียงที่อยู่หลังสุดในลำดับการได้ยินของผู้ชม และอาจดูเหมือนไม่ใช่ส่วนสำคัญเมื่อเทียบกับทำนองจากเครื่องเป่าหรือเครื่องสาย แต่หากเราย้อนกลับไปพิจารณาใหม่ด้วยมุมมองที่ลึกและกว้างขึ้น จะพบว่าเสียงเหล่านี้คือ "โครงกระดูก" ของการแสดงทั้งวง—ไม่ใช่เพียงเพราะพวกเขาให้จังหวะ แต่เพราะพวกเขามีบทบาทเชิงโครงสร้าง อารมณ์ และจิตวิญญาณ



๐ เพอร์คัชชันในฐานะโครงกระดูกของดนตรี



คำว่า "โครงกระดูก" ในที่นี้ไม่ได้หมายความเพียงแค่ว่าเพอร์คัชชันคือกรอบของเพลง แต่หมายถึงสิ่งที่ทำให้ทุกองค์ประกอบของวงสามารถ "เคลื่อนไหว" ไปด้วยกันอย่างเป็นระบบ ทั้งในแง่ของจังหวะ ความเร็ว พลัง และความรู้สึกร่วม เสียงของ snare drum ที่เดินอยู่ตลอดเวลา เปรียบเหมือนกระดูกสันหลังที่กำหนดทิศทางการเคลื่อนที่ เสียงของ bass drum คือฐานของร่างกายที่คอยรองรับน้ำหนักทั้งหมด และเสียงของ cymbal, tenor, quad ฯลฯ คือต่อมกล้ามเนื้อที่กระตุ้นการเคลื่อนไหวอย่างกลมกลืน



การมีจังหวะเพอร์คัชชันที่มั่นคงทำให้ทั้งวงสามารถไว้วางใจว่า “เราจะเดินไปในจังหวะเดียวกัน” เหมือนร่างกายที่รู้ว่าต้องก้าวขาเมื่อไร หายใจเมื่อไร ยืดเหยียดเมื่อไร เสียงเหล่านี้กลายเป็นจังหวะอัตโนมัติในใจของนักดนตรีโดยที่ไม่ต้องนึกถึง



๐ เพอร์คัชชันกับพลังทางอารมณ์



หนึ่งในสิ่งที่โดดเด่นที่สุดของเพอร์คัชชันคือพลังในการกระตุ้นอารมณ์ เสียงกลองไม่ใช่เพียงเสียงสัญญาณ แต่คือเสียงที่สามารถปลุกเร้า ย้ำเตือน หรือปลอบประโลมทั้งวงได้ในเวลาเดียวกัน จังหวะที่เร่งเร้าสามารถทำให้หัวใจเต้นแรงขึ้น รู้สึกตื่นเต้น หรือพร้อมรบ ในขณะที่จังหวะที่เรียบสงบสามารถลดอุณหภูมิของอารมณ์ให้นิ่งและโฟกัสมากขึ้น



ในหลายช่วงของเพลง เสียงเป่าอาจต้องเล่นเบา เสียงกีตาร์หรือเบสอาจหลบไปเพื่อเปิดพื้นที่ให้การเล่าเรื่อง แต่เสียงเพอร์คัชชันมักยังอยู่ตรงนั้น ไม่ใช่เพื่อกลบเสียงอื่น แต่เพื่อคอยย้ำว่า "พลังยังอยู่" และ "การเคลื่อนที่ยังคงดำเนินต่อไป"



๐ เสียงเพอร์คัชชัน: พลังจิตวิญญาณที่ขับเคลื่อน



ในบางวง เราอาจพบว่าเสียงเพอร์คัชชันไม่เพียงทำหน้าที่ทางดนตรี แต่ยังมีผลต่อบรรยากาศทางจิตวิญญาณของวงอีกด้วย นักเพอร์คัชชันที่ดี มักไม่ใช่แค่คนที่ตีแม่น แต่คือคนที่รู้ว่า "เมื่อไรควรพยุง" และ "เมื่อไรควรผลัก" ทั้งทางเสียงและพลังใจ การตีที่หนักแน่นในช่วงที่วงเริ่มหลุดสมาธิ หรือการตีที่ค่อยๆ เบาเพื่อเปิดโอกาสให้เครื่องเป่าได้ปล่อยอารมณ์ ล้วนเป็นการออกแบบสนามพลังของวงให้มั่นคง



หลายครั้งที่เสียงกลองกลายเป็นเหมือนเสียงของหัวหน้าวงที่ไม่ได้พูด แต่ทุกคนได้ยินและรู้ว่าควรทำอะไรต่อ เสียงกลองที่ "พูดโดยไม่ใช้คำพูด" นี้เอง ที่ทำให้การแสดงของวงโยไม่ใช่แค่การเล่นพร้อมกัน แต่เป็นการเคลื่อนที่ไปในทิศทางเดียวกันด้วยความเข้าใจและความไว้วางใจ



๐ เพอร์คัชชัน: สะพานเชื่อมระหว่างร่างกายกับเสียงดนตรี



ในเชิงกายภาพ เสียงเพอร์คัชชันทำหน้าที่เป็นตัวแปรที่ควบคุมร่างกายของสมาชิกวงทั้งหมด ตั้งแต่การก้าวเท้าของผู้เดิน การแกว่งธงของ color guard ไปจนถึงการหายใจของผู้เป่า ทุกอย่างอยู่ภายใต้การชี้นำของ rhythm ที่พวกเขาได้ยินอย่างต่อเนื่องจากกลุ่มเพอร์คัชชัน



สิ่งนี้ไม่ใช่เรื่องบังเอิญ แต่คือผลลัพธ์จากกลไกที่เรียกว่า sensorimotor synchronization หรือความสามารถของสมองมนุษย์ในการประสานการเคลื่อนไหวกับเสียง เมื่อจังหวะหนึ่งถูกเล่นซ้ำอย่างแม่นยำ มนุษย์จะค่อยๆ ปรับจังหวะชีพจรของตนเองให้เข้ากับเสียงนั้นโดยไม่รู้ตัว นี่คือเหตุผลที่ทุกคนในวงสามารถ “ขยับพร้อมกัน” โดยไม่ต้องมองหน้ากันเลย



๐ ความท้าทายของผู้เล่นเพอร์คัชชัน



ถึงแม้บทบาทของเพอร์คัชชันจะสำคัญเพียงใด แต่นักเพอร์คัชชันกลับมักไม่ได้รับความสนใจเท่าที่ควร หลายคนเข้าใจว่าการตีให้ตรงจังหวะคือสิ่งเดียวที่ต้องทำ ทั้งที่ในความจริง ความแม่นยำเป็นเพียงจุดเริ่มต้น นักเพอร์คัชชันที่ดีต้องเรียนรู้การควบคุมพลัง (dynamics), การวางอารมณ์ในเสียง (expression), การตีที่สื่อความหมาย และเหนือสิ่งอื่นใดคือความสามารถในการเป็น “ที่พึ่งพา” ของทั้งวงในยามที่ทุกอย่างไม่แน่นอน



๐ เสียงกลองกับความเชื่อมั่นของวง



ลองนึกภาพวันฝนตกที่สนามลื่น หรือวันสุดท้ายก่อนประกวดใหญ่ที่ทุกคนตึงเครียด เสียงเป่าอาจเริ่มหวั่นไหว สีหน้าอาจเริ่มกังวล แต่เสียงกลองยังเดินตรง ไม่เร่ง ไม่ช้า ไม่สั่น เสียงนี้คือคำมั่นสัญญาว่า “เรายังอยู่” และ “เรายังไปต่อ”



เพราะฉะนั้นเมื่อพูดถึงความมั่นคงของวงโยธวาทิต อย่ามองข้ามเสียงของเพอร์คัชชัน มันคือเสียงที่คนทั้งวง "ยึดไว้" ในวันที่อาจไม่มีอะไรแน่นอนเลย



๐ สุดท้าย: ฟังให้ลึก ฟังให้ถึงหัวใจของวง



เสียงเพอร์คัชชันไม่ใช่แค่ background rhythm หรือ beat ที่ตีไปตามโน้ต แต่มันคือพลังที่บอกให้ทั้งวง "กล้าเดิน" ไปพร้อมกัน มันคือพลังที่แฝงอยู่ในเบื้องหลังแต่ขับเคลื่อนอยู่เบื้องหน้า เป็นทั้งพื้นฐานและแรงผลักดัน เป็นทั้งกรอบและอิสรภาพ



ดังนั้นในครั้งหน้าที่คุณฟังเสียงกลอง… อย่าเพียงฟังว่ามัน “ตรงจังหวะไหม” แต่ลองฟังว่ามัน “มั่นคงพอให้คุณเชื่อใจหรือเปล่า?”



เพราะในโลกของวงโย… บางที "เสียงที่แข็งแรงที่สุด" อาจไม่ใช่เสียงที่ดังที่สุด แต่มันคือเสียงที่ "พาทุกคนไปด้วยกันได้" อย่างมั่นใจ



และนั่นคือเพอร์คัชชัน — โครงกระดูกที่มีชีวิตของวงโยธวาทิต.





ในจิตวิทยาของการแสดงแบบกลุ่ม (group entrainment psychology) มีแนวคิดสำคัญเรื่อง “จังหวะร่วม” หรือ shared pulse ที่ไม่ได้เป็นเพียงความพร้อมเพรียงด้านเทคนิคเท่านั้น แต่เป็นกระบวนการที่ซับซ้อนของการประสานงานด้านประสาทสัมผัส จิตใจ และพลังงานร่วมในกลุ่มคนจำนวนมาก การเกิดขึ้นของ shared pulse คือหัวใจของความเป็นหนึ่งเดียวกันทางดนตรี — โดยเฉพาะในวงโยธวาทิต ซึ่งสมาชิกต้องเคลื่อนไหว ประสานจังหวะ หายใจ และส่งอารมณ์ในเวลาเดียวกัน โดยไม่มีการสื่อสารผ่านคำพูดหรือการสบตาตลอดเวลา



ในบริบทนี้ เพอร์คัชชันกลายเป็นจุดศูนย์กลางของการถ่ายทอด shared pulse อย่างแท้จริง เพราะเสียงจาก snare, bass drum, cymbal หรือ tenor ไม่ใช่แค่เสียงจังหวะซ้ำๆ แต่เป็น "สัญญาณชีพ" ของวงทั้งวง ซึ่งทุกคนใช้เป็นเครื่องมืออ้างอิงว่า ตนกำลังอยู่ในจังหวะเดียวกับผู้อื่นหรือไม่



การทำงานนี้เหมือนระบบไหลเวียนโลหิตของร่างกาย:



  เครื่องเป่า รับรู้ได้ทันทีว่าควรหายใจและออกเสียงเมื่อไร การหายใจพร้อมกันคือการเคลื่อนไหวที่แม่นยำและเปี่ยมพลัง



Color guard ซึ่งต้องใช้ร่างกายสื่อสารภาพ อาศัยจังหวะเพอร์คัชชันในการปล่อยพลังจากแขน ขา และการหมุนอุปกรณ์ ให้ลงตัวในวินาทีที่ถูกต้อง



Marching step ต้องพึ่งพาเสียงกลองในการควบคุมจังหวะเท้าอย่างแม่นยำ เพราะแม้การก้าวพลาดเพียงเล็กน้อย ก็อาจทำให้เส้น formation บิดเบือนไปทั้งแถว



Conductor หรือ Drum Major เอง แม้จะเป็นผู้นำจังหวะในภาพรวม ก็ยังต้องอาศัยเพอร์คัชชันเป็นเหมือนนาฬิกาเดินตรง ซึ่งใช้ยืนยันว่า tempo ที่กำลังควบคุมยังอยู่ในโซนความมั่นคง



เพอร์คัชชันจึงเป็นเสมือนสนามแม่เหล็ก ที่ดึงดูดพลังของทุกเครื่องดนตรี ทุกผู้แสดง ให้โคจรร่วมกันในระบบที่เรียกว่าการแสดงแบบ "หนึ่งเดียวหลายชีวิต"



แม้การซ้อมอาจดูเหมือนเป็นการแก้โน้ตหรือปรับ formation เพียงภายนอก แต่สิ่งที่เกิดขึ้นข้างในก็คือการปรับจิตให้ "ฟัง" และ "ตอบสนอง" ต่อจังหวะที่เพอร์คัชชันสร้างไว้ เช่นเดียวกับการเต้นเป็นวงกลมที่ไม่มีผู้นำคนเดียว แต่ทุกคนรับรู้จังหวะเดียวกันผ่านความรู้สึกโดยรวม



ในที่สุด สิ่งที่เพอร์คัชชันทำ ไม่ใช่แค่ “รักษา tempo” แต่คือการปล่อย "พลังจังหวะร่วม" ที่ทำให้คนทั้งวง “เคลื่อนเป็นหนึ่ง” แม้ต่างคนจะอยู่คนละตำแหน่ง คนละบทบาทก็ตาม



นั่นคือสิ่งที่ทำให้เพอร์คัชชัน ไม่ใช่แค่กลุ่มคนที่ยืนอยู่หลังสุดของวง แต่เป็นกลไกกลาง ที่ทำให้หัวใจของทั้งวง เต้นไปพร้อมกันอย่างมั่นคง





ในโลกของวงโยธวาทิต ความพร้อมของวงไม่ได้วัดแค่จากจำนวนโน้ตที่เล่นถูก หรือความพร้อมเพรียงของการก้าวเดินเท่านั้น แต่ยังวัดได้จาก "ความมั่นคงทางใจ" ของทั้งวงในระหว่างการแสดง — และหัวใจของความมั่นคงนั้น คือเสียงจากกลุ่มเพอร์คัชชัน



ลองจินตนาการถึงสถานการณ์จริง...เวลาการแสดงกลางแดดจ้า เสียงลม เสียงคนดู หรือแม้แต่ความตื่นเต้นจากเวทีใหญ่ อาจทำให้สมาชิกในวงรู้สึกหวั่นไหว เสียงของกลองใหญ่ที่ดัง "ตุ้ม!" อย่างหนักแน่น คือสิ่งแรกที่ช่วยดึงทุกคนกลับมาอยู่กับ "จังหวะปัจจุบัน" — ไม่ใช่แค่ในเชิงเทคนิค แต่ในเชิงอารมณ์ด้วย



เสียงกลองจึงไม่ใช่แค่ “จังหวะนำ” แต่คือ “จุดพักใจ” ของสมาชิกในวง



๐ ความมั่นคงที่แผ่กระจายแบบโดมพลัง



ในทางจิตวิทยาการแสดงแบบกลุ่ม (performance psychology), เรามักพูดถึงแนวคิดของ “emotional anchor” หรือ "จุดยึดเหนี่ยวทางอารมณ์" ที่สมาชิกทุกคนสามารถเกาะเกี่ยวไว้เมื่อรู้สึกไม่มั่นคง สำหรับนักดนตรีในวงโยฯ จุดยึดนั้นคือเสียงของกลอง



กลองไม่เพียงช่วยให้ทุกคน "ตีพร้อมกัน" หรือ "เดินตรงกัน" แต่ทำให้ทุกคน "รู้สึกว่ากำลังทำสิ่งเดียวกัน" ด้วยจิตใจที่มั่นคงร่วมกัน



ในจังหวะที่เครื่องเป่าอ่อนแรง หรือ color guard เริ่มรู้สึกหลุดสมาธิ เสียงจากเบสดรัมคือพลังที่คอยกระซิบว่า “ยังอยู่ด้วยกันนะ”



๐ เสียงกลอง = เส้นนำสายตาทางจิตใจ



เหมือนเวลานักวิ่งในทีมผลัดมองไปยังเส้นขอบสนามเพื่อหาทิศทาง เสียงของกลองทำหน้าที่เป็นเหมือนเข็มทิศที่บอกว่า ตอนนี้วงควรจะ “นิ่ง”, “ดันพลัง”, หรือ “พุ่งไปข้างหน้า”



  ตอนที่ทุกอย่างสงบเกินไป: กลองสามารถเพิ่มแรงกระตุ้นให้เกิดพลังขึ้นใหม่


. ตอนที่ทุกอย่างดูวุ่นวาย: กลองสามารถถ่วงความเคลื่อนไหวให้เกิดจุดสมดุล



นี่คือเหตุผลที่เรามักเห็นผู้กำกับวงโยฯ จำนวนมากให้ความสำคัญกับการฝึกกลุ่มเพอร์คัชชันก่อน เพราะ “ความนิ่ง” ของกลองคือเส้นโครงของ “ความมั่นใจ” ของวงทั้งวง



เมื่อเสียงจากกลองหนักแน่นและมั่นคง วงจะสามารถยืนอยู่ได้แม้จะมีสิ่งรอบข้างเปลี่ยนแปลง เมื่อเพอร์คัชชันเดินนิ่ง วงจะเดินต่อได้แม้จะหลุดพร้อมกันทุกคน


เพราะสุดท้ายแล้ว…เพอร์คัชชันไม่ได้เพียงสร้างจังหวะ แต่สร้าง "หัวใจของความพร้อม" ให้กับวงทั้งวง





การตีเพอร์คัชชันให้ “แม่น” คือพื้นฐาน แต่การตีให้ “มั่น” คือหัวใจ



ความแม่นยำ (accuracy) อาจวัดได้ด้วยเมโทรโนมหรือจังหวะที่ตรงกับโน้ต แต่ความมั่นคง (stability) คือพลังที่มองไม่เห็น แต่ทุกคนในวง “รู้สึกได้”



๐ เพอร์คัชชันที่มั่นคง = เข็มทิศของการแสดง



เสียงจาก snare ที่นิ่งพอจะสร้างแรงกระเพื่อมทางอารมณ์...เสียงจากเบสดรัมที่ลงอย่างสม่ำเสมอ ทำให้คนทั้งวง “วางใจ” และ “วางตัวเอง” ลงบนเสียงนั้น



ในภาวะที่ทุกอย่างในเวทีสามารถเปลี่ยนแปลงได้ — แสง, สภาพอากาศ, เสียงรบกวน —เสียงเพอร์คัชชันจึงกลายเป็นเหมือน "เข็มทิศภายใน" ที่ไม่แกว่ง และพาวงเดินทางไปได้อย่างมั่นคง



๐ เสียงที่นิ่ง = พื้นดินของวง



ลองจินตนาการว่าแต่ละก้าวของนักแสดงวงโยฯ คือการเหยียบเท้าลงบนพื้นดินจังหวะ ถ้าเสียงกลอง “ไม่นิ่ง” เหมือนพื้นทรายที่ไหลไปเรื่อย ทุกก้าวของวงจะสั่นไหวตาม แต่ถ้าเสียงนั้น “มั่น” เหมือนพื้นหินแข็ง ทุกก้าวของนักแสดงจะมีพลังและความมั่นใจ



จังหวะของเพอร์คัชชันจึงไม่ใช่แค่เครื่องมือให้ตรงกับโน้ต แต่มันคือพื้นดินที่ให้คนทั้งวง “วางตัวเอง” เพื่อสร้างภาพรวมของการแสดง



๐ เพอร์คัชชันที่นิ่ง = พลังคืนสมดุลของทั้งวง



ในจังหวะที่วงเริ่ม “หลุด” ไม่ว่าจะเป็น…



  เครื่องเป่าเริ่มอ่อนแรง


  ฟอร์มมาร์ชชิ่งเริ่มกระจาย


  สมาธิของสมาชิกเริ่มไหล



เสียงกลองที่ยังคงเสถียร ทำหน้าที่เหมือนแรงดึงดูด ที่ดึงคนหลุดๆ เหล่านั้นกลับมาสู่ศูนย์กลาง



เสียงเพอร์คัชชันที่มั่นคงจึงไม่ใช่แค่เสียงที่ “อยู่กับที่” แต่คือสนามแม่เหล็กที่ “พาคนกลับมา” อย่างไม่ต้องสั่ง



๐ ความมั่นคง = ความไว้ใจ



ในแง่ของความสัมพันธ์ภายในวง การเล่นเพอร์คัชชันที่นิ่ง ไม่เพียงสร้างความแม่นยำ แต่มันสร้าง “ความเชื่อมั่น” (trust)



  เครื่องเป่า: วางใจได้ว่าจะหายใจเข้าพร้อมกัน


  นักเต้นและ color guard: วางใจได้ว่าจังหวะพีคจะมาถึงตรงเวลา


  ผู้ฟัง: รู้สึกได้ว่าทุกอย่าง "เชื่อมโยงกัน"



ความนิ่งของเสียงกลองจึงกลายเป็นการรับรองเงียบๆ ที่บอกกับทุกคนว่า “คุณไม่ต้องกังวล… พื้นยังมั่นคงอยู่”



๐ จากจุดหลังสุด… สู่แรงส่งที่พาวงไปข้างหน้า



ในเชิงตำแหน่ง เพอร์คัชชันมักอยู่ “ท้ายแถว” ของการมาร์ช แต่ในเชิงผลกระทบ พวกเขาคือ “แรงดัน” ที่ผลักวงให้เคลื่อนต่อไปข้างหน้า



เสียงกลองคือแรงที่ไม่ต้องออกหน้า แต่ขับดันวงด้วยพลังเงียบที่ทรงอิทธิพล



เพอร์คัชชันที่ดี ไม่ได้แค่ตีตรง… แต่ต้องนิ่งพอให้คนรอบข้าง "กล้าวางความไว้ใจ" ลงบนจังหวะนั้น เพราะบางครั้งสิ่งที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในวง ไม่ใช่เสียงที่ดังกว่าใคร แต่คือเสียงที่ "มั่นคงพอจะพาทุกคนไปถึงจุดหมายเดียวกัน"





เสียงเล็กๆ จากมือคุณ… อาจไม่ใช่แค่ “เสียงจังหวะ” แต่มันอาจเป็น เสียงที่ทำให้คนทั้งวงยังกล้าก้าวต่อไป



>>ถ้าคุณคือคนตีเบสดรัม…



คุณไม่ได้แค่ตีกลองใหญ่หลังวง คุณคือ “ลมหายใจของจังหวะ”�คุณคือ “แรงขับเคลื่อนที่เงียบงัน”


ลองหลับตาฟังเสียงตีของคุณในแต่ละรอบ. มันกำลังพูดว่าอะไรกับเพื่อนร่วมวง?



  "เราอยู่ตรงนี้นะ"


  "ไม่ต้องกลัว เดินไปพร้อมกัน"


  "ตรงนี้คือจังหวะที่คุณวางใจได้"



>>เสียงที่ออกจากคุณ = ความรู้สึกของทั้งวง



วงที่เหนื่อย... มักไม่ได้หมดแรงจากร่างกาย. แต่มาจาก “ข้างใน” ที่เริ่มไม่มั่นใจ และบ่อยครั้ง—สิ่งที่ปลุกให้วงลุกขึ้นอีกครั้ง ไม่ใช่โน้ตพีค ไม่ใช่เสียงโซโล่ แต่คือ “เสียงเบสดรัม 1 ตุ้ม” ที่ยังคงนิ่งและสม่ำเสมอ



มันคือสัญญาณเงียบที่บอกว่า



“เรายังอยู่ด้วยกันนะ” ,“เดี๋ยวเราจะพาทั้งวงไปถึงจุดสุดท้ายได้แน่”



>>แล้ววันนี้…



  คุณ “ตีให้ตรง” หรือ “ตีด้วยใจที่มั่นคง”?


  คุณเล่นกลองเพื่อ “ให้เสียงออกมา” หรือ “ให้คนอื่นวางใจได้”?


  คุณรู้ไหมว่า... เพื่อนบางคนกำลัง “ยึดมือคุณ” เพื่อเดินต่อ โดยที่คุณไม่รู้ตัว?



วงโยฯ ไม่ได้เดินด้วยเสียงเท่านั้น...



แต่มันเดินด้วยความเชื่อมั่นซึ่งกันและกัน. และเสียงของเพอร์คัชชัน... ก็คือภาษาที่พูดความเชื่อมั่นนั้นได้ดีที่สุด





ในการแสดงครั้งหน้า ถ้าวงโยฯ เหลือแค่คุณคนเดียวที่ยังตีอยู่ คุณจะตีแบบไหน… ให้ทุกคน “กล้าเดินต่อ” ไปพร้อมกัน?


 
 
 

Comments


bottom of page