เพอร์คัชชันคือสายเลือดของวงโยฯ หรือเพียงกลไกหนึ่ง❓
- Dr.Kasem THipayametrakul
- Aug 6
- 4 min read

เพอร์คัชชันในสายตาเราเป็นใคร
ในโลกของวงโยธวาทิต ไม่มีเสียงใดไร้หน้าที่ 𝗕𝗿𝗮𝘀𝘀 คือเสียงร้องอันทรงพลังที่ตะโกนถ้อยคำแห่งชัยชนะและความพ่ายแพ้ 𝗪𝗼𝗼𝗱𝘄𝗶𝗻𝗱𝘀 คือนักเล่าเรื่องที่เปล่งเสียงผ่านท่วงทำนองราวกับบทกวีที่มีชีวิต 𝗩𝗶𝘀𝘂𝗮𝗹 𝗘𝗻𝘀𝗲𝗺𝗯𝗹𝗲 คือลมหายใจที่เคลื่อนไหวบนผืนสนามดนตรี เปลี่ยนท่าทางเป็นถ้อยคำที่ไม่มีใครพูดแต่ทุกคนเข้าใจ
แต่เมื่อเราหันสายตามองไปยังเพอร์คัชชัน เรากำลังมองเห็นอะไร?
สำหรับบางคน เพอร์คัชชันคือกลุ่มคนที่ “ตี” ให้ตรงจังหวะ ทำหน้าที่ควบคุมความเป็นระเบียบของขบวนดนตรี เป็นราวกับ 𝗺𝗲𝘁𝗿𝗼𝗻𝗼𝗺𝗲 มีชีวิตที่ไม่ควรดังเกินเสียงอื่น และไม่ควรเด่นเกินสิ่งใด
สำหรับบางคน เพอร์คัชชันคือสายเลือดของวงโยฯ คือพลังดิบที่ขับเคลื่อนการมีชีวิตของทุกโน้ตที่เหลือ คือแรงกระตุกที่ปลุกอารมณ์คนดู และเป็นความรู้สึกที่ผู้ฟัง “สัมผัสได้” แม้ไม่รู้ตัวว่าได้ยินอะไรอยู่
ในหลายเวที เพอร์คัชชันถูกวางไว้ “ข้างหลัง” แต่ในอีกหลายสนาม เสียงของพวกเขาคือ “สิ่งแรก” ที่ทำให้ทุกคนลุกขึ้นยืน
บทความนี้จึงไม่เพียงเสนอคำอธิบาย แต่เป็นคำชวนให้ “ตั้งคำถาม” ว่า เรามองเห็นเพอร์คัชชันในฐานะอะไร—กลไกที่ทำให้เครื่องเดินได้ หรือสายเลือดที่ทำให้มันมีชีวิต?
𝟭. ความเข้าใจพื้นฐาน: #เพอร์คัชชันคืออะไรในวงโยฯ? ♬
ในระบบของวงโยธวาทิต เพอร์คัชชันถูกจัดวางอย่างมีโครงสร้างชัดเจน ทั้งในเชิงหน้าที่และในเชิงการฝึกซ้อม แบ่งออกได้เป็นสองกลุ่มหลัก ได้แก่ 𝗕𝗮𝘁𝘁𝗲𝗿𝘆 และ 𝗙𝗿𝗼𝗻𝘁 𝗘𝗻𝘀𝗲𝗺𝗯𝗹𝗲 ซึ่งมีบทบาทแตกต่างกันอย่างเป็นระบบ
𝗕𝗮𝘁𝘁𝗲𝗿𝘆 𝗣𝗲𝗿𝗰𝘂𝘀𝘀𝗶𝗼𝗻 คือกลุ่มเครื่องกระทบที่เคลื่อนที่ไปพร้อมกับขบวนมาร์ชชิง (𝗺𝗮𝗿𝗰𝗵𝗶𝗻𝗴 𝘂𝗻𝗶𝘁) ประกอบด้วย 𝗦𝗻𝗮𝗿𝗲 𝗗𝗿𝘂𝗺, 𝗧𝗲𝗻𝗼𝗿 𝗗𝗿𝘂𝗺 (𝗤𝘂𝗮𝗱/𝗤𝘂𝗶𝗻𝘁), 𝗕𝗮𝘀𝘀 𝗗𝗿𝘂𝗺 และ 𝗖𝘆𝗺𝗯𝗮𝗹𝘀 พวกเขามักถูกจัดวางอยู่ใน “ใจกลางของการเคลื่อนไหว” และเป็นผู้นำเรื่องของ “จังหวะเวลา” (𝗧𝗶𝗺𝗲-𝗞𝗲𝗲𝗽𝗶𝗻𝗴) ให้ทั้งวง พวกเขาคือเครื่องมือในการเชื่อมระหว่างสิ่งที่มองเห็น (𝗩𝗶𝘀𝘂𝗮𝗹 𝗗𝗿𝗶𝗹𝗹) กับสิ่งที่ได้ยิน (𝗠𝘂𝘀𝗶𝗰𝗮𝗹 𝗦𝗰𝗼𝗿𝗲) ให้กลายเป็นองค์รวมที่สอดคล้องกันทางกายภาพ
ในทางกลับกัน 𝗙𝗿𝗼𝗻𝘁 𝗘𝗻𝘀𝗲𝗺𝗯𝗹𝗲 (หรือ 𝗣𝗶𝘁) ซึ่งประกอบด้วย 𝗠𝗮𝗿𝗶𝗺𝗯𝗮, 𝗩𝗶𝗯𝗿𝗮𝗽𝗵𝗼𝗻𝗲, 𝗫𝘆𝗹𝗼𝗽𝗵𝗼𝗻𝗲, 𝗧𝗶𝗺𝗽𝗮𝗻𝗶, 𝗦𝘆𝗻𝘁𝗵𝗲𝘀𝗶𝘇𝗲𝗿 และเครื่องดนตรีพิเศษอื่น ๆ มักอยู่กับที่ (𝘀𝘁𝗮𝘁𝗶𝗼𝗻𝗮𝗿𝘆) และทำหน้าที่ให้ “สีเสียง” และ “พื้นผิวของอารมณ์” (𝗘𝗺𝗼𝘁𝗶𝗼𝗻𝗮𝗹 𝗧𝗲𝘅𝘁𝘂𝗿𝗲) โดยการเลือกใช้เครื่องมือในกลุ่มนี้สามารถสร้างมิติทางดนตรีที่หลากหลายกว่าที่ระบบ 𝗺𝗮𝗿𝗰𝗵𝗶𝗻𝗴 เพียงอย่างเดียวจะสามารถสร้างได้ เช่น เสียง 𝘁𝗿𝗲𝗺𝗼𝗹𝗼 บน 𝘃𝗶𝗯𝗿𝗮𝗽𝗵𝗼𝗻𝗲 ที่สามารถแฝงความรู้สึกหวั่นไหว เสียง 𝗴𝗹𝗶𝘀𝘀𝗮𝗻𝗱𝗼 บน 𝗺𝗮𝗿𝗶𝗺𝗯𝗮 ที่สร้างความลื่นไหลในเนื้อเรื่อง หรือแม้แต่ 𝘀𝗼𝘂𝗻𝗱 𝗲𝗳𝗳𝗲𝗰𝘁 จากซินธิไซเซอร์ที่สร้างภาพหลอนในโชว์ที่มีความแนวทดลอง
เมื่อมองผ่านโครงสร้างเช่นนี้ เพอร์คัชชันจึงไม่ใช่เพียง “#ตัวช่วยกำกับจังหวะ” แต่เป็นทั้งผู้ดำเนินเวลา ผู้สร้างอารมณ์ และผู้เชื่อมโยงสิ่งที่เป็นรูปธรรมกับสิ่งที่ไร้รูปผ่านเสียง
สิ่งที่น่าสังเกตคือ บางครั้งในการออกแบบโชว์ วงโยฯ อาจวางบทบาทของเพอร์คัชชันให้ต่ำกว่าที่พวกเขาทำได้จริง เช่น จำกัด 𝗕𝗮𝘁𝘁𝗲𝗿𝘆 ไว้เพียงแค่การตี 𝗯𝗮𝗰𝗸𝗯𝗲𝗮𝘁 หรือให้ 𝗙𝗿𝗼𝗻𝘁 𝗘𝗻𝘀𝗲𝗺𝗯𝗹𝗲 มีเพียง 𝗶𝗻𝘁𝗿𝗼 และ 𝗼𝘂𝘁𝗿𝗼 โดยไม่ใช้ศักยภาพทางดนตรีที่ลึกกว่านั้น ทั้งที่เพอร์คัชชันสามารถแปรเปลี่ยนโครงสร้างโชว์ได้มากกว่าการ "เสริม" — พวกเขาสามารถ “นำ” ได้อย่างเต็มความหมาย
คำถามเชิงลึกที่อาจช่วยให้เรามองเห็นคุณค่าของเพอร์คัชชันในระดับที่ลึกขึ้นคือ:
๐ เมื่อคุณออกแบบโชว์ คุณนึกถึง “เสียงกลอง” ในฐานะกลไกที่ทำให้เสียงอื่นตรงจังหวะ หรือในฐานะเสียงที่มีสิทธิ์เล่าเรื่องเท่าเทียมกับเสียงเมโลดี้?
๐ ในการฝึกซ้อม คุณให้เวลาฝึกเพอร์คัชชันเท่าไหร่? เทียบกับเวลากับกลุ่มอื่นๆ แล้วสมดุลหรือไม่?
๐ เสียงของ 𝗕𝗮𝘁𝘁𝗲𝗿𝘆 คือเสียงที่สั่งให้ทุกคนก้าวเท้าพร้อมกัน หรือคือเสียงที่ปลุกให้จังหวะในหัวใจผู้ชมเต้นแรงขึ้น?
หากเพอร์คัชชันคือเครื่องยนต์ของเวลาและความรู้สึกในโชว์ — เรากำลังใช้งานเครื่องยนต์นี้อย่างเข้าใจ หรือแค่กดให้มันเดินเครื่อง?
𝟮. มุมมองที่ 𝟭: #เพอร์คัชชันในฐานะกลไก ♬
ในหลายวงโยธวาทิต โดยเฉพาะวงที่ให้ความสำคัญกับความพร้อมเพรียงของเสียงเป็นหลัก เพอร์คัชชันมักถูกวางบทบาทให้เป็น “#เครื่องจักรของจังหวะ” (𝘁𝗶𝗺𝗲𝗸𝗲𝗲𝗽𝗶𝗻𝗴 𝗺𝗮𝗰𝗵𝗶𝗻𝗲) มากกว่าจะเป็นศิลปินที่มีพื้นที่สร้างสรรค์เสียงของตัวเอง หน้าที่หลักของ 𝗕𝗮𝘁𝘁𝗲𝗿𝘆 อย่าง 𝗦𝗻𝗮𝗿𝗲, 𝗧𝗲𝗻𝗼𝗿, 𝗕𝗮𝘀𝘀 และ 𝗖𝘆𝗺𝗯𝗮𝗹𝘀 มักถูกตีกรอบให้เป็นเพียง “เมโทรโนมของวง” ซึ่งทำหน้าที่สร้างจังหวะและคุมความเร็ว (𝘁𝗲𝗺𝗽𝗼 𝗰𝗼𝗻𝘁𝗿𝗼𝗹) ให้ 𝗯𝗿𝗮𝘀𝘀 และ 𝘄𝗼𝗼𝗱𝘄𝗶𝗻𝗱𝘀 สามารถประสานกันได้อย่างเที่ยงตรง โดยเฉพาะในโชว์แบบ 𝗽𝗮𝗿𝗮𝗱𝗲 หรือ 𝗺𝗮𝗿𝗰𝗵𝗶𝗻𝗴 ที่ความแม่นยำเชิงเวลาเป็นหัวใจสำคัญ
ในมุมมองนี้ การฝึกซ้อมเพอร์คัชชันมักเน้นไปที่การ “ไม่ผิดพลาด” มากกว่าการ “สร้างสีสัน” หรือ “เล่าเรื่อง” ซึ่งอาจทำให้เพอร์คัชชันถูกมองเป็นเพียงกลไกเสริม — สิ่งที่ต้องตีให้ตรง ต้องไม่เด่นเกินไป และต้องไม่รบกวนเมโลดี้จาก 𝗯𝗿𝗮𝘀𝘀 หรือ 𝘄𝗼𝗼𝗱𝘄𝗶𝗻𝗱𝘀 เมื่อการฝึกถูกจำกัดให้เหลือเพียงความแม่นยำเชิงเทคนิคเพียงด้านเดียว สิ่งที่ตามมาคือการลดทอนบทบาทเชิงศิลปะของเพอร์คัชชันลงเหลือเพียงเครื่องมือทางเวลา
ทำไมเพอร์คัชชันจึงมักไม่ได้รับ 𝘀𝗽𝗼𝘁𝗹𝗶𝗴𝗵𝘁?
เพราะในโครงสร้างโชว์แบบดั้งเดิม (𝘁𝗿𝗮𝗱𝗶𝘁𝗶𝗼𝗻𝗮𝗹 𝗺𝗮𝗿𝗰𝗵𝗶𝗻𝗴 𝗯𝗮𝗻𝗱 𝗳𝗼𝗿𝗺𝗮𝘁) จุดเด่นมักอยู่ที่เมโลดี้หรือการเคลื่อนไหวของ 𝘃𝗶𝘀𝘂𝗮𝗹 𝗲𝗻𝘀𝗲𝗺𝗯𝗹𝗲 เพอร์คัชชันจึงถูกวางไว้ “หลังฉาก” ทำหน้าที่เป็นรากฐานของ 𝘁𝗲𝗺𝗽𝗼 และโครงจังหวะ (𝗿𝗵𝘆𝘁𝗵𝗺𝗶𝗰 𝗳𝗼𝘂𝗻𝗱𝗮𝘁𝗶𝗼𝗻) ที่สนับสนุนผู้นำการแสดง แต่ไม่ได้รับโอกาสในการแสดงศักยภาพทางดนตรีหรือทางอารมณ์เท่าที่ควร
ยิ่งไปกว่านั้น บางวงยังออกแบบโชว์โดยไม่คำนึงถึงบทบาทดนตรีของเพอร์คัชชันอย่างเต็มที่ เช่น การให้ 𝗕𝗮𝘁𝘁𝗲𝗿𝘆 เล่นเพียงจังหวะพื้นฐาน หรือการเขียน 𝗙𝗿𝗼𝗻𝘁 𝗘𝗻𝘀𝗲𝗺𝗯𝗹𝗲 แบบเรียบง่ายที่มีแค่ท่อนเปิดและปิด โดยไม่ได้ใช้ 𝘁𝗲𝘅𝘁𝘂𝗿𝗲 และ 𝘁𝗼𝗻𝗲 𝗰𝗼𝗹𝗼𝗿 ที่เพอร์คัชชันสามารถสร้างได้อย่างลึกซึ้ง ผลลัพธ์คือโชว์อาจมีความ “ตรง” แต่ขาดมิติของความรู้สึกและพลวัตที่เพอร์คัชชันสามารถมอบให้
คำถาม:
๐ เมื่อเรามองเพอร์คัชชันเป็นเพียง 𝗺𝗲𝘁𝗿𝗼𝗻𝗼𝗺𝗲 ของวง เรากำลังมองข้ามพลังสร้างสรรค์ที่ซ่อนอยู่หรือไม่?
๐ ถ้าเพอร์คัชชันถูกใช้เพียงเพื่อ “คุมเวลา” โดยไม่มีมิติทางอารมณ์ เรากำลังพลาดโอกาสที่จะสร้างโครงเรื่องที่ลึกขึ้นหรือเปล่า?
๐ การตี “ไม่พลาด” เพียงพอแล้วจริงหรือ — หรือเราควรตั้งคำถามว่า “ตีแล้วเล่าเรื่องได้หรือไม่
𝟯. มุมมองที่ 𝟮: #เพอร์คัชชันในฐานะสายเลือด ♬
หากเราพิจารณาภาพรวมของการแสดงในระดับนานาชาติ เช่น 𝗗𝗖𝗜 (𝗗𝗿𝘂𝗺 𝗖𝗼𝗿𝗽𝘀 𝗜𝗻𝘁𝗲𝗿𝗻𝗮𝘁𝗶𝗼𝗻𝗮𝗹) หรือ 𝗕𝗢𝗔 (𝗕𝗮𝗻𝗱𝘀 𝗼𝗳 𝗔𝗺𝗲𝗿𝗶𝗰𝗮) จะพบว่าเพอร์คัชชันไม่ได้ทำหน้าที่เพียงสร้างจังหวะให้วงเดินหน้าเท่านั้น แต่กลับกลายเป็นศูนย์กลางของพลังงาน ศิลปะการเล่าเรื่อง และแรงขับเคลื่อนทางอารมณ์ของทั้งโชว์
𝗕𝗮𝘁𝘁𝗲𝗿𝘆 ในบริบทนี้ ไม่ใช่แค่ผู้คุมเวลา แต่คือ “ผู้นำพลังงาน” (𝗲𝗻𝗲𝗿𝗴𝘆 𝗹𝗲𝗮𝗱𝗲𝗿) ที่มีบทบาทเชิงกายภาพและเชิงอารมณ์ในระดับสูงมาก ทั้งการจัด 𝘃𝗶𝘀𝘂𝗮𝗹 𝗺𝗼𝘃𝗲𝗺𝗲𝗻𝘁 อย่างซับซ้อน การเคลื่อนไหวระหว่างการตีที่มีจังหวะหมุนตัว หมุนไม้ หรือสลับตำแหน่ง ตลอดจนการสื่อสารแรงดึงดูดของจังหวะให้เข้าถึงคนดู ไม่ต่างจากนักเต้นที่เคลื่อนไหวด้วยร่างกาย เพียงแต่ในกรณีของ 𝗽𝗲𝗿𝗰𝘂𝘀𝘀𝗶𝗼𝗻 ความเคลื่อนไหวนั้นเกิดพร้อมเสียงที่ “มีแรงส่ง” ไปยังสมาชิกทั้งวง และผู้ชมที่อยู่นอกเวที
ในอีกด้านหนึ่ง 𝗙𝗿𝗼𝗻𝘁 𝗘𝗻𝘀𝗲𝗺𝗯𝗹𝗲 ทำหน้าที่ที่เงียบกว่า แต่ไม่ได้น้อยค่า—เครื่องดนตรีอย่าง 𝗠𝗮𝗿𝗶𝗺𝗯𝗮, 𝗩𝗶𝗯𝗿𝗮𝗽𝗵𝗼𝗻𝗲, 𝗚𝗹𝗼𝗰𝗸𝗲𝗻𝘀𝗽𝗶𝗲𝗹, 𝗦𝘆𝗻𝘁𝗵𝗲𝘀𝗶𝘇𝗲𝗿 หรือแม้แต่เครื่องอิเล็กทรอนิกส์ต่าง ๆ กลับกลายเป็นเครื่องมือในการ วาดอารมณ์ ให้กับโชว์อย่างแม่นยำและซับซ้อน 𝗧𝗲𝘅𝘁𝘂𝗿𝗲 ที่พวกเขาสร้างไม่ได้มีเป้าหมายเพื่อ “เด่น” หากแต่เพื่อ ผูกเนื้อเรื่อง (𝗺𝘂𝘀𝗶𝗰𝗮𝗹 𝗻𝗮𝗿𝗿𝗮𝘁𝗶𝘃𝗲) ให้ชิ้นส่วนต่าง ๆ ของวงกลมกลืนอย่างเป็นระบบ
ในบริบทนี้ เพอร์คัชชันไม่ได้ทำหน้าที่ “นำ” เพราะเสียงดัง หรืออยู่ข้างหน้า แต่ “นำ” เพราะเป็นจุดกำเนิดของ ความรู้สึก เสียงที่ส่งออกจากเพอร์คัชชันอาจไม่มีเมโลดี้ ไม่มีคอร์ด ไม่มีคำพูดใด ๆ แต่มันเป็น “จังหวะของหัวใจ” (𝗽𝘂𝗹𝘀𝗲) ที่ทำให้ทั้งโชว์เต้นไปด้วยกัน—ทั้งร่างกายของผู้เล่นและจิตใจของผู้ชม
เสียงเพอร์คัชชันจึงมีพลังในการ “#ขยับความรู้สึก” มากกว่าแค่ “#คุมเวลา”
งานของ 𝗣𝗮𝘁𝗲𝗹 และ 𝗜𝘃𝗲𝗿𝘀𝗲𝗻 (𝟮𝟬𝟭𝟰) ซึ่งพัฒนาต่อเนื่องจากแนวคิดที่นำเสนอในช่วงปี 𝟮𝟬𝟬𝟴–𝟮𝟬𝟬𝟵 ชี้ให้เห็นว่า …ระบบ 𝗺𝗼𝘁𝗼𝗿 ของสมอง—รวมถึง 𝗯𝗮𝘀𝗮𝗹 𝗴𝗮𝗻𝗴𝗹𝗶𝗮 และ 𝗦𝗠𝗔—ตอบสนองต่อจังหวะแม้ไม่มีการเคลื่อนไหวจริง และจังหวะนี้สามารถก่อให้เกิด 𝗯𝗲𝗮𝘁 𝗽𝗲𝗿𝗰𝗲𝗽𝘁𝗶𝗼𝗻 ซึ่งอาจกระตุ้นให้เกิดการขยับและความตื่นตัวทางอารมณ์ได้ ส่วนความรู้สึกที่ลึกลงไปอาจมาจากการทำงานร่วมกับสมองส่วน 𝗿𝗲𝘄𝗮𝗿𝗱 หรือลักษณะของ 𝗴𝗿𝗼𝗼𝘃𝗲 ในทาง 𝗻𝗲𝘂𝗿𝗼𝘀𝗰𝗶𝗲𝗻𝗰𝗲 โดยอีกหลายงานสนับสนุนแนวคิดการกระตุ้นอารมณ์เชิง 𝗻𝗼𝗻𝘃𝗲𝗿𝗯𝗮𝗹 ผ่าน 𝗿𝗵𝘆𝘁𝗵𝗺/𝗰𝗼𝘂𝗽𝗹𝗲 𝗺𝗼𝘁𝗼𝗿-𝗿𝗲𝘄𝗮𝗿𝗱 𝗶𝗻𝘁𝗲𝗿𝗮𝗰𝘁𝗶𝗼𝗻
ในระดับภาคสนาม เราจะเห็นการออกแบบโชว์ที่ใช้เพอร์คัชชันเป็นตัวเดินเรื่องหลัก (𝗽𝗿𝗶𝗺𝗮𝗿𝘆 𝗻𝗮𝗿𝗿𝗮𝘁𝗼𝗿) ไม่ว่าจะผ่าน 𝘀𝗼𝘂𝗻𝗱 𝗲𝗳𝗳𝗲𝗰𝘁, การบิวด์ 𝘁𝗲𝗻𝘀𝗶𝗼𝗻 ด้วย 𝗱𝘆𝗻𝗮𝗺𝗶𝗰 หรือแม้แต่การแสดงออกทางร่างกายที่กลายเป็นส่วนหนึ่งของ 𝘃𝗶𝘀𝘂𝗮𝗹 𝗲𝗻𝘀𝗲𝗺𝗯𝗹𝗲 ด้วยเช่นกัน เช่นในโชว์ของ 𝗕𝗹𝘂𝗲 𝗗𝗲𝘃𝗶𝗹𝘀 หรือ 𝗕𝗿𝗼𝗸𝗲𝗻 𝗔𝗿𝗿𝗼𝘄 ที่ 𝗽𝗲𝗿𝗰𝘂𝘀𝘀𝗶𝗼𝗻 ไม่ได้เล่นเพื่อแค่รองรับ แต่ เล่นเพื่อบอกเล่า แก่นสารของโชว์ทั้งหมด
คำถาม:
๐ ถ้าเสียงลมคือ “ภาษา” ของวงดนตรี แล้วเพอร์คัชชันคืออะไร?
๐ ถ้าผู้ฟังสามารถสัมผัสความรู้สึกได้โดยไม่รู้ว่าตัวเองได้ยินอะไร—เพอร์คัชชันกำลังทำหน้าที่ในระดับใดของการรับรู้?
๐ จะเป็นไปได้หรือไม่ที่จังหวะจากกลองจะกลายเป็น “สื่อกลาง” ระหว่างผู้แสดงกับผู้ชม—ไม่ใช่แค่เสียง แต่เป็นการส่งผ่านอารมณ์?
***อ้างอิง 𝗣𝗮𝘁𝗲𝗹, 𝗔. 𝗗., & 𝗜𝘃𝗲𝗿𝘀𝗲𝗻, 𝗝. 𝗥. (𝟮𝟬𝟭𝟰). 𝗧𝗵𝗲 𝗲𝘃𝗼𝗹𝘂𝘁𝗶𝗼𝗻𝗮𝗿𝘆 𝗻𝗲𝘂𝗿𝗼𝘀𝗰𝗶𝗲𝗻𝗰𝗲 𝗼𝗳 𝗺𝘂𝘀𝗶𝗰𝗮𝗹 𝗯𝗲𝗮𝘁 𝗽𝗲𝗿𝗰𝗲𝗽𝘁𝗶𝗼𝗻: 𝗧𝗵𝗲 𝗔𝗰𝘁𝗶𝗼𝗻 𝗦𝗶𝗺𝘂𝗹𝗮𝘁𝗶𝗼𝗻 𝗳𝗼𝗿 𝗔𝘂𝗱𝗶𝘁𝗼𝗿𝘆 𝗣𝗿𝗲𝗱𝗶𝗰𝘁𝗶𝗼𝗻 (𝗔𝗦𝗔𝗣) 𝗵𝘆𝗽𝗼𝘁𝗵𝗲𝘀𝗶𝘀. 𝗙𝗿𝗼𝗻𝘁𝗶𝗲𝗿𝘀 𝗶𝗻 𝗦𝘆𝘀𝘁𝗲𝗺𝘀 𝗡𝗲𝘂𝗿𝗼𝘀𝗰𝗶𝗲𝗻𝗰𝗲, 𝟴, 𝟱𝟳.
𝟰. #เบื้องหลังที่คนไม่ค่อยพูดถึง: แรงกาย แรงใจ และแรงเงียบของเพอร์คัชชัน ♬
ในขณะที่ 𝗯𝗿𝗮𝘀𝘀 โลดแล่นด้วยโน้ตที่เปล่งประกาย และ 𝘄𝗼𝗼𝗱𝘄𝗶𝗻𝗱𝘀 วาดลวดลายของทำนองที่จับใจ เพอร์คัชชันกลับมักอยู่ในพื้นที่ที่ไม่เป็นจุดสนใจ — ทั้งที่เบื้องหลังนั้นคือ "พลังงานมหาศาล" ทั้งทางกายและใจ ซึ่งไม่อาจมองข้ามได้
ความเหนื่อยที่ไม่พูดออกมา
สำหรับ 𝗕𝗮𝘁𝘁𝗲𝗿𝘆 โดยเฉพาะ 𝗦𝗻𝗮𝗿𝗲, 𝗧𝗲𝗻𝗼𝗿 และ 𝗕𝗮𝘀𝘀 𝗗𝗿𝘂𝗺 ผู้เล่นต้อง “ตี” ทุกโน้ตด้วยร่างกายอย่างเต็มแรง ไม่มีการเป่า ไม่มีการแกล้งเบา — มีแต่แรงกระแทกที่ต้องควบคุมให้แม่นยำทุกครั้ง ไม่ใช่แค่เพื่อความดังหรือความเท่ แต่เพื่อรักษา 𝘁𝗶𝗺𝗲 𝗴𝗿𝗶𝗱 ของทั้งวงให้มั่นคง
ในทางกายภาพ เพอร์คัชชันต้องแบกน้ำหนักเครื่องดนตรีบนตัว ขณะเดินเป็นระยะเวลานาน และยังต้องรักษาท่าทาง สติ และสมดุลการเคลื่อนไหวให้แม่นเป๊ะ โดยเฉพาะในท่อนที่เดินเปลี่ยนทิศ ซ้อนเส้นทาง หรือ 𝗰𝗿𝗼𝘀𝘀-𝗼𝘃𝗲𝗿 กับสมาชิกในวง การฝึกจึงไม่ต่างจากการฝึกแบบนักกีฬา โดยใช้ความอดทนของร่างกายและระบบประสาทเป็นหัวใจสำคัญ
ความแม่นที่ต้องปิดบัง
“แม่นยำแต่ไม่เด่นเกิน” — เป็นคำขวัญลับของเพอร์คัชชันในหลายวง โดยเฉพาะ 𝗯𝗮𝘁𝘁𝗲𝗿𝘆 𝗹𝗶𝗻𝗲 ที่ต้องเล่นให้ตรงกับ 𝗺𝗲𝘁𝗿𝗼𝗻𝗼𝗺𝗲 ในหัว ไม่ใช่แค่ให้ “ใกล้เคียง” แต่ให้ “ตรงพอดี” ในขณะที่ท่วงท่าของร่างกายต้อง “ดูง่าย” และไม่ขัดสายตา 𝘃𝗶𝘀𝘂𝗮𝗹
งานฝึกที่อยู่เบื้องหลังความแม่นยำนี้คือการซ้อม “𝗺𝗶𝗰𝗿𝗼 𝘀𝘁𝗿𝗼𝗸𝗲 𝗱𝗲𝘁𝗮𝗶𝗹” ได้แก่:
ระดับความสูงของไม้ (𝘀𝘁𝗶𝗰𝗸 𝗵𝗲𝗶𝗴𝗵𝘁) ที่ต้องเท่ากันทุกคนในทุกโน้ต
มุมองศาในการลงไม้ (𝘀𝘁𝗶𝗰𝗸 𝗮𝗻𝗴𝗹𝗲) ที่ต้องรักษารูปแบบเดียวกันแม้จะตีโน้ตต่างความแรง
การควบคุมระดับเสียง (𝗱𝘆𝗻𝗮𝗺𝗶𝗰 𝗰𝗼𝗻𝘁𝗿𝗼𝗹) ที่ต้องเปลี่ยนระดับเสียงได้ในเฟรมจังหวะเดียวกัน
การจัดระยะระหว่างโน้ต (𝘁𝗶𝗺𝗶𝗻𝗴 𝗰𝗼𝗻𝘁𝗿𝗼𝗹) ที่ซ้อมกับเมโทรโนมในระดับ 𝘀𝘂𝗯-𝗱𝗶𝘃𝗶𝘀𝗶𝗼𝗻 ลึก เช่น 𝘁𝗿𝗶𝗽𝗹𝗲𝘁 𝗽𝗮𝗿𝘁𝗶𝗮𝗹, 𝟯𝟮𝗻𝗱 𝗴𝗿𝗶𝗱 หรือ 𝗵𝘆𝗯𝗿𝗶𝗱 𝗽𝘂𝗹𝘀𝗲
เป็นสิ่งที่ผู้ชมทั่วไปอาจมองไม่ออกด้วยตา และไม่ได้ยินด้วยหู หากแต่เป็น “ความรู้สึกของความเป๊ะ” ที่พวกเขาสัมผัสได้โดยไม่รู้ตัว
ความรู้สึกที่ไม่มีเสียง
มีมือกลองจำนวนมากที่ฝึกเพียงเพื่อให้เสียง “ดังและเร็ว” — แต่ในวงโยฯ การควบคุมเสียงที่ไม่เด่นเกินจำเป็นกลับเป็นเป้าหมายหลัก ความสามารถในการ “เก็บเสียง” หรือ “ทำให้เสียงกลืนกับวง” กลายเป็นทักษะระดับสูงที่ต้องอาศัยความรู้สึกทางดนตรีอย่างลึกซึ้ง
ในทางจิตวิทยาการแสดง (𝗽𝗲𝗿𝗳𝗼𝗿𝗺𝗮𝗻𝗰𝗲 𝗽𝘀𝘆𝗰𝗵𝗼𝗹𝗼𝗴𝘆) นักเพอร์คัชชันจึงต้องฝึกฝนให้สามารถควบคุมความต้องการจะ “แสดงออก” ไว้ภายใต้หน้าที่การ “สนับสนุน” เสียงอื่นๆ — ความสามารถนี้คล้ายกับหลักของ 𝗺𝗶𝗻𝗱𝗳𝘂𝗹 𝘀𝗲𝗹𝗳-𝗿𝗲𝗴𝘂𝗹𝗮𝘁𝗶𝗼𝗻 ที่ต้อง “รู้ว่าตัวเองเก่ง แต่ไม่จำเป็นต้องโชว์”
ความรู้ที่อยู่นอกกรอบสายตาผู้ชม
ในหลายโชว์ที่ดูเรียบง่าย เพอร์คัชชันอาจเล่นแค่โน้ตพื้นฐาน แต่จริง ๆ แล้วมีการจัดวาง 𝘀𝗽𝗮𝗰𝗶𝗻𝗴, 𝘀𝘆𝗻𝗰, และ 𝗯𝗮𝗹𝗮𝗻𝗰𝗲 ไว้อย่างประณีต — เพื่อไม่ให้โน้ตของ 𝗽𝗲𝗿𝗰𝘂𝘀𝘀𝗶𝗼𝗻 ไปดึงความสนใจจาก 𝗺𝗲𝗹𝗼𝗱𝘆 หลัก หรือ 𝘃𝗶𝘀𝘂𝗮𝗹 𝗺𝗼𝘃𝗲𝗺𝗲𝗻𝘁 ที่สำคัญ
สิ่งนี้ไม่ได้เรียกว่าการลดบทบาท หากแต่เป็น “การรู้บทบาท” ของตนเองในการทำให้โชว์ “มีชีวิต” โดยไม่แย่งซีน ความเข้าใจนี้ไม่สามารถสอนจากโน้ตได้ แต่ต้องเกิดจากการฝึกจิตใจและวินัยร่วมกับวง — จนเกิดเป็น 𝗰𝗼𝗹𝗹𝗲𝗰𝘁𝗶𝘃𝗲 𝗮𝘄𝗮𝗿𝗲𝗻𝗲𝘀𝘀
คำถาม:
๐ เพอร์คัชชันแบกรับน้ำหนัก “อะไร” มากที่สุด — เครื่องดนตรี? ความคาดหวัง? หรือความเงียบที่ไม่มีใครเห็น?
๐ ถ้าความแม่นยำคือ “เงา” ที่มองไม่เห็น แต่ขาดไม่ได้ — ใครคือผู้มองเห็นเงานั้น?
๐ วงโยธวาทิตจะยกระดับคุณภาพได้อย่างไร หากเลือกไม่ละเลย “เสียงที่ไม่ได้ถูกพูดถึง”?
𝟱. ถ้าปรับมุมมอง… แล้วอะไรจะเกิดขึ้น? ♬
ในทุกการแสดง มี “เสียงนำ” และ “เสียงตาม” มีสิ่งที่โดดเด่นและสิ่งที่คอยสนับสนุนอยู่เสมอ หากเราเลือกมองเพอร์คัชชันเป็นเพียงกลไกสนับสนุน โครงสร้างการออกแบบโชว์ย่อมสะท้อนความเชื่อนั้น — 𝗽𝗲𝗿𝗰𝘂𝘀𝘀𝗶𝗼𝗻 จึงถูกกำหนดบทบาทให้รองรับ มากกว่าสร้างสรรค์ ไม่ต่างจากการใช้ 𝗺𝗲𝘁𝗿𝗼𝗻𝗼𝗺𝗲 ที่คอยตีจังหวะเพื่อให้คนอื่นเดินตาม แล้วปิดเสียงมันทันทีที่การแสดงจบลง
แต่หากเรายอมรับว่าเพอร์คัชชันคือ “สายเลือด” ของวงจริง ๆ แล้วเปิดมุมมองใหม่ต่อหน้าที่ของมัน การเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นจะไม่ใช่เพียงเชิงเทคนิค หากแต่เป็นการเปลี่ยนแนวคิดระดับโครงสร้าง ตั้งแต่แนวทางการออกแบบโชว์ ไปจนถึงวิธีฝึกซ้อมและการสร้างวัฒนธรรมร่วมภายในวง
โชว์จะมี “จังหวะชีวิต” แทน “จังหวะเครื่องยนต์”
การให้ 𝗿𝗵𝘆𝘁𝗵𝗺 มีพื้นที่เล่าเรื่องอย่างแท้จริง หมายถึงการออกแบบดนตรีและ 𝘃𝗶𝘀𝘂𝗮𝗹 ให้ “เสียงจังหวะ” สามารถขยับเปลี่ยนบทบาทได้ — ไม่ใช่เพียงเป็นพื้นหลัง แต่กลายเป็นผู้นำอารมณ์ในบางช่วง เช่น:
การวาง 𝗺𝗼𝗺𝗲𝗻𝘁 ที่ 𝗿𝗵𝘆𝘁𝗵𝗺 บรรเลงเดี่ยว (𝗣𝗲𝗿𝗰𝘂𝘀𝘀𝗶𝗼𝗻 𝗙𝗲𝗮𝘁𝘂𝗿𝗲)
การใช้ 𝗕𝗮𝘁𝘁𝗲𝗿𝘆 หรือ 𝗙𝗿𝗼𝗻𝘁 𝗘𝗻𝘀𝗲𝗺𝗯𝗹𝗲 เปิดฉากหรือปิดฉากโชว์อย่างมีบทบาทสำคัญ
การใช้ 𝘀𝗼𝘂𝗻𝗱 𝗱𝗲𝘀𝗶𝗴𝗻 จาก 𝗽𝗲𝗿𝗰𝘂𝘀𝘀𝗶𝗼𝗻 เพื่อสื่อสารเนื้อหา เช่น เสียงเต้นของหัวใจ, เสียงพายุ, หรือเสียงเคลื่อนไหวของความกลัว-ความหวัง
ผลลัพธ์คือโชว์ที่ “มีชีวิต” มากขึ้น เพราะจังหวะไม่ใช่แค่โครงสร้างภายใน แต่กลายเป็น “ลมหายใจ” ของเรื่องราวที่ผู้ชมรู้สึกได้จริง
นักดนตรีเพอร์คัชชันจะกลายเป็น “ผู้เล่าเรื่อง” ไม่ใช่แค่ “ช่างกล”
เมื่อโชว์เปิดพื้นที่ให้ 𝗽𝗲𝗿𝗰𝘂𝘀𝘀𝗶𝗼𝗻 มีเสียงของตัวเอง บทบาทของผู้เล่น 𝗽𝗲𝗿𝗰𝘂𝘀𝘀𝗶𝗼𝗻 ก็เปลี่ยนตาม — พวกเขาจะไม่ใช่แค่คนที่ต้องตีให้ตรง แต่กลายเป็นคนที่ต้องตี “ให้เล่าเรื่อง” ได้ด้วย
สิ่งนี้นำไปสู่กระบวนการฝึกที่ลึกกว่าแค่การซ้อม 𝘁𝗶𝗺𝗶𝗻𝗴 หรือ 𝗱𝘆𝗻𝗮𝗺𝗶𝗰 เพราะจะรวมถึง:
การสื่ออารมณ์ผ่าน 𝘀𝘁𝗿𝗼𝗸𝗲 (ตีอย่างไรให้ “อ่อนโยน”, “แข็งกร้าว”, หรือ “กลัว”)
การเคลื่อนไหวทางร่างกายที่สอดคล้องกับเนื้อเรื่อง ไม่ใช่แค่ให้ตรงจังหวะ
การมีส่วนร่วมในกระบวนการออกแบบจังหวะ เพื่อให้กลายเป็น “ภาษาของวง” ไม่ใช่ภาษาควบจังหวะ
ผลที่เกิดขึ้นคือ นักเพอร์คัชชันจะพัฒนาจากผู้ปฏิบัติตามคำสั่ง กลายเป็น “นักแสดงเต็มตัว” ที่มีเสียงในวงอย่างแท้จริง
การจัดการฝึกซ้อมจะเปลี่ยนจาก “ควบคุม” เป็น “ร่วมสร้าง”
เมื่อมอง 𝗽𝗲𝗿𝗰𝘂𝘀𝘀𝗶𝗼𝗻 เป็นกลไก วงจำนวนมากจะเน้นการซ้อมแบบสั่งให้ตีตามคลิก ให้แม่นแบบ 𝗺𝗲𝘁𝗿𝗼𝗻𝗼𝗺𝗲 ไม่พลาดโน้ต ไม่หลุด 𝗴𝗿𝗶𝗱 — แต่เมื่อมองว่า 𝗽𝗲𝗿𝗰𝘂𝘀𝘀𝗶𝗼𝗻 คือสายเลือดของวง แนวทางฝึกย่อมเปลี่ยนเป็นการร่วมออกแบบ “จังหวะ” ที่มีชีวิตร่วมกับ 𝗯𝗿𝗮𝘀𝘀, 𝘄𝗼𝗼𝗱𝘄𝗶𝗻𝗱𝘀, และ 𝘃𝗶𝘀𝘂𝗮𝗹
สิ่งนี้เปลี่ยน 𝗺𝗶𝗻𝗱𝘀𝗲𝘁 ของโค้ชและนักดนตรีไปพร้อมกัน:
โค้ช 𝗽𝗲𝗿𝗰𝘂𝘀𝘀𝗶𝗼𝗻 ต้องเข้าใจ 𝘀𝘁𝗼𝗿𝘆 𝗮𝗿𝗰 ของโชว์ทั้งหมด ไม่ใช่แค่ 𝗿𝗵𝘆𝘁𝗵𝗺 𝗹𝗶𝗻𝗲
ดีไซเนอร์โชว์ต้องฟัง “จังหวะของเรื่อง” มากกว่าแค่จังหวะของเมโทรโนม
นักดนตรีในทุก 𝘀𝗲𝗰𝘁𝗶𝗼𝗻 ต้องเรียนรู้จะฟังและสื่อสารกับ 𝗽𝗲𝗿𝗰𝘂𝘀𝘀𝗶𝗼𝗻 ด้วยหูและหัวใจ ไม่ใช่แค่เดินตาม 𝗿𝗵𝘆𝘁𝗵𝗺
จากวงที่ “มี 𝗽𝗲𝗿𝗰𝘂𝘀𝘀𝗶𝗼𝗻” จะกลายเป็นวงที่ “มีจังหวะของตนเอง”
วงจะไม่ใช่แค่ “พร้อมเพรียง” แต่ “มีพลังร่วม”
ความพร้อมเพรียงคือคุณภาพหนึ่งของวงโยฯ แต่พลังร่วมที่เกิดจากการเข้าใจและเคารพบทบาทของทุก 𝘀𝗲𝗰𝘁𝗶𝗼𝗻 ต่างหากที่ทำให้วงมีเอกลักษณ์
ถ้าเพอร์คัชชันถูกมองว่าเป็นสายเลือดของวง การเคลื่อนไหวของ 𝗯𝗿𝗮𝘀𝘀 จะไม่ใช่แค่การเปล่งเสียง แต่คือการตอบสนองต่อจังหวะของกลอง — 𝗩𝗶𝘀𝘂𝗮𝗹 จะไม่ใช่แค่ภาพที่ขยับ แต่คือภาพที่เต้นไปกับเสียงของ 𝗙𝗿𝗼𝗻𝘁 𝗘𝗻𝘀𝗲𝗺𝗯𝗹𝗲 — และวงทั้งวงจะไม่เดินเหมือนกันแค่ในเส้นตรง แต่เต้นอยู่ในหัวใจเดียวกัน
คำถาม:
๐ ถ้า 𝗿𝗵𝘆𝘁𝗵𝗺 เล่าเรื่องได้เท่า 𝗺𝗲𝗹𝗼𝗱𝘆 — เราจะยังให้อำนาจการออกแบบอยู่ที่คนเขียนเมโลดี้เพียงคนเดียวหรือไม่?
๐ ถ้าความรู้สึกของโชว์ขึ้นอยู่กับจังหวะ — เราจะวางความรู้สึกของผู้ชมไว้ในมือของใคร?
๐ ถ้าเพอร์คัชชันคือสายเลือดที่หล่อเลี้ยงวง — แล้วใครคือหัวใจของโชว์?
𝟲. บทสรุป: คำถามที่ยังไม่มีคำตอบเดียว
คำถามว่า “เพอร์คัชชันคือกลไก หรือสายเลือด?” ไม่ใช่คำถามที่สามารถตอบได้ด้วยขั้วเดียวอย่างเด็ดขาด เพราะสิ่งที่อยู่เบื้องหลังคำถามนี้ไม่ใช่เพียงบทบาทของเครื่องดนตรีชนิดหนึ่งในวงโยธวาทิต แต่คือ “กรอบคิด” ที่สะท้อนวิธีมองดนตรี มองการออกแบบโชว์ และมองผู้คนในระบบศิลปะการแสดงร่วม
การมองเพอร์คัชชันในฐานะกลไก เป็นแนวคิดที่มีรากฐานจาก “การควบคุมเวลา” ในระบบ 𝗺𝗮𝗿𝗰𝗵𝗶𝗻𝗴 𝗯𝗮𝗻𝗱 แบบดั้งเดิม ซึ่งให้ความสำคัญกับความพร้อมเพรียง ความแม่นยำ และการรักษาโครงสร้างของ 𝘁𝗲𝗺𝗽𝗼 ในการเคลื่อนพล
ในทางตรงข้าม แนวคิดที่มองว่าเพอร์คัชชันคือ “สายเลือด” ของวง สะท้อนแนวโน้มใหม่ที่เกิดขึ้นในโลกของศิลปะการแสดงร่วมยุคหลังสมัยใหม่ (𝗽𝗼𝘀𝘁𝗺𝗼𝗱𝗲𝗿𝗻 𝗽𝗲𝗿𝗳𝗼𝗿𝗺𝗮𝗻𝗰𝗲) โดยเน้นบทบาทของ “ความรู้สึก” “พลังงาน” และ “ความซับซ้อนทางอารมณ์” ที่ไม่สามารถวัดได้ด้วยการนับจังหวะเพียงอย่างเดียว
ตัวอย่างเช่น งานวิจัยของ 𝗟𝗲𝗺𝗮𝗻 (𝟮𝟬𝟬𝟴) เสนอว่า การตอบสนองต่อดนตรีของมนุษย์ไม่ได้จำกัดอยู่ที่การประมวลผลเชิงโครงสร้าง (เช่น 𝗵𝗮𝗿𝗺𝗼𝗻𝘆 หรือ 𝗿𝗵𝘆𝘁𝗵𝗺) แต่รวมถึงการเคลื่อนไหวภายในร่างกาย (𝗲𝗺𝗯𝗼𝗱𝗶𝗲𝗱 𝗰𝗼𝗴𝗻𝗶𝘁𝗶𝗼𝗻) ที่เกิดขึ้นผ่านการ “รู้สึกถึงจังหวะ” ไม่ใช่เพียง “นับจังหวะ” สิ่งนี้ทำให้บทบาทของ 𝗽𝗲𝗿𝗰𝘂𝘀𝘀𝗶𝗼𝗻 ขยับจากการควบคุม ไปสู่การกระตุ้นและประสานอารมณ์ของทั้งวง
***อ้างอิง 𝗟𝗲𝗺𝗮𝗻, 𝗠. (𝟮𝟬𝟬𝟴). 𝗘𝗺𝗯𝗼𝗱𝗶𝗲𝗱 𝗠𝘂𝘀𝗶𝗰 𝗖𝗼𝗴𝗻𝗶𝘁𝗶𝗼𝗻 𝗮𝗻𝗱 𝗠𝗲𝗱𝗶𝗮𝘁𝗶𝗼𝗻 𝗧𝗲𝗰𝗵𝗻𝗼𝗹𝗼𝗴𝘆.
คำถามที่สำคัญจึงอาจไม่ใช่ “อะไรคือความจริง?” แต่คือ “เราเลือกจะมองเห็นความจริงด้านไหน?”
เพอร์คัชชันคนหนึ่งในวงโยฯ คนเดียวกัน อาจถูกมองได้สองแบบพร้อมกัน — เขาคือผู้ตีจังหวะที่ควบคุมความแม่นยำของ 𝘁𝗲𝗺𝗽𝗼 และในขณะเดียวกัน เขาคือศิลปินผู้นำพลังงานที่ทำให้ภาพของโชว์มีหัวใจ
และไม่ใช่แค่เรื่องมุมมองของผู้ชม หรือของโค้ช — แต่คือเรื่องของ “ภายในตัวผู้เล่น” เอง ว่าเขาเชื่อว่าตนเองมีหน้าที่แค่ “ตีให้ตรง” หรือมีหน้าที่ “สร้างพลัง” ที่มีความหมายต่อทั้งวง
ถ้าเราเปลี่ยนมุมมองต่อเพอร์คัชชัน โชว์ก็จะเปลี่ยนไป
ถ้าเราเปลี่ยนมุมมองต่อจังหวะ โครงสร้างของวงก็จะเปลี่ยนไป
และถ้าเราเปลี่ยนมุมมองต่อบทบาทของ “คนที่อยู่ข้างหลังเวที”
อะไรอีกบ้างที่อาจเปลี่ยนไป?
ในโลกของวงโยธวาทิต ไม่มีเสียงใดที่เกิดขึ้นอย่างไร้เหตุผล ไม่มีโน้ตใดที่ถูกวางไว้โดยปราศจากเจตนา ไม่ว่าเสียงนั้นจะมาจากเครื่องลมทองเหลืองที่เปล่งเสียงกึกก้อง เครื่องลมไม้ที่เป่าถ้อยคำแห่งท่วงทำนอง หรือเสียงเพอร์คัชชันที่เคาะจังหวะให้หัวใจเราสั่นตาม ลึกลงไป ทุกเสียงล้วนถูกขับเคลื่อนด้วยสิ่งเดียวกัน: ความมีชีวิต
คำว่า “#หัวใจ” ในที่นี้ ไม่ได้หมายถึงอวัยวะที่เต้นอยู่ในอกของนักดนตรีแต่ละคนเท่านั้น แต่คือจุดศูนย์รวมของพลังงาน แรงบันดาลใจ และความมุ่งมั่นที่แฝงอยู่ในเสียงแต่ละพยางค์ เป็นหัวใจที่ไม่มีรูปร่าง แต่กลับส่งแรงสะเทือนให้เกิดการเคลื่อนไหวทางอารมณ์ เป็นหัวใจที่ไม่จำเป็นต้องปรากฏในรูปของ 𝘀𝗼𝗹𝗼 แต่ปรากฏในความพอดีของจังหวะหนึ่งกับอีกจังหวะหนึ่ง เป็นหัวใจที่บางครั้งไม่ได้ “ดัง” แต่ “สั่น” อยู่ในความเงียบของการรอคิวถัดไป
เพอร์คัชชันอาจไม่ใช่ “#ศูนย์กลางของโชว์” ในสายตาของทุกคน แต่มันอาจเป็นสิ่งที่ทำให้ศูนย์กลางนั้น “หมุน” ได้ เพราะในโลกที่ทุกอย่างต้องเคลื่อนไปพร้อมกัน จังหวะไม่ได้แค่ “#คุมเวลา” แต่คุมการมีชีวิตของเสียงทั้งวง
เมื่อนักเพอร์คัชชันตีโน้ตหนึ่งลงไป พลังงานที่ออกจากมือของเขาไม่ได้จบแค่ในห้องซ้อม หรือบนสนามโชว์ แต่มันกระทบไปยังผู้เล่นทุกคนที่กำลังฟัง กระทบถึงผู้ชมที่ไม่รู้ตัวว่าเผลอขยับเท้า กระทบถึงครูที่ยืนอยู่ข้างเวที และกระทบถึงผู้ชมที่แม้จะฟังไม่ออก แต่รู้สึกได้ว่ามีบางอย่าง “ข้างใน” ขยับตาม
เสียงเพอร์คัชชันไม่ใช่เสียงที่ร้องบอกความหมายแบบมีเนื้อร้อง แต่คือเสียงที่ผลักความรู้สึกไปยังจุดที่ไม่มีคำพูดใดไปถึง
จึงอาจไม่เกินจริง หากจะกล่าวว่า...
เพอร์คัชชันไม่ใช่แค่ส่วนหนึ่งของวงโยธวาทิต —แต่มันอาจเป็นสิ่งที่ทำให้ “ทุกส่วน” มีจังหวะร่วมกัน และในจังหวะนั้นเอง ที่ชีวิตของโชว์… จึงบังเกิด



Comments