top of page
Search

หากคุณอายุ 𝟭𝟱 วันนี้…คุณอยากเป็นมือกลองแบบไหนในวันที่อายุ 𝟯𝟬❓

  • Writer: Dr.Kasem THipayametrakul
    Dr.Kasem THipayametrakul
  • 6 days ago
  • 3 min read


“คุณอยากเป็นมือกลองแบบไหนตอนอายุ 𝟯𝟬” ฟังดูเหมือนคำถามทั่วๆ ไป แต่จริงๆ แล้วมันคือคำถามที่เปลี่ยนมุมมองทั้งหมดของการฝึกกลอง



เพราะคำถามนี้ไม่ได้ถามว่า “#อยากตีเก่งแค่ไหน” หรือ “#อยากมีเทคนิคระดับไหน



แต่มันคือคำถามที่พาให้คุณข้ามเวลา จากวันนี้ที่คุณยังฝึก 𝗴𝗿𝗼𝗼𝘃𝗲 เดิมซ้ำไปซ้ำมา ไปสู่วันที่คุณยืนอยู่ในห้องอัด วงซ้อม หรือเวที ที่คนฟังเงียบลงเพื่อรอฟังเสียงจากคุณ



ลองจินตนาการว่าอีก 𝟭𝟱 ปีข้างหน้า คุณยืนอยู่หน้ากลองชุดชุดหนึ่งในห้องอัดที่เงียบสนิท ไม่มีใครเห็นว่าคุณใส่เสื้ออะไร ใช้ไม้รุ่นไหน หรือเคยฝึกมากี่ปี แต่ทุกคนจะได้ยิน “เสียงของคุณ”



เสียงนั้นบอกอะไร? มันเป็นสำเนียงของใคร? หรือมันคือสำเนียงของคุณที่ไม่มีใครลอกได้?



การตั้งคำถามจากปลายทาง ว่าคุณอยากฟังเสียงของตัวเองเป็นแบบไหนในอีก 𝟭𝟱 ปี จะเปลี่ยนทุกการฝึกของวันนี้



คุณจะเริ่มเลือกแบบฝึกหัดที่ตอบโจทย์ “สำเนียง” แทนที่จะเลือกแค่ความเร็ว คุณจะเริ่มฟังเสียงไม้กระทบหนังกลองว่ามันบอกความรู้สึกยังไง แทนที่จะสนใจแค่ตีถูกหรือไม่ และคุณจะเริ่มฟังเพลงในแบบที่มองหาภาษาของคนอื่น เพื่อค้นหาว่าภาษาของคุณคืออะไร



เพราะสุดท้าย การเป็นมือกลองไม่ใช่การเดินตาม 𝗳𝗼𝗼𝘁𝗽𝗿𝗶𝗻𝘁 ของไอดอล แต่คือการเดินทางเพื่อสร้าง “เสียง” ที่คนอื่นจะจดจำว่าเป็นของคุณ



✧ คำถาม:


เสียงกลองในหัวคุณตอนนี้เป็นของใคร? แล้วคุณอยากให้เสียงของคุณในวันข้างหน้า...พูดแทนอะไรบางอย่างที่ไม่มีคำพูดใดพูดแทนได้หรือเปล่า?





เราโตมากับการถูกสอนว่า “ต้องฝึกให้เก่ง” ต้องตีให้เร็ว ต้องแม่น ต้องแรง ต้องเนียน แต่ไม่ค่อยมีใครถามเราว่า... ฝึกเพื่อจะพูดอะไร?





𝘀𝗶𝗻𝗴𝗹𝗲 𝘀𝘁𝗿𝗼𝗸𝗲, 𝗱𝗼𝘂𝗯𝗹𝗲 𝘀𝘁𝗿𝗼𝗸𝗲, 𝗽𝗮𝗿𝗮𝗱𝗶𝗱𝗱𝗹𝗲, 𝗮𝗰𝗰𝗲𝗻𝘁 𝗰𝗼𝗻𝘁𝗿𝗼𝗹 ฯลฯ ล้วนเป็นอวัยวะของภาษากลอง



แต่ถ้าคุณรู้แค่จะใช้ “ปาก” อย่างไร แต่ไม่รู้จะพูดอะไร มันก็เหมือนคนพูดคล่องแต่ไม่มีอะไรในใจจะเล่า



ลองคิดดูว่าทำไมบางคนตีแค่ 𝗴𝗿𝗼𝗼𝘃𝗲 ธรรมดา แต่เราฟังแล้วขนลุก ในขณะที่บางคน 𝘀𝗼𝗹𝗼 พันโน้ตต่อวินาที แต่ไม่มีใครจำได้เลยว่ามันรู้สึกยังไง



นั่นเพราะความประทับใจในเสียงกลองไม่ได้มาจาก “ความยาก” แต่มาจาก “ความเข้าใจ”



เทคนิค คือเครื่องมือ แต่ เจตนา คือวิธีใช้



๐ เมื่อคุณตี 𝗴𝗵𝗼𝘀𝘁 𝗻𝗼𝘁𝗲 ไม่ใช่เพราะมันมีในแบบฝึกหัด แต่เพราะคุณอยากให้คนฟัง “รู้สึกถึงเงาของความรู้สึก”


๐ เมื่อคุณตี 𝗿𝗶𝗺𝘀𝗵𝗼𝘁 ไม่ใช่เพราะมันดังดี แต่เพราะคุณอยากส่งแรงสะเทือนบางอย่างให้ลึกถึงใจ


๐ และเมื่อคุณ เลือกจะไม่ตีอะไรเลย ในช่วงว่างของท่อนนั้น คุณกำลังสื่อสารความเคารพให้กับ “เสียงอื่น” ในเพลง มากกว่าจะดันตัวเองให้เด่นขึ้นมา



ในช่วงอายุ 𝟭𝟱–𝟯𝟬 ปี คือช่วงเวลาทองของกล้ามเนื้อและระบบประสาท



คุณสามารถฝึกให้เร็วขึ้น แรงขึ้น เนียนขึ้น ได้อย่างแทบไร้ขีดจำกัด



แต่ถ้าคุณไม่ฝึก “ความรู้สึก” ไปด้วย เสียงที่ออกมาในวันข้างหน้า อาจจะ ถูกต้อง แต่ ไม่มีอะไรให้คนฟังจดจำ



และบางครั้ง คนที่ฟังอาจจะไม่รู้ด้วยซ้ำว่าคุณเก่งแค่ไหน แต่พวกเขาจะจำได้ว่า “คุณทำให้พวกเขารู้สึกยังไง” ในตอนที่เสียงกลองของคุณดังขึ้น



✧ คำถาม:


คุณฝึก 𝗿𝘂𝗱𝗶𝗺𝗲𝗻𝘁𝘀 เพื่ออะไร? เพียงเพื่อจะได้เล่นเร็วขึ้นกว่าเมื่อวาน? หรือเพราะคุณอยากค้นหาว่า 𝘀𝘁𝗿𝗼𝗸𝗲 แต่ละแบบ มี “เสียงในใจ” แบบไหน มี “น้ำหนักในอารมณ์” แบบไหน และสามารถพูดอะไรแทนคุณได้บ้าง...ในวันที่คุณไม่อยากพูดด้วยคำพูด?



𝟯. ความแตกต่างของ “#มือกลองผู้เล่น” กับ “#มือกลองผู้ฟัง



คุณเคยรู้สึกไหม...บางทีคุณตีทุกโน้ตตรงเป๊ะ เข้าคลิกเป๊ะ ไม่มีหลุดเลย แต่เพลงกลับยัง “ไม่ไหล” เหมือนร่างกายไป แต่หัวใจยังไม่มาถึง



นั่นอาจเป็นเพราะคุณกำลังเป็น “มือกลองผู้เล่น” มากกว่าจะเป็น “มือกลองผู้ฟัง”



#มือกลองผู้เล่น คือคนที่ให้ความสำคัญกับสิ่งที่ ตัวเองกำลังทำ



ตีให้ตรง…แรง…เนียน…แม่น…



สนใจว่า 𝗴𝗵𝗼𝘀𝘁 𝗻𝗼𝘁𝗲 อยู่ที่ไหน 𝗳𝗶𝗹𝗹 ควรเข้าอย่างไร 𝗿𝗶𝗱𝗲 ต้องเคาะจังหวะไหนให้แน่น



แต่ #มือกลองผู้ฟัง คือคนที่ให้ความสำคัญกับสิ่งที่ กำลังเกิดขึ้นรอบตัว



๐ เขาฟังเบส ว่ากำลังพยายามเล่า 𝗴𝗿𝗼𝗼𝘃𝗲 แบบไหน


๐ เขาฟังกีตาร์ ว่าเล่น 𝗰𝗵𝗼𝗿𝗱 แบบเปิดหรือแน่น เพื่อจะรู้ว่าเขาควรทิ้งช่องไฟ หรืออัดจังหวะ


๐ เขาฟังนักร้อง ว่ากำลังจะเว้นวรรคตรงไหน เพื่อจะเลือก “ตี” หรือ “ไม่ตี” ให้คำพูดนั้นชัดเจน


๐ และเขาฟังความเงียบ…เพื่อจะรู้ว่าจังหวะไหน เพลงต้องการ “พื้นที่” ไม่ใช่ “พลัง”



มือกลองผู้เล่น ควบคุมเพลง แต่ มือกลองผู้ฟัง อยู่กับเพลง



ฟังดูเหมือนต่างกันนิดเดียว แต่ผลลัพธ์มันเหมือนกับเอาเครื่องยนต์มาขับรถ กับแค่ “เดินไปพร้อมคนที่คุณรัก”



อันหนึ่งคือพาไปให้ถึง แต่อีกอันหนึ่งคือทำให้การเดินทางมีความหมาย



การเป็น “#มือกลองผู้ฟัง” ไม่ได้แปลว่าอ่อนหรือไม่กล้า แต่มันคือการมี สติ กับเสียงของคนอื่น



เพื่อจะรู้ว่าตัวเองควรพูดอะไร เมื่อไหร่ และ แค่ไหน เพราะบางครั้ง “จังหวะที่คุณหยุด” คือช่วงที่เพื่อนในวงได้เปล่งเสียงอย่างเต็มที่ และนั่นทำให้ทั้งเพลง “หายใจพร้อมกัน”



✧ คำถาม:


คุณฟังตัวเองแค่เพื่อเช็กว่า "ตีตรงไหม" หรือเพื่อเช็กว่า “เสียงของคุณกำลังพูดอะไรกับทุกคนในวง?” และในวันที่ไม่ได้เล่นกับใครเลย…



คุณเคยฟังเพลงจาก “บรรยากาศ” แทนที่จะฟังแค่ 𝗶𝗻𝘀𝘁𝗿𝘂𝗺𝗲𝗻𝘁 หรือยัง?



ลองปิด 𝗰𝗹𝗶𝗰𝗸 แล้วเปิดใจดูว่า 𝗴𝗿𝗼𝗼𝘃𝗲 ของคุณ…มันลอยไปพร้อมกับลมหายใจของเพลงได้ไหม





การฝึกทุกวันคือวินัย แต่การฝึกโดยไม่รู้ว่า "กำลังมุ่งไปไหน" บางครั้งก็เหมือนกำลัง “วิ่งอยู่กับที่” บนลู่วิ่งที่ไม่มีจุดหมาย



ในช่วงวัย 𝟭𝟱–𝟯𝟬 ปี ร่างกายคุณไวเหมือนสปริง สมองพร้อมเชื่อมเส้นประสาทใหม่ทุกวัน



คุณสามารถขยับจากตี 𝟴𝟬 𝗯𝗽𝗺 ไป 𝟭𝟮𝟬 𝗯𝗽𝗺 ได้ในเวลาไม่กี่เดือน คุณอาจฝึก 𝗿𝘂𝗱𝗶𝗺𝗲𝗻𝘁𝘀 ได้วันละ 𝟰 ชั่วโมง และจำ 𝗹𝗶𝗰𝗸 ได้เป็นสิบ



แต่นั่นยังไม่ใช่ “#การเติบโต” นั่นคือ “#การสะสม



การสะสม ทำให้คุณ “ทำได้มากขึ้น” แต่ การเติบโต จะทำให้คุณ “เลือกทำในสิ่งที่จำเป็น”



มือกลองที่เติบโตไม่ใช่แค่คนที่ตีเก่งขึ้น แต่คือคนที่ตี “น้อยลง” อย่างมั่นใจ และปล่อยให้เสียงของคนอื่นเติมเต็มสิ่งที่เขา ตั้งใจเลือกที่จะไม่พูด



เพราะเขารู้ว่าเพลงไม่ต้องการทุกอย่างจากเขา แต่ต้องการ “สิ่งที่ใช่” เท่านั้น



ทุกครั้งที่คุณนั่งหน้ากลองชุด ลองถามตัวเองว่า…



๐ 𝗙𝗶𝗹𝗹 ที่ฝึกอยู่นี้…มันสื่อสารอะไร?


๐ คุณอยากเล่นมันในเพลงแบบไหน?


๐ ถ้าเอา 𝗳𝗶𝗹𝗹 นี้ออกจากเพลง…เพลงจะขาดอะไรไป?


๐ หรือจริงๆ แล้ว เพลงจะโล่งขึ้น?



การเติบโตของมือกลอง ไม่ได้อยู่ที่คุณฝึกมากแค่ไหน แต่คุณเริ่มรู้เมื่อไหร่ว่าอะไร “ไม่ต้องฝึก” ก็ได้



ไม่ใช่เพราะคุณขี้เกียจ แต่เพราะคุณ “เลือกแล้ว” ว่านั่นไม่ใช่เสียงที่คุณอยากให้คนจำ



✧ คำถาม:


ทุกครั้งที่คุณตี...คุณกำลังเล่าเรื่องอะไรอยู่? แล้วเสียงของคุณกำลัง “พาเพลงเดินหน้า” หรือแค่ “วนลูปอยู่กับความเก่งของตัวเอง”?



คุณอยากให้คนฟังจำคุณ…จากความเร็ว หรือจากความหมาย?



𝟱. การเปลี่ยนผ่านจาก “#นักเรียน” สู่ “#ผู้สร้างภาษา



ทุกคนเริ่มจากการเลียนแบบ นั่นคือธรรมชาติของการเรียนรู้



เราหัด 𝗴𝗿𝗼𝗼𝘃𝗲 แรกจาก 𝗽𝗹𝗮𝘆-𝗮𝗹𝗼𝗻𝗴จำ 𝗽𝗵𝗿𝗮𝘀𝗶𝗻𝗴 จากคลิป 𝗰𝗼𝘃𝗲𝗿และ “เล่นตาม” ก่อนจะ “เข้าใจ”



แต่การเลียนแบบควรเป็นแค่ ทางผ่าน ไม่ใช่ ที่พำนักถาวร



ในวันที่คุณอายุ 𝟯𝟬 เสียงกลองของคุณจะพูดด้วยภาษาของใคร? จะยังเป็นสำเนาของ 𝗴𝗿𝗼𝗼𝘃𝗲 ที่ใครๆ ก็เคยตี? หรือจะเป็น “ประโยคใหม่” ที่คนฟังได้ยินแล้วรู้ทันทีว่า “นี่คือคุณ”?



การมีภาษาของตัวเอง ไม่ใช่แค่การตีแปลก ไม่ใช่การโชว์ 𝘁𝗶𝗺𝗲 𝘀𝗶𝗴𝗻𝗮𝘁𝘂𝗿𝗲 ที่ซับซ้อน แต่มันคือ “ความเข้าใจ” ที่ลึกลงไปอีกชั้น



๐ คุณรู้ว่า 𝗴𝗵𝗼𝘀𝘁 𝗻𝗼𝘁𝗲 ไหนคือ รอยยิ้มที่ซ่อนอยู่


๐ คุณรู้ว่า 𝗸𝗶𝗰𝗸 ที่วางผิดจังหวะในสายตาคนอื่น กำลัง พูดภาษาเดียวกับเบส


๐ คุณรู้ว่า จังหวะเงียบ ไม่ได้หมายถึงไม่มีอะไร แต่มันคือ ช่องว่างที่รอให้ใครบางคนพูดกลับมา



และที่สำคัญที่สุดคือ…คุณกล้าพอไหมที่จะ “ไม่เล่นเหมือนใคร”?



กล้าพอไหมที่จะหยิบ 𝗴𝗿𝗼𝗼𝘃𝗲 ที่ “คุณแต่งขึ้นเอง” ไป 𝗷𝗮𝗺 ในวงแบบไม่ต้องอธิบาย กล้าพอไหมที่จะปล่อยให้ห้องหนึ่ง เงียบสนิท เพื่อฟังว่าใครจะพูดตอบกลับมาบ้าง?



เพราะ ภาษาที่แท้จริง ไม่ได้ถูกสอน แต่มัน “ถูกค้นพบ” จากการฟังตัวเองซ้ำๆ และ “เลือกพูด” อย่างตั้งใจ



✧ คำถาม:


𝗚𝗿𝗼𝗼𝘃𝗲 ล่าสุดที่คุณแต่งขึ้นเอง มันมีเรื่องเล่า? หรือแค่จังหวะ?



แล้วคุณเคยยืนอยู่ต่อหน้าเพื่อนร่วมวง พร้อมจะพูดด้วย 𝗴𝗿𝗼𝗼𝘃𝗲 นั้น…โดยไม่ต้องขอโทษ หรืออธิบายอะไรไหม?





ถ้าวันนี้คุณอายุ 𝟭𝟱 ปีนี้คือ 𝟮𝟬𝟮𝟱 อีก 𝟭𝟱 ปีข้างหน้าคือ ปี 𝟮𝟬𝟰𝟬 และไม่มีใครรู้ได้เลยว่า… “ดนตรี” ในวันนั้นจะหน้าตาเป็นอย่างไร



๐ เพลงอาจไม่มี 𝘁𝗲𝗺𝗽𝗼 แบบเดิม


๐ ไม่มี 𝘃𝗲𝗿𝘀𝗲-𝗰𝗵𝗼𝗿𝘂𝘀


๐ ไม่มีเครื่องดนตรีที่จับต้องได้


๐ 𝗿𝗵𝘆𝘁𝗵𝗺 อาจถูกสังเคราะห์จากคลื่นสมอง หรือสร้างผ่านคำสั่งเสียง


๐ และผู้ฟัง อาจไม่ใช่คนที่ยืนหน้าเวทีอีกต่อไป


แต่คือใครบางคนที่นอนอยู่บ้าน สวมหูฟัง…และจมหายอยู่ในโลกของตัวเอง



เมื่อทุกอย่างเปลี่ยนไป... อะไรที่คุณ “ยังอยากเก็บไว้”?



อะไรคือ “แก่น” ของการเป็นมือกลอง ถ้าคุณไม่มีไม้กลองในมือ ไม่มี 𝘀𝗻𝗮𝗿𝗲 ให้ตี ไม่มี 𝘀𝘁𝗮𝗴𝗲 ให้เล่น?



เสียงของคุณ…จะยังมี “ที่ยืน” อยู่ตรงไหน ในโลกที่เครื่องมือเก่งกว่าเรา และ 𝗔𝗜 สามารถเลียนแบบได้ “ทุกอย่าง”?



ในอนาคตแบบนั้น สิ่งที่คนฟังต้องการ อาจไม่ใช่ “ความแม่น” หรือ “ความเร็ว” อีกต่อไป แต่คือ “ความซื่อสัตย์” คือ “เสียงจริงๆ” ของคุณ ที่บอกว่า



ฉันรู้สึกแบบนี้… และฉันรู้ว่าเธออาจรู้สึกเหมือนกัน



คุณจะไม่ต้องตีเยอะ แต่จะตีแค่ “จังหวะที่จำเป็น”



ไม่ต้องโชว์ แต่จะ “สื่อสาร”



เพราะในห้องเงียบๆ ที่คนคนหนึ่งกำลังฟังอยู่คนเดียว



สิ่งที่เขาต้องการ…ไม่ใช่เสียงเทคนิค แต่คือเสียงที่ทำให้เขาหยุดหายใจไปชั่วครู่ แล้วคิดว่า “มีใครบางคนเข้าใจฉัน”



✧ คำถาม: ถ้าวันหนึ่ง ไม่มีเวที อีกแล้ว ไม่มีคนปรบมือ ไม่มีคนหันมามองว่าคุณตีเร็วแค่ไหน



และคุณมีเวลาแค่ 𝟯𝟬 วินาที เพื่อส่ง “เสียงของตัวคุณ” เข้าสู่หูฟังของคนแปลกหน้าคนหนึ่ง ที่คุณไม่เคยเจอ



คุณอยากให้เสียงนั้น... พูดว่าอะไร?



#สรุป: มือกลองในวัย 𝟯𝟬 ไม่ได้เกิดขึ้นโดยบังเอิญ



เสียงของคุณในวัย 𝟯𝟬 จะไม่ใช่ผลลัพธ์ของโชค หรือพรสวรรค์



แต่มันเกิดจาก ทุกจังหวะที่คุณเลือกตี… และเลือกไม่ตี



เกิดจากทุกวันที่คุณฝึก แม้ไม่มีใครดู


เกิดจากทุกครั้งที่คุณถามตัวเองว่า





เกิดจากการฟังคนอื่นอย่างตั้งใจ และการฟังตัวเองอย่างลึกซึ้ง…ซ้ำแล้วซ้ำเล่า



วันนี้คุณอาจยังไม่รู้ว่า 𝗴𝗿𝗼𝗼𝘃𝗲 แบบไหนคือตัวคุณ แต่ทุกการตัดสินใจเล็กๆ ในแต่ละวัน คือการเดินทางไปหามัน



เสียงของคุณจะค่อยๆ ชัดขึ้น ไม่ใช่เพราะคุณเล่นเหมือนใครมากขึ้น



แต่เพราะคุณเริ่มรู้ว่า… อะไรที่ “ไม่ใช่คุณ” มากขึ้น



เสียงนั้นอาจไม่ใช่เสียงที่ดังที่สุดในวง แต่มันจะเป็นเสียงที่ คนฟัง “รู้สึกถึง” ได้



ไม่ใช่แค่เสียงไม้กระทบหนัง แต่คือเสียงของ ตัวตน ความตั้งใจ และวิธีที่คุณมองโลก



✧ คำถามสุดท้าย: ถ้าเสียงของคุณในวันนี้ คือ “คำพูดแรก” ของการเดินทาง 𝟭𝟱 ปี ไปสู่การเป็นมือกลองที่มีเสียงเฉพาะของตัวเอง



คุณอยากให้มันพูดว่าอะไร  และคุณ…กล้าพอไหมที่จะฟังมันอย่างจริงจัง

 
 
 

Comments


bottom of page