“วิธีตั้งเป้าการซ้อมรายสัปดาห์สำหรับมือกลองทุกรูปแบบ” 🥁
- Dr.Kasem THipayametrakul
- 7 days ago
- 5 min read

ซ้อมกับมีเป้าหมาย ≠ ซ้อมตามความเคยชิน
ในการศึกษาพฤติกรรมการเรียนรู้เชิงมอเตอร์ (𝗠𝗼𝘁𝗼𝗿 𝗟𝗲𝗮𝗿𝗻𝗶𝗻𝗴) และการฝึกดนตรีจากงานวิจัยหลายฉบับ พบว่า “การตั้งเป้าหมายที่ชัดเจนก่อนเริ่มซ้อม” ส่งผลต่อประสิทธิภาพของการเรียนรู้มากกว่าการซ้อมตามความเคยชิน แม้จะใช้เวลาน้อยกว่าก็ตาม
ในบริบทของการตีกลอง คำว่า “#ตั้งเป้าหมาย” จึงไม่ได้หมายถึงการวางแผนเพียงแค่ความเร็วที่ต้องไปให้ถึง หรือจำนวนครั้งที่ต้องตีให้ครบ แต่หมายถึงการวางโครงสร้างการเรียนรู้ที่หลากหลาย ครอบคลุมหลายมิติ และสามารถตรวจสอบความก้าวหน้าของตนเองได้อย่างต่อเนื่องในแต่ละสัปดาห์
คำถามที่ควรถามก่อนเริ่มต้นทุกสัปดาห์ คือ: “ฉันต้องการพัฒนาทักษะอะไรในสัปดาห์นี้ — และรู้ได้อย่างไรว่ามันพัฒนาแล้ว?”
𝟭. การแยกองค์ประกอบของทักษะ: มากกว่าการตีให้ครบ คือการรู้ว่ากำลังฝึกอะไร ♫
การฝึกดนตรี โดยเฉพาะการตีกลอง ไม่สามารถมองเป็นเพียงการ “ทำให้ครบแบบฝึกหัด” หรือ “ตีได้เร็วขึ้น” แล้วถือว่าฝึกสำเร็จได้อย่างสมบูรณ์ เพราะดนตรีที่ออกมาจากร่างกายมนุษย์เป็นผลลัพธ์ของระบบซ้อนชั้นที่ประกอบด้วยการทำงานของกล้ามเนื้อ เสียง การรับรู้เวลา อารมณ์ การฟัง และความเข้าใจบริบทของเสียงทั้งหมดภายในกรอบของวัฒนธรรมดนตรีที่ตนกำลังสื่อสาร
แนวทางการฝึกจึงควรเริ่มจากการแยกองค์ประกอบของ "ทักษะ" ออกมาให้ชัดเจน เพื่อให้ผู้ฝึกสามารถรู้ได้ว่ากำลังพัฒนาเรื่องใด และสิ่งที่ตนกำลังทำตอบโจทย์การเติบโตด้านใดของร่างกายและจิตใจ มากกว่าการฝึกแบบรวม ๆ ที่ไม่สามารถตรวจสอบผลได้อย่างชัดเจน
เทคนิคการใช้กล้ามเนื้อ (𝗠𝗼𝘁𝗼𝗿 𝗧𝗲𝗰𝗵𝗻𝗶𝗾𝘂𝗲)
การตีไม้กลองไม่ใช่เพียงการใช้แรง แต่เป็น “การบริหารแรง” และ “การปล่อยแรง” ให้สัมพันธ์กับแรงโน้มถ่วง น้ำหนักไม้ แรงสะท้อนของผิวกลอง และโครงสร้างร่างกายของตนเอง ผู้เล่นที่ควบคุมกล้ามเนื้ออย่างแม่นยำ มักไม่ได้ใช้แรงมาก แต่รู้ว่าจังหวะไหนควร “ใช้แรง” และจังหวะไหนควร “ปล่อยแรง”
ในงานศึกษาด้าน 𝗺𝗼𝘁𝗼𝗿 𝗹𝗲𝗮𝗿𝗻𝗶𝗻𝗴 (𝗠𝗮𝗴𝗶𝗹𝗹 & 𝗔𝗻𝗱𝗲𝗿𝘀𝗼𝗻, 𝟮𝟬𝟭𝟳) การเคลื่อนไหวที่แม่นยำมักไม่ได้เกิดจากความพยายามมากขึ้น แต่เกิดจากการปล่อยให้ระบบกล้ามเนื้อกับแรงธรรมชาติทำงานร่วมกันอย่างสมดุล โดยเฉพาะในกรณีของ “แรงสะท้อน” หรือ 𝗿𝗲𝗯𝗼𝘂𝗻𝗱 ซึ่งเป็นสิ่งที่ผู้เล่นควรเรียนรู้ให้ลึก
การควบคุมเสียง (𝗧𝗼𝗻𝗲 & 𝗦𝗼𝘂𝗻𝗱 𝗖𝗼𝗻𝘁𝗿𝗼𝗹)
การตีให้เสียงดี ไม่ใช่แค่การตีให้ตรง แต่คือการตั้งใจฟังสิ่งที่เกิดขึ้นและสามารถแยกแยะโทนเสียงระหว่าง 𝗦𝘁𝗿𝗼𝗸𝗲 แบบต่าง ๆ ได้อย่างมีความหมาย เช่น การฟังความต่างระหว่าง 𝗗𝗼𝘄𝗻 𝗦𝘁𝗿𝗼𝗸𝗲, 𝗨𝗽 𝗦𝘁𝗿𝗼𝗸𝗲, 𝗧𝗮𝗽, 𝗙𝘂𝗹𝗹 𝗦𝘁𝗿𝗼𝗸𝗲 และ 𝗚𝗵𝗼𝘀𝘁 𝗡𝗼𝘁𝗲
มือกลองที่ควบคุมเสียงได้จริงจะสามารถปรับระดับความลึกของเสียง ความคมของ 𝗔𝘁𝘁𝗮𝗰𝗸 หรือความโปร่งของโทนได้ แม้ในกรอบของเพลงเดียวกัน การฝึกควบคุมเสียงจึงควรอยู่ในเป้าหมายของทุกสัปดาห์ โดยไม่ผูกติดกับการฝึกความเร็วเพียงอย่างเดียว
คำถาม: คุณสามารถฟังความแตกต่างของเสียงแต่ละโน้ตได้อย่างชัดเจนหรือไม่? เสียงที่คุณตีสะท้อนอารมณ์หรือความตั้งใจของคุณอย่างแท้จริงหรือไม่?
การรู้เวลาภายใน (𝗜𝗻𝘁𝗲𝗿𝗻𝗮𝗹 𝗧𝗶𝗺𝗶𝗻𝗴 & 𝗦𝘂𝗯𝗱𝗶𝘃𝗶𝘀𝗶𝗼𝗻)
การจับจังหวะไม่ใช่เพียงการตีให้ตรงกับเมโทรโนม แต่คือการสร้าง "เวลา" ภายในตนเองและควบคุมโน้ตให้ “อยู่ตำแหน่งที่เลือก” ได้อย่างตั้งใจ เช่น การตั้งใจตีให้โน้ตดีเลย์จาก 𝗯𝗲𝗮𝘁 หรือดันให้ขึ้นหน้าเล็กน้อย เพื่อเปลี่ยนอารมณ์ของ 𝗴𝗿𝗼𝗼𝘃𝗲 โดยไม่หลุดเมโทรโนม
ผู้เล่นที่พัฒนาเรื่องนี้ได้ จะสามารถตี 𝘀𝘂𝗯𝗱𝗶𝘃𝗶𝘀𝗶𝗼𝗻 ที่ซับซ้อน เช่น 𝗾𝘂𝗶𝗻𝘁𝘂𝗽𝗹𝗲𝘁, 𝘀𝗲𝗽𝘁𝘂𝗽𝗹𝗲𝘁 หรือ 𝗴𝗿𝗼𝗼𝘃𝗲 ที่มี 𝗳𝗲𝗲𝗹 ต่างกัน (𝘀𝘄𝗶𝗻𝗴, 𝘀𝘁𝗿𝗮𝗶𝗴𝗵𝘁, 𝘀𝗵𝘂𝗳𝗳𝗹𝗲, 𝗵𝗮𝗹𝗳-𝘁𝗶𝗺𝗲) ได้อย่างมีจังหวะภายในที่มั่นคง
คำถาม: คุณรู้สึกหรือไม่ว่าโน้ตของคุณ “อยู่ตรงไหน” ภายใน 𝟭 𝗯𝗲𝗮𝘁? คุณสามารถควบคุมตำแหน่งของโน้ตได้จริง หรือเพียงแค่ตีให้ทันเมโทรโนม?
การประยุกต์สู่ดนตรีจริง (𝗔𝗽𝗽𝗹𝗶𝗰𝗮𝘁𝗶𝗼𝗻 & 𝗘𝘅𝗽𝗿𝗲𝘀𝘀𝗶𝗼𝗻)
แบบฝึกหัดจะไร้ความหมาย หากไม่สามารถเชื่อมโยงกับการเล่นในบริบทจริงของดนตรี การวางเป้าหมายรายสัปดาห์จึงควรรวมการประยุกต์ เช่น การนำรูดิเมนต์ที่ฝึก มาใช้เป็น 𝗴𝗿𝗼𝗼𝘃𝗲 หรือ 𝗳𝗶𝗹𝗹-𝗶𝗻 ในเพลงหนึ่งๆ และสังเกตว่าโทนเสียงหรือจังหวะเปลี่ยนไปอย่างไรเมื่อลงบนบริบทจริง
นอกจากนี้ ยังควรรวมการ “เล่นแบบฟังตนเอง” และ “การแสดงอารมณ์ผ่านเสียง” ไม่ใช่เพียงการรัวไม้ แต่ต้องรู้ว่าเล่นเพื่อสื่อสารสิ่งใดกับผู้ฟัง
คำถาม: สิ่งที่คุณฝึกอยู่ในวันนี้ สามารถเปลี่ยนรูปไปสู่เสียงที่มีบริบทในดนตรีได้อย่างไร? คุณสามารถเล่าเรื่องหรือส่งอารมณ์ผ่าน 𝗴𝗿𝗼𝗼𝘃𝗲 ที่กำลังเล่นได้จริงหรือไม่?
การประเมินและวางแผนตนเอง (𝗥𝗲𝗳𝗹𝗲𝗰𝘁𝗶𝗼𝗻 & 𝗚𝗼𝗮𝗹 𝗔𝗱𝗷𝘂𝘀𝘁𝗺𝗲𝗻𝘁)
การเรียนรู้จะไม่สมบูรณ์หากไม่มีการประเมินและปรับเป้าหมายอย่างต่อเนื่อง ผู้ฝึกควรมีเวลาทบทวนว่าอะไรที่ทำได้ดีขึ้น และอะไรที่ยังติดขัด พร้อมตั้งคำถามถึงสาเหตุและวางเป้าหมายใหม่ในสัปดาห์ถัดไป
การบันทึกความรู้สึก หรือการอัดวิดีโอขณะซ้อมเพื่อตรวจสอบสิ่งที่มองไม่เห็นระหว่างฝึก เป็นหนึ่งในวิธีการประเมินที่ช่วยให้มือกลองเข้าใจตนเองได้ลึกขึ้น
คำถาม: คุณเคยสังเกตไหมว่าวันนี้คุณฝึกอย่างไรแตกต่างจากเมื่อวาน? การเปลี่ยนแปลงนั้นเกิดขึ้นเพราะอะไร — และจะนำไปสู่อะไรต่อไป?
การวางแผนการฝึกโดยแยกองค์ประกอบของทักษะอย่างชัดเจน คือกระบวนการทำให้มือกลอง “รู้ว่าตนกำลังฝึกอะไร” ไม่ใช่เพียงแค่ฝึกไปตามบท ไม่ใช่เพียงเพื่อความรู้สึกดีตอนตีจบ แต่เป็นการสร้างระบบคิดที่สามารถตรวจสอบและขยายผลของการฝึกได้ในระยะยาว เพราะการฝึกอย่างเข้าใจ คือการฝึกเพื่อเติบโต ไม่ใช่แค่การฝึกเพื่อผ่าน.
***อ้างอิง 𝗠𝗮𝗴𝗶𝗹𝗹, 𝗥. 𝗔., & 𝗔𝗻𝗱𝗲𝗿𝘀𝗼𝗻, 𝗗. 𝗜. (𝟮𝟬𝟭𝟳). 𝗠𝗼𝘁𝗼𝗿 𝗹𝗲𝗮𝗿𝗻𝗶𝗻𝗴 𝗮𝗻𝗱 𝗰𝗼𝗻𝘁𝗿𝗼𝗹: 𝗖𝗼𝗻𝗰𝗲𝗽𝘁𝘀 𝗮𝗻𝗱 𝗮𝗽𝗽𝗹𝗶𝗰𝗮𝘁𝗶𝗼𝗻𝘀 (𝟭𝟭𝘁𝗵 𝗲𝗱.). 𝗠𝗰𝗚𝗿𝗮𝘄-𝗛𝗶𝗹𝗹 𝗘𝗱𝘂𝗰𝗮𝘁𝗶𝗼𝗻.
𝟮. วงจร “ตั้ง–ทำ–สังเกต–ปรับ” ♫
แนวทางการฝึกดนตรีที่มีประสิทธิภาพ ไม่ได้ขึ้นอยู่กับจำนวนชั่วโมงการฝึกเพียงอย่างเดียว แต่ขึ้นอยู่กับ “คุณภาพของกระบวนการเรียนรู้” ที่เกิดขึ้นระหว่างการฝึก กระบวนการนี้มักไม่เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ แต่ต้องได้รับการออกแบบทางความคิด เพื่อให้ผู้ฝึกสามารถพัฒนาตนเองในระดับลึกมากกว่าการท่องจำหรือเลียนแบบ
งานศึกษาของ 𝗦𝗹𝗼𝗯𝗼𝗱𝗮 (𝟭𝟵𝟵𝟲) และ 𝗠𝗰𝗣𝗵𝗲𝗿𝘀𝗼𝗻 (𝟮𝟬𝟬𝟱) ชี้ว่า นักดนตรีที่เติบโตอย่างต่อเนื่องและมีพัฒนาการเชิงคุณภาพสูง มักใช้แนวคิดที่เรียกว่า วงจรการเรียนรู้แบบ 𝗔𝗰𝘁𝗶𝘃𝗲 𝗥𝗲𝗳𝗹𝗲𝗰𝘁𝗶𝗼𝗻 ซึ่งประกอบด้วย 𝟰 ขั้นตอนหลัก ได้แก่ “ตั้งเป้า – ทำ – สังเกต – ปรับ” (𝗦𝗲𝘁 – 𝗗𝗼 – 𝗢𝗯𝘀𝗲𝗿𝘃𝗲 – 𝗥𝗲𝗳𝗶𝗻𝗲) ซึ่งไม่ได้เป็นเพียงสูตรฝึกซ้อม แต่คือกรอบความคิดเชิงระบบที่สามารถใช้ได้กับทุกระดับของทักษะ ตั้งแต่ผู้เริ่มต้นไปจนถึงมืออาชีพ
ตั้งเป้าให้ชัดเจน (𝗚𝗼𝗮𝗹-𝗢𝗿𝗶𝗲𝗻𝘁𝗲𝗱 𝗣𝗿𝗮𝗰𝘁𝗶𝗰𝗲)
การตั้งเป้าหมายคือจุดเริ่มต้นของทุกกระบวนการฝึกที่มีคุณภาพ แต่เป้าหมายที่คลุมเครือ เช่น “อยากตีให้ดีขึ้น” หรือ “อยากเล่นให้เร็วขึ้น” ไม่อาจสร้างผลลัพธ์ที่ตรวจสอบได้ การตั้งเป้าต้องเฉพาะเจาะจง วัดผลได้ และเชื่อมโยงกับองค์ประกอบของทักษะ เช่น
๐ “ควบคุมเสียง 𝗧𝗮𝗽 ให้เบาแต่คม โดยใช้ 𝗨𝗽 𝗦𝘁𝗿𝗼𝗸𝗲 ที่ไม่เกร็ง”
๐ “ฝึก 𝗗𝗼𝘂𝗯𝗹𝗲 𝗦𝘁𝗿𝗼𝗸𝗲 ให้ตีสองครั้งด้วยแรงสโตรกเดียว โดยไม่ใช้แรงเพิ่มครั้งที่สอง”
๐ “เล่น 𝗴𝗿𝗼𝗼𝘃𝗲 ให้แน่นในความเร็ว 𝟵𝟬 𝗕𝗣𝗠 โดยไม่เร่ง 𝘁𝗲𝗺𝗽𝗼 หลังจาก 𝗳𝗶𝗹𝗹-𝗶𝗻”
เป้าหมายที่ดีไม่เพียงบอกสิ่งที่ต้องการทำให้สำเร็จ แต่ยังชี้ว่า ต้องใช้คุณภาพอะไรในการทำให้สำเร็จ
คำถามชวนคิด: เป้าหมายการฝึกวันนี้ของคุณคืออะไร? เป้าหมายนั้นสามารถตรวจสอบผลได้หรือไม่?
ปฏิบัติอย่างมีสติ (𝗖𝗼𝗻𝘀𝗰𝗶𝗼𝘂𝘀 𝗘𝘅𝗲𝗰𝘂𝘁𝗶𝗼𝗻)
การฝึกซ้อมโดยไม่ตระหนักถึงสิ่งที่กำลังทำ แม้จะใช้เวลานาน ก็อาจไม่ต่างจากการเคลื่อนไหวซ้ำ ๆ ที่ไม่ก่อให้เกิดการเรียนรู้ที่แท้จริง มืออาชีพมักไม่ทำ “ให้ครบ” แต่ทำ “ให้เข้าใจ” ทุกโน้ต ทุกแรง ทุกเสียงที่เกิดขึ้น ต้องรู้ว่าทำไมมันเกิดขึ้น และกำลังพัฒนากล้ามเนื้อ ความรู้สึก หรือการฟังแบบใด
การฝึกอย่างมีสติจึงไม่ใช่การฝึกแบบ 𝗺𝗲𝗰𝗵𝗮𝗻𝗶𝗰𝗮𝗹 แต่คือการฝึกแบบ 𝗮𝗻𝗮𝗹𝘆𝘁𝗶𝗰𝗮𝗹 – วิเคราะห์สิ่งที่ร่างกายทำ ขณะเดียวกันก็ฟังสิ่งที่เกิดขึ้นไปพร้อมกัน
คำถามชวนสังเกต: คุณรู้หรือไม่ว่าโน้ตแต่ละตัวที่คุณตีเกิดจากแรงส่วนใดของร่างกาย? คุณกำลังพัฒนาทักษะด้านใดในแต่ละช่วงของการฝึก?
สังเกตสิ่งที่เกิดขึ้น (𝗦𝗲𝗹𝗳-𝗠𝗼𝗻𝗶𝘁𝗼𝗿𝗶𝗻𝗴)
การฝึกฝนอย่างมีคุณภาพต้องมีกระจกสะท้อน ไม่ว่าจะเป็นการอัดเสียง อัดวิดีโอ หรือแม้แต่การตั้งกระจกไว้ขณะฝึก เพื่อสังเกตการเคลื่อนไหวจริงของตนเอง ผู้ฝึกที่ใช้เครื่องมือเหล่านี้อย่างจริงจังจะสามารถแยกแยะสิ่งที่ “คิดว่าทำ” ออกจากสิ่งที่ “กำลังทำจริง”
ในหลายกรณี มือกลองที่เชื่อว่าตนตีเบาแล้ว อาจพบจากคลิปวิดีโอว่าการเคลื่อนไหวยังแข็ง หรือเสียงยังไม่ต่างจากการตีปกติ ความแตกต่างระหว่างการ “รู้สึก” กับการ “เห็นจริง” นี้เองคือสิ่งที่ทำให้การสังเกตตนเองเป็นหัวใจของการเรียนรู้
คำถาม: คุณเคยดูวิดีโอของตัวเองแล้วพบอะไรบางอย่างที่ไม่รู้มาก่อนหรือไม่? สิ่งที่คุณเชื่อว่ากำลังทำ ตรงกับสิ่งที่เกิดขึ้นจริงแค่ไหน?
ปรับเพื่อให้ดีขึ้น (𝗜𝘁𝗲𝗿𝗮𝘁𝗶𝘃𝗲 𝗥𝗲𝗳𝗶𝗻𝗲𝗺𝗲𝗻𝘁)
การซ้อมไม่ใช่การทำซ้ำ แต่คือการปรับคุณภาพอย่างต่อเนื่อง การเล่น 𝗴𝗿𝗼𝗼𝘃𝗲 ซ้ำ 𝟭𝟬𝟬 รอบไม่ได้หมายถึงการพัฒนาถ้าทั้ง 𝟭𝟬𝟬 รอบเหมือนกันทั้งหมด มืออาชีพมักถามตัวเองเสมอว่า “จะดีกว่านี้ได้อย่างไร?” และพร้อมที่จะหยุดทุกเมื่อเมื่อรู้สึกว่าแนวทางที่กำลังใช้อาจไม่เหมาะกับเป้าหมาย
การปรับที่ดีต้องอิงจากข้อมูลจริง ไม่ใช่เพียงความรู้สึก เช่น สังเกตจากการฟังคลิปย้อนหลังแล้วพบว่าการตี 𝗴𝗵𝗼𝘀𝘁 𝗻𝗼𝘁𝗲 ยังไม่พอเพียง → ปรับแรงจากนิ้ว → ลองใหม่ → ฟังอีกครั้ง → ปรับอีก จนกว่าจะเกิดเสียงที่ต้องการ
คำถาม: คุณกำลังเปลี่ยนอะไรในคุณภาพของการตีแต่ละวัน? อะไรคือสิ่งที่คุณลองปรับแล้วได้ผลดี – และอะไรคือสิ่งที่ควรเปลี่ยนแปลง?
การฝึกที่มีคุณภาพไม่จำเป็นต้องยาว แต่ต้องเต็มไปด้วยการตั้งคำถามที่ถูกจุด ทุกช่วงเวลาของการฝึกควรเป็นพื้นที่ของการสังเกต วิเคราะห์ และทดลอง มากกว่าการซ้อมแบบเชิงปริมาณ
ผู้ที่สามารถฝึกด้วยวิธีคิดแบบนี้ จะสามารถเติบโตแม้ในเวลาจำกัด เพราะทุกนาทีที่ลงมือฝึก คือการเรียนรู้เชิงลึก ไม่ใช่เพียงการทำซ้ำสิ่งเดิม
วันนี้ คุณเข้าสู่วงจร “ตั้ง – ทำ – สังเกต – ปรับ” ในระดับใด? คุณใช้การซ้อมเพื่อ “เปลี่ยนแปลง” อะไรในตัวเอง? และสิ่งนั้นสัมพันธ์กับสิ่งที่คุณอยากเป็นในฐานะมือกลองหรือไม่?
***อ้างอิง
๐ 𝗦𝗹𝗼𝗯𝗼𝗱𝗮, 𝗝. 𝗔. (𝟭𝟵𝟵𝟲). 𝗧𝗵𝗲 𝗮𝗰𝗾𝘂𝗶𝘀𝗶𝘁𝗶𝗼𝗻 𝗼𝗳 𝗺𝘂𝘀𝗶𝗰𝗮𝗹 𝗽𝗲𝗿𝗳𝗼𝗿𝗺𝗮𝗻𝗰𝗲 𝗲𝘅𝗽𝗲𝗿𝘁𝗶𝘀𝗲: 𝗗𝗲𝗰𝗼𝗻𝘀𝘁𝗿𝘂𝗰𝘁𝗶𝗻𝗴 𝘁𝗵𝗲 “𝘁𝗮𝗹𝗲𝗻𝘁” 𝗮𝗰𝗰𝗼𝘂𝗻𝘁 𝗼𝗳 𝗶𝗻𝗱𝗶𝘃𝗶𝗱𝘂𝗮𝗹 𝗱𝗶𝗳𝗳𝗲𝗿𝗲𝗻𝗰𝗲𝘀 𝗶𝗻 𝗺𝘂𝘀𝗶𝗰𝗮𝗹 𝗲𝘅𝗽𝗿𝗲𝘀𝘀𝗶𝘃𝗶𝘁𝘆. 𝗜𝗻 𝗞. 𝗔. 𝗘𝗿𝗶𝗰𝘀𝘀𝗼𝗻 (𝗘𝗱.), 𝗧𝗵𝗲 𝗿𝗼𝗮𝗱 𝘁𝗼 𝗲𝘅𝗰𝗲𝗹𝗹𝗲𝗻𝗰𝗲 (𝗽𝗽. 𝟭𝟬𝟳–𝟭𝟮𝟲). 𝗟𝗮𝘄𝗿𝗲𝗻𝗰𝗲 𝗘𝗿𝗹𝗯𝗮𝘂𝗺 𝗔𝘀𝘀𝗼𝗰𝗶𝗮𝘁𝗲𝘀.
๐ 𝗠𝗰𝗣𝗵𝗲𝗿𝘀𝗼𝗻, 𝗚. 𝗘., & 𝗭𝗶𝗺𝗺𝗲𝗿𝗺𝗮𝗻, 𝗕. 𝗝. (𝟮𝟬𝟬𝟮). 𝗦𝗲𝗹𝗳-𝗿𝗲𝗴𝘂𝗹𝗮𝘁𝗶𝗼𝗻 𝗼𝗳 𝗺𝘂𝘀𝗶𝗰𝗮𝗹 𝗹𝗲𝗮𝗿𝗻𝗶𝗻𝗴: 𝗔 𝘀𝗼𝗰𝗶𝗮𝗹 𝗰𝗼𝗴𝗻𝗶𝘁𝗶𝘃𝗲 𝗽𝗲𝗿𝘀𝗽𝗲𝗰𝘁𝗶𝘃𝗲. 𝗜𝗻 𝗥. 𝗖𝗼𝗹𝘄𝗲𝗹𝗹 & 𝗖. 𝗥𝗶𝗰𝗵𝗮𝗿𝗱𝘀𝗼𝗻 (𝗘𝗱𝘀.), 𝗧𝗵𝗲 𝗡𝗲𝘄 𝗛𝗮𝗻𝗱𝗯𝗼𝗼𝗸 𝗼𝗳 𝗥𝗲𝘀𝗲𝗮𝗿𝗰𝗵 𝗼𝗻 𝗠𝘂𝘀𝗶𝗰 𝗧𝗲𝗮𝗰𝗵𝗶𝗻𝗴 𝗮𝗻𝗱 𝗟𝗲𝗮𝗿𝗻𝗶𝗻𝗴 (𝗽𝗽. 𝟯𝟮𝟳–𝟯𝟰𝟳). 𝗢𝘅𝗳𝗼𝗿𝗱 𝗨𝗻𝗶𝘃𝗲𝗿𝘀𝗶𝘁𝘆 𝗣𝗿𝗲𝘀𝘀.
𝟯. ซ้อมแบบปริมาณน้อยแต่คุณภาพสูง: หลักการของ “การจดจำอย่างลึก” ♫
ในกระบวนการเรียนรู้ทักษะเชิงกายภาพ เช่น การตีกลอง ระบบประสาทมอเตอร์ (𝗺𝗼𝘁𝗼𝗿 𝘀𝘆𝘀𝘁𝗲𝗺) ของมนุษย์ไม่ได้ตอบสนองต่อ “ความมาก” ของชั่วโมงฝึกเพียงอย่างเดียว แต่ตอบสนองต่อ “คุณภาพของการกระตุ้น” ที่เกิดขึ้นในแต่ละครั้งอย่างลึกซึ้งและมีเป้าหมาย
แนวคิดนี้ได้รับการสนับสนุนจากงานวิจัยด้านประสาทวิทยาศาสตร์ของการเรียนรู้ เช่น งานของ 𝗘𝗿𝗶𝗰 𝗞𝗮𝗻𝗱𝗲𝗹 (𝟮𝟬𝟬𝟬) และ 𝗗𝗮𝗻𝗶𝗲𝗹 𝗪𝗶𝗹𝗹𝗶𝗻𝗴𝗵𝗮𝗺 (𝟮𝟬𝟬𝟵) ซึ่งแสดงให้เห็นว่า การฝังรอยประสาท (𝗻𝗲𝘂𝗿𝗮𝗹 𝗲𝗻𝗰𝗼𝗱𝗶𝗻𝗴) ที่ลึก เกิดจากการกระตุ้นซ้ำแบบมีความหมาย (𝗺𝗲𝗮𝗻𝗶𝗻𝗴𝗳𝘂𝗹 𝗿𝗲𝗽𝗲𝘁𝗶𝘁𝗶𝗼𝗻) ที่มีการปรับเปลี่ยนเล็กน้อยในแต่ละครั้ง เพื่อให้สมองต้อง "เลือกตอบสนองใหม่" ไม่ใช่เพียงคัดลอกพฤติกรรมเดิมซ้ำๆ
การเรียนรู้ที่ฝังลึก: คุณภาพของการ “จำ” ไม่ได้อยู่ที่จำนวนครั้ง แต่ที่โครงสร้างของการฝึก
การซ้อมกลองในเชิงมอเตอร์จึงควรยึดหลัก "การจำอย่างลึก" (𝗱𝗲𝗲𝗽 𝗲𝗻𝗰𝗼𝗱𝗶𝗻𝗴) แทน "การจำแบบกลไก" (𝗿𝗼𝘁𝗲 𝗺𝗲𝗺𝗼𝗿𝘆) ซึ่งต้องอาศัยเทคนิค 𝟰 ประการที่ควรมีในแผนการฝึกแต่ละสัปดาห์:
● การแบ่งเป้าหมายใหญ่ให้เป็นช่วงย่อย (𝗖𝗵𝘂𝗻𝗸𝗶𝗻𝗴)
หนึ่งในอุปสรรคใหญ่ของการเรียนรู้ คือการพยายามฝึกสิ่งที่ซับซ้อนโดยไม่ย่อยโครงสร้างออกมา หากผู้ฝึกต้องการควบคุม 𝗴𝗿𝗼𝗼𝘃𝗲 ที่มี 𝗴𝗵𝗼𝘀𝘁 𝗻𝗼𝘁𝗲, 𝗮𝗰𝗰𝗲𝗻𝘁 และ 𝗱𝘆𝗻𝗮𝗺𝗶𝗰 𝗰𝗼𝗻𝘁𝗿𝗼𝗹 พร้อมกันทั้งหมด การพยายามฝึกพร้อมกันในครั้งเดียวมักทำให้ความสามารถแต่ละด้านพัฒนาไม่ชัดเจน
การแบ่งเป้าหมายใหญ่ออกเป็น “ชิ้นส่วนที่ฝึกได้จริง” เช่น:
๐ แยกฝึก 𝗴𝗵𝗼𝘀𝘁 𝗻𝗼𝘁𝗲 ด้วย 𝗧𝗮𝗽 ที่แม่นเสียง
๐ แยกฝึก 𝗱𝘆𝗻𝗮𝗺𝗶𝗰 ระหว่าง 𝗯𝗮𝗰𝗸𝗯𝗲𝗮𝘁 และ 𝗛𝗶-𝗛𝗮𝘁
๐ แยกฝึก 𝗳𝗼𝗼𝘁 𝘁𝗶𝗺𝗶𝗻𝗴 อย่างเดียวในโครงสร้างเดิม
เมื่อต่อชิ้นส่วนกลับเข้าด้วยกัน สมองจะมีความเข้าใจเชิงระบบมากกว่าการฝึกเป็นรูปแบบรวมทันที
คำถาม: วันนี้สิ่งที่คุณฝึกสามารถแยกออกเป็นชิ้นเล็กลงอีกหรือไม่? คุณได้ฝึก “ชิ้นที่สำคัญที่สุด” อย่างตั้งใจแล้วหรือยัง?
● การสลับสิ่งที่ฝึก (𝗜𝗻𝘁𝗲𝗿𝗹𝗲𝗮𝘃𝗲𝗱 𝗣𝗿𝗮𝗰𝘁𝗶𝗰𝗲)
งานศึกษาหลายชิ้นในด้าน 𝗰𝗼𝗴𝗻𝗶𝘁𝗶𝘃𝗲 𝗽𝘀𝘆𝗰𝗵𝗼𝗹𝗼𝗴𝘆 (เช่น 𝗥𝗼𝗵𝗿𝗲𝗿 & 𝗧𝗮𝘆𝗹𝗼𝗿, 𝟮𝟬𝟬𝟳) ชี้ว่า การสลับหัวข้อที่ฝึก (𝗶𝗻𝘁𝗲𝗿𝗹𝗲𝗮𝘃𝗶𝗻𝗴) แม้จะรู้สึกว่ายากในระยะสั้น แต่ช่วยให้สมองประมวลผลและดึงข้อมูลมาใช้ได้ดีขึ้นในระยะยาว เพราะต้อง “เลือกใช้” ความรู้ใหม่ในแต่ละครั้ง ไม่ใช่เพียงตอบสนองแบบอัตโนมัติ
สำหรับมือกลอง การสลับหัวข้ออาจหมายถึง:
๐ สลับฝึก 𝗿𝘂𝗱𝗶𝗺𝗲𝗻𝘁𝘀 แบบมี 𝗮𝗰𝗰𝗲𝗻𝘁 / ไม่มี 𝗮𝗰𝗰𝗲𝗻𝘁
๐ สลับการนับ 𝘀𝘂𝗯𝗱𝗶𝘃𝗶𝘀𝗶𝗼𝗻 ใน 𝘁𝗲𝗺𝗽𝗼 เดียวกัน
๐ สลับ 𝗴𝗿𝗼𝗼𝘃𝗲 ที่มี 𝗳𝗲𝗲𝗹 ต่างกัน เช่น 𝗹𝗮𝗶𝗱-𝗯𝗮𝗰𝗸 𝘃𝘀. 𝗼𝗻-𝘁𝗼𝗽
𝗜𝗻𝘁𝗲𝗿𝗹𝗲𝗮𝘃𝗶𝗻𝗴 ช่วยให้เกิดความยืดหยุ่นของระบบประสาทในการแก้ปัญหาดนตรีที่ไม่ซ้ำกันทุกครั้ง
● การเว้นช่วง (𝗦𝗽𝗮𝗰𝗲𝗱 𝗥𝗲𝗽𝗲𝘁𝗶𝘁𝗶𝗼𝗻)
สมองของมนุษย์ไม่ได้เรียนรู้ได้ดีที่สุดจากการซ้อมนานๆ ในคราวเดียว แต่เรียนรู้ได้ดีที่สุดเมื่อมี “การเว้นช่วง” เพื่อให้เกิดการฝังข้อมูลซ้ำในเวลาต่างกัน เช่น
๐ ฝึก 𝗗𝗼𝘂𝗯𝗹𝗲 𝗦𝘁𝗿𝗼𝗸𝗲 วันละ 𝟱 นาที ใน 𝟯 เวลา ต่างกันแทนการฝึกครั้งเดียว 𝟭𝟱 นาที
๐ กลับไปทบทวน 𝗿𝘂𝗱𝗶𝗺𝗲𝗻𝘁 ที่ฝึกไว้เมื่อ 𝟮 วันก่อน แทนการฝึกเฉพาะของใหม่
การเว้นช่วงทำให้สมองต้อง "เรียกคืน" ความรู้จากหน่วยความจำระยะยาว ซึ่งเป็นกระบวนการที่มีผลสูงต่อการฝังทักษะถาวร (𝗹𝗼𝗻𝗴-𝘁𝗲𝗿𝗺 𝗰𝗼𝗻𝘀𝗼𝗹𝗶𝗱𝗮𝘁𝗶𝗼𝗻)
● การมี 𝗙𝗲𝗲𝗱𝗯𝗮𝗰𝗸 อย่างเป็นระบบ
ไม่มีการเรียนรู้ใดสมบูรณ์หากไม่มี 𝗙𝗲𝗲𝗱𝗯𝗮𝗰𝗸 การอัดเสียง ฟังย้อนหลัง วิเคราะห์การเคลื่อนไหว หรือแม้แต่การปรึกษาครูที่มีประสบการณ์ คือปัจจัยที่ช่วยให้การฝึกไม่ติดอยู่ในกรอบความเข้าใจเดิม
การมี 𝗳𝗲𝗲𝗱𝗯𝗮𝗰𝗸 ที่ดีไม่จำเป็นต้องพึ่งครูทุกวัน แต่ต้องมีระบบการสังเกต:
๐ ตั้งคำถามก่อนฝึก เช่น “วันนี้อยากให้ 𝗧𝗮𝗽 เบาขึ้น”
๐ อัดเสียงทุกวัน แล้วฟังว่าเปลี่ยนแปลงอย่างไร
๐ ใช้สมุดฝึกเพื่อจดว่าเสียงวันนี้ต่างจากเมื่อวานตรงไหน
การฝึกซ้อมแบบคุณภาพสูง ไม่ได้ขึ้นอยู่กับการเล่นมากขึ้นในเชิงปริมาณ แต่ขึ้นกับ “วิธีที่คุณใช้เวลาแต่ละนาที” ว่ากำลังช่วยให้สมองเรียนรู้และฝังพฤติกรรมใหม่จริงหรือไม่
คำถาม: ในสัปดาห์ที่ผ่านมา คุณได้ฝึกสิ่งเดิม ๆ โดยไม่เปลี่ยนมุมมอง หรือคุณได้ฝึกสิ่งเดิม “อย่างแตกต่าง”? ความต่างนั้นเกิดจากความตั้งใจ หรือเป็นเพียงผลพลอยได้จากความเบื่อ? แล้วคุณจะออกแบบความแตกต่างในสัปดาห์หน้าอย่างไร?
***อ้างอิง
๐ 𝗞𝗮𝗻𝗱𝗲𝗹, 𝗘. 𝗥. (𝟮𝟬𝟬𝟬). 𝗜𝗻 𝘀𝗲𝗮𝗿𝗰𝗵 𝗼𝗳 𝗺𝗲𝗺𝗼𝗿𝘆: 𝗧𝗵𝗲 𝗲𝗺𝗲𝗿𝗴𝗲𝗻𝗰𝗲 𝗼𝗳 𝗮 𝗻𝗲𝘄 𝘀𝗰𝗶𝗲𝗻𝗰𝗲 𝗼𝗳 𝗺𝗶𝗻𝗱. 𝗪. 𝗪. 𝗡𝗼𝗿𝘁𝗼𝗻 & 𝗖𝗼𝗺𝗽𝗮𝗻𝘆.
๐ 𝗪𝗶𝗹𝗹𝗶𝗻𝗴𝗵𝗮𝗺, 𝗗. 𝗧. (𝟮𝟬𝟬𝟵). 𝗪𝗵𝘆 𝗱𝗼𝗻’𝘁 𝘀𝘁𝘂𝗱𝗲𝗻𝘁𝘀 𝗹𝗶𝗸𝗲 𝘀𝗰𝗵𝗼𝗼𝗹? 𝗔 𝗰𝗼𝗴𝗻𝗶𝘁𝗶𝘃𝗲 𝘀𝗰𝗶𝗲𝗻𝘁𝗶𝘀𝘁 𝗮𝗻𝘀𝘄𝗲𝗿𝘀 𝗾𝘂𝗲𝘀𝘁𝗶𝗼𝗻𝘀 𝗮𝗯𝗼𝘂𝘁 𝗵𝗼𝘄 𝘁𝗵𝗲 𝗺𝗶𝗻𝗱 𝘄𝗼𝗿𝗸𝘀 𝗮𝗻𝗱 𝘄𝗵𝗮𝘁 𝗶𝘁 𝗺𝗲𝗮𝗻𝘀 𝗳𝗼𝗿 𝘁𝗵𝗲 𝗰𝗹𝗮𝘀𝘀𝗿𝗼𝗼𝗺. 𝗝𝗼𝘀𝘀𝗲𝘆-𝗕𝗮𝘀𝘀.
๐ 𝗥𝗼𝗵𝗿𝗲𝗿, 𝗗., & 𝗧𝗮𝘆𝗹𝗼𝗿, 𝗞. (𝟮𝟬𝟬𝟳). 𝗧𝗵𝗲 𝘀𝗵𝘂𝗳𝗳𝗹𝗶𝗻𝗴 𝗼𝗳 𝗺𝗮𝘁𝗵𝗲𝗺𝗮𝘁𝗶𝗰𝘀 𝗽𝗿𝗼𝗯𝗹𝗲𝗺𝘀 𝗶𝗺𝗽𝗿𝗼𝘃𝗲𝘀 𝗹𝗲𝗮𝗿𝗻𝗶𝗻𝗴. 𝗜𝗻𝘀𝘁𝗿𝘂𝗰𝘁𝗶𝗼𝗻𝗮𝗹 𝗦𝗰𝗶𝗲𝗻𝗰𝗲, 𝟯𝟱(𝟲), 𝟰𝟴𝟭–𝟰𝟵𝟴.
𝟰. สัปดาห์ที่ดี ไม่ใช่สัปดาห์ที่ฝึกมาก แต่คือสัปดาห์ที่ “เข้าใจตัวเองมากขึ้น” ♫
ในบริบทของการฝึกดนตรีเชิงลึก โดยเฉพาะการพัฒนาทักษะกลองและเครื่องกระทบ ความเข้าใจต่อ “ตนเอง” คือปัจจัยสำคัญที่แยกมือกลองทั่วไปออกจากมือกลองที่เติบโตอย่างยั่งยืน ทั้งนี้ไม่ใช่เพราะความสามารถในการตีให้มากหรือตีได้เร็วขึ้น แต่เพราะความสามารถในการสังเกตตนเอง วิเคราะห์กระบวนการเรียนรู้ และปรับเป้าหมายให้สอดคล้องกับความเปลี่ยนแปลงของร่างกายและจิตใจ
แนวคิดนี้สอดคล้องกับหลักการของ “𝘀𝗲𝗹𝗳-𝗿𝗲𝗴𝘂𝗹𝗮𝘁𝗲𝗱 𝗹𝗲𝗮𝗿𝗻𝗶𝗻𝗴” ที่เสนอโดย 𝗕𝗮𝗿𝗿𝘆 𝗭𝗶𝗺𝗺𝗲𝗿𝗺𝗮𝗻 (𝟮𝟬𝟬𝟬) ซึ่งชี้ว่า ผู้เรียนที่มีความสามารถสูง มักไม่ใช่ผู้ที่เรียนรู้เร็วที่สุด แต่คือผู้ที่สามารถจัดการกระบวนการเรียนรู้ของตนเองได้อย่างมีประสิทธิภาพในแต่ละวัน
การฝึกที่นำไปสู่ “ความเข้าใจตนเอง” คืออย่างไร?
เราสามารถประเมินคุณภาพของการฝึกในแต่ละวัน หรือในภาพรวมของสัปดาห์ ได้จากการตั้งคำถามเชิงสะท้อน (𝗿𝗲𝗳𝗹𝗲𝗰𝘁𝗶𝘃𝗲 𝗾𝘂𝗲𝘀𝘁𝗶𝗼𝗻𝘀) ที่เจาะลึกถึงระดับความเข้าใจและการรับรู้ของตนเองต่อทักษะที่กำลังพัฒนา ไม่ใช่เพียงการจดจำนวนชั่วโมงที่ฝึก
“วันนี้มีสิ่งใดที่ทำได้โดยไม่ต้องคิดแล้ว?”
(𝗔𝘂𝘁𝗼𝗺𝗮𝘁𝗶𝗰𝗶𝘁𝘆)
เมื่อทักษะเริ่มเป็นอัตโนมัติ (𝗮𝘂𝘁𝗼𝗺𝗮𝘁𝗶𝗰) ร่างกายจะตอบสนองได้อย่างรวดเร็วโดยไม่ต้องผ่านการคิดไตร่ตรองล่วงหน้า ซึ่งเป็นสัญญาณว่าโครงข่ายประสาทได้จัดรูปแบบการเคลื่อนไหวไว้ถาวรแล้วในระดับหนึ่ง
ตัวอย่างของการสังเกต:
๐ คุณสามารถตี 𝗗𝗼𝘂𝗯𝗹𝗲 𝗦𝘁𝗿𝗼𝗸𝗲 ได้คงที่โดยไม่ต้องคอยนึกเรื่องกล้ามเนื้อ
๐ คุณสามารถเล่น 𝗴𝗿𝗼𝗼𝘃𝗲 แบบหนึ่งระหว่างพูด หรือฟังคำสั่งได้
๐ คุณเปลี่ยน 𝘀𝘂𝗯𝗱𝗶𝘃𝗶𝘀𝗶𝗼𝗻 จาก 𝗲𝗶𝗴𝗵𝘁𝗵 ไปเป็น 𝘁𝗿𝗶𝗽𝗹𝗲𝘁 ได้โดยไม่ต้องนับใหม่
หากไม่มีสิ่งใดเลยที่เป็น “อัตโนมัติ” ในสัปดาห์นั้น อาจแปลได้ว่า ยังไม่มีการซ้อมที่ซ้ำซ้อนลึกพอ หรือยังไม่มีจุดใดที่ฝึกจนผ่านขั้นของ “ความคิด” ไปเป็น “สัญชาตญาณ”
“วันนี้มีสิ่งใดที่ยังต้องใช้ความพยายามมากเกินไป?”
(𝗖𝗼𝗴𝗻𝗶𝘁𝗶𝘃𝗲 𝗟𝗼𝗮𝗱)
ในทางตรงข้าม หากมีสิ่งใดที่ต้องใช้ความคิดอย่างหนักมากผิดปกติ เช่น ต้องตี 𝗳𝗶𝗹𝗹 ที่ซับซ้อน โดยต้องจำ 𝘀𝘁𝗶𝗰𝗸𝗶𝗻𝗴 ไปพร้อมกับการคุม 𝗱𝘆𝗻𝗮𝗺𝗶𝗰 และ 𝘀𝘂𝗯𝗱𝗶𝘃𝗶𝘀𝗶𝗼𝗻 ในเวลาเดียวกัน นั่นอาจแสดงถึงความซับซ้อนเกินระดับปัจจุบันของผู้ฝึก
การรู้ว่าส่วนใดใช้พลังสมองมากเกินไป จะช่วยแยกทักษะนั้นออกมาฝึกใหม่ในลักษณะ “ย่อยง่าย” (𝗰𝗵𝘂𝗻𝗸) เพื่อค่อย ๆ ลดภาระทางปัญญา
“การเคลื่อนไหวของฉันวันนี้มีความผ่อนคลายแค่ไหน?”
(𝗠𝗼𝘁𝗼𝗿 𝗘𝗳𝗳𝗶𝗰𝗶𝗲𝗻𝗰𝘆)
ประสิทธิภาพของทักษะมอเตอร์ไม่ได้วัดที่ความเร็วเท่านั้น แต่รวมถึงระดับของ “แรงที่ใช้” และ “ความเกร็งของกล้ามเนื้อ” ซึ่งสัมพันธ์กับการควบคุมแรงสะท้อน (𝗿𝗲𝗯𝗼𝘂𝗻𝗱), การใช้กล้ามเนื้อเป็นลำดับชั้น (𝗽𝗿𝗼𝘅𝗶𝗺𝗮𝗹 𝘁𝗼 𝗱𝗶𝘀𝘁𝗮𝗹 𝗰𝗼𝗻𝘁𝗿𝗼𝗹) และการจัดศูนย์น้ำหนักระหว่างร่างกายกับเครื่องดนตรี
ผู้ฝึกที่เข้าใจร่างกายของตนเองมักจะสามารถ “ลดแรง” แต่ “เพิ่มเสียง” ได้ดีขึ้นเรื่อย ๆ เมื่อเวลาเพิ่มขึ้น
“ฉันสามารถอธิบายสิ่งที่ฝึกในวันนี้ให้คนอื่นเข้าใจได้หรือไม่?”
(𝗠𝗲𝘁𝗮𝗰𝗼𝗴𝗻𝗶𝘁𝗶𝗼𝗻)
ความสามารถในการอธิบายให้ผู้อื่นเข้าใจ เป็นเครื่องวัดระดับ 𝗺𝗲𝘁𝗮𝗰𝗼𝗴𝗻𝗶𝘁𝗶𝗼𝗻 หรือ “ความเข้าใจที่มีต่อความเข้าใจของตัวเอง” ได้ดีมากที่สุด ผู้ฝึกที่สามารถอธิบายว่า “กำลังฝึกอะไร, ฝึกไปเพื่ออะไร, ใช้หลักอะไรควบคุม” จะสามารถพัฒนาไปได้อย่างรวดเร็ว เพราะตระหนักถึงความรู้ตนเอง (𝘀𝗲𝗹𝗳-𝗮𝘄𝗮𝗿𝗲𝗻𝗲𝘀𝘀) ตลอดกระบวนการฝึก
หากคุณไม่สามารถอธิบายให้คนอื่นเข้าใจได้ อาจหมายความว่า คุณยังไม่เข้าใจสิ่งนั้นในระดับโครงสร้างเพียงพอ
คำถาม: วันนี้คุณสามารถพูดให้ใครสักคนเข้าใจได้ไหมว่า คุณกำลังฝึกอะไร และทำไมจึงต้องฝึกสิ่งนั้น? ถ้าทำไม่ได้ มันเพราะคุณไม่เข้าใจสิ่งนั้น หรือเพราะยังไม่เคย “คิดให้ลึกพอ”?
ในแต่ละสัปดาห์ จำนวนชั่วโมงฝึกอาจไม่ใช่สิ่งที่สะท้อนความก้าวหน้าอย่างแท้จริง หากแต่คือความสามารถในการสังเกต เรียนรู้ และปรับเปลี่ยนพฤติกรรมของตนเองอย่างต่อเนื่อง โดยไม่ขึ้นกับว่าคุณอยู่ในระดับใดของการเล่น
ในหนึ่งสัปดาห์ที่ผ่านมา มีสิ่งใดในตัวคุณที่ “เปลี่ยนไป” อย่างรู้ตัวบ้าง? การเปลี่ยนแปลงนั้นเกิดจาก “การฝึก” หรือเกิดจาก “การฟังตนเอง” มากขึ้น?
#บทสรุป: การตั้งเป้าหมายรายสัปดาห์คือโครงสร้าง “#การรู้จักตัวเอง”
ในมุมมองของกระบวนการเรียนรู้ระยะยาว การตั้งเป้าหมายรายสัปดาห์สำหรับมือกลองไม่ใช่เพียงการจัดสรรเวลา หรือกำหนดกิจกรรมให้ครบในหนึ่งสัปดาห์ หากแต่มันคือการสร้าง “โครงสร้างความสัมพันธ์” ระหว่างองค์ประกอบต่าง ๆ ที่ประกอบกันเป็นทักษะทางดนตรี และที่สำคัญกว่านั้น คือเป็นระบบที่ค่อย ๆ สะท้อนให้ผู้ฝึก “เห็นตนเอง” อย่างลึกซึ้งผ่านเสียงที่ตีออกมาในแต่ละวัน
เราสามารถมองการตั้งเป้าหมายนี้ในเชิง “การออกแบบระบบการเรียนรู้” (𝗹𝗲𝗮𝗿𝗻𝗶𝗻𝗴 𝘀𝘆𝘀𝘁𝗲𝗺 𝗱𝗲𝘀𝗶𝗴𝗻) โดยประกอบด้วยแกนสัมพันธ์ 𝟯 คู่หลักที่สะท้อนระดับของความเข้าใจตนเอง:
การฟังเสียงที่ตนเองเล่นออกมาไม่ใช่เพียงการตรวจสอบความถูกต้อง แต่คือการตีความว่า เสียงนั้นสะท้อนเจตนาอะไร การตั้งเป้าในแต่ละสัปดาห์ เช่น “ควบคุมเสียง 𝗧𝗮𝗽 ให้เบาแต่มีความคม” ไม่ได้ฝึกหูเพียงอย่างเดียว แต่ฝึกให้เราตั้งใจฟังว่า ความคิดเชิงดนตรีของเราถูกถ่ายทอดออกไปอย่างไร
ความสัมพันธ์นี้จึงเป็นการฟังอย่างมีเป้าหมาย ไม่ใช่การฟังเพื่อหาข้อผิดพลาด
ระหว่าง “#กล้ามเนื้อ” กับ “#ความรู้สึก”
การเคลื่อนไหวของมือ ข้อมือ แขน หรือนิ้ว ไม่ได้เกิดขึ้นเพียงเพื่อสร้างเสียง แต่คือการสื่อสาร “น้ำหนัก” “สัมผัส” และ “ความลื่นไหล” ที่ตอบสนองต่ออารมณ์ภายในของผู้เล่น เป้าหมายที่ว่า “ลดแรงที่ใช้ใน 𝗙𝘂𝗹𝗹 𝗦𝘁𝗿𝗼𝗸𝗲 แต่ยังให้ได้เสียงเท่าเดิม” คือการเชื่อมกล้ามเนื้อเข้ากับความรู้สึกในเชิงประสบการณ์ร่างกาย (𝗲𝗺𝗯𝗼𝗱𝗶𝗲𝗱 𝗰𝗼𝗴𝗻𝗶𝘁𝗶𝗼𝗻)
ความสัมพันธ์นี้จึงเป็นการเคลื่อนไหวอย่างมีความรู้สึก ไม่ใช่แค่กลไกทางฟิสิกส์
ระหว่าง “#การกระทำ” กับ “#การเข้าใจ”
เป้าหมายในแต่ละสัปดาห์ หากออกแบบให้ตรวจสอบได้ (𝗺𝗲𝗮𝘀𝘂𝗿𝗮𝗯𝗹𝗲) และสะท้อนจุดที่ต้องการพัฒนาอย่างแท้จริง (𝘁𝗮𝗿𝗴𝗲𝘁𝗲𝗱 𝗿𝗲𝗳𝗶𝗻𝗲𝗺𝗲𝗻𝘁) จะเปลี่ยน “การตีซ้ำ” ให้กลายเป็น “การสำรวจความหมาย” ของการกระทำแต่ละครั้ง การกระทำไม่ใช่เพียงการ “ทำให้ได้” แต่คือการ “คิดไปด้วย” และ “เข้าใจไปด้วย” ทุกขณะของการตี
ความสัมพันธ์นี้จึงเป็นการปฏิบัติอย่างมีความเข้าใจ ไม่ใช่เพียงการทำให้มากขึ้น
ระบบการตั้งเป้าหมายเช่นนี้ หากฝึกอย่างต่อเนื่อง จะค่อย ๆ เปลี่ยนไม่เพียงแค่ “ผลลัพธ์” ที่ดีขึ้น แต่เปลี่ยนวิธีที่เรามองการเรียนรู้ทั้งหมด เปลี่ยนจากความคิดที่ว่า “ฉันจะตีให้เก่งขึ้นเร็วที่สุด” ไปเป็น “ฉันจะเข้าใจตัวเองให้ชัดขึ้นในแต่ละวัน” ซึ่งเป็นเป้าหมายที่มีพลังและยั่งยืนมากกว่า
ในระยะยาว ระบบเป้าหมายเช่นนี้จะค่อย ๆ สร้างแบบแผนการเรียนรู้ (𝗹𝗲𝗮𝗿𝗻𝗶𝗻𝗴 𝗽𝗮𝘁𝘁𝗲𝗿𝗻𝘀) ที่ผู้ฝึกสามารถนำไปใช้กับการเรียนรู้ทักษะอื่น ๆ ได้ เช่น การประพันธ์, การสื่อสาร, หรือแม้แต่การจัดการชีวิต
คำถาม:
๐ สัปดาห์นี้คุณซ้อมเพราะอยาก “ตีให้ดีขึ้น” หรืออยาก “เข้าใจตัวเองมากขึ้น”?
๐ คุณเคยกลับไปอ่านบันทึกการซ้อมของตนเองในสัปดาห์ก่อนหน้าไหม? ถ้าเคย คุณสังเกตเห็นอะไรที่คุณเปลี่ยนไป?
๐ มีสิ่งใดบ้างที่คุณทำซ้ำโดยไม่รู้ว่าทำไปเพื่ออะไร? เป้าหมายรายสัปดาห์จะช่วยเปลี่ยนสิ่งนั้นอย่างไร?
๐ ถ้าวันนี้คือวันสุดท้ายของสัปดาห์ คุณสามารถอธิบายได้หรือไม่ว่า “สัปดาห์นี้ ฉันได้เรียนรู้อะไรเกี่ยวกับตัวเอง?”
Kommentit