“วงโยคือ 𝗦𝘁𝗮𝗿𝘁𝘂𝗽 ที่ไม่มี 𝗖𝗘𝗢 แต่ทุกคนต้องออกไอเดีย”
- Dr.Kasem THipayametrakul
- Jul 23
- 2 min read

ในโลกของนวัตกรรมและการทำงานแบบสมัยใหม่ เรามักได้ยินคำพูดคล้าย ๆ กันว่า
“องค์กรที่ดีต้องไม่ขึ้นกับคนคนเดียว”
“ทีมที่ดีต้องเปิดโอกาสให้ทุกคนร่วมตัดสินใจ”
“ความคิดสร้างสรรค์ไม่ได้เติบโตจากคำสั่ง แต่มาจากการร่วมออกแบบ”
แนวคิดแบบนี้คือหัวใจของการทำงานในยุค 𝗦𝘁𝗮𝗿𝘁𝘂𝗽 ที่ไม่ได้มีลำดับชั้นสั่งการแบบบนลงล่าง แต่เน้น การร่วมมือแบบแนวนอน (𝗵𝗼𝗿𝗶𝘇𝗼𝗻𝘁𝗮𝗹 𝗰𝗼𝗹𝗹𝗮𝗯𝗼𝗿𝗮𝘁𝗶𝗼𝗻) ทุกคนสามารถเสนอความคิดได้โดยไม่ต้องมีตำแหน่งใหญ่ และไอเดียที่ดีที่สุดอาจมาจาก “เด็กใหม่” ที่เพิ่งเข้ามาในทีมก็ได้
แต่ถ้าเราหันกลับไปดูระบบการเรียนรู้ในโรงเรียนไทย…
เราจะพบความจริงที่ต่างออกไปโดยสิ้นเชิง
เด็กไทยยังถูกฝึกให้ “#ฟังแล้วทำตาม” มากกว่าจะ “#ฟังแล้วคิดต่อ”
ยังแข่งขันกันเพื่อเป็น “ที่หนึ่ง” มากกว่าทำงานร่วมกันเพื่อให้ “ทีมสำเร็จ”
ยังกลัวที่จะยกมือเสนอความคิดเห็น เพราะระบบส่วนใหญ่ไม่สร้างพื้นที่ให้เสียงเล็ก ๆ ได้แสดงออก
แล้วเด็กไทยจะเรียนรู้ “การทำงานร่วมกันอย่างไม่มีหัวหน้า” ได้จากที่ไหน?
คำตอบหนึ่งอาจอยู่ในพื้นที่เล็ก ๆ ที่ชื่อว่า “#วงโยธวาทิต”
ในขณะที่ห้องเรียนยังยึดโยงกับระบบการสั่งการ วงโยฯ กลับเป็นพื้นที่ที่เด็กทุกคน “ต้องคิด” และ “ต้องฟัง” พร้อมกัน มันไม่ใช่กิจกรรมดนตรีธรรมดา แต่คือ โมเดลของการทำงานร่วมกันแบบ 𝗰𝗼-𝗰𝗿𝗲𝗮𝘁𝗼𝗿 ที่ทุกคนมีบทบาทในการออกไอเดีย ปรับแผน ทำงานจริง และประเมินผลด้วยกัน
วงโยฯ ไม่ได้สอนให้ใครเป็นหัวหน้า แต่มันสร้างระบบที่ทำให้ทุกคน “คิดแบบผู้นำ” แม้ไม่มีตำแหน่ง และนั่นอาจเป็นทักษะที่จำเป็นที่สุดในโลกการทำงานยุคใหม่
๐ เพราะในวงโยฯ ไม่มี 𝗖𝗘𝗢 — แต่ทุกคนต้องมีบทบาท
เบื้องหลังระบบคิดแบบ 𝗛𝗼𝗿𝗶𝘇𝗼𝗻𝘁𝗮𝗹 𝗖𝗼𝗹𝗹𝗮𝗯𝗼𝗿𝗮𝘁𝗶𝗼𝗻 ในโลกของเสียงดนตรี
ในโลกของวงโยธวาทิต ไม่มีใครยืนอยู่บนโพเดียมเพื่อ “ควบคุมทุกอย่าง” แม้จะมี 𝗗𝗿𝘂𝗺 𝗠𝗮𝗷𝗼𝗿 ยืนอยู่หน้าวง หรือมีครูคอยวางภาพรวมอยู่เบื้องหลัง แต่การที่โชว์หนึ่งจะออกมา “เป๊ะ” และ “พร้อม” มันไม่เคยเป็นหน้าที่ของใครคนเดียวเลย เพราะวงโยไม่ใช่กลุ่มที่มีผู้นำคนเดียว แล้วที่เหลือทำตาม แต่มันคือ “ระบบ” ที่ทุกตำแหน่งต้องคิด เคลื่อนไหว และตัดสินใจพร้อมกัน ทุกคนจึงต้องมีบทบาทของตัวเอง และต้องเข้าใจ “ภาพรวม” ไปพร้อมกันด้วย
ลองนึกภาพตาม...
มือเพอร์คัชชัน ต้องไม่ใช่แค่ “ตีตามโน้ต” แต่ต้องเสนอว่า 𝗽𝗮𝘁𝘁𝗲𝗿𝗻 ไหนเหมาะกับช่วงโชว์ จะใช้ 𝘀𝗻𝗮𝗿𝗲 แบบตีปิดหรือเปิด 𝗿𝗶𝗺 𝘀𝗵𝗼𝘁 ดี? และจังหวะนั้นจะกลบเสียงเครื่องเป่าหรือเปล่า?
คนเป่าแตร ต้องไม่ใช่แค่เป่าให้ตรง แต่ต้องตัดสินใจว่าจะ 𝘀𝘂𝘀𝘁𝗮𝗶𝗻 โน้ตนี้ให้นานแค่ไหน หรือจะ 𝗰𝘂𝘁 𝗻𝗼𝘁𝗲 ทันทีเพื่อเว้นที่ให้เครื่องอื่นทำงาน
คนดูแลฟอร์เมชัน ไม่ได้ดูแค่ว่าใครเดินถูกหรือผิด แต่ต้องมอง “𝗳𝗹𝗼𝘄 ของภาพรวม” และปรับแผนได้ทันที หากมีคนหนึ่งไม่พร้อม หรือจังหวะเดินผิดเพี้ยนจากที่ซ้อม
𝗗𝗿𝘂𝗺 𝗠𝗮𝗷𝗼𝗿 ยืนเป็นผู้นำอยู่หน้าวง แต่ไม่ได้ควบคุมทุกรายละเอียด หรือออกคำสั่งแบบทหาร เขาทำหน้าที่เป็น “เข็มทิศจังหวะ” ส่วนการตัดสินใจระหว่างทางเป็นของ “ทั้งวง”
และแม้แต่น้องใหม่ปีแรก ที่เพิ่งเข้าวงมา ก็มีโอกาสเสนอไอเดีย เช่น แนะนำวิธีจัดคิวเครื่องดนตรีที่ทำให้เปลี่ยนฉากได้ไวขึ้น หรือช่วยฟังเสียงจากมุมคนดู ที่คนในวงอาจไม่ได้ยิน
๐ สิ่งที่วงโยฝึก…คือการคิดแบบ “ระบบ” มากกว่าการเก่งเฉพาะทาง
ในโลกการทำงานจริง — การเป็น “มืออาชีพ” ไม่ใช่แค่การทำหน้าที่ของตัวเองให้ดี แต่คือการเข้าใจว่าหน้าที่ของเรานั้น มีผลต่อคนอื่น และ ต่อทั้งระบบ อย่างไร
วงโยสอนสิ่งนั้นโดยไม่ต้องใช้ตำราเลย เพราะทุกการตัดสินใจของเรา
มีผลต่อ “เสียงรวม”
มีผลต่อ “จังหวะรวม”
และมีผลต่อ “ความพร้อมของทุกคนในโชว์”
ถ้าคนหนึ่งเดินช้าไปครึ่งวินาที เสียงของอีกฝั่งอาจคลาดจังหวะ และ 𝗗𝗿𝘂𝗺 𝗠𝗮𝗷𝗼𝗿 ต้องปรับให้เข้ากันใหม่ทั้งโชว์ บางครั้งการเคลื่อนตัวผิด 𝟭 ก้าว อาจทำให้เครื่องดนตรีของเพื่อนเดินชนกัน ซึ่งหมายถึงโชว์พังทั้งคิว
๐ วงโยคือ 𝗦𝘁𝗮𝗿𝘁𝘂𝗽 ที่ทำงานแบบ 𝗔𝗴𝗶𝗹𝗲 โดยธรรมชาติ
ลองเทียบกับการทำงานแบบ 𝗦𝘁𝗮𝗿𝘁𝘂𝗽 หรือ 𝗔𝗴𝗶𝗹𝗲 𝗧𝗲𝗮𝗺:
เรามี 𝗗𝗲𝗮𝗱𝗹𝗶𝗻𝗲 = วันประกวด / วันโชว์
เรามี 𝗦𝗽𝗿𝗶𝗻𝘁 = ตารางซ้อมประจำสัปดาห์
เรามี 𝗣𝗿𝗼𝘁𝗼𝘁𝘆𝗽𝗲 = แบบโชว์ที่ยังเปลี่ยนได้
เรามี 𝗙𝗲𝗲𝗱𝗯𝗮𝗰𝗸 𝗟𝗼𝗼𝗽 = จากครู / เพื่อน / คนดู
และเรามี 𝗤𝘂𝗶𝗰𝗸 𝗙𝗶𝘅 = การปรับสดเมื่อสถานการณ์เปลี่ยน
สมาชิกในวงจึงต้องฝึก 𝗰𝗿𝗶𝘁𝗶𝗰𝗮𝗹 𝘁𝗵𝗶𝗻𝗸𝗶𝗻𝗴 + 𝗰𝗼𝗹𝗹𝗮𝗯𝗼𝗿𝗮𝘁𝗶𝗼𝗻 ตลอดเวลา
โดยที่ไม่มีใคร “#รอคำสั่ง” ทุกคนต้องมองเห็น “#ภาพรวม” ไปพร้อมกับ “#หน้าที่ของตัวเอง”
เพราะความสำเร็จของโชว์หนึ่งชุด ไม่ได้อยู่ที่ว่า “ใครเก่งที่สุด” แต่อยู่ที่ว่า “ทุกคนเข้าใจและเชื่อมโยงกันมากแค่ไหน”
๐ นี่คือรูปแบบของการทำงานร่วมกันในโลกยุคใหม่
วงโยจึงไม่ใช่แค่กิจกรรมดนตรี แต่มันคือ 𝗦𝗮𝗻𝗱𝗯𝗼𝘅 ที่สอน:
การสื่อสารอย่างตรงไปตรงมาโดยไม่กระทบความสัมพันธ์
การฟังและเคารพความคิดจากทุกตำแหน่ง
การปรับตัวในสถานการณ์จริง โดยไม่เสียเป้าหมาย
การเสนอไอเดียโดยไม่กลัวตำแหน่ง
และการรับผิดชอบผลลัพธ์ร่วมกันแบบไม่มีข้อแม้
ทักษะเหล่านี้แหละ คือสิ่งที่องค์กรยุคใหม่และ 𝗦𝘁𝗮𝗿𝘁𝘂𝗽 ตามหา แต่ในวงโย — มันเกิดขึ้นทุกวันโดยธรรมชาติ
วงโยคือ 𝗦𝗮𝗻𝗱𝗯𝗼𝘅 ที่ฝึก 𝗦𝗼𝗳𝘁 𝗦𝗸𝗶𝗹𝗹 สำหรับโลกจริง
๐ เพราะดนตรีไม่ใช่แค่เรื่องโน้ต แต่คือการเข้าใจคนและระบบ
ในยุคที่ใคร ๆ ก็พูดถึง 𝗦𝗼𝗳𝘁 𝗦𝗸𝗶𝗹𝗹 ว่าเป็น “ทักษะสำคัญ” สำหรับคนรุ่นใหม่ องค์กรจำนวนมากลงทุนกับเวิร์กช็อปสื่อสาร ทักษะทำงานร่วมกัน หรือการจัดการอารมณ์ แต่กิจกรรมง่าย ๆ อย่าง “การอยู่ในวงโยธวาทิต” กลับสอนสิ่งเหล่านี้แบบ ฝังลึกโดยธรรมชาติ ไม่ต้องมีห้องเรียน ไม่ต้องมีตำรา—แต่เกิดขึ้นจริงทุกสัปดาห์
เพราะสมาชิกในวงโยไม่ได้แค่ “เล่นดนตรีให้ตรง”
แต่ต้อง “เข้าใจตัวเองและเข้าใจคนอื่น” ไปพร้อมกัน
ต้องดูว่าเสียงของตนไปกระทบใคร?
ต้องดูว่าการเคลื่อนไหวของเรามีผลกับจังหวะของคนอื่นไหม?
และต้องรู้ว่า “เสียงที่ดี” ไม่ได้ขึ้นกับเราคนเดียว แต่เกิดจากความเข้าใจร่วมกันทั้งวง
นี่แหละคือ 𝗦𝗮𝗻𝗱𝗯𝗼𝘅 ที่หล่อหลอม 𝗦𝗼𝗳𝘁 𝗦𝗸𝗶𝗹𝗹 สำหรับชีวิตจริง
๐ วงโยฝึก 𝗦𝗼𝗳𝘁 𝗦𝗸𝗶𝗹𝗹 สำคัญอะไรบ้าง?
𝟭. การสื่อสารแบบตรงไปตรงมา โดยไม่ทำร้ายความสัมพันธ์
เวลาเพื่อนในวงเล่นพลาดหรือจังหวะเพี้ยน เราไม่สามารถนิ่งเงียบ แต่ก็ไม่สามารถพูดแรงเกินไปจนอีกฝ่ายเสียใจ เด็กในวงโยจึงต้องเรียนรู้ “วิธีพูดให้ชัดเจน” แต่ยังรักษาบรรยากาศร่วมกันไว้ได้
นี่คือหัวใจของการสื่อสารในโลกการทำงาน ที่ไม่ใช่แค่พูดให้ตรง—แต่ พูดให้ “คนฟังยอมรับและพัฒนาได้ด้วย”
𝟮. การกล้าพูดเมื่อเห็นจุดที่ควรปรับ แม้ไม่ใช่คนอาวุโส
ในโชว์ที่เวลามีจำกัด ความผิดพลาดเพียงเล็กน้อยอาจทำให้ภาพรวมเสีย ไม่ว่าคุณจะเป็นรุ่นพี่หรือรุ่นน้อง—หากเห็นจุดที่ควรแก้ ต้องกล้าพูด วงโยจึงเป็นพื้นที่ที่ฝึก “ความกล้าแบบมีเหตุผล” (𝗖𝗼𝗻𝘀𝘁𝗿𝘂𝗰𝘁𝗶𝘃𝗲 𝗔𝘀𝘀𝗲𝗿𝘁𝗶𝘃𝗲𝗻𝗲𝘀𝘀) คือการพูดด้วยเจตนาดีเพื่อให้ระบบดีขึ้น ไม่ใช่พูดเพื่อเอาชนะ
𝟯. การยืดหยุ่นกับความเปลี่ยนแปลง โดยไม่เสียเป้าหมายรวม
บางวันคนขาด บางวันฝนตก บางวันเครื่องเสียกลางสนาม โชว์ต้องดำเนินต่อ และสมาชิกต้อง “ปรับแผน” แบบไม่ตื่นตระหนก วงโยฝึกให้เด็ก ยอมรับความไม่สมบูรณ์แบบ และยังคงเดินหน้าได้
นี่คือหัวใจของ 𝗥𝗲𝘀𝗶𝗹𝗶𝗲𝗻𝗰𝗲 + 𝗙𝗹𝗲𝘅𝗶𝗯𝗶𝗹𝗶𝘁𝘆 ที่องค์กรต้องการมากในยุคที่ทุกอย่างเปลี่ยนเร็ว
𝟰. การฟังและเข้าใจว่า “เสียงของเรา” มีผลต่อ “เสียงของวง” เสมอ
ในวงโย ไม่มีใครอยู่คนเดียว การเล่นดังเกินไป หรือเบาเกินไป จะกระทบสมดุลทั้งโชว์ เด็กจึงต้องฝึก “การฟังในขณะที่เล่น” และเรียนรู้ว่า การทำหน้าที่ของตนไม่ได้จบแค่ตนเอง แต่คือการเกื้อหนุนผลงานของส่วนรวม นี่คือความเข้าใจเรื่อง 𝗦𝘆𝘀𝘁𝗲𝗺 𝗧𝗵𝗶𝗻𝗸𝗶𝗻𝗴 + 𝗘𝗺𝗽𝗮𝘁𝗵𝘆 ที่ซ่อนอยู่ในทุกโน้ต
๐ ไม่ใช่แค่เด็กสายดนตรี…แต่ทุกคนควรได้สัมผัสระบบแบบนี้
สิ่งที่วงโยฝึก ไม่ได้จำกัดอยู่แค่คนที่อยากเป็นนักดนตรี แต่มันคือ “แบบฝึกหัดชีวิต” ที่ใช้ได้ในทุกสาขาอาชีพ ไม่ว่าจะเป็นคนทำงานในสายเทคโนโลยี ธุรกิจ การศึกษา หรือแม้แต่ภาครัฐ
เพราะทุกอาชีพในโลกจริง ล้วนต้องใช้
ทักษะการฟังคนอื่น
ทักษะการพูดอย่างสร้างสรรค์
ทักษะการทำงานในระบบที่ไม่แน่นอน
และทักษะการร่วมรับผิดชอบกับผลลัพธ์ของทีม
ในขณะที่บางโรงเรียนต้องลงทุนจัดอบรม 𝗦𝗼𝗳𝘁 𝗦𝗸𝗶𝗹𝗹 เป็นคอร์สแยก วงโยคือพื้นที่จริงที่ทำหน้าที่นั้นอยู่แล้ว—ทุกสัปดาห์ และฝึกใน “สถานการณ์จริง” ที่ไม่อาจจำลองได้ในห้องเรียน
หากคุณคือผู้ใหญ่ที่เคยอยู่ในวงโย ลองย้อนกลับไปมองดูตัวเองวันนี้…คุณอาจจะพบว่า สิ่งที่คุณใช้ในการทำงานอยู่ทุกวัน ไม่ได้มาจากตำราเรียนในวิชาวิทยาศาสตร์ หรือคณิตศาสตร์ แต่มาจากวันฝนตกที่ซ้อมอยู่กลางสนาม วันที่ต้องกลั้นหายใจเพราะโชว์ยังไม่เป๊ะ และวันที่คุณต้องพูดกับเพื่อนตรง ๆ ว่า “เราลองใหม่กันอีกครั้งไหม…เราทำได้ดีกว่านี้แน่ ๆ”
จาก “เด็กในวงโย” สู่ “#ผู้ใหญ่ในโลกยุคใหม่”
๐ ฝึกคิด ฝึกฟัง ฝึกเฟล — เพื่อเติบโตเป็นคนทำงานที่โลกต้องการ
ในยุคที่โลกการทำงานหมุนเร็วเกินคาด องค์กรต้องการ “คนรุ่นใหม่” ที่ไม่ได้เก่งแค่ทฤษฎี แต่ ต้องทำงานร่วมกับคนอื่นได้อย่างแท้จริง
กล้าพูดความคิดของตัวเอง
กล้าฟังเสียงของคนอื่น
กล้ารับผิดชอบในสิ่งที่ตนทำ
และกล้าเผชิญความล้มเหลวเพื่อเปลี่ยนมันให้กลายเป็นโอกาสเรียนรู้
หลายองค์กรทุ่มเทเพื่อพัฒนา “ทีมที่คิดเป็น” แต่ระบบการศึกษายังติดกับดักการแข่งขันแบบเดี่ยว ยังสอนให้ “#ฟังครู” มากกว่า “#ฟังกันและกัน” ยังเน้นความถูกต้องมากกว่าการทดลองและล้มเหลว ตรงข้ามกับสิ่งที่เกิดขึ้นในวงโยธวาทิต
๐ วงโยคือพื้นที่เล็ก ๆ ที่ปลูกฝังวิธีคิดใหญ่ ๆ
เมื่อเด็กได้อยู่ในวงโยฯ
เขาไม่ได้แค่เล่นดนตรี แต่กำลังเรียนรู้ที่จะอยู่ในระบบที่ซับซ้อน
ที่ซึ่งความคิดของเขา มีผลต่อผู้อื่น
ที่ซึ่งความผิดพลาด ไม่ใช่เรื่องน่าอาย
แต่คือโอกาสให้ทีมเรียนรู้และปรับวิธีร่วมกัน
เด็กที่เคยอยู่ในวงโย จะคุ้นชินกับการรับฟัง 𝗳𝗲𝗲𝗱𝗯𝗮𝗰𝗸
จะไม่รอคำสั่งจากหัวหน้า
จะรู้จัก “คิดให้จบทั้งระบบ”
ไม่ใช่แค่ส่วนที่ตัวเองรับผิดชอบ
และจะมองความสำเร็จไม่ใช่แค่ของตัวเอง—แต่เป็นของทั้งทีม
๐ ถ้า 𝗦𝘁𝗮𝗿𝘁𝘂𝗽 ต้องการทีมที่กล้าออกไอเดียและรับผิดชอบร่วมกัน...
ทำไมเราไม่เริ่มสร้างระบบแบบนั้นตั้งแต่ในโรงเรียน?
คำถามนี้ไม่ใช่แค่สำหรับโรงเรียนที่มีวงโย แต่สำหรับระบบการเรียนรู้ทั้งหมดในประเทศ
เพราะ “วิธีคิดแบบไม่มี 𝗖𝗘𝗢” คือหัวใจขององค์กรยุคใหม่ — ที่ให้ทุกคนเป็นเจ้าของไอเดีย เป็นเจ้าของความรับผิดชอบ และเป็นเจ้าของความล้มเหลวและความสำเร็จร่วมกัน
วงโยไม่ใช่แค่กิจกรรมเสริม แต่มันคือการ “จำลองโลกจริง” ที่ปลอดภัยสำหรับเด็ก ให้เขาได้ลองผิด ลองคิด ลองฟัง และลองเติบโต ก่อนที่เขาจะต้องเจอเวทีจริงที่ไม่มีใครคอยซ้อมให้
เพราะฉะนั้น…
หากเราคิดถึง “ระบบพัฒนาเด็กไทย” อย่ามองวงโยเป็นแค่กิจกรรมประกวด แต่มองมันเป็น “ระบบการเรียนรู้แบบใหม่” ที่สอนให้เด็ก
เป็นทีม
เป็นนักคิด
และเป็นมนุษย์ที่เข้าใจการอยู่ร่วมกับคนอื่น
เพราะบางครั้ง…คำว่า “ผู้นำ” อาจไม่ได้เริ่มจากการยืนหน้าสุดแต่อาจเริ่มจากการฟังจังหวะของคนรอบตัว…แล้วเล่นให้มันพอดีกัน



Comments