top of page
Search

“ระหว่างการฝึกแบบมีแบบแผน กับการฝึกแบบให้เด็กเลือกเอง อะไรทำให้เด็กพัฒนายั่งยืนกว่า❓”

  • Writer: Dr.Kasem THipayametrakul
    Dr.Kasem THipayametrakul
  • Jul 9
  • 3 min read
ree


การเรียนดนตรีสำหรับเยาวชนในปัจจุบัน ไม่ว่าจะในโรงเรียนประถม มัธยม หรือในโรงเรียนสอนดนตรีเฉพาะทาง ล้วนอยู่ภายใต้แรงกดดันหลายด้าน ทั้งจากหลักสูตรที่ต้องการผลลัพธ์ในระยะสั้น เวทีประกวดที่เร่งผลผลิต หรือแม้แต่ความคาดหวังของผู้ปกครองที่มองว่าดนตรีควร "เห็นผล" ภายในเวลาอันรวดเร็ว



ภายใต้บริบทเช่นนี้ วิธีฝึกฝนดนตรีจึงมักถูกจำแนกออกได้อย่างคร่าว ๆ เป็นสองแนวทางหลัก ได้แก่



  #การฝึกแบบมีแบบแผน (𝗦𝘁𝗿𝘂𝗰𝘁𝘂𝗿𝗲𝗱 𝗣𝗿𝗮𝗰𝘁𝗶𝗰𝗲)



วิธีนี้มีรากฐานมาจากระบบการเรียนดนตรีแบบดั้งเดิมที่เน้น "ครูเป็นศูนย์กลาง" เด็กต้องปฏิบัติตามแผนที่วางไว้อย่างเคร่งครัด ตั้งแต่แบบฝึกหัดประจำวัน การรันสเกล การซ้อมเพื่อสอบเกรด ไปจนถึงการฝึกซ้ำ ๆ ตามเป้าหมายของบทเรียนที่ครูเป็นคนกำหนด การฝึกแบบนี้มีข้อดีที่ชัดเจนคือ ให้โครงสร้างที่แน่นหนา ซึ่งช่วยให้เด็กฝึกทักษะพื้นฐานอย่างเป็นระบบ โดยเฉพาะในช่วงเริ่มต้นที่เด็กยังไม่มีประสบการณ์มากพอในการจัดการตารางฝึกของตนเอง



อีกหนึ่งข้อดีของแนวทางนี้คือ สามารถวัดผลได้ชัดเจน ทั้งในรูปแบบของคะแนน สอบวัดระดับ หรือการแสดงบนเวที แต่ในขณะเดียวกัน การฝึกแบบมีกรอบชัดเจนมากเกินไป อาจกลายเป็น “ดนตรีแบบกล่อง” ที่ไม่เปิดโอกาสให้เด็กค้นหาเสียงของตนเอง



เด็กบางคนอาจเรียนรู้เร็วในช่วงแรก แต่สูญเสียความอยากเล่นในระยะยาวเพราะรู้สึกว่า “ดนตรีไม่ใช่ของเขา” แต่เป็นสิ่งที่ “ผู้ใหญ่บอกให้ทำ”



และเมื่อขาดแรงบันดาลใจจากภายใน เด็กก็มีแนวโน้มจะ “เลิกเล่น” เมื่อแรงกดดันภายนอกหมดไป เช่น เมื่อไม่มีการสอบ หรือไม่มีคนคอยควบคุม



  #การฝึกแบบปล่อยให้เลือกเอง (𝗦𝗲𝗹𝗳-𝗱𝗶𝗿𝗲𝗰𝘁𝗲𝗱 𝗼𝗿 𝗔𝘂𝘁𝗼𝗻𝗼𝗺𝗼𝘂𝘀 𝗣𝗿𝗮𝗰𝘁𝗶𝗰𝗲)



แนวทางนี้เกิดขึ้นจากความเข้าใจใหม่ในศาสตร์การเรียนรู้ โดยเฉพาะจากงานวิจัยในด้าน “จิตวิทยาการศึกษา” ที่ชี้ว่า การให้ผู้เรียนมีส่วนร่วมในการกำหนดเป้าหมายการเรียนรู้ของตนเอง จะสร้างแรงขับภายในได้ยั่งยืนกว่า



ในบริบทของการเรียนดนตรี นี่หมายถึงการให้เด็กมี “พื้นที่” ในการตัดสินใจว่า



๐ อยากฝึกเพลงไหน?


๐ จะฝึกอย่างไร?


๐ ฝึกนานแค่ไหน?


๐ และอยากได้ผลลัพธ์แบบใด?



หน้าที่ของครูจึงเปลี่ยนจาก “ผู้ออกคำสั่ง” มาเป็น “ผู้อำนวยความสะดวก” (𝗳𝗮𝗰𝗶𝗹𝗶𝘁𝗮𝘁𝗼𝗿) ไม่ใช่คนบอกให้ฝึกอะไร แต่เป็นคนตั้งคำถามให้เด็กคิดว่า “อยากฝึกอะไร และทำไม”



แนวทางนี้ทำให้เด็กพัฒนาทักษะที่ลึกกว่าเพียงเทคนิค นั่นคือ ความเข้าใจในตัวเอง ว่าเขากำลังเล่นดนตรีเพราะอะไร ดนตรีคืออะไรสำหรับเขา และเขาจะเชื่อมโยงเสียงที่เปล่งออกมากับ “ตัวตน” ของเขาอย่างไร



อย่างไรก็ตาม การฝึกแบบปล่อยให้เลือกเองก็มีข้อจำกัด ถ้าเด็กยังไม่มีวินัย หรือยังไม่เข้าใจพื้นฐานดนตรีมากพอ การฝึกแบบไร้โครงสร้างก็อาจนำไปสู่ความสับสน เด็กอาจเล่นแต่สิ่งที่ “สนุก” แต่ไม่พัฒนาทักษะพื้นฐาน เช่น จังหวะ เทคนิคมือ หรือการอ่านโน้ต ซึ่งในระยะยาวอาจทำให้หยุดพัฒนา หรือขาดความมั่นใจเมื่อต้องเล่นร่วมกับผู้อื่น



แล้วแนวทางไหน “#ยั่งยืน” กว่า



จากสองแนวทางนี้ คำถามที่เกิดขึ้นคือ—แนวทางใดช่วยให้เด็กฝึกดนตรีได้ “ต่อเนื่อง” และ “อยู่กับเสียงดนตรีได้ยาวนานที่สุด”?



เพราะความยั่งยืนในที่นี้ ไม่ได้หมายถึงการเก่งขึ้นเร็ว หรือสอบได้คะแนนดี



แต่หมายถึง…



๐ เด็กยังอยากเล่นดนตรีแม้ไม่มีคนบอกให้เล่น


๐ เด็กยังหยิบเครื่องดนตรีขึ้นมาแม้ไม่มีเวที


๐ และที่สำคัญที่สุด—เด็กยังเชื่อว่า “เสียงของเขา” มีคุณค่าต่อโลกนี้ แม้จะไม่ดังเท่าใคร





การฝึกดนตรีแบบมีแบบแผน (𝗦𝘁𝗿𝘂𝗰𝘁𝘂𝗿𝗲𝗱 𝗣𝗿𝗮𝗰𝘁𝗶𝗰𝗲) เป็นวิธีการฝึกที่ได้รับการยอมรับอย่างกว้างขวางในระบบการเรียนดนตรีคลาสสิกและสถาบันดนตรีส่วนใหญ่ทั่วโลก โดยเฉพาะในระยะเริ่มต้นของการเรียนรู้



แนวทางนี้เน้นไปที่การวางโครงสร้างที่ชัดเจน ตั้งแต่ตารางซ้อมรายวัน เนื้อหาที่ต้องฝึกซ้อม เช่น การรันสเกล การอ่านโน้ต การฝึกการฟัง และแบบฝึกหัดเทคนิคเฉพาะด้านของแต่ละเครื่องดนตรี



โครงสร้างที่ชัดเจนนี้เองคือจุดแข็งของระบบ เพราะมันทำหน้าที่เหมือน “เข็มทิศ” ที่ช่วยพาเด็กจากจุดเริ่มต้นไปสู่เป้าหมายได้อย่างมั่นคง



โดยเฉพาะในช่วงแรกที่เด็กยังไม่มีทักษะในการกำหนดเป้าหมายเอง โครงสร้างที่มาจากครูจะช่วยให้เขารู้ว่า “ต้องทำอะไรต่อไป” และ “จะพัฒนาอย่างไร”





นักเรียนที่ฝึกภายใต้ระบบแบบแผนจะได้รับประโยชน์ในหลายด้าน เช่น



๐ การพัฒนาทักษะที่ต่อเนื่องและตรวจสอบได้ ครูสามารถติดตามความคืบหน้า วัดผลจากแบบฝึกหัด และปรับระดับความยากให้เหมาะสม



๐ การเร่งการเรียนรู้ในช่วงเริ่มต้น นักเรียนสามารถสร้างรากฐานที่แข็งแรง เช่น การจับเครื่องดนตรีอย่างถูกต้อง การอ่านโน้ตเบื้องต้น การฟัง 𝗽𝗶𝘁𝗰𝗵 และ 𝗿𝗵𝘆𝘁𝗵𝗺 ได้เร็วขึ้น



๐ การสร้างวินัยและความสม่ำเสมอ ระบบที่มีกรอบเวลาชัดเจน ช่วยปลูกฝังนิสัยในการฝึกซ้อมอย่างมีระเบียบ



สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็น “เครื่องมือสำคัญ” สำหรับนักดนตรีในระยะยาว เพราะทักษะพื้นฐาน เช่น จังหวะ สเกล การอ่านโน้ต หรือการควบคุมมือ ล้วนต้องอาศัยการฝึกฝนที่ “สม่ำเสมอและมีวินัย” ซึ่งการฝึกแบบมีแบบแผนสามารถตอบโจทย์นี้ได้ดี





แม้โครงสร้างจะมีประโยชน์มากในระยะเริ่มต้น แต่ก็มีข้อจำกัดที่สำคัญในระยะยาว — นั่นคือ ความเสี่ยงที่จะทำให้เด็ก “ขาดแรงขับจากภายใน”



งานวิจัยของ 𝗦𝘂𝘀𝗮𝗻 𝗛𝗮𝗹𝗹𝗮𝗺 (𝟮𝟬𝟬𝟭) ซึ่งศึกษาแรงจูงใจของนักเรียนดนตรี พบว่า



“เด็กที่พึ่งพาการฝึกที่ออกแบบโดยผู้อื่นมากเกินไป มีแนวโน้มจะขาดแรงจูงใจในตนเอง และมักหยุดฝึกเมื่อไม่มีครูหรือการสอบควบคุมอยู่”



กล่าวคือ ถ้าเด็กไม่ได้รู้สึกว่า “เสียงดนตรีคือของฉัน” แต่รู้สึกว่า “ดนตรีคือสิ่งที่ครูสั่งให้ทำ”



เมื่อแรงกดดันภายนอกหมดไป — เช่น เมื่อเรียนจบ หรือไม่ได้อยู่ในการแข่งขันอีกต่อไป — ความสัมพันธ์กับดนตรีก็อาจสิ้นสุดลงเช่นกัน



อีกหนึ่งปัญหาคือ เด็กบางคนอาจกลายเป็นผู้เล่นที่ดี แต่ไม่ใช่ “นักดนตรีที่รักเสียงของตัวเอง”



เขาอาจเก่งในเรื่องเทคนิค แต่ขาดความคิดสร้างสรรค์ ขาดแรงบันดาลใจ หรือขาดความรู้สึกเป็นเจ้าของเสียงที่ตนเล่น



ในบริบทของการศึกษาดนตรียุคใหม่ การฝึกแบบมีแบบแผนจึงเปรียบเหมือน “รากฐานที่แข็งแรง” แต่ไม่ควรเป็น “กรอบที่ปิดกั้นความอยากเรียนรู้”



มันเหมาะอย่างยิ่งสำหรับการปลูกฝังวินัยและโครงสร้างในช่วงเริ่มต้น แต่หากไม่มีการเปลี่ยนผ่านไปสู่การฝึกแบบมีส่วนร่วมของผู้เรียนในภายหลัง ก็อาจไม่สามารถสร้างความสัมพันธ์ที่ยั่งยืนระหว่างเด็กกับเสียงดนตรีได้



***อ้างอิง: 𝗛𝗮𝗹𝗹𝗮𝗺, 𝗦. (𝟮𝟬𝟬𝟮). 𝗠𝘂𝘀𝗶𝗰𝗮𝗹 𝗠𝗼𝘁𝗶𝘃𝗮𝘁𝗶𝗼𝗻: 𝗧𝗼𝘄𝗮𝗿𝗱𝘀 𝗮 𝗠𝗼𝗱𝗲𝗹 𝗦𝘆𝗻𝘁𝗵𝗲𝘀𝗶𝘀𝗶𝗻𝗴 𝘁𝗵𝗲 𝗥𝗲𝘀𝗲𝗮𝗿𝗰𝗵. 𝗠𝘂𝘀𝗶𝗰 𝗘𝗱𝘂𝗰𝗮𝘁𝗶𝗼𝗻 𝗥𝗲𝘀𝗲𝗮𝗿𝗰𝗵, 𝟰(𝟮), 𝟮𝟮𝟱–𝟮𝟰𝟰.





ในโลกของการเรียนดนตรีที่มีโครงสร้างชัดเจน การฝึกแบบ "ปล่อยให้เด็กเลือกเอง" (𝗦𝗲𝗹𝗳-𝗱𝗶𝗿𝗲𝗰𝘁𝗲𝗱 หรือ 𝗔𝘂𝘁𝗼𝗻𝗼𝗺𝗼𝘂𝘀 𝗣𝗿𝗮𝗰𝘁𝗶𝗰𝗲) อาจดูเหมือนแนวทางที่ขัดกับระบบเดิม



แต่ในหลายกรณี วิธีนี้กลับกลายเป็น “กุญแจสำคัญ” ที่ช่วยให้เด็กพัฒนาความสัมพันธ์กับเสียงดนตรีอย่างลึกซึ้งและยั่งยืน



หัวใจของแนวทางนี้อยู่ที่ “ความเป็นเจ้าของการเรียนรู้” (𝗢𝘄𝗻𝗲𝗿𝘀𝗵𝗶𝗽 𝗼𝘃𝗲𝗿 𝗟𝗲𝗮𝗿𝗻𝗶𝗻𝗴)



เมื่อเด็กสามารถเลือกเพลงที่จะเล่นเอง กำหนดจังหวะการฝึกเอง หรือแม้แต่ตั้งคำถามเอง เขาจะรู้สึกว่า



“นี่ไม่ใช่สิ่งที่ผู้ใหญ่สั่งให้ทำ — แต่นี่คือสิ่งที่ฉันเลือกทำ เพราะฉันอยากเข้าใจมันจริง ๆ”



แนวคิดนี้สอดคล้องกับสิ่งที่นักจิตวิทยาด้านการศึกษาเรียกว่า “แรงจูงใจจากภายใน” (𝗜𝗻𝘁𝗿𝗶𝗻𝘀𝗶𝗰 𝗠𝗼𝘁𝗶𝘃𝗮𝘁𝗶𝗼𝗻) ซึ่งเป็นแรงขับที่มีพลังและยั่งยืนกว่าการถูกสั่งหรือถูกให้รางวัลจากภายนอก



 งานวิจัยและแนวคิดที่สนับสนุน



𝗗𝗮𝗻𝗶𝗲𝗹 𝗖𝗼𝘆𝗹𝗲 ผู้เขียน 𝗧𝗵𝗲 𝗧𝗮𝗹𝗲𝗻𝘁 𝗖𝗼𝗱𝗲 วิเคราะห์ว่า นักเรียนที่ฝึกดนตรีด้วยตนเอง โดยมีเป้าหมายที่ชัดเจน มีแนวโน้มจะเกิด สมาธิเชิงลึก (𝗱𝗲𝗲𝗽 𝗳𝗼𝗰𝘂𝘀) และพัฒนาทักษะการวิเคราะห์ของตัวเองได้ดีกว่าเด็กที่ทำตามแบบฝึกหัดที่มีคนวางให้ล่วงหน้า



𝗖𝗼𝘆𝗹𝗲 อธิบายว่า "𝗗𝗲𝗲𝗽 𝗣𝗿𝗮𝗰𝘁𝗶𝗰𝗲" เกิดขึ้นเมื่อผู้ฝึกเกิดความตั้งใจจริงในการเข้าใจความผิดพลาดของตนเอง และพยายามปรับปรุงซ้ำ ๆ จนเกิดเป็นการเรียนรู้ที่ฝังลึก



ตัวอย่างเช่น เด็กที่เลือกจะฝึกเพลงที่เขารักเอง แม้จะยากกว่าแบบฝึกหัดของครู แต่เพราะมี “แรงผลักจากใจ” เด็กจึงยินดีใช้เวลานานในการลองผิดลองถูก และจดจ่อกับรายละเอียดเล็ก ๆ ที่ตนเองอยากเข้าใจ



*** อ้างอิง: 𝗖𝗼𝘆𝗹𝗲, 𝗗. (𝟮𝟬𝟬𝟵). 𝗧𝗵𝗲 𝘁𝗮𝗹𝗲𝗻𝘁 𝗰𝗼𝗱𝗲: 𝗚𝗿𝗲𝗮𝘁𝗻𝗲𝘀𝘀 𝗶𝘀𝗻'𝘁 𝗯𝗼𝗿𝗻. 𝗜𝘁'𝘀 𝗴𝗿𝗼𝘄𝗻. 𝗛𝗲𝗿𝗲'𝘀 𝗵𝗼𝘄. 𝗕𝗮𝗻𝘁𝗮𝗺 𝗕𝗼𝗼𝗸𝘀.





๐ สร้างแรงบันดาลใจที่แท้จริง เด็กไม่รู้สึกว่ากำลัง “ทำตามคำสั่ง” แต่กำลัง “ขุดลึกเข้าไปในสิ่งที่รัก”



๐ พัฒนาแนวคิดแบบนักแก้ปัญหา (𝗣𝗿𝗼𝗯𝗹𝗲𝗺-𝘀𝗼𝗹𝘃𝗶𝗻𝗴 𝗠𝗶𝗻𝗱𝘀𝗲𝘁) เด็กจะเริ่มตั้งคำถาม เช่น "ทำไมเสียงตรงนี้ยังไม่ชัด?" หรือ "ฉันอยากเปลี่ยนไดนามิกแบบไหนให้เพลงนี้น่าสนใจขึ้น?"



๐ ต่อยอดสู่ความคิดสร้างสรรค์ เมื่อเด็กเริ่มควบคุมการฝึกเอง เขาย่อมกล้าลองผิดลองถูก อิมโพรไวซ์ หรือแม้กระทั่งแต่งท่อนของตัวเองในที่สุด



๐ สร้างสายสัมพันธ์กับเสียงดนตรี เด็กที่ได้เลือกฝึกสิ่งที่เชื่อมโยงกับอารมณ์หรือประสบการณ์ส่วนตัว มักรู้สึกว่า “เสียงดนตรีคือภาษาอีกแบบของเขาเอง”





อย่างไรก็ตาม แนวทางนี้ไม่ได้เหมาะกับทุกคน โดยเฉพาะเด็กที่ยังขาดวินัย หรือเพิ่งเริ่มต้นกับดนตรี



๐ หากไม่มีทักษะพื้นฐานหรือความเข้าใจเรื่องโครงสร้างของดนตรี การฝึกแบบไร้กรอบอาจกลายเป็นการเล่นตามอารมณ์ โดยไม่รู้ว่ากำลังพัฒนาอะไรอยู่



๐ เด็กบางคนอาจเลือกสิ่งที่ “เล่นง่าย” หรือ “ซ้ำแต่สิ่งเดิม” เพื่อความสบายใจ จนอาจพลาดโอกาสในการเติบโตจากความท้าทาย



๐ หากไม่มีการสะท้อน (𝗿𝗲𝗳𝗹𝗲𝗰𝘁𝗶𝗼𝗻) หรือคำแนะนำเป็นระยะ เด็กอาจเข้าใจผิดหรือฝึกแบบผิดเทคนิคโดยไม่รู้ตัว



ดังนั้น บทบาทของครูในระบบนี้จึงไม่ใช่ “ผู้กำหนด” แต่กลายเป็น “โค้ช” หรือ “ผู้นำทาง” ที่ตั้งคำถาม เปิดพื้นที่ และช่วยเด็กประเมินตนเองอย่างอิสระและปลอดภัย





การฝึกแบบเลือกเองอาจไม่เหมาะสำหรับการปูพื้นฐานในช่วงต้น แต่เมื่อเด็กมีรากฐานที่มั่นคงแล้ว มันคือ “พื้นที่แห่งการเติบโตที่แท้จริง” — พื้นที่ที่เด็กจะเริ่มเรียนรู้เพื่อ “ตัวเอง” ไม่ใช่เพื่อใคร



คำถามที่ครูอาจใช้กับนักเรียนเพื่อสร้างแนวทางนี้ เช่น



๐ วันนี้คุณอยากฝึกอะไร? เพราะอะไร?



๐ ส่วนไหนที่คุณรู้สึกว่ายังไม่เข้าใจ และอยากกลับไปดูซ้ำ?



๐ ถ้าคุณต้องแสดงเพลงนี้ให้เพื่อนฟัง คุณอยากให้เขารู้สึกอย่างไร?



คำถามเหล่านี้อาจเปลี่ยนความสัมพันธ์ระหว่างเด็กกับดนตรี จาก “ผู้เล่น” → สู่ “ผู้ค้นหา” ซึ่งเป็นรากฐานของการเรียนรู้ที่ไม่สิ้นสุด แม้จะไม่มีใครบอกให้ฝึกอีกต่อไป



𝟰. แล้วอะไรคือ “#ยั่งยืนกว่า



เมื่อเราพูดถึง “ความยั่งยืน” ของการเรียนดนตรี โดยเฉพาะในบริบทของเด็กและเยาวชน



เรากำลังพูดถึงสิ่งที่ลึกกว่าแค่ “เล่นเก่ง” หรือ “สอบผ่าน” — แต่กำลังหมายถึงการที่ดนตียังคงมีความหมายในชีวิตของเขาไปอีกนาน



ความยั่งยืน ในที่นี้จึงอาจสรุปเป็นสามประเด็นหลัก:



๐ เด็กยัง “ฝึกได้แม้ไม่มีคนบังคับ” หมายถึง การมีแรงจูงใจภายในเพียงพอที่จะฝึกต่อโดยไม่ต้องมีคนควบคุม



๐ เด็กยัง “อยากเล่นแม้ไม่มีเวที” หมายถึง การรักในกระบวนการฝึกฝน ไม่ได้เล่นเพียงเพื่อผลลัพธ์ภายนอก



๐ เด็กยัง “เห็นคุณค่าของเสียงดนตรีแม้ผิดหวัง” หมายถึง การมองดนตรีเป็นพื้นที่ปลอดภัย พื้นที่แสดงความรู้สึก หรือเป็นเพื่อนที่อยู่กับเขาในทุกช่วงชีวิต



 คำตอบจึงไม่ใช่ “#ทางใดทางหนึ่ง” แต่คือ “#การผสมผสานอย่างยืดหยุ่น



แนวทางที่ยั่งยืนจึงไม่ใช่การเลือกฝั่งระหว่าง แบบแผน (𝗦𝘁𝗿𝘂𝗰𝘁𝘂𝗿𝗲) หรือ อิสระ (𝗔𝘂𝘁𝗼𝗻𝗼𝗺𝘆) แต่คือ “การผสมผสาน” (𝗛𝘆𝗯𝗿𝗶𝗱 𝗣𝗿𝗮𝗰𝘁𝗶𝗰𝗲 𝗔𝗽𝗽𝗿𝗼𝗮𝗰𝗵) ที่รู้จักจังหวะเวลาในการใช้แต่ละแบบให้เหมาะกับผู้เรียนแต่ละคน



ในช่วงเริ่มต้นของการเรียนดนตรี



๐ การฝึกแบบมีแบบแผนช่วยวางรากฐานด้านเทคนิค ความเข้าใจเบื้องต้น และนิสัยในการฝึกฝน



๐ แต่เมื่อผู้เรียนเริ่มมีพื้นฐานมากพอ การเปิดพื้นที่ให้เขาเลือกเอง จะเริ่มมีบทบาทสำคัญ เช่น การเลือกเพลงเอง ทดลองตีความ หรือกำหนดเป้าหมายส่วนตัวในการซ้อม



 งานวิจัยที่สนับสนุนแนวทางผสมผสาน



𝗗𝗿. 𝗚𝗮𝗿𝘆 𝗠𝗰𝗣𝗵𝗲𝗿𝘀𝗼𝗻 นักวิจัยจาก 𝗨𝗻𝗶𝘃𝗲𝗿𝘀𝗶𝘁𝘆 𝗼𝗳 𝗠𝗲𝗹𝗯𝗼𝘂𝗿𝗻𝗲 ได้ศึกษาพฤติกรรมของนักเรียนดนตรีระยะยาว และพบว่า



“เด็กที่ได้รับทั้งการแนะนำจากครู และได้รับโอกาสในการตั้งเป้าหมายเอง มีแนวโน้มจะเล่นดนตรีต่อไปในวัยผู้ใหญ่ มากกว่ากลุ่มที่ผ่านการฝึกแบบเข้มงวดหรือแบบปล่อยมือเกินไป”



𝗠𝗰𝗣𝗵𝗲𝗿𝘀𝗼𝗻 เรียกกลุ่มนี้ว่า “𝘀𝗲𝗹𝗳-𝗿𝗲𝗴𝘂𝗹𝗮𝘁𝗲𝗱 𝗺𝘂𝘀𝗶𝗰𝗶𝗮𝗻𝘀” ซึ่งหมายถึงผู้ที่สามารถประเมินการฝึกของตนเอง วางแผน ปรับวิธี และสะท้อนผลได้อย่างเป็นระบบ— ความสามารถเหล่านี้ ไม่ได้เกิดจากระบบใดระบบเดียว แต่เกิดจากการค่อย ๆ ส่งต่อความรับผิดชอบจากครู → สู่ผู้เรียน



*** อ้างอิง: 𝗠𝗰𝗣𝗵𝗲𝗿𝘀𝗼𝗻, 𝗚. 𝗘., & 𝗥𝗲𝗻𝘄𝗶𝗰𝗸, 𝗝. 𝗠. (𝟮𝟬𝟬𝟭). 𝗔 𝗹𝗼𝗻𝗴𝗶𝘁𝘂𝗱𝗶𝗻𝗮𝗹 𝘀𝘁𝘂𝗱𝘆 𝗼𝗳 𝘀𝗲𝗹𝗳-𝗿𝗲𝗴𝘂𝗹𝗮𝘁𝗶𝗼𝗻 𝗶𝗻 𝗰𝗵𝗶𝗹𝗱𝗿𝗲𝗻'𝘀 𝗺𝘂𝘀𝗶𝗰𝗮𝗹 𝗽𝗿𝗮𝗰𝘁𝗶𝗰𝗲. 𝗠𝘂𝘀𝗶𝗰 𝗘𝗱𝘂𝗰𝗮𝘁𝗶𝗼𝗻 𝗥𝗲𝘀𝗲𝗮𝗿𝗰𝗵, 𝟯(𝟮), 𝟭𝟲𝟵–𝟭𝟴𝟲.





แนวทางที่ยั่งยืนจึงต้องมี “ความยืดหยุ่น” และ “เข้าใจความหลากหลายของผู้เรียน” เพราะไม่มีสูตรตายตัวว่า เด็กทุกคนต้องฝึกวันละกี่นาที หรือควรเริ่มจากเพลงอะไร สิ่งสำคัญกว่าคือ การทำให้เด็กแต่ละคน รู้สึกว่าตัวเองมีสิทธิ์ในการออกแบบความสัมพันธ์กับดนตรีของตัวเอง



บางคนอาจอยากสอบเกรดเพราะเป้าหมายชัดเจน


บางคนอาจอยากเล่นตามหูเพราะรู้สึก “เสียงนั้นมันเป็นของเขา”


บางคนอาจหายไปนาน แต่วันหนึ่งกลับมาแต่งเพลงจากเรื่องราวที่เจอในชีวิต



การยอมรับว่า “ทุกคนจะมีเส้นทางดนตรีของตัวเอง” คือหัวใจของความยั่งยืน



 ดนตรีไม่ควรเป็นสิ่งที่ “#ต้องทำ” แต่ควรเป็นสิ่งที่ “#อยากทำ



ความยั่งยืนของการเรียนดนตรีจึงไม่ใช่แค่การฝึกมากแค่ไหน แต่คือการที่ผู้เรียนยังคง อยากเล่นดนตรีต่อไปเอง แม้ไม่มีใครสั่ง แม้ไม่มีการสอบ แม้ไม่มีใครฟัง



และแนวทางที่จะพาไปสู่จุดนั้น ไม่ใช่การเลือกว่าจะ “เข้มงวด” หรือ “อิสระ” แต่คือการ ออกแบบเส้นทางให้เขาเรียนรู้ไปพร้อมกับการเข้าใจตัวเอง



ดนตรีไม่ใช่เป้าหมาย แต่มันคือ “เครื่องมือ” ที่ช่วยให้เราเติบโตเป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์ยิ่งขึ้น และนั่นคือความยั่งยืนที่แท้จริง





หากมองผ่านเลนส์ของการเรียนรู้ระยะยาว การฝึกดนตรีในระบบการศึกษาไม่ควรตั้งคำถามแค่เพียงว่า “ฝึกแบบไหนได้ผลไวกว่า?” แต่ควรถามว่า “ฝึกแบบไหนที่ยังส่งเสียงต่อไปได้แม้เวลาผ่านไป?”



การฝึกแบบมีแบบแผน (𝗦𝘁𝗿𝘂𝗰𝘁𝘂𝗿𝗲𝗱 𝗣𝗿𝗮𝗰𝘁𝗶𝗰𝗲) มีประโยชน์อย่างยิ่งในช่วงเริ่มต้น โดยเฉพาะสำหรับการสร้างทักษะพื้นฐาน เช่น ความแม่นยำ ความคุ้นชินกับรูปแบบ และวินัยในการฝึก มันคือเครื่องมือที่มีพลังในการปูทางดนตรีให้ชัดเจนและรวดเร็ว



ในขณะเดียวกัน การฝึกแบบให้เลือกเอง (𝗦𝗲𝗹𝗳-𝗱𝗶𝗿𝗲𝗰𝘁𝗲𝗱 𝗣𝗿𝗮𝗰𝘁𝗶𝗰𝗲) อาจไม่ได้เห็นผลเร็วในทางเทคนิค แต่กลับปลูกฝังความสัมพันธ์ลึกซึ้งระหว่าง “ตัวตน” กับ “เสียงดนตรี” ซึ่งเป็นรากฐานของแรงบันดาลใจ ความคิดสร้างสรรค์ และความต่อเนื่องของการฝึกในระยะยาว



ดังนั้น “#ความยั่งยืน” จึงไม่ใช่เรื่องของความเร็วในการพัฒนา แต่คือการหล่อเลี้ยงพลังภายในของผู้เรียนให้ยังคงอยากเดินต่อ แม้ไม่มีใครบอกให้ทำ



เด็กที่มีโอกาสฝึกอย่างมีเป้าหมายโดยไม่ถูกยัดเยียด


เด็กที่รู้ว่าตัวเองกำลังฝึกอะไร และ “ทำไม” จึงต้องฝึก


และเด็กที่รู้สึกว่า “ดนตรีเป็นของเขาเอง” — ไม่ใช่ของใครมาสั่ง



คือเด็กที่มีแนวโน้มจะยังเล่นดนตรีต่อไปแม้ในวันที่ไม่มีครู ไม่มีเวที และไม่มีรางวัลใดรออยู่

 
 
 

Comments


bottom of page