ทำไมกลองจึงถูกห้ามในบางยุคบางสมัยของประวัติศาสตร์❓
- Dr.Kasem THipayametrakul
- Jul 24
- 4 min read

เพราะการควบคุม “จังหวะ” ก็คือการควบคุม “พลังของมนุษย์”
𝟭. จุดเริ่มต้น: #เมื่อจังหวะไม่ใช่แค่เรื่องของเสียงแต่คือพลังทางสังคม
เสียงกลองไม่ใช่เพียงเสียงของดนตรี หากแต่คือสัญญาณของการเคลื่อนไหวทางสังคมแบบเงียบแต่ทรงพลัง กลองไม่ต้องมีภาษา ไม่ต้องมีถ้อยคำ แค่ "เสียง" ก็เพียงพอที่จะปลุกเร้าให้คนจำนวนมากเคลื่อนไหวพร้อมกัน สร้างความรู้สึกร่วมในแบบที่คำพูดไม่สามารถทำได้ — และนี่คือพลังที่ทำให้มันกลายเป็นภัยคุกคามในสายตาของผู้มีอำนาจในหลายยุคหลายสมัย
ลองจินตนาการภาพทหารกลุ่มใหญ่เดินก้าวพร้อมกันตามจังหวะกลอง หรือผู้คนในชุมชนเคลื่อนไหวในงานพิธีกรรมด้วยการตีกลองแบบต่อเนื่อง — จังหวะเหล่านั้นไม่ใช่แค่เสียง แต่คือการ “#ประสานใจ” ในเชิงร่างกายและอารมณ์ มนุษย์มีระบบประสาทที่ไวต่อจังหวะ เมื่อได้ยินเสียงที่เป็น 𝗽𝗮𝘁𝘁𝗲𝗿𝗻 ซ้ำ ๆ จะเกิดปรากฏการณ์ที่เรียกว่า 𝗲𝗻𝘁𝗿𝗮𝗶𝗻𝗺𝗲𝗻𝘁 หรือการปรับคลื่นสมองและชีพจรให้สอดคล้องกับจังหวะนั้นโดยอัตโนมัติ นี่ไม่ใช่เวทมนตร์ แต่วิทยาศาสตร์ด้านประสาทดนตรี (𝗻𝗲𝘂𝗿𝗼𝗺𝘂𝘀𝗶𝗰𝗼𝗹𝗼𝗴𝘆) พิสูจน์แล้วว่า จังหวะมีผลต่อสมองส่วนที่ควบคุมพฤติกรรมกลุ่ม และความรู้สึกร่วม (𝘀𝗵𝗮𝗿𝗲𝗱 𝗮𝗳𝗳𝗲𝗰𝘁𝗶𝘃𝗲 𝘀𝘁𝗮𝘁𝗲𝘀)
ผลก็คือ เสียงกลองจึงไม่ได้กระทบแค่หู — แต่มันกระตุ้นการตอบสนองทั้งทางอารมณ์ ร่างกาย และการกระทำ ทำให้ “กลุ่มคนแยกกัน” กลายเป็น “กลุ่มที่เคลื่อนไหวร่วมกัน” โดยไม่ต้องพูดจา หรือมีผู้นำสั่งการเลยด้วยซ้ำ
นี่เองที่ทำให้ผู้มีอำนาจหวาดกลัว เพราะพลังจากกลองไม่สามารถควบคุมผ่านโครงสร้างอำนาจแบบเดิมได้
การควบคุมกลองจึงไม่ใช่แค่ควบคุมเสียง — แต่คือการควบคุมสิ่งที่อยู่ “ลึกกว่าเสียง” คือพลังแห่งการรวมใจของมนุษย์
คำถามชวนคิด: ถ้าจังหวะสามารถรวมคนโดยไม่ต้องมีผู้นำ แล้วผู้นำที่กลัวกลองกำลังกลัวอะไรจริง ๆ กันแน่ — กลัวเสียง? หรือกลัวการรวมพลังที่ไม่ขึ้นกับเขา?
เสียงกลองไม่ใช่แค่เสียงดนตรี หากแต่เป็น "ภาษาอีกภาษาหนึ่ง" ที่ไม่ต้องใช้คำพูด แต่สามารถส่งข้อความ กระตุ้นความรู้สึก และสร้างการเคลื่อนไหวได้อย่างชัดเจน ในบริบทของสังคมที่มีความเหลื่อมล้ำทางอำนาจ เช่น ยุคค้าทาส ยุคล่าอาณานิคม หรือภายใต้ระบอบเผด็จการ — ภาษาที่ไม่สามารถควบคุมได้ มักจะกลายเป็น “ภัยคุกคาม”
ในช่วงศตวรรษที่ 𝟭𝟴 และ 𝟭𝟵 ชนชั้นผู้ปกครองในอาณานิคมอเมริกาเริ่มตระหนักว่า "จังหวะ" ของกลองอาจเป็นสิ่งเดียวที่เชื่อมโยงผู้คนที่ถูกทำให้แตกแยก ทั้งทางชาติพันธุ์ ภาษา และศาสนา — ให้รู้สึกว่าตนเองคือ “กลุ่มเดียวกัน” ได้อย่างทรงพลัง
เหตุการณ์ 𝗦𝘁𝗼𝗻𝗼 𝗥𝗲𝗯𝗲𝗹𝗹𝗶𝗼𝗻 ในปี 𝟭𝟳𝟯𝟵 เป็นตัวอย่างที่ชัดเจนของการใช้เสียงกลองเป็นสัญญาณในการปลุกระดม การลุกฮือของทาสในเซาท์แคโรไลนาเริ่มต้นจากเสียงกลองและการเดินขบวนพร้อมกันตามจังหวะ ซึ่งไม่เพียงแต่ทำให้ขบวนดูแข็งแกร่งและเป็นหนึ่งเดียว แต่ยังเป็นการประกาศเจตจำนงอย่างชัดเจนว่า “พวกเราไม่ใช่คนที่ไร้เสียง”
หลังจากเหตุการณ์นี้ รัฐบาลอาณานิคมจึงไม่เพียงแค่ห้ามกลอง แต่ยังห้ามดนตรีบางประเภท และจำกัดการรวมกลุ่มของทาส เพราะพวกเขาเริ่มเข้าใจว่า สิ่งที่อันตรายที่สุดไม่ใช่อาวุธ — แต่คือความรู้สึกของความเป็นหนึ่งเดียวกันที่ไม่ต้องผ่านภาษา ซึ่งอำนาจแบบบนลงล่างไม่สามารถเข้าไปควบคุมได้
***อ้างอิง
𝗥𝗮𝗯𝗼𝘁𝗲𝗮𝘂, 𝗔. 𝗝. (𝟮𝟬𝟬𝟰). 𝗦𝗹𝗮𝘃𝗲 𝗿𝗲𝗹𝗶𝗴𝗶𝗼𝗻: 𝗧𝗵𝗲 "𝗶𝗻𝘃𝗶𝘀𝗶𝗯𝗹𝗲 𝗶𝗻𝘀𝘁𝗶𝘁𝘂𝘁𝗶𝗼𝗻" 𝗶𝗻 𝘁𝗵𝗲 𝗮𝗻𝘁𝗲𝗯𝗲𝗹𝗹𝘂𝗺 𝗦𝗼𝘂𝘁𝗵 (𝗨𝗽𝗱𝗮𝘁𝗲𝗱 𝗲𝗱.). 𝗢𝘅𝗳𝗼𝗿𝗱 𝗨𝗻𝗶𝘃𝗲𝗿𝘀𝗶𝘁𝘆 𝗣𝗿𝗲𝘀𝘀.
𝗚𝗲𝗻𝗼𝘃𝗲𝘀𝗲, 𝗘. 𝗗. (𝟭𝟵𝟳𝟰). 𝗥𝗼𝗹𝗹, 𝗝𝗼𝗿𝗱𝗮𝗻, 𝗿𝗼𝗹𝗹: 𝗧𝗵𝗲 𝘄𝗼𝗿𝗹𝗱 𝘁𝗵𝗲 𝘀𝗹𝗮𝘃𝗲𝘀 𝗺𝗮𝗱𝗲. 𝗣𝗮𝗻𝘁𝗵𝗲𝗼𝗻 𝗕𝗼𝗼𝗸𝘀.
𝗗𝗶𝗼𝘂𝗳, 𝗦. 𝗔. (𝟮𝟬𝟭𝟰). 𝗦𝗹𝗮𝘃𝗲𝗿𝘆'𝘀 𝗲𝘅𝗶𝗹𝗲𝘀: 𝗧𝗵𝗲 𝘀𝘁𝗼𝗿𝘆 𝗼𝗳 𝘁𝗵𝗲 𝗔𝗺𝗲𝗿𝗶𝗰𝗮𝗻 𝗠𝗮𝗿𝗼𝗼𝗻𝘀. 𝗡𝗲𝘄 𝗬𝗼𝗿𝗸 𝗨𝗻𝗶𝘃𝗲𝗿𝘀𝗶𝘁𝘆 𝗣𝗿𝗲𝘀𝘀.
ในศตวรรษที่ 𝟮𝟬 รัฐเผด็จการเช่น นาซีเยอรมนี หรือ อิตาลีภายใต้ฟาสซิสต์ เข้าใจพลังของเสียงจังหวะอย่างลึกซึ้ง พวกเขานำเสียงกลองมาใช้เป็นส่วนหนึ่งของเครื่องมือโฆษณาชวนเชื่อ (𝗽𝗿𝗼𝗽𝗮𝗴𝗮𝗻𝗱𝗮) โดยเฉพาะในหมู่เยาวชน เช่น 𝗛𝗶𝘁𝗹𝗲𝗿 𝗬𝗼𝘂𝘁𝗵 ซึ่งมักมีขบวนพาเหรดพร้อมเสียงกลองและการก้าวเดินอย่างพร้อมเพรียง
เสียงกลองในบริบทนี้ไม่ใช่การแสดงออกอย่างเสรี แต่เป็น “เครื่องมือของรัฐ” ที่ใช้ควบคุมอารมณ์ ปลูกฝังแนวคิด และสร้างความเชื่อฟังผ่านความรู้สึกร่วมแบบเทียม (𝗺𝗮𝗻𝘂𝗳𝗮𝗰𝘁𝘂𝗿𝗲𝗱 𝘀𝗼𝗹𝗶𝗱𝗮𝗿𝗶𝘁𝘆)
ในขณะเดียวกัน กลองของกลุ่มที่ต่อต้านรัฐ หรือกลุ่มวัฒนธรรมย่อย เช่น ดนตรีแจ๊ซ, ดนตรีของคนผิวดำ, หรือแม้แต่วงดนตรีพังก์ — กลับถูกเซ็นเซอร์ ติดตาม และจำกัดการแสดงออกอย่างเข้มงวด เพราะเสียงเหล่านั้นไม่สอดคล้องกับ "จังหวะของรัฐ"
***อ้างอิง
𝗞𝗮𝘁𝗲𝗿, 𝗠. 𝗛. (𝟭𝟵𝟵𝟳). 𝗧𝗵𝗲 𝗧𝘄𝗶𝘀𝘁𝗲𝗱 𝗠𝘂𝘀𝗲: 𝗠𝘂𝘀𝗶𝗰𝗶𝗮𝗻𝘀 𝗮𝗻𝗱 𝗧𝗵𝗲𝗶𝗿 𝗠𝘂𝘀𝗶𝗰 𝗶𝗻 𝘁𝗵𝗲 𝗧𝗵𝗶𝗿𝗱 𝗥𝗲𝗶𝗰𝗵. 𝗢𝘅𝗳𝗼𝗿𝗱 𝗨𝗻𝗶𝘃𝗲𝗿𝘀𝗶𝘁𝘆 𝗣𝗿𝗲𝘀𝘀.
𝗙𝗮𝘀𝘁, 𝗦. (𝗘𝗱.). (𝟮𝟬𝟭𝟮). 𝗠𝘂𝘀𝗶𝗰, 𝗣𝗼𝗹𝗶𝘁𝗶𝗰𝘀, 𝗮𝗻𝗱 𝗩𝗶𝗼𝗹𝗲𝗻𝗰𝗲. 𝗪𝗲𝘀𝗹𝗲𝘆𝗮𝗻 𝗨𝗻𝗶𝘃𝗲𝗿𝘀𝗶𝘁𝘆 𝗣𝗿𝗲𝘀𝘀.
ความย้อนแย้งจึงเกิดขึ้นอย่างชัดเจน — กลองสามารถเป็นทั้ง เครื่องมือแห่งอำนาจ และ เครื่องมือแห่งการต่อต้านอำนาจ ได้พร้อมกัน ขึ้นอยู่กับว่าใครเป็นผู้ถือจังหวะ
เมื่ออยู่ในมือของรัฐ เสียงกลองคือการจัดระเบียบ สร้างความพร้อมเพรียง และรวมใจเพื่ออุดมการณ์เดียว
แต่เมื่ออยู่ในมือของผู้ต่อต้าน เสียงกลองคือการรวมตัว สั่นคลอนโครงสร้างเดิม และส่งเสียงของเสรีภาพโดยไม่ต้องขออนุญาต
คำถามชวนคิด: ในสังคมที่เราอยู่ตอนนี้ เสียงกลองที่เราได้ยิน… กำลังทำหน้าที่อะไร? กำลัง “สั่งการให้พร้อมเพรียง” — หรือ “ชวนให้ตั้งคำถาม”? และเราจะฟังมันอย่างเข้าใจ หรือปล่อยให้มันกลายเป็นแค่ "จังหวะที่ดังอยู่ข้างนอก"?
𝟯. #จังหวะและความเป็นอิสระ: ความกลัวต่อความ “#ไร้รูปแบบ”
เสียงกลองไม่ใช่แค่ “เสียง” หากแต่เป็นการเคลื่อนไหว เป็นการมีอยู่ เป็นการสื่อสารในรูปแบบที่ไม่ต้องใช้คำพูด และที่สำคัญ — มันไม่จำเป็นต้อง “มีรูปแบบแน่นอน” แบบที่ระบบอำนาจคุ้นชินจะควบคุม
ต่างจากไวโอลิน เปียโน หรือทรัมเป็ต — กลองไม่จำเป็นต้องเล่นเป็นโน้ตใดโน้ตหนึ่ง มันไม่มีคีย์ ไม่มีเสียงประสานแบบชัดเจน และไม่มีทฤษฎีเสียงที่สามารถอธิบายได้ด้วยโครงสร้างทางคณิตศาสตร์เพียงอย่างเดียว กลองคือเสียงของ ร่างกาย เสียงของการเคลื่อนไหวที่เกิดจากแรงกระแทก จังหวะที่สัมพันธ์กับลมหายใจและจังหวะหัวใจของมนุษย์
นวัฒนธรรมที่ให้ค่านิยมกับ “#ระเบียบแบบแผน” โดยเฉพาะในยุโรปยุคคลาสสิก เสียงที่ไม่มีรูปทรงชัดเจน กลายเป็นสิ่งที่น่าหวาดระแวง กลองจึงมักถูกลดบทบาทให้อยู่ในขอบเขตที่ “ควบคุมได้” เช่น ในวงออร์เคสตรา เครื่องเพอร์คัชชันอย่าง 𝘁𝗶𝗺𝗽𝗮𝗻𝗶 จะถูกเขียนโน้ตไว้ชัดเจนว่าจะต้องตีเมื่อไหร่ ด้วยน้ำหนักเท่าไหร่ และจังหวะใด — ไม่มีการ “ด้นสด” หรือพลิกแพลงเหมือนเครื่องดนตรีนำอื่น ๆ
๐ #จังหวะ = #เสรีภาพ = #ความกลัวของรัฐ?
ในทางมานุษยวิทยา จังหวะ (𝗿𝗵𝘆𝘁𝗵𝗺) ไม่ได้ถูกมองแค่เป็นองค์ประกอบทางดนตรี แต่มันเป็น “การแสดงออกของร่างกาย” ที่เกิดขึ้นอย่างเป็นธรรมชาติ เช่น การเดิน การเต้น การตบมือ หรือแม้แต่การเคาะโต๊ะโดยไม่ได้ตั้งใจ — สิ่งเหล่านี้ล้วนมีรากจากจังหวะ
และเพราะจังหวะเกิดจากร่างกาย ไม่ใช่จากภาษา เขียนลงกระดาษไม่ได้ แปลไม่ได้ แยกแยะเจตนาไม่ได้ชัดเจน รัฐจึงควบคุมมันได้ยาก
งานของนักมานุษยวิทยา 𝗩𝗲𝗶𝘁 𝗘𝗿𝗹𝗺𝗮𝗻𝗻 (𝟭𝟵𝟵𝟲) เสนอว่า ในหลายสังคมแอฟริกัน เสียงกลองทำหน้าที่เป็น “เครื่องมือสื่อสาร” ที่ซับซ้อนพอ ๆ กับภาษา มันสามารถส่งข้อความผ่าน 𝗽𝗮𝘁𝘁𝗲𝗿𝗻 ของจังหวะ กระตุ้นความรู้สึกของชุมชน และก่อให้เกิดความรู้สึกร่วม (𝗰𝗼𝗹𝗹𝗲𝗰𝘁𝗶𝘃𝗲 𝗲𝗺𝗼𝘁𝗶𝗼𝗻) โดยไม่ต้องผ่านการแปลหรือตัวกลางใด ๆ
และนั่นเองคือสิ่งที่อำนาจ “กลัว” ที่สุด — การสื่อสารที่ไม่มีโครงสร้าง ไม่มีผู้นำ ไม่มีคำสั่ง และไม่มีทางควบคุม
***อ้างอิง
𝗘𝗿𝗹𝗺𝗮𝗻𝗻, 𝗩. (𝟭𝟵𝟵𝟲). 𝗡𝗶𝗴𝗵𝘁𝘀𝗼𝗻𝗴: 𝗣𝗲𝗿𝗳𝗼𝗿𝗺𝗮𝗻𝗰𝗲, 𝗣𝗼𝘄𝗲𝗿, 𝗮𝗻𝗱 𝗣𝗿𝗮𝗰𝘁𝗶𝗰𝗲 𝗶𝗻 𝗦𝗼𝘂𝘁𝗵 𝗔𝗳𝗿𝗶𝗰𝗮. 𝗨𝗻𝗶𝘃𝗲𝗿𝘀𝗶𝘁𝘆 𝗼𝗳 𝗖𝗵𝗶𝗰𝗮𝗴𝗼 𝗣𝗿𝗲𝘀𝘀.
เมื่อจังหวะไม่ได้อยู่ในโน้ต ไม่ได้ถูกเขียนไว้ล่วงหน้า และเกิดจากความรู้สึกร่วมแบบ “ไร้ผู้นำ” มันจึงกลายเป็นเครื่องมือที่เหมาะสมกับการ “#ต่อต้านแบบไร้ศูนย์กลาง” (𝗱𝗲𝗰𝗲𝗻𝘁𝗿𝗮𝗹𝗶𝘇𝗲𝗱 𝗿𝗲𝘀𝗶𝘀𝘁𝗮𝗻𝗰𝗲)
ในหลายการเคลื่อนไหวทางสังคม เราจึงเห็นว่าการรวมตัวของผู้คนมักเริ่มจาก การเคาะจังหวะ ไม่ว่าจะเป็นการตีกลองระหว่างประท้วง การตบมือพร้อมกัน การเคาะหม้อ เคาะกระทะ — เสียงเหล่านี้ไม่ใช่เสียงดนตรีในความหมายแบบดั้งเดิม แต่มันคือการประกาศว่า “เรายังอยู่ และเราฟังกันอยู่”
สิ่งที่รัฐหรือองค์กรอำนาจกลัวไม่ใช่เพียง “เสียง” ของกลอง แต่คือ ความเป็นไปได้ที่เสียงนี้จะไม่ขึ้นกับใคร ไม่มีผู้ควบคุม ไม่มีผู้สั่ง และไม่มีการตีความผ่านภาษาที่รัฐเป็นเจ้าของ
คำถามชวนคิด: ถ้าเสียงกลองคือสิ่งที่ “สื่อสารได้โดยไม่ต้องใช้ภาษา” — อะไรคือสิ่งที่ผู้มีอำนาจกลัวมากที่สุด?
คำตอบอาจไม่ใช่แค่การรวมตัว หรือการต่อต้าน แต่คือ ความเป็นไปได้ที่ผู้คนจะเริ่ม “ฟังกันเอง” โดยไม่ต้องผ่านระบบที่รัฐควบคุม เพราะเมื่อผู้คนเริ่มจับจังหวะร่วมกันได้ — พวกเขาอาจไม่ต้องรอคำสั่งอีกต่อไป.
𝟰. #จังหวะกับพลังของ “#การรวมตัว”: ทำไมแค่เสียงกลอง ก็ทำให้เรา “#เป็นหนึ่ง” โดยไม่ต้องพูด
ในโลกที่เต็มไปด้วยเสียงพูด คำอธิบาย และภาษาที่ซับซ้อน เราอาจลืมไปว่า ก่อนจะมีคำพูด มนุษย์รู้จักกันผ่าน “จังหวะ” มาก่อน เราฟังเสียงหัวใจแม่ตั้งแต่ยังอยู่ในครรภ์ ร่างกายเรารับรู้จังหวะก่อนจะเรียนรู้ภาษา และเมื่อเติบโตขึ้น เสียงกลองยังคงเป็นภาษาสากลที่ไม่ต้องแปล — แต่ทำให้เรารู้สึกว่า “เราอยู่ด้วยกัน”
๐ #เสียงกลอง: พลังของการ “#เคลื่อนไหวพร้อมกัน”
เมื่อกลองดังขึ้นในขบวนพาเหรด ในงานประท้วง หรือในการแสดงของวงโยธวาทิต ผู้คนไม่ได้ “#ฟังอย่างเดียว” — แต่ร่างกายของเราตอบสนองไปโดยอัตโนมัติ เราเริ่มขยับเท้า เคลื่อนไหว เดิน หรือแม้แต่ตะโกนโดยไม่ต้องนัดหมาย เพราะเสียงกลองเป็นเหมือนเข็มทิศของร่างกายที่ดึงให้ทุกคนเคลื่อนไหวไปในทิศทางเดียวกัน
ในขบวนการประท้วงสมัยใหม่ เช่น 𝗢𝗰𝗰𝘂𝗽𝘆 𝗪𝗮𝗹𝗹 𝗦𝘁𝗿𝗲𝗲𝘁, การเคลื่อนไหวของชนพื้นเมืองในแคนาดา หรือการประท้วงต่อต้านรัฐบาลในบราซิลและแอฟริกาใต้ — กลุ่มผู้ประท้วงยังคงใช้กลองหรือเพอร์คัชชันเป็นเครื่องมือในการนำขบวน และดึงผู้คนเข้าสู่จังหวะเดียวกัน โดยไม่ต้องใช้ลำโพงหรือแผ่นป้ายคำขวัญ
เพราะเมื่อกลองเริ่ม — ขบวนก็เริ่ม และเมื่อจังหวะมา — การรวมพลังจึงเกิด
๐ ดนตรีในฐานะ “#พื้นที่ของการต่อต้าน” (𝗧𝗵𝗲 𝗦𝗽𝗮𝗰𝗲 𝗼𝗳 𝗥𝗲𝘀𝗶𝘀𝘁𝗮𝗻𝗰𝗲)
𝗚𝗿𝗲𝗴𝗼𝗿𝘆 𝗕𝗮𝗿𝘇 และ 𝗧𝗶𝗺𝗼𝘁𝗵𝘆 𝗖𝗼𝗼𝗹𝗲𝘆 ในหนังสือ 𝗦𝗵𝗮𝗱𝗼𝘄𝘀 𝗶𝗻 𝘁𝗵𝗲 𝗙𝗶𝗲𝗹𝗱 (𝟮𝟬𝟬𝟴) อธิบายว่า ดนตรีไม่ได้เป็นเพียงการแสดงทางศิลปะ แต่คือ “พื้นที่ทางสังคม” ที่เปิดโอกาสให้ผู้คนต่อต้านอำนาจได้โดยไม่ต้องใช้อาวุธ ไม่ต้องใช้วาทกรรมที่ซับซ้อน ดนตรี โดยเฉพาะเพอร์คัชชัน ทำให้เกิด พื้นที่ของการต่อต้านที่ไม่ต้องประกาศ
การตีกลองในถนน จึงไม่ใช่แค่การทำเสียงให้ดัง — แต่มันคือการบอกว่า “เราจะไม่เงียบอีกต่อไป” โดยไม่ต้องใช้คำพูดแม้แต่คำเดียว
***อ้างอิง
𝗕𝗮𝗿𝘇, 𝗚., & 𝗖𝗼𝗼𝗹𝗲𝘆, 𝗧. 𝗝. (𝗘𝗱𝘀.). (𝟮𝟬𝟬𝟴). 𝗦𝗵𝗮𝗱𝗼𝘄𝘀 𝗶𝗻 𝘁𝗵𝗲 𝗙𝗶𝗲𝗹𝗱: 𝗡𝗲𝘄 𝗣𝗲𝗿𝘀𝗽𝗲𝗰𝘁𝗶𝘃𝗲𝘀 𝗳𝗼𝗿 𝗙𝗶𝗲𝗹𝗱𝘄𝗼𝗿𝗸 𝗶𝗻 𝗘𝘁𝗵𝗻𝗼𝗺𝘂𝘀𝗶𝗰𝗼𝗹𝗼𝗴𝘆. 𝗢𝘅𝗳𝗼𝗿𝗱 𝗨𝗻𝗶𝘃𝗲𝗿𝘀𝗶𝘁𝘆 𝗣𝗿𝗲𝘀𝘀.
๐ 𝗠𝗶𝗿𝗿𝗼𝗿 𝗡𝗲𝘂𝗿𝗼𝗻𝘀: #เหตุผลทางวิทยาศาสตร์ว่าทำไมเราขยับพร้อมกัน
ในทางประสาทวิทยา (𝗻𝗲𝘂𝗿𝗼𝘀𝗰𝗶𝗲𝗻𝗰𝗲) การฟังจังหวะที่ต่อเนื่องและซ้ำ ๆ จะกระตุ้นระบบ 𝗺𝗶𝗿𝗿𝗼𝗿 𝗻𝗲𝘂𝗿𝗼𝗻𝘀 — เซลล์สมองที่ทำให้เราสัมผัสได้ถึงการเคลื่อนไหวหรืออารมณ์ของผู้อื่น เช่น เมื่อเราเห็นใครหาว เราก็อยากหาวตาม, เห็นคนร้องไห้ เราก็รู้สึกจุกไปด้วย
และเมื่อได้ยินเสียงกลอง — สมองจะ “จำลอง” การเคลื่อนไหวนั้นโดยไม่รู้ตัว เราจึงอยากเคาะ อยากเดิน อยากเต้น หรืออยากทำบางสิ่ง “ร่วมกับคนอื่น” ทั้งหมดนี้เกิดจากกลไกร่วมของร่างกาย ไม่ใช่การตกลงด้วยภาษา
นี่จึงเป็นเหตุผลว่าทำไมเสียงกลองจึงมักอยู่ใน งานศพ (เพื่อรวมความโศก), พิธีกรรมศักดิ์สิทธิ์ (เพื่อรวมความเชื่อ), หรือ การชุมนุมทางการเมือง (เพื่อรวมอำนาจของมวลชน)
๐ จังหวะ: การเข้าใจกันโดยไม่ต้องพูด
หากภาษาพูดคือการสื่อสารจากสมองสู่สมอง จังหวะคือการสื่อสารจากร่างกายสู่ร่างกาย
เมื่อเสียงกลองดังขึ้น เราไม่ต้องถามว่า “เขาจะเดินไปทางไหน” หรือ “เราควรเริ่มหรือยัง” — ร่างกายของเรารู้คำตอบไปพร้อมกัน
คำถามชวนคิด:
ถ้าเราสามารถรู้สึกเป็น “กลุ่มเดียวกัน” โดยไม่ต้องพูดกันเลย — เราจะเข้าใจกันผ่านอะไร?
บางทีคำตอบอาจอยู่ในสิ่งที่ไม่ต้องแปล ไม่ต้องมีผู้นำ และไม่ต้องผ่านการอนุมัติจากใคร —แค่จังหวะเดียวกัน ก็เพียงพอ.
𝟱. จากเสียงต้องห้ามสู่เครื่องมือของการรักษา: เมื่อจังหวะไม่ใช่ภัยแต่คือการเยียวยา
เสียงกลองเคยถูกห้าม เพราะมันรวมพลังของผู้คน แต่วันนี้เสียงเดียวกันนั้นกลับกลายเป็น “เครื่องมือแห่งการเยียวยา”
นี่ไม่ใช่ความย้อนแย้ง — แต่เป็นบทพิสูจน์ว่า จังหวะคือพลังของมนุษย์ในรูปแบบที่บริสุทธิ์ที่สุด มันเชื่อมโยงร่างกาย อารมณ์ และความสัมพันธ์ โดยไม่ต้องอาศัยภาษา และนั่นคือเหตุผลว่าทำไมมันจึง “ควบคุมไม่ได้” และ “รักษาได้” ในเวลาเดียวกัน
๐ จากสนามรบ... สู่ห้องบำบัด
ในอดีต เสียงกลองคือการเปิดศึก วันนี้มันกลายเป็นเสียงเปิดพื้นที่แห่งการฟังตัวเอง ตั้งแต่วง 𝗱𝗿𝘂𝗺 𝗰𝗶𝗿𝗰𝗹𝗲 สำหรับผู้มีภาวะซึมเศร้า ไปจนถึงการใช้เพอร์คัชชันในการเรียนรู้ของเด็กพิเศษ หรือแม้แต่การนั่งหลับตาเคาะกลองในกิจกรรม 𝗺𝗶𝗻𝗱𝗳𝘂𝗹𝗻𝗲𝘀𝘀
เสียงที่เป็นจังหวะสม่ำเสมอ ซ้ำไปซ้ำมา เปรียบได้กับ “อ้อมกอดของเสียง” ที่ทำให้ร่างกายรู้สึกปลอดภัยและมีสิ่งยึดโยง
การศึกษาของ 𝗪𝗶𝗻𝗸𝗲𝗹𝗺𝗮𝗻 (𝟮𝟬𝟬𝟯) ระบุว่า ผู้เข้าร่วมวงกลองมีระดับ 𝗰𝗼𝗿𝘁𝗶𝘀𝗼𝗹 (ฮอร์โมนความเครียด) ลดลง พร้อมกับความรู้สึกของ 𝗰𝗼𝗻𝗻𝗲𝗰𝘁𝗲𝗱𝗻𝗲𝘀𝘀 เพิ่มขึ้น และนี่คือพื้นฐานของสุขภาพจิตที่ดี —ไม่ใช่แค่ไม่มีความทุกข์ แต่คือ การรู้สึกว่าเราเชื่อมโยงกับคนอื่นและโลกใบนี้
***อ้างอิง
𝗪𝗶𝗻𝗸𝗲𝗹𝗺𝗮𝗻, 𝗠. (𝟮𝟬𝟬𝟯). 𝗖𝗼𝗺𝗽𝗹𝗲𝗺𝗲𝗻𝘁𝗮𝗿𝘆 𝘁𝗵𝗲𝗿𝗮𝗽𝘆 𝗳𝗼𝗿 𝗮𝗱𝗱𝗶𝗰𝘁𝗶𝗼𝗻: “𝗗𝗿𝘂𝗺𝗺𝗶𝗻𝗴 𝗼𝘂𝘁 𝗱𝗿𝘂𝗴𝘀.” 𝗔𝗺𝗲𝗿𝗶𝗰𝗮𝗻 𝗝𝗼𝘂𝗿𝗻𝗮𝗹 𝗼𝗳 𝗣𝘂𝗯𝗹𝗶𝗰 𝗛𝗲𝗮𝗹𝘁𝗵, 𝟵𝟯(𝟰), 𝟲𝟰𝟳–𝟲𝟱𝟭.
๐ ทำไมเสียงเดียวกันจึงเคยเป็นภัยและวันนี้จึงกลายเป็นยา?
เพราะในอดีต... อำนาจกลัวการรวมตัว เสียงกลอง = สัญญาณที่ผู้คนจะ “เคลื่อนไหวพร้อมกัน” และการเคลื่อนไหวพร้อมกัน คือสิ่งที่รัฐควบคุมไม่ได้
แต่ในวันนี้… สิ่งที่ผู้คนขาดไม่ใช่ “การเชื่อฟัง” แต่คือ การเชื่อมโยงกับตัวเองและคนรอบข้าง เราจึงกลับไปหากลอง เพื่อฝึกฟังจังหวะในตัวเอง และสร้างจังหวะร่วมกับผู้อื่น โดยไม่มีใครเป็นผู้นำ
๐ กลอง = ยาจากธรรมชาติ
ต่างจากการบำบัดแบบใช้คำพูดหรือยาเคมี
การ “ตีกลอง” คือการสื่อสารผ่านร่างกาย
มันไม่ต้องมีใครเป็นนักพูดเก่ง ไม่ต้องมีใครอธิบายความรู้สึกออกมา
แต่ทุกคน “ได้ขยับพร้อมกัน” และ “ฟังกันจริง ๆ”
และเพราะจังหวะคือภาษาที่เก่าแก่ที่สุด
มันจึงเข้าถึงทุกคน โดยไม่แบ่งเพศ วัย ชนชั้น หรือภาษาแม่
กลองจึงเป็นเครื่องมือบำบัดที่เท่าเทียมที่สุด
คำถามชวนคิด:
ถ้าเสียงกลองในอดีตถูกมองว่า “อันตรายต่ออำนาจ” แล้วเหตุใดในวันนี้ มันจึงกลายเป็นเครื่องมือของการเยียวยา?
บางทีคำตอบอาจไม่ใช่เพราะเสียงกลองเปลี่ยน แต่เพราะ ความต้องการของผู้คนเปลี่ยนไป
จากการถูกควบคุม — สู่การต้องการฟัง
จากการต่อสู้ — สู่การซ่อมแซม
จากการพยายาม “ชนะ” — สู่ความพยายาม “เชื่อมโยง”
กลองไม่ได้เปลี่ยนหน้าที่ มันแค่สะท้อนว่า มนุษย์กำลังต้องการอะไรในยุคนั้น และทุกยุค… ก็ยังต้องการ “เสียงของกันและกัน”— แม้ไม่ต้องพูดเลยสักคำ.
บทสรุป: เสียงที่สื่อสารพลังโดยไม่ต้องใช้คำพูด
การห้ามกลองในอดีต ไม่ใช่เพราะ "เสียงมันดัง" แต่เพราะมัน ดังเกินกว่าที่อำนาจจะควบคุมได้
เสียงกลองไม่ได้เป็นแค่จังหวะของดนตรี แต่มันคือ จังหวะของร่างกาย จังหวะของการเคลื่อนไหวพร้อมกัน และ จังหวะของพลังที่ไม่ต้องผ่านคำสั่งหรือภาษา
มันสร้างความรู้สึกว่า “เรามีสิทธิ์ในร่างกายของเรา” ว่า “เราคือส่วนหนึ่งของกลุ่ม” และว่า “เราสามารถส่งเสียงร่วมกันได้” — โดยไม่ต้องมีผู้นำ ไม่ต้องมีคำอธิบาย ไม่ต้องมีภาษาทางการ
นี่เองคือสิ่งที่ทำให้เสียงกลองกลายเป็น “#ภัยคุกคาม” ในสายตาของผู้มีอำนาจในอดีต เพราะมันสร้างพลังที่เกิดจาก ภายในของมนุษย์ ไม่ใช่จากคำสั่งภายนอก
แต่ในขณะเดียวกัน คุณสมบัตินี้เองที่ทำให้กลองกลายเป็น “เครื่องมือของการเยียวยา” ในวันนี้ เราใช้มันเพื่อฟังตัวเอง เชื่อมโยงกับผู้อื่น เรียนรู้จังหวะร่วมกัน สร้างพื้นที่ปลอดภัย และฝึกการอยู่ร่วมกันโดยไม่ต้องแข่งกันพูดหรืออธิบายตลอดเวลา
คำถามสุดท้ายชวนสะท้อน:
ถ้าเสียงกลองคือพลังที่อยู่เหนือภาษาและกฎเกณฑ์ แล้วเรา — ไม่ว่าจะเป็นนักดนตรี ครู ผู้ปกครอง นักกิจกรรม หรือผู้ฟัง —จะ “ใช้พลังนี้” อย่างมีความหมายและมีความรับผิดชอบ ได้อย่างไร?
บางที... คำตอบอาจไม่ได้อยู่ในคำพูด แต่อยู่ใน “#จังหวะที่เราเลือกจะสร้างร่วมกัน” กับคนอื่น



Comments