top of page
Search

“ทฤษฎีดนตรีควรเรียนก่อนหรือหลังการเล่นจริง❓”

  • Writer: Dr.Kasem THipayametrakul
    Dr.Kasem THipayametrakul
  • Jul 7
  • 4 min read
ree

ความขัดแย้งระหว่าง “#คิดก่อนเล่น” กับ “#เล่นก่อนคิด



ในการเริ่มต้นสอนดนตรีไม่ว่าในระดับใด


คำถามสำคัญที่ครูแทบทุกคนต้องเผชิญก็คือ



“เราจะให้เด็ก เรียนทฤษฎี ก่อน หรือให้เขา เล่นก่อน?”



แม้จะดูเป็นคำถามธรรมดา แต่แท้จริงแล้ว มันคือจุดเริ่มต้นของ แนวทางการสอน และ แนวคิดทางการศึกษา ที่แตกต่างกันอย่างลึกซึ้ง



บางระบบ เช่น แนวทางคลาสสิกในยุโรปหรือระบบสอบมาตรฐานต่างๆ เลือกจะเริ่มจาก ทฤษฎี — สอนให้อ่านโน้ต ฝึก 𝘀𝗰𝗮𝗹𝗲 เข้าใจ 𝗸𝗲𝘆 𝘀𝗶𝗴𝗻𝗮𝘁𝘂𝗿𝗲 ก่อนที่เด็กจะได้สัมผัสกับเสียงจริงอย่างเป็นอิสระ ระบบเหล่านี้เชื่อว่า การมี “เครื่องมือทางภาษา” ที่แข็งแรง คือเงื่อนไขสำคัญของการเข้าใจดนตรีได้ในระดับสูง



ขณะที่อีกแนวทางหนึ่ง เช่น วิธี 𝗦𝘂𝘇𝘂𝗸𝗶, 𝗢𝗿𝗳𝗳 𝗦𝗰𝗵𝘂𝗹𝘄𝗲𝗿𝗸 หรือ 𝗠𝘂𝘀𝗶𝗰 𝗟𝗲𝗮𝗿𝗻𝗶𝗻𝗴 𝗧𝗵𝗲𝗼𝗿𝘆 กลับเริ่มต้นด้วยการให้เด็ก “เล่น” หรือ “ฟัง” ก่อน ให้เขาได้สัมผัสดนตรีแบบเป็นธรรมชาติ เหมือนกับที่เราเรียนรู้ภาษาแม่จากเสียง ไม่ใช่จากไวยากรณ์ พอเด็กเริ่มมีประสบการณ์ มีความรู้สึกกับเสียงแล้ว จึงค่อยย้อนกลับไปอธิบายว่าเขากำลังทำอะไร — ซึ่งนั่นก็คือ “ทฤษฎี”



คำถาม “#คิดก่อนหรือเล่นก่อน” จึงไม่ใช่แค่คำถามเชิงลำดับ



แต่มันคือตัวแทนของ “แนวคิด” ที่แตกต่างกันอย่างมาก



ฝั่งหนึ่งคือความเชื่อว่า:


“ความเข้าใจต้องมาก่อนประสบการณ์” เพื่อให้เด็กไม่สะเปะสะปะ ไม่ตีมั่ว และไม่เสียเวลา



อีกฝั่งหนึ่งคือความเชื่อว่า:


“ประสบการณ์ต้องมาก่อนความเข้าใจ” เพราะถ้าเด็กไม่เคยรู้สึกกับเสียงจริง ทฤษฎีที่เรียนไปก็อาจเป็นแค่การท่องจำที่ไม่มีความหมาย



สิ่งที่น่าสนใจคือ…ทั้งสองแนวคิดต่างมีเหตุผลและหลักฐานสนับสนุนของตนเอง และทั้งสองแนวคิดก็สามารถ “ใช้ได้ผล” กับผู้เรียนบางกลุ่ม ในขณะที่อาจ “ไม่ได้ผล” กับผู้เรียนอีกกลุ่ม



บางคนเข้าใจทฤษฎีได้เร็วจากการอ่านและวิเคราะห์ ขณะที่บางคนต้อง “เล่นให้รู้สึก” ก่อน ถึงจะเข้าใจภายหลัง เหมือนกับที่บางคนเรียนรู้ผ่าน “หนังสือ” ได้ดี ในขณะที่อีกคนหนึ่งต้อง “ลองลงมือทำ” ถึงจะเข้าใจสิ่งนั้นได้



คำถามนี้จึงไม่ใช่แค่เรื่องการสอนดนตรี แต่มันสะท้อนความเข้าใจของเราต่อ ธรรมชาติของการเรียนรู้ของมนุษย์ เลยทีเดียว



และบางครั้ง…คำถามที่แท้จริงอาจไม่ใช่ “จะเริ่มจากอะไร”



แต่คือ…



เราจะออกแบบการเรียนรู้ยังไง ให้ “ทฤษฎี” และ “ประสบการณ์” ไม่เดินสวนทางกัน แต่ เสริมกัน



นั่นต่างหาก…คือหัวใจของการเรียนรู้ดนตรีที่แท้จริง



𝟮. ระบบที่เน้น “#ทฤษฎีมาก่อน”: โครงสร้าง ความเข้าใจ และภาษา



ในระบบการเรียนดนตรีแบบคลาสสิกที่พัฒนาในยุโรป ไม่ว่าจะเป็น 𝗔𝗕𝗥𝗦𝗠, 𝗧𝗿𝗶𝗻𝗶𝘁𝘆, หรือ 𝗥𝗼𝘆𝗮𝗹 𝗖𝗼𝗻𝘀𝗲𝗿𝘃𝗮𝘁𝗼𝗿𝘆 𝗼𝗳 𝗠𝘂𝘀𝗶𝗰 มีสิ่งหนึ่งที่เห็นร่วมกันชัดเจนคือ



ทฤษฎีดนตรีคือหัวใจของการสร้างนักดนตรีที่มีความเข้าใจในระบบ



หลักสูตรเหล่านี้ออกแบบโดยมีทฤษฎีเป็นรากฐาน นักเรียนจะต้องเข้าใจเรื่อง 𝗸𝗲𝘆 𝘀𝗶𝗴𝗻𝗮𝘁𝘂𝗿𝗲, 𝘀𝗰𝗮𝗹𝗲, 𝗰𝗵𝗼𝗿𝗱 𝗽𝗿𝗼𝗴𝗿𝗲𝘀𝘀𝗶𝗼𝗻, รูปแบบฟอร์มของเพลง (𝗳𝗼𝗿𝗺) รวมถึง การอ่านโน้ตและการเขียนโน้ต อย่างแม่นยำ ก่อนจะขยับไปสู่ขั้นของการเล่นและการตีความทางดนตรี



เหตุผลที่ระบบเหล่านี้ให้ความสำคัญกับทฤษฎีมาก เพราะมองว่า ดนตรีคือ “ภาษา” รูปแบบหนึ่ง และเช่นเดียวกับการเรียนภาษาอื่น ๆ



การรู้ไวยากรณ์และโครงสร้าง จะทำให้ “พูดได้ชัดเจน” และ “สื่อสารได้เข้าใจ” โดยเฉพาะเมื่อเล่นในบริบทที่ต้องทำงานร่วมกับผู้อื่น เช่น วงออเคสตรา หรือการสอบที่ใช้โน้ตเป็นหลัก



 ข้อดีของแนวนี้จึงมีอยู่หลายประการ:


๐ ผู้เรียนเข้าใจระบบภาษาอย่างลึกซึ้ง เช่นสามารถอธิบายความต่างระหว่าง 𝗺𝗮𝗷𝗼𝗿/𝗺𝗶𝗻𝗼𝗿 หรือการ 𝗺𝗼𝗱𝘂𝗹𝗮𝘁𝗲 ไปยัง 𝗸𝗲𝘆 อื่นได้อย่างมีตรรกะ



๐ อ่าน-เขียนโน้ตได้อย่างรวดเร็วและแม่นยำ ทำให้สามารถเรียนชิ้นงานใหม่ได้เองแม้ไม่มีครู



๐ มีพื้นฐานการวิเคราะห์และสื่อสารทางดนตรีในระดับสูง ซึ่งเป็นประโยชน์มากเมื่อเข้าสู่การเรียนต่อหรือทำงานสายวิชาการ/การสอน



แต่ในขณะเดียวกัน...



แนวนี้ก็มีความท้าทายที่สำคัญเช่นกัน:


๐ เด็กบางคนอาจ เข้าใจทฤษฎีแบบท่องจำ แต่ไม่สามารถเชื่อมโยงไปยังเสียงจริงได้→ เขาอาจรู้ว่า 𝗚𝟳 ประกอบด้วยโน้ตอะไร แต่ไม่รู้ว่าฟังแล้ว “มันรู้สึกยังไง”



๐ ทฤษฎีกลายเป็นภาษาที่ “ไม่มีเสียงในหัว” นักเรียนอาจอ่านโน้ตได้ดี แต่ไม่สามารถ ตีความ หรือ เล่นด้วยอารมณ์ ได้



๐ กระบวนการเรียนรู้ที่เริ่มจากความคิดเชิงตรรกะ อาจทำให้เด็ก “หมดแรง” ตั้งแต่ยังไม่ได้รู้จักความสนุกของดนตรี→ เสียงดนตรีที่ควรจะเป็นเรื่องของอารมณ์ กลับกลายเป็น “การสอบผ่านขั้นตอน”



หลายครั้ง เราจะเจอเด็กที่ “เก่งทฤษฎีมาก” แต่เมื่อให้ 𝗶𝗺𝗽𝗿𝗼𝘃𝗶𝘀𝗮𝘁𝗶𝗼𝗻 หรือเล่นโดยไม่มีโน้ต เขากลับ “เงียบ” หรือ “ไม่กล้า” เพราะขาดประสบการณ์ในการ “ฟัง” และ “รู้สึก” กับเสียงดนตรี



หรือในอีกกรณีหนึ่ง เด็กอาจจะเคยเรียนแบบเน้นทฤษฎีจน “กลัวการผิดพลาด” → การเล่นจึงถูกบีบให้เดินตามกรอบ โดยไม่กล้าใช้เสียงเป็นพื้นที่ทดลองของตัวเอง



สิ่งที่เราต้องถามกลับคือ…



การให้ทฤษฎีมาก่อนนั้น เป็นการสร้าง “กรอบเพื่อความเข้าใจ” หรือเป็นการ “ปิดประตูความรู้สึก” ของดนตรีก่อนที่เด็กจะได้รักมันจริง ๆ?



การมีโครงสร้างไม่ใช่เรื่องผิด แต่หากโครงสร้างนั้นไม่เชื่อมกับประสบการณ์ที่มีชีวิต มันก็อาจกลายเป็น “กำแพง” มากกว่า “สะพาน” ในการเรียนรู้



และในฐานะครูดนตรี เราอาจไม่จำเป็นต้องละทิ้งทฤษฎี แต่อาจต้องถามตัวเองว่า…



เราให้ทฤษฎีไป เพื่อ “เปิดหู เปิดใจ” เด็ก หรือให้ไปเพื่อให้เขา “สอบผ่านเกณฑ์” เท่านั้น?



𝟯. ระบบที่เน้น “เล่นจริงก่อน”: ประสบการณ์นำ การฟังนำ และภาษาธรรมชาติ



อีกด้านหนึ่งของการเรียนดนตรี คือแนวคิดที่มองว่า



“การเรียนรู้ดนตรีควรเริ่มจาก ‘ประสบการณ์ตรง’ ไม่ใช่จากตำรา” แนวทางนี้ได้รับแรงบันดาลใจจากกระบวนการเรียนรู้ทางภาษาธรรมชาติของมนุษย์ ซึ่งเรา “ฟังก่อนจะพูด”



และ “เข้าใจก่อนจะสะกดคำ” เช่นเดียวกับดนตรี แนวคิดนี้เชื่อว่า “เด็กควรได้เล่น ได้ฟัง ได้รู้สึก…ก่อนที่เขาจะเข้าใจทฤษฎี”



ระบบการสอนที่ยึดแนวคิดนี้ เช่น 𝗦𝘂𝘇𝘂𝗸𝗶 𝗠𝗲𝘁𝗵𝗼𝗱, 𝗢𝗿𝗳𝗳 𝗦𝗰𝗵𝘂𝗹𝘄𝗲𝗿𝗸, หรือ 𝗦𝗼𝘂𝗻𝗱-𝗯𝗲𝗳𝗼𝗿𝗲-𝘀𝘆𝗺𝗯𝗼𝗹 ต่างให้ความสำคัญกับ “ประสบการณ์เสียง” เป็นอันดับแรก เน้นให้เด็กได้สัมผัสดนตรีผ่านร่างกาย ผ่านหู และผ่านการมีส่วนร่วมจริง



 พื้นฐานของแนวคิด:


๐ ให้เด็ก เรียนรู้โดยการลงมือทำ เหมือนกับเด็กเล็กที่เรียนภาษาจากการเลียนเสียง



๐ กระตุ้นให้เด็กใช้ “หูนำมือ” → ฟังก่อน แล้วจึงเล่นตาม



๐ สร้าง “ความเข้าใจจากข้างใน” (𝗶𝗻𝘁𝗲𝗿𝗻𝗮𝗹𝗶𝘇𝗲𝗱 𝘂𝗻𝗱𝗲𝗿𝘀𝘁𝗮𝗻𝗱𝗶𝗻𝗴) ก่อนจะใส่คำอธิบายภายหลัง



 ข้อดีของแนวนี้มีความน่าสนใจมาก:


๐ เด็กมีความสุขกับเสียงดนตรีตั้งแต่วันแรก→ ไม่ถูกกดดันด้วยการสอบหรือเกณฑ์แบบแห้งแล้ง→ เกิดการเรียนรู้แบบ “𝗷𝗼𝘆𝗳𝘂𝗹 𝗹𝗲𝗮𝗿𝗻𝗶𝗻𝗴” ซึ่งส่งผลระยะยาวต่อทัศนคติดนตรี



๐ เกิดการจดจำแบบ 𝗲𝗺𝗯𝗼𝗱𝗶𝗲𝗱 (ฝังในร่างกาย) การเล่นซ้ำๆ โดยไม่พึ่งโน้ต ช่วยให้ทักษะฝังลึกในกล้ามเนื้อและการรับรู้ → เด็กจะ “เล่นจากข้างใน” มากกว่าแค่ “เล่นตามหน้ากระดาษ”



๐ พัฒนาการฟังอย่างลึกซึ้ง เมื่อหูคืออวัยวะแรกในการเรียนรู้ ดนตรีจะไม่ใช่แค่ 𝘃𝗶𝘀𝘂𝗮𝗹 แต่กลายเป็นประสบการณ์ที่ล้อมรอบทั้งตัว



๐ สร้างความสัมพันธ์กับเครื่องดนตรีอย่างเป็นธรรมชาติ เด็กจะไม่มองเครื่องดนตรีเป็น “วัตถุแปลกหน้า” ที่ต้องพิชิต แต่เป็น “เพื่อน” ที่เขาคุ้นเคยและรัก



อย่างไรก็ตาม แนวทางนี้ก็มีความท้าทายที่สำคัญ:


๐ หากไม่มีการเสริมทฤษฎีภายหลัง เด็กอาจเข้าใจเฉพาะสิ่งที่เล่นได้ แต่ไม่สามารถอธิบายหรือวิเคราะห์สิ่งนั้นได้→ เช่น เล่นได้เก่ง แต่ไม่รู้ว่า 𝗸𝗲𝘆 ที่เล่นอยู่คืออะไร, ทำไมคอร์ดนี้ถึงมาอยู่ตรงนี้



๐ เมื่อเข้าสู่บริบทที่ซับซ้อน เช่น วงดุริยางค์ หรือการสอบ การไม่สามารถอ่านโน้ตหรือวิเคราะห์ฟอร์ม อาจเป็นข้อจำกัดที่สำคัญ → เด็กอาจรู้สึกไม่มั่นใจเมื่อต้องใช้ “ภาษาดนตรีเชิงสัญลักษณ์”



๐ ความแตกต่างของครู ก็เป็นปัจจัย เพราะแนวนี้ต้องอาศัยครูที่สามารถ “อธิบายจากประสบการณ์จริง” ได้ ไม่ใช่แค่ตามตำรา→ ถ้าครูไม่เชี่ยวชาญในการสื่อสารผ่านเสียง เด็กอาจไม่ได้เรียนรู้เชิงลึก



แนวทางนี้จึงเหมาะกับการ สร้างความรักในดนตรีตั้งแต่ต้น โดยเฉพาะในช่วงปฐมวัยหรือระดับประถม ซึ่งเป็นช่วงที่เด็กยังไม่มีความสามารถในการคิดเชิงนามธรรมสูง การเริ่มจาก “เสียงและร่างกาย” จะช่วยวางรากฐานทางอารมณ์และความรู้สึกที่มั่นคง



และเมื่อเด็กเริ่มมีความสนใจ หรือถามเองว่า “เสียงนี้คืออะไร?” นั่นแหละคือช่วงเวลาที่ทฤษฎีจะ “เกิดขึ้นจากความอยากรู้” ไม่ใช่แค่การบังคับจำ



ในภาพรวม แนวทางที่เริ่มจากการ “เล่นก่อน” ไม่ได้แปลว่า “ทิ้งทฤษฎี” แต่คือการ เลื่อนลำดับของการให้ เพื่อให้ทฤษฎีเกิดจากประสบการณ์ ไม่ใช่ตัดขาดจากมัน



𝟰. งานวิจัยที่เกี่ยวข้อง: เมื่อทฤษฎีไม่ได้เริ่มที่ "#หนังสือ" แต่เริ่มที่ "#หู"



คำถามว่า "#ทฤษฎีควรเรียนก่อนหรือหลังการเล่นจริง" ไม่ได้เป็นแค่ความเห็นของครูหรือผู้ปกครองเท่านั้น แต่งานวิจัยจำนวนมากก็พยายามหาคำตอบในเชิงวิทยาศาสตร์ ว่า สมองของมนุษย์เรียนรู้ดนตรีอย่างไร และอะไรทำให้เด็กบางคน “เข้าใจดนตรีจากข้างใน” ขณะที่บางคน “จำได้ แต่ไม่รู้ว่ากำลังเล่นอะไรอยู่”



 𝗗𝗿. 𝗘𝗱𝘄𝗶𝗻 𝗚𝗼𝗿𝗱𝗼𝗻 กับแนวคิด 𝗠𝘂𝘀𝗶𝗰 𝗟𝗲𝗮𝗿𝗻𝗶𝗻𝗴 𝗧𝗵𝗲𝗼𝗿𝘆



หนึ่งในนักวิจัยสำคัญที่พูดถึงเรื่องนี้คือ 𝗗𝗿. 𝗘𝗱𝘄𝗶𝗻 𝗚𝗼𝗿𝗱𝗼𝗻 ผู้พัฒนาแนวคิดที่ชื่อว่า 𝗠𝘂𝘀𝗶𝗰 𝗟𝗲𝗮𝗿𝗻𝗶𝗻𝗴 𝗧𝗵𝗲𝗼𝗿𝘆 (𝗠𝗟𝗧) แนวคิดหลักของเขาคือ


“ก่อนเด็กจะเข้าใจทฤษฎีได้จริง… เขาต้อง ‘ได้ยินดนตรีในใจ’ ก่อน”



เขาเรียกสิ่งนี้ว่า 𝗔𝘂𝗱𝗶𝗮𝘁𝗶𝗼𝗻 คือกระบวนการที่สมอง “นึก” หรือ “ได้ยินเสียงดนตรี” ภายในใจ แม้ไม่มีเสียงจริงอยู่ตรงหน้า เป็นทักษะเดียวกับที่เรานึกออกว่า “𝗛𝗮𝗽𝗽𝘆 𝗕𝗶𝗿𝘁𝗵𝗱𝗮𝘆” มีเสียงยังไง แม้ไม่มีเครื่องดนตรีอยู่เลย



𝗚𝗼𝗿𝗱𝗼𝗻 ชี้ว่า หากเด็ก ยังไม่มี 𝗮𝘂𝗱𝗶𝗮𝘁𝗶𝗼𝗻 แต่ครูเริ่มสอนทฤษฎี เช่น 𝗸𝗲𝘆, 𝘁𝗶𝗺𝗲 𝘀𝗶𝗴𝗻𝗮𝘁𝘂𝗿𝗲, 𝗶𝗻𝘁𝗲𝗿𝘃𝗮𝗹𝘀 สิ่งที่เกิดขึ้นคือ:



  เด็กจะ “จำกฎ” แต่ไม่รู้ว่า “เสียงเป็นอย่างไร”


  การเรียนดนตรีกลายเป็น “การท่องศัพท์” มากกว่าการสื่อสาร


  เด็กอาจสอบผ่าน แต่ไม่มีความสามารถในการ “เล่นจากความเข้าใจ”



ในทางกลับกัน หากเด็กได้พัฒนา 𝗮𝘂𝗱𝗶𝗮𝘁𝗶𝗼𝗻 ผ่านการฟัง เล่น และ 𝗶𝗺𝗽𝗿𝗼𝘃𝗶𝘀𝗮𝘁𝗶𝗼𝗻 การเรียนทฤษฎีจะ “มีที่เกาะ” ในสมอง เพราะทุกคำอธิบายสามารถ “โยงกับเสียงจริง” ที่เขาเคยสัมผัสมาแล้ว



***อ้างอิง: 𝗚𝗼𝗿𝗱𝗼𝗻, 𝗘. 𝗘. (𝟮𝟬𝟬𝟭). 𝗣𝗿𝗲𝗽𝗮𝗿𝗮𝘁𝗼𝗿𝘆 𝗮𝘂𝗱𝗶𝗮𝘁𝗶𝗼𝗻, 𝗮𝘂𝗱𝗶𝗮𝘁𝗶𝗼𝗻, 𝗮𝗻𝗱 𝗺𝘂𝘀𝗶𝗰 𝗹𝗲𝗮𝗿𝗻𝗶𝗻𝗴 𝘁𝗵𝗲𝗼𝗿𝘆. 𝗚𝗜𝗔 𝗣𝘂𝗯𝗹𝗶𝗰𝗮𝘁𝗶𝗼𝗻𝘀.



 𝗝𝗲𝗮𝗻𝗻𝗲 𝗕𝗮𝗺𝗯𝗲𝗿𝗴𝗲𝗿: การทดลองเสียงสำคัญกว่าการท่องสูตร



นักวิจัยอีกคนหนึ่งที่ให้ข้อมูลลึกซึ้งคือ 𝗝𝗲𝗮𝗻𝗻𝗲 𝗕𝗮𝗺𝗯𝗲𝗿𝗴𝗲𝗿 จาก 𝗠𝗜𝗧 ซึ่งศึกษาเรื่อง “วิธีคิดทางดนตรีของเด็ก”



ในงานวิจัยของเธอ 𝗕𝗮𝗺𝗯𝗲𝗿𝗴𝗲𝗿 ให้เด็กกลุ่มหนึ่งลอง "ทดลองเสียง" ด้วยตัวเอง ก่อนจะให้พวกเขาเรียนรู้แนวคิดเชิงทฤษฎี เช่น ฟอร์มดนตรี หรือโครงสร้างคอร์ด ผลที่ได้คือ เด็กที่ได้ลอง “สร้างเสียง” ก่อน สามารถเข้าใจภาพรวมและความสัมพันธ์ขององค์ประกอบทางดนตรีได้ดีกว่า



ในขณะที่อีกกลุ่ม ที่ถูก “อธิบายทฤษฎีก่อน” โดยไม่ได้ลองเล่นหรือฟังมากพอ แม้จะท่องได้ดี…แต่กลับ วิเคราะห์ไม่ลึก เพราะไม่เข้าใจความสัมพันธ์เชิงประสบการณ์ของเสียงเหล่านั้น



งานของเธอยังชี้ว่า:


การให้เด็ก "คิดกับเสียง" ด้วยมือของตัวเอง เป็นกระบวนการสร้างความรู้ที่มีพลังยิ่งกว่าการให้ “ข้อมูลสำเร็จรูป”



***อ้างอิง 𝗕𝗮𝗺𝗯𝗲𝗿𝗴𝗲𝗿, 𝗝. (𝟮𝟬𝟬𝟬). 𝗗𝗲𝘃𝗲𝗹𝗼𝗽𝗶𝗻𝗴 𝗺𝘂𝘀𝗶𝗰𝗮𝗹 𝗶𝗻𝘁𝘂𝗶𝘁𝗶𝗼𝗻𝘀: 𝗔 𝗽𝗿𝗼𝗷𝗲𝗰𝘁-𝗯𝗮𝘀𝗲𝗱 𝗶𝗻𝘁𝗿𝗼𝗱𝘂𝗰𝘁𝗶𝗼𝗻 𝘁𝗼 𝗺𝗮𝗸𝗶𝗻𝗴 𝗮𝗻𝗱 𝘂𝗻𝗱𝗲𝗿𝘀𝘁𝗮𝗻𝗱𝗶𝗻𝗴 𝗺𝘂𝘀𝗶𝗰. 𝗢𝘅𝗳𝗼𝗿𝗱 𝗨𝗻𝗶𝘃𝗲𝗿𝘀𝗶𝘁𝘆 𝗣𝗿𝗲𝘀𝘀.



 บทสรุปจากงานวิจัยเหล่านี้


๐ การเรียนดนตรีที่ดี ไม่ควรแยกเสียงออกจากทฤษฎี


๐ เด็กควร “ได้ยิน” และ “รู้สึก” ก่อนที่จะ “เข้าใจภาษาสัญลักษณ์”


๐ เมื่อเสียงกับทฤษฎีเชื่อมโยงกัน → เด็กจะสร้างความเข้าใจที่มั่นคงและนำไปใช้จริงได้



เหมือนกับการเรียนภาษา เด็กต้อง “พูดได้ก่อน” แล้วค่อยมาเรียนว่า…คำที่เขาพูดนั้น สะกดว่าอะไร ใช้กฎไวยากรณ์แบบไหน



ในโลกของการสอนดนตรี เราจึงควรถามตัวเองเสมอว่า...


๐ เรากำลังสอนให้เด็ก “เข้าใจเสียง” หรือแค่ “เข้าใจโน้ต”?


๐ เรากำลังให้เด็ก “ฟังจากข้างใน” หรือแค่ “อ่านจากกระดาษ”?


เพราะถ้าเราอยากสร้างนักดนตรีที่ โตได้แม้ไม่มีโน้ตอยู่ตรงหน้า เราต้องสอนให้เขา คิดดนตรีได้ด้วยหูและใจ ไม่ใช่แค่ด้วยตาและสูตรเท่านั้น



𝟱. แล้วควรเรียนอะไรก่อน?



บางครั้ง…คำถามที่เราควรถาม อาจไม่ใช่ “อะไรก่อน” แต่อาจเป็น “จะสอนยังไงให้เด็ก สร้างความหมายเอง ได้?”



ในอดีต คำถามว่า “ควรเริ่มจากทฤษฎีก่อน หรือให้เด็กได้เล่นก่อน?” มักถูกมองว่าเป็นทางเลือกแบบ สองทาง แต่หากมองลึกกว่านั้น คำถามนี้สะท้อน มุมมองต่อการเรียนรู้ของมนุษย์ เลยทีเดียว



ในโลกการศึกษาปัจจุบัน โดยเฉพาะแนวคิด 𝗖𝗼𝗻𝘀𝘁𝗿𝘂𝗰𝘁𝗶𝘃𝗶𝘀𝗺 นักการศึกษาอย่าง 𝗝𝗲𝗮𝗻 𝗣𝗶𝗮𝗴𝗲𝘁 และ 𝗟𝗲𝘃 𝗩𝘆𝗴𝗼𝘁𝘀𝗸𝘆 เสนอว่า



“ความรู้ที่แท้จริง ไม่ได้มาจากการ ‘รับ’ ข้อมูลจากครู แต่เกิดจากการที่ผู้เรียน ‘สร้างความหมาย’ จากประสบการณ์ด้วยตัวเอง”



ดังนั้น คำถามจึงไม่ใช่  เราจะเริ่มจากทฤษฎีหรือการเล่นดี? แต่ควรเปลี่ยนเป็น  เราจะ ออกแบบประสบการณ์ ยังไงให้เด็ก “สร้างความเข้าใจจากเสียงจริง”?



***อ้างอิง:


𝗣𝗶𝗮𝗴𝗲𝘁, 𝗝. (𝟭𝟵𝟳𝟮). 𝗧𝗵𝗲 𝗽𝘀𝘆𝗰𝗵𝗼𝗹𝗼𝗴𝘆 𝗼𝗳 𝘁𝗵𝗲 𝗰𝗵𝗶𝗹𝗱. 𝗕𝗮𝘀𝗶𝗰 𝗕𝗼𝗼𝗸𝘀.


𝗩𝘆𝗴𝗼𝘁𝘀𝗸𝘆, 𝗟. 𝗦. (𝟭𝟵𝟳𝟴). 𝗠𝗶𝗻𝗱 𝗶𝗻 𝘀𝗼𝗰𝗶𝗲𝘁𝘆: 𝗧𝗵𝗲 𝗱𝗲𝘃𝗲𝗹𝗼𝗽𝗺𝗲𝗻𝘁 𝗼𝗳 𝗵𝗶𝗴𝗵𝗲𝗿 𝗽𝘀𝘆𝗰𝗵𝗼𝗹𝗼𝗴𝗶𝗰𝗮𝗹 𝗽𝗿𝗼𝗰𝗲𝘀𝘀𝗲𝘀 (𝗠. 𝗖𝗼𝗹𝗲, 𝗩. 𝗝𝗼𝗵𝗻-𝗦𝘁𝗲𝗶𝗻𝗲𝗿, 𝗦. 𝗦𝗰𝗿𝗶𝗯𝗻𝗲𝗿, & 𝗘. 𝗦𝗼𝘂𝗯𝗲𝗿𝗺𝗮𝗻, 𝗘𝗱𝘀. & 𝗧𝗿𝗮𝗻𝘀.). 𝗛𝗮𝗿𝘃𝗮𝗿𝗱 𝗨𝗻𝗶𝘃𝗲𝗿𝘀𝗶𝘁𝘆 𝗣𝗿𝗲𝘀𝘀. (𝗢𝗿𝗶𝗴𝗶𝗻𝗮𝗹 𝘄𝗼𝗿𝗸 𝗽𝘂𝗯𝗹𝗶𝘀𝗵𝗲𝗱 𝟭𝟵𝟯𝟬𝘀)





ในชั้นเรียนดนตรีที่เน้นสอบหรือแข่งขัน. เรามักเห็นครูเริ่มจากสอน 𝗸𝗲𝘆 𝘀𝗶𝗴𝗻𝗮𝘁𝘂𝗿𝗲, 𝗰𝗵𝗼𝗿𝗱 𝘀𝘁𝗿𝘂𝗰𝘁𝘂𝗿𝗲, 𝗶𝗻𝘁𝗲𝗿𝘃𝗮𝗹, 𝘁𝗶𝗺𝗲 𝘀𝗶𝗴𝗻𝗮𝘁𝘂𝗿𝗲 ฯลฯ



แม้สิ่งเหล่านี้จะเป็นเครื่องมือที่จำเป็น แต่ถ้าสอนแยกจากเสียง หรือไม่โยงกับสิ่งที่เด็กกำลังเล่นอยู่ ทฤษฎีก็จะกลายเป็น “ชุดคำศัพท์” ที่ว่างเปล่า



 ทฤษฎี = เครื่องมืออธิบายประสบการณ์



ทฤษฎีทางดนตรีควรเป็นสิ่งที่ “เกิดขึ้นภายหลัง” เพื่ออธิบายสิ่งที่เด็กได้ยิน ได้สัมผัส ได้ลงมือเล่น เพราะเมื่อเด็กมีประสบการณ์ก่อน ทฤษฎีจะกลายเป็น แว่นขยาย ที่ทำให้พวกเขา “เข้าใจลึกขึ้น” ไม่ใช่ “สับสนมากขึ้น”



และเมื่อเข้าใจแบบนี้แล้ว. ครูก็ไม่จำเป็นต้อง “เลือกระบบใดระบบหนึ่ง” แต่สามารถ ออกแบบการเรียนรู้แบบผสมผสาน ได้อย่างมีความหมาย



 วิธีประยุกต์ในห้องเรียนจริง


๐ ให้เด็ก 𝗶𝗺𝗽𝗿𝗼𝘃𝗶𝘀𝗲 หรือแต่ง 𝗿𝗵𝘆𝘁𝗵𝗺 เอง จาก 𝗯𝗼𝗱𝘆 𝗽𝗲𝗿𝗰𝘂𝘀𝘀𝗶𝗼𝗻 แล้วจึงใช้ 𝗻𝗼𝘁𝗮𝘁𝗶𝗼𝗻 มา “ถอด” ว่าเขาเล่นอะไร



๐ เมื่อสอน 𝘀𝗰𝗮𝗹𝗲 หรือ 𝗺𝗼𝗱𝗲 ให้เด็กฟังก่อน → เดินเสียงบนเครื่องดนตรี → แล้วค่อยเขียนสูตร



๐ เวลาฝึก 𝗲𝗻𝘀𝗲𝗺𝗯𝗹𝗲ให้เด็กฟังภาพรวม → คิดว่าแต่ละคนมีหน้าที่อะไรใน 𝗴𝗿𝗼𝗼𝘃𝗲 แล้วค่อยวิเคราะห์ว่าเป็น 𝗿𝗼𝗹𝗲 แบบไหน (𝗺𝗲𝗹𝗼𝗱𝗶𝗰, 𝗿𝗵𝘆𝘁𝗵𝗺𝗶𝗰, 𝗵𝗮𝗿𝗺𝗼𝗻𝗶𝗰)



๐ เปลี่ยนโจทย์จาก “จำตามครู” → เป็น “คุณคิดว่าเสียงนี้คืออะไร?”



คำตอบอาจไม่ใช่ “ทฤษฎีก่อน” หรือ “ปฏิบัติก่อน” แต่คือการ หลอมสองสิ่งนี้เข้าด้วยกันอย่างเป็นธรรมชาติ



  ให้เด็ก เล่นจริง → เพื่อรู้สึกดนตรีในร่างกาย


  ให้เด็ก ฟังจริง → เพื่อเกิด 𝗮𝘂𝗱𝗶𝗮𝘁𝗶𝗼𝗻 ในใจ


  แล้วจึง สรุปความรู้ → เพื่อเชื่อมโยงกับภาษาทางดนตรี



เพราะสุดท้าย…


ทฤษฎีดนตรีที่ดีที่สุด คือทฤษฎีที่ เกิดขึ้นจากการฟังเสียงตัวเองอย่างลึกซึ้ง



บทสรุป การเรียนดนตรี ไม่ว่าจะเป็นการเรียนเพื่อเป็นมืออาชีพ หรือเพื่อพัฒนาทักษะด้านศิลปะส่วนตัว เราควรมองว่า “ทฤษฎี” กับ “การเล่น” ไม่ใช่สิ่งที่แยกออกจากกัน แต่เป็นสิ่งที่ควรเดินคู่กันอย่างมีจังหวะ และส่งเสริมกันไปอย่างเป็นธรรมชาติ



ทฤษฎีไม่ควร “อยู่เหนือ” การเล่น



เพราะเมื่อทฤษฎีกลายเป็นกฎตายตัว นักเรียนจะเริ่ม “กลัวที่จะเล่นผิด” มากกว่ากล้าที่จะทดลองเสียงใหม่ ๆ ในบางห้องเรียน เด็กบางคนอาจเล่นอย่างแม่นยำตามโน้ต แต่อาจไม่กล้าออกนอกกรอบ เพราะกลัวจะ “ไม่ถูกต้องตามทฤษฎี” นี่คือจุดที่ทฤษฎีอาจกลายเป็นกรอบที่จำกัด ไม่ใช่สะพานที่เปิดทาง



การเน้นทฤษฎีมากเกินไปอาจทำให้ผู้เรียนหลงทางในศัพท์ทางดนตรี เช่น 𝗰𝗵𝗼𝗿𝗱 𝗶𝗻𝘃𝗲𝗿𝘀𝗶𝗼𝗻, 𝘀𝘂𝘀𝗽𝗲𝗻𝘀𝗶𝗼𝗻, 𝗺𝗼𝗱𝗲 ต่าง ๆ โดยที่ยังไม่เคยรู้สึก “อยากใช้” สิ่งเหล่านั้นจริง ๆ การเรียนทฤษฎีควรเกิดจากแรงบันดาลใจที่ว่า “เรากำลังเล่นอะไรอยู่ และอยากเข้าใจมันมากขึ้น” ไม่ใช่จากแรงกดดันว่า “ต้องรู้ เพราะจะสอบ”



และการเล่นก็ไม่ควร “ไร้ความเข้าใจ”



การปล่อยให้เด็กเล่นดนตรีโดยไม่ให้คำอธิบาย หรือไม่พาให้เขาเข้าใจว่า “สิ่งที่เล่นมีหลักการอย่างไร” อาจนำไปสู่การเล่นแบบจำอย่างเดียว (𝗿𝗼𝘁𝗲 𝗹𝗲𝗮𝗿𝗻𝗶𝗻𝗴) ซึ่งเมื่อวันหนึ่งเขาเจอรูปแบบใหม่ หรือโจทย์ที่เปลี่ยนแปลงเพียงเล็กน้อย เขาอาจไม่สามารถปรับตัวได้



การฟังและการรู้สึกเป็นทักษะที่ดี แต่หากไม่มีกรอบความคิดที่ช่วยจัดระเบียบประสบการณ์เหล่านั้น เด็กก็อาจไม่สามารถอธิบายสิ่งที่เขาทำได้ ซึ่งจะทำให้การเติบโตทางดนตรีจำกัดอยู่แค่ “ประสบการณ์เฉพาะหน้า” ไม่ใช่ “ความเข้าใจที่ถ่ายโอนได้”



ดนตรีที่ดี…ควรเป็นทั้ง “#ประสบการณ์” และ “#ภาษา



เพราะดนตรีไม่ใช่แค่เสียงสวย ๆ ที่ลอยในอากาศ แต่คือระบบสื่อสารที่มีไวยากรณ์ของตัวเอง มีโครงสร้าง มีความตั้งใจ และมีเรื่องราวเบื้องหลัง การที่เด็กจะเติบโตเป็นนักดนตรีที่สามารถสื่อสารได้ลึกและหลากหลาย จึงต้องได้รับทั้ง “ประสบการณ์” และ “ภาษาดนตรี”



เมื่อเราสอนให้เขาเล่นได้ รู้สึกได้ และฟังเป็น เราได้ปลูกฝังความรัก เมื่อเราสอนให้เขาเข้าใจหลักการ เราได้สร้างเครื่องมือให้เขาต่อยอด แต่เมื่อเราสามารถ เชื่อมสองสิ่งนี้เข้าด้วยกัน—เรากำลังพาเขา “เรียนรู้ดนตรีในแบบที่เป็นมนุษย์”



การออกแบบการเรียนรู้ดนตรีที่ยั่งยืน ควรทำให้ผู้เรียนได้:


  เล่นจริง → ไม่ใช่แค่ฝึกนิ้ว แต่ได้แสดงออก ได้ทดลอง ได้ล้มเหลวบ้างและเรียนรู้จากมัน



  ฟังจริง → ฟังทั้งตัวเอง ฟังเพื่อน ฟังวง ฟังว่าอะไรเกิดขึ้นในเสียงดนตรี



  รู้สึกจริง → รู้ว่าเสียงไหนทำให้ใจเต้น เสียงไหนสร้างอารมณ์ เสียงไหนมีน้ำหนัก



  เข้าใจจริง → เข้าใจว่าทุกสิ่งมีที่มา มีระบบ และมีความเชื่อมโยงที่ลึกกว่าที่ตามองเห็น



ทฤษฎีดนตรีในฐานะ “#ภาษาที่อธิบายเสียง



ในที่สุดแล้ว ทฤษฎีไม่ใช่ “#เครื่องมือควบคุม” การเล่น แต่มันคือ “#ภาษาที่ช่วยให้เราเข้าใจสิ่งที่กำลังเกิดขึ้น” และอธิบายต่อคนอื่นได้อย่างชัดเจนขึ้น เหมือนกับการเรียนรู้ว่า “เสียงนี้คือ 𝗚𝟳” มันไม่ใช่แค่ชื่อคอร์ด แต่มันคืออารมณ์ ความตึงเครียด และทิศทางของเสียงที่กำลังจะเคลื่อนไป ทฤษฎีจึงไม่ใช่ภาระ แต่คือพจนานุกรมทางอารมณ์ของเสียงดนตรี

 
 
 

Comments


bottom of page