top of page
Search

จากนักเรียนสู่ศิลปิน: จุดที่คุณเริ่ม ‘ใช้เสียงของตัวเอง’

  • Writer: Dr.Kasem THipayametrakul
    Dr.Kasem THipayametrakul
  • 12 minutes ago
  • 4 min read


นักดนตรีทุกคนเริ่มต้นจากการเป็น "นักเรียน" เรียนรู้ 𝘀𝗰𝗮𝗹𝗲, 𝗿𝘂𝗱𝗶𝗺𝗲𝗻𝘁, เทคนิคต่าง ๆ เหมือนกันหมด ไม่ว่าจะเป็นนักกลอง นักกีตาร์ นักร้อง หรือนักแต่งเพลง จุดเริ่มต้นคือการ "ทำตาม"



แต่เมื่อเวลาผ่านไป จะมีบางคนที่ค่อย ๆ แยกตัวออกจากบทเรียนที่เคยแม่นยำ พวกเขาเริ่มเปลี่ยนจังหวะ เปลี่ยนสำเนียง เติมบางอย่างลงไปโดยไม่มีในโน้ต และนั่นคือจุดเริ่มต้นของการ "พูดด้วยเสียงของตัวเอง"



บทความนี้จะพาคุณสำรวจเส้นทางจาก "นักเรียน" สู่ "ศิลปิน" กระบวนการที่ไม่ได้เกี่ยวแค่กับเทคนิค แต่ลึกลงไปถึงความรู้สึก ความตั้งใจ และการฟังเสียงภายในของตัวเอง



𝟭. #นักเรียน: ผู้ทำตามอย่างเข้าใจ ♫



บทบาทของนักเรียนในเส้นทางดนตรีไม่ควรถูกมองว่าเล็กน้อยหรือด้อยความหมาย เพราะนี่คือช่วงเวลาแห่งการวางรากฐานให้แข็งแรง เป็นจุดที่ทุกเสียง ทุกโน้ต และทุกจังหวะต้องผ่านกระบวนการเรียนรู้ การท่องจำ และการฝึกซ้ำๆ เพื่อให้สิ่งเหล่านั้นฝังลึกลงในร่างกายและความรู้สึก จนกลายเป็น “ภาษาแม่” ทางดนตรี



นักเรียนที่ตั้งใจจะเติบโต มักมีลักษณะร่วมบางประการ:



๐ ฝึกกับ 𝗺𝗲𝘁𝗿𝗼𝗻𝗼𝗺𝗲 อย่างสม่ำเสมอ เพื่อปลูกฝังความรู้สึกเรื่อง 𝘁𝗶𝗺𝗲 และ 𝘁𝗲𝗺𝗽𝗼 ซึ่งเป็นหัวใจของการเล่นร่วมกับคนอื่น



๐ สามารถตี 𝗿𝘂𝗱𝗶𝗺𝗲𝗻𝘁 ได้หลายแบบ ทั้ง 𝘀𝗶𝗻𝗴𝗹𝗲 𝘀𝘁𝗿𝗼𝗸𝗲, 𝗱𝗼𝘂𝗯𝗹𝗲 𝘀𝘁𝗿𝗼𝗸𝗲, 𝗽𝗮𝗿𝗮𝗱𝗶𝗱𝗱𝗹𝗲, 𝗳𝗹𝗮𝗺 ฯลฯ และสามารถควบคุมให้แม่นยำในความเร็วต่าง ๆ ได้



๐ เข้าใจทฤษฎีเบื้องต้นอย่างแน่นหนา ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของ 𝗸𝗲𝘆, 𝘀𝗰𝗮𝗹𝗲, 𝗰𝗵𝗼𝗿𝗱 𝗽𝗿𝗼𝗴𝗿𝗲𝘀𝘀𝗶𝗼𝗻, 𝘀𝗼𝗻𝗴 𝗳𝗼𝗿𝗺 หรือ 𝗱𝘆𝗻𝗮𝗺𝗶𝗰



๐ สามารถเล่น 𝗴𝗿𝗼𝗼𝘃𝗲 หรือ 𝗳𝗶𝗹𝗹-𝗶𝗻 ได้ตรงกับต้นฉบับ จนแทบจะแยกไม่ออกว่าใครเป็นคนเล่น



ทั้งหมดนี้คือเครื่องมือที่นักเรียนดนตรีจำเป็นต้องมี ไม่ใช่เพื่อการโชว์ทักษะในตัวมันเอง แต่เพื่อสร้าง “คลังคำศัพท์” ให้มากพอที่จะสื่อสารได้หลากหลายเมื่อถึงเวลาจริง เปรียบเหมือนกับการเรียนภาษา: คุณอาจพูดชัดเจนตามหลักไวยากรณ์ แต่ถ้ายังพูดเหมือนหนังสือเรียน ยังไม่มีจังหวะ ลีลา หรือสำเนียงเป็นของตัวเอง คุณก็ยังอยู่ในขั้นของ “ผู้ทำตามอย่างเข้าใจ” มากกว่าผู้ “ใช้ภาษาเพื่อสื่อสารตัวตน”



ช่วงเวลานี้สำคัญเพราะมันให้ความมั่นใจและความชัดเจนกับนักเรียนว่าพวกเขา “ทำได้” แต่ความท้าทายคือ ถ้าคุณหยุดอยู่แค่ขั้นนี้ คุณจะกลายเป็นเพียงผู้เล่นที่ดี แต่ไม่ใช่ผู้พูดที่มีเอกลักษณ์ เพราะคุณยังไม่ได้ใส่ “เสียงของตัวเอง” ลงไปในสิ่งที่คุณเล่น



สิ่งที่ควรถามตัวเองในช่วงนี้คือ:



“สิ่งที่ฉันฝึกอยู่ตอนนี้ มันช่วยให้ฉันเข้าใจดนตรีมากขึ้น หรือแค่ทำให้ฉันเล่นได้เหมือนคนอื่นมากขึ้น?”



𝟮. #ศิลปิน: ผู้กล้าทำลายกฎอย่างมีจุดยืน ♫



หลังจากที่คุณผ่านช่วงการเรียนรู้กฎเกณฑ์อย่างเคร่งครัดมาจนเข้าใจลึกซึ้งแล้ว คุณจะเริ่มรู้สึกว่า "การเล่นให้ถูก" อย่างเดียวไม่เพียงพออีกต่อไป ความรู้สึกข้างในจะเริ่มกระซิบถามว่า



“ทำไมมันต้องเป็นแบบนี้?” “ถ้ามันไม่ใช่แบบนี้…จะเกิดอะไรขึ้น?” “ถ้าเราลองเปลี่ยน มันจะรู้สึกยังไง?”



นี่คือจุดเปลี่ยนสำคัญ จุดที่คุณไม่ได้แค่ “ทำตาม” แต่เริ่ม “สร้างคำถาม” และ “ทดลอง” โดยมีเสียงในใจของคุณเองเป็นเข็มทิศ



คุณอาจเริ่มจากการตั้งคำถามเล็ก ๆ เช่น:



๐ ทำไม 𝗴𝗿𝗼𝗼𝘃𝗲 นี้ต้องอยู่ตรงนี้? ลองขยับมันไปอีกครึ่งจังหวะจะเกิดอะไรขึ้น?



๐ ทำไม 𝗳𝗶𝗹𝗹-𝗶𝗻 ต้องเข้า 𝗯𝗲𝗮𝘁 𝟰 เสมอ? ถ้าเราปล่อยให้มัน "เลท" หน่อย มันจะเพิ่มความรู้สึกอะไรได้บ้าง?



๐ ทำไมเพลงนี้ต้องขึ้น 𝗸𝗲𝘆 นี้? ถ้าลดลงครึ่งเสียง มันจะเศร้าขึ้นไหม?



เมื่อคำถามเหล่านี้ไม่ใช่การขัดขืนเพื่อแสดงอัตตา แต่คือการแสวงหาน้ำเสียงที่แท้จริงของตัวเอง คุณกำลังก้าวจาก "นักเรียน" สู่ "ศิลปิน"



ศิลปินไม่ได้กลัวความผิดพลาด เพราะเขารู้ว่าเสียงที่ผิดในมาตรฐาน อาจกลายเป็นเสียงที่ “ใช่” ในบริบทของหัวใจ



เขาไม่ได้สนแค่ว่า “ต้องแม่น” หรือ “ตรงกับต้นฉบับ” แต่เขาสนใจว่า “นี่คือสิ่งที่ฉันรู้สึกจริงหรือเปล่า” เขาไม่ได้ตีเพื่อผ่านข้อสอบ แต่ตีเพื่อ “สื่อสารอะไรบางอย่างกับใครบางคน”



ในจุดนี้เอง คุณจะเริ่มกล้าตี 𝗴𝗿𝗼𝗼𝘃𝗲 ที่คุณคิดขึ้นเอง แม้มันจะไม่ซับซ้อน



คุณจะเริ่มกล้าเว้นจังหวะในจุดที่ไม่มีใครคิดว่าจะเว้น เพราะคุณเชื่อใน “พื้นที่เงียบ” นั้น คุณจะเริ่มสร้าง 𝗳𝗶𝗹𝗹 ที่ไม่ได้โชว์ความเร็ว แต่อธิบายอารมณ์ของเพลงในแบบที่คำพูดทำไม่ได้



นี่แหละคือจุดเริ่มต้นของการมี “น้ำเสียง” เป็นของตัวเอง จุดที่คุณไม่ได้ยึดติดกับกฎ แต่ก็ไม่ได้ทำลายมันอย่างมืดบอด คุณเพียงใช้มันเป็น “ทางผ่าน” เพื่อเดินไปให้ไกลกว่าที่กฎเคยพาไป



เพราะศิลปินไม่ใช่คนที่รู้ทุกกฎ แต่คือคนที่รู้ว่าจะ "ไม่ใช้" กฎนั้นเมื่อไหร่…และทำไม



𝟯. ความแตกต่างของ ‘#เสียงที่ดี’ กับ ‘#เสียงที่ใช่’ ♫



ในยุคที่เครื่องดนตรีทุกชิ้นสามารถปรับจูนให้ออกมาคม ชัด ตรง 𝘁𝗲𝗺𝗽𝗼 ได้แทบจะสมบูรณ์แบบ คำว่า “เสียงดี” กลายเป็นเป้าหมายของนักดนตรีจำนวนมาก โดยเฉพาะมือกลองที่มักโฟกัสกับโทน, การจูนกลอง, การจิ้มไมค์, การตีให้ได้แรงเท่ากัน ฯลฯ เพื่อให้เสียงออกมาคลีนและสมบูรณ์ที่สุด



แต่นั่นเป็นเพียงครึ่งเดียวของสิ่งที่ดนตรีต้องการ



“เสียงดี” ตามมาตรฐาน คือเสียงที่ฟังแล้วไม่มีที่ติ แต่ “เสียงที่ใช่” คือเสียงที่ฟังแล้วมี ตัวตน



ลองนึกภาพมือกลองสองคนเล่น 𝗴𝗿𝗼𝗼𝘃𝗲 เดียวกัน:



๐ คนแรก เล่นด้วยความแม่นยำระดับเครื่องจักร: 𝗴𝗵𝗼𝘀𝘁 𝗻𝗼𝘁𝗲 เป๊ะ, 𝗮𝗰𝗰𝗲𝗻𝘁 มาในตำแหน่งเดิมทุกครั้ง, ไม่มีโน้ตหลุด ไม่มีเสียงล้น



๐ คนที่สอง เล่น 𝗴𝗿𝗼𝗼𝘃𝗲 เดียวกัน แต่มีจังหวะการเว้นจังหวะ การเน้นน้ำหนัก และการใส่ใจใน 𝘁𝗲𝘅𝘁𝘂𝗿𝗲 ของเสียงที่ทำให้รู้สึกว่า “เขากำลังเล่าเรื่อง” ไม่ใช่แค่ “เล่นให้จบ”



เสียงของคนแรกอาจถูกใจโปรดิวเซอร์ที่ต้องการความเนี๊ยบ แต่เสียงของคนที่สอง จะทำให้คนฟังจำได้ เพราะเขา “พูด” บางอย่างที่จับต้องได้ด้วยหัวใจ



ในหลายครั้ง เสียงที่ “ผิด” ตามตำรา อาจกลายเป็นเสียงที่ “ใช่” สำหรับเพลงนั้น



๐ เสียงตี 𝘀𝗻𝗮𝗿𝗲 ที่เบาเกินปกติในบางท่อน อาจทำให้เนื้อร้องเด่นขึ้น



๐ 𝗴𝗵𝗼𝘀𝘁 𝗻𝗼𝘁𝗲 ที่หลุดจังหวะนิดเดียว อาจสร้าง 𝘁𝗲𝗻𝘀𝗶𝗼𝗻 ที่ทำให้เพลง “มีชีวิต” ขึ้นมา



๐ จังหวะ 𝗳𝗶𝗹𝗹 ที่มาช้าไปเสี้ยววินาที อาจเป็นความผิดพลาดที่ทำให้ผู้ฟัง “เชื่อ” ว่านี่คือคนที่เล่น ไม่ใช่คอมพิวเตอร์



เสียงที่ใช่ จึงไม่ใช่เรื่องของความสมบูรณ์แบบ แต่มันคือเรื่องของความ จริงใจ เสียงที่ใช่สะท้อนความรู้สึกของคนตี เสียงที่ใช่พูดกับคนฟัง และเสียงที่ใช่…คือสิ่งที่ทำให้คนจดจำคุณได้ แม้ไม่รู้ชื่อ



ดังนั้น การฝึกเพื่อให้เสียง “ดี” จึงยังไม่พอ คุณต้องฝึกให้เสียง “ใช่” ด้วย ใช่กับเพลง ใช่กับอารมณ์ ใช่กับช่วงเวลานั้น



และที่สำคัญ…ต้อง “ใช่กับตัวคุณเอง”



เพราะดนตรีที่มีเสียงดี จะฟังเพลิน แต่ดนตรีที่มีเสียงใช่…จะฟังแล้ว “รู้สึก”





ในช่วงหนึ่งของการฝึกดนตรี มือกลองหลายคนจะเริ่มตั้งคำถามกับตัวเองว่า “เราควรเล่นแบบใคร?” แต่เมื่อฝึกนานขึ้น คำถามจะเปลี่ยนเป็น “เราควรเล่นแบบเราเองคือแบบไหน?”



เสียงของตัวเองไม่ใช่สิ่งที่ “ปิ๊ง” ขึ้นมาในคืนหนึ่งหลังฝึกนาน ๆ มันไม่ใช่พรสวรรค์ หรือความบังเอิญ แต่มันคือผลลัพธ์ของ กระบวนการลองผิดลองถูกในพื้นที่จริง บนพื้นฐานของการฟังและการกลั่นกรอง



  ฟังให้ลึก ไม่ใช่แค่ฟังให้ครบ



เริ่มจากการฟังดนตรีให้หลากหลาย: หลายแนว, หลายยุค, หลายศิลปิน แต่ที่สำคัญคือ ฟังให้ลึก ฟังว่า:



๐ มือกลองแต่ละคน “พูด” อย่างไรกับวง


๐ เสียงของเขาสร้างอารมณ์แบบไหน


๐ เขาเลือก “เว้น” จุดไหนบ้าง ไม่ใช่แค่ “ตี” จุดไหน



คุณจะเริ่มเห็นว่า 𝗧𝗼𝗻𝘆 𝗪𝗶𝗹𝗹𝗶𝗮𝗺𝘀 พูดไม่เหมือน 𝗦𝘁𝗲𝘃𝗲 𝗚𝗮𝗱𝗱, หรือ 𝗤𝘂𝗲𝘀𝘁𝗹𝗼𝘃𝗲 พูดไม่เหมือน 𝗡𝗮𝘁𝗲 𝗦𝗺𝗶𝘁𝗵 — และทุกคนมี “หัวใจ” ของตัวเองที่ฝังอยู่ในเสียง



  เล่น เพื่อเข้าใจ ไม่ใช่แค่เลียนแบบ



เมื่อเจอเสียงที่คุณชอบ อย่าหยุดแค่ “จำ 𝗽𝗮𝘁𝘁𝗲𝗿𝗻 มาเล่นได้” — ลองตี 𝗴𝗿𝗼𝗼𝘃𝗲/𝗳𝗶𝗹𝗹 นั้นหลายครั้งใน 𝗰𝗼𝗻𝘁𝗲𝘅𝘁 ที่ต่างกัน: เพลงช้า เพลงเร็ว เพลงแนวอื่น



ถามตัวเองว่า:



๐ ถ้าเป็นเรา เราจะตีแบบนี้ไหม?


๐ ถ้าเปลี่ยนน้ำหนัก หรือ 𝗱𝘆𝗻𝗮𝗺𝗶𝗰 มันจะกลายเป็นเสียงเราได้หรือเปล่า?



นี่คือจุดที่คุณเริ่ม "ยืม" เสียงคนอื่นมา "ทดลอง" ในเครื่องดนตรีของตัวเอง



  กลั่นกรอง: ไม่ใช่ทุกอย่างที่ดีจะเป็นของเรา



ไม่ใช่ทุกสิ่งที่คุณเล่นได้จะกลายเป็นส่วนหนึ่งของเสียงคุณ


บางเทคนิคดูเท่ แต่คุณไม่อิน บาง 𝗴𝗿𝗼𝗼𝘃𝗲 ฟังดี แต่คุณรู้สึกแปลกแยกเวลาเล่น



อย่ากลัวที่จะ “ตัดออก” — เสียงของคุณจะชัดขึ้น เมื่อคุณกล้าทิ้งสิ่งที่ไม่ใช่



การกลั่นกรองคือการลดของที่ไม่จำเป็น เพื่อให้ “หัวใจของเสียง” ได้มีที่ยืน



  บันทึก & ฟังตัวเอง: มองตัวเองในฐานะคนฟัง



การฝึกที่ดีที่สุดคือการบันทึกเสียงของตัวเอง แล้วฟังมันในมุมของคนฟัง ไม่ใช่คนตี



ถามตัวเองว่า:



๐ ถ้าเราไม่รู้จักคนตี เราจะรู้สึกยังไงกับ 𝗴𝗿𝗼𝗼𝘃𝗲 นี้?


๐ เสียงนี้สะท้อน “ตัวตน” บางอย่างไหม?


๐ มันพูดอะไรออกมาบ้าง? หรือมันแค่ทำตามสูตร?



เสียงของตัวเองจะค่อย ๆ ชัดขึ้นทุกครั้งที่คุณฟังเสียงตัวเองอย่างซื่อสัตย์ และกล้าถามตัวเองอย่างตรงไปตรงมา



เพราะสุดท้าย เสียงของตัวคุณเองไม่ได้อยู่ในโน้ตที่คุณตี แต่อยู่ใน “ความตั้งใจ” ที่คุณใส่ลงไปในแต่ละจังหวะ



𝟱. เสียงของคุณไม่จำเป็นต้อง ‘#เก่งที่สุด’ แต่มันต้อง ‘#จริงที่สุด’ ♫



ในโลกดนตรีปัจจุบันที่วิดีโอสอน เทคนิคขั้นสูง และการฝึกตี 𝗺𝗲𝘁𝗿𝗼𝗻𝗼𝗺𝗲 เต็มไปหมด เราอาจลืมไปว่า เสียงที่ “เก่ง” ไม่จำเป็นต้องเป็นเสียงที่ “น่าจดจำ” ดนตรีไม่ใช่การแข่งกันว่าใครตีได้เร็วกว่า ตรงกว่า หรือซับซ้อนกว่า — แต่มันคือศิลปะของการ “สื่อสาร” และการ “จริงใจ” ผ่านเสียง



ลองคิดถึงศิลปินเหล่านี้:



๐ 𝗤𝘂𝗲𝘀𝘁𝗹𝗼𝘃𝗲 — มือกลองแห่ง 𝗧𝗵𝗲 𝗥𝗼𝗼𝘁𝘀 ไม่ได้ตีเสียงที่หวือหวา แต่ทุก 𝗻𝗼𝘁𝗲 ที่เขาตี มี “น้ำหนัก” มี “บุคลิก” และมี “ใจ” เขาไม่เร่ง ไม่ช้า ไม่แข่งกับใคร แต่กลายเป็นกระดูกสันหลังของวงที่พูดกับคนดูได้ทุกคืน



๐ 𝗝 𝗗𝗶𝗹𝗹𝗮 — โปรดิวเซอร์ผู้วาง 𝗯𝗲𝗮𝘁 แบบ “ขยับจาก 𝗰𝗹𝗶𝗰𝗸” อย่างตั้งใจ จนคนฟังรู้สึกว่าเพลง “หายใจ” ได้ เขาสร้างมาตรฐานใหม่ของ 𝗴𝗿𝗼𝗼𝘃𝗲 โดยไม่ต้องเป๊ะ แต่กลับ “โดน” ใจคนทั่วโลก



๐ มือกลองที่คุณไม่เคยรู้จักชื่อ — คนที่ตีเบา ๆ อยู่หลังห้องซ้อมกับเพื่อนวง เขาอาจไม่ได้แม่น แต่เขาเป็นเหตุผลที่เพื่อนเล่นกันได้ยาว ๆ ทั้งคืน เพราะเขาทำให้ทุกคน “ไว้ใจได้” ใน 𝗴𝗿𝗼𝗼𝘃𝗲 ของเขา



เสียงที่ “จริง” คือเสียงที่ไม่พยายามเป็นใครอื่น คือเสียงที่ออกมาจากประสบการณ์ ความรู้สึก และความตั้งใจของคนเล่น — ไม่ใช่แค่ความพยายามทำให้ถูกตามแบบฝึกหัด



แล้วเราจะ “จริง” ได้ยังไง?



หยุดเปรียบเทียบ แล้วฟังตัวเอง ถ้าคุณมัวแต่คิดว่า “ทำไมเราไม่เก่งเหมือนคนนั้น” เสียงของคุณจะไม่เคยโต แต่ถ้าคุณเริ่มคิดว่า “เสียงของเราพูดอะไรได้บ้าง” คุณจะเริ่มเข้าใจคุณค่าของตัวเอง



เล่นเพื่อฟัง ไม่ใช่เพื่ออวด ถ้าคุณเล่นเพื่อให้คนอื่นว้าว คุณจะเลือกสิ่งที่ “ซับซ้อน” แต่ถ้าคุณเล่นเพื่อให้คนฟังเข้าใจ คุณจะเลือกสิ่งที่ “ซื่อสัตย์”



ถามตัวเองว่า ‘เรารู้สึกยังไงตอนเล่น?’ ถ้าคุณรู้สึกว่าเสียงนี้คือเรา — ไม่ต้องแม่นที่สุดก็ได้ ขอแค่มัน “ส่งใจ” ไปถึงคนฟังได้ก็พอ



เพราะดนตรีไม่ใช่การสอบวัดระดับ แต่คือการ “พูดบางอย่าง” โดยใช้เสียงเป็นภาษา และคนฟัง...ไม่เคยจำว่าคุณตีแม่นแค่ไหน แต่เขาจะจำว่า “ตอนนั้นคุณทำให้เขารู้สึกยังไง”



ความเก่งจะทำให้คนยอมรับ...แต่ความจริงจะทำให้คนจดจำ



𝟲. ความกล้าเป็นตัวแบ่ง ‘#นักเรียน’ กับ ‘#ศิลปิน’ ♫



ในเส้นทางของการเป็นมือกลองหรือศิลปินดนตรี “ความกล้า” คือเส้นแบ่งสำคัญที่แยกนักเรียนกับศิลปินออกจากกันอย่างชัดเจน นักเรียนส่วนใหญ่กลัวการผิดพลาด กลัวการถูกตัดสิน และมักติดอยู่ในกรอบของความสมบูรณ์แบบในแบบฝึกหัดและทฤษฎีที่เรียนมา ในขณะที่ศิลปินเข้าใจดีว่าความกล้าที่จะเสี่ยง ล้มเหลว และทดลองสิ่งใหม่ คือหนทางสู่การค้นพบ “เสียง” ที่แท้จริงของตัวเอง



  นักเรียนกลัวผิด — ศิลปินกลัวไม่จริง



ความกลัวของนักเรียนมักจะเป็น “กลัวผิด” กลัวว่าจะตีไม่ตรง จะเล่นไม่ดี จะทำให้เพลงพัง ทำให้ถูกตัดสินหรือถูกมองว่าขาดทักษะ แต่ศิลปินกลัวต่างออกไป — พวกเขากลัว “ไม่จริง” กลัวว่าเสียงที่เล่นออกมาจะกลายเป็นเพียงสำเนาของคนอื่น กลัวว่าเสียงของตัวเองจะไม่มีตัวตนในโลกดนตรี



การก้าวข้ามความกลัวนั้นไม่ได้หมายถึงการตีผิดบ่อย ๆ แต่คือการยอมรับว่า “ความผิดพลาด” เป็นส่วนหนึ่งของการเรียนรู้ เป็นจุดเริ่มต้นของการสร้างสรรค์ และเป็นโอกาสในการค้นหาเสียงที่แท้จริงของตัวเอง



  ความกล้าทดลองคือหัวใจของการเติบโต



ถ้าคุณยังติดอยู่กับการฝึกในห้องซ้อมอย่างเดียว โดยไม่เคยกล้าเอาเสียงที่ฝึกไปใช้จริงกับเพลงจริงในชีวิตจริง เสียงของคุณจะยังไม่เติบโตและแตกต่างออกไปจากแค่ “𝗽𝗮𝘁𝘁𝗲𝗿𝗻 ที่ท่องมา”



ลองคิดดูว่า…



๐ คุณเคย ลองวาง 𝗳𝗶𝗹𝗹-𝗶𝗻 ที่ไม่เคยเห็นใครทำมาก่อนไหม? การสร้างสรรค์ 𝗳𝗶𝗹𝗹-𝗶𝗻 แบบใหม่จะช่วยให้คุณค้นพบจังหวะที่เป็นเอกลักษณ์ของตัวเอง



๐ คุณเคย เล่น 𝗴𝗿𝗼𝗼𝘃𝗲 แปลก ๆ บนเพลงป๊อปที่ง่าย ๆ เพื่อดูผลลัพธ์ไหม? นี่คือการฝึกทดลองเพื่อค้นหาวิธีพูดที่แตกต่างออกไปในบริบทที่หลากหลาย



๐ คุณเคย นำ 𝗿𝘂𝗱𝗶𝗺𝗲𝗻𝘁 ธรรมดา ๆ ไปใช้ในเพลง 𝗳𝘂𝗻𝗸 หรือแนวอื่น ๆ แล้วฟังว่ามัน “โอเคไหม”? การผสมผสานเสียงและจังหวะจากหลาย ๆ แนวช่วยให้คุณพัฒนาภาษาดนตรีของตัวเองให้หลากหลายและลึกซึ้งขึ้น



  ห้องทดลองกับสนามชีวิต: ความแตกต่างที่สำคัญ



การฝึกซ้อมในห้องซ้อมคือ “ห้องทดลอง” ที่ปลอดภัยและจำเป็นสำหรับการเรียนรู้พื้นฐาน แต่ดนตรี “สนามชีวิต” คือสถานที่ที่เสียงของคุณจะได้รับการพิสูจน์และขัดเกลา



ถ้าคุณไม่กล้าออกไปสนามชีวิต เสียงที่คุณฝึกไว้ก็จะกลายเป็นเพียงทฤษฎีที่ไม่มีชีวิต ไม่มีความหมาย ไม่มีพลัง



การออกไปเจอโลกจริง หมายถึงการเล่นกับวงอื่น การ 𝗷𝗮𝗺 𝘀𝗲𝘀𝘀𝗶𝗼𝗻 การลองเพลงใหม่ ๆ การเผชิญหน้ากับสถานการณ์จริงที่ไม่สามารถควบคุมได้ทุกอย่าง สิ่งเหล่านี้คือการ “ชุบชีวิต” ให้เสียงของคุณและให้มันเติบโตอย่างมีตัวตน



ความกล้า คือจุดเปลี่ยนจากการเป็น “นักเรียน” ที่ฝึกฝนแต่ในห้องเรียน ไปสู่ “ศิลปิน” ที่ใช้เสียงของตัวเองสื่อสารกับโลก



อย่ากลัวที่จะล้มเหลว อย่ากลัวที่จะเสียงแตกหรือเล่นผิด เพราะนั่นคือทางเดียวที่จะทำให้เสียงของคุณ “จริง” และ “มีชีวิต” ในดนตรีที่คุณรัก



ถ้าคุณพร้อมจะก้าวออกจากความกลัว ลองถามตัวเองวันนี้ว่า: “วันนี้ฉันกล้าใช้เสียงของตัวเองในแบบที่ไม่เคยกล้าทำมาก่อนไหม?”



𝟳. ฝึกให้ ‘#รู้สึก’ ไม่ใช่แค่ ‘#จำได้’ ♫



โลกของการฝึกดนตรี โดยเฉพาะมือกลอง 𝗿𝘂𝗱𝗶𝗺𝗲𝗻𝘁 อย่าง 𝗽𝗮𝗿𝗮𝗱𝗶𝗱𝗱𝗹𝗲 มักถูกมองเป็นเพียง “𝗽𝗮𝘁𝘁𝗲𝗿𝗻” หรือชุดโน้ตที่ต้องท่องจำและตีให้แม่นเท่านั้น หลายคนฝึกจนสามารถตีได้เร็วและแม่นยำเหมือนเครื่องจักร แต่กลับไม่รู้ว่าควรจะนำมันไปใช้ในเพลงอย่างไร หรือวางไว้ตรงไหนเพื่อสร้างอารมณ์และความหมาย



แต่ถ้าเปลี่ยนมุมมองใหม่ว่า 𝗿𝘂𝗱𝗶𝗺𝗲𝗻𝘁 คือ “คำศัพท์” ที่ต้องรู้สึกถึงความหมายก่อนจะพูด การฝึกของคุณจะเปลี่ยนจากแค่ “จำได้” ไปสู่ “รู้สึกได้” และนั่นคือจุดเปลี่ยนที่สำคัญระหว่างนักเรียนกับศิลปิน



  𝗣𝗮𝗿𝗮𝗱𝗶𝗱𝗱𝗹𝗲: มากกว่าแค่ 𝗽𝗮𝘁𝘁𝗲𝗿𝗻 — มันคือเสียงที่ต้องรู้สึก



𝗣𝗮𝗿𝗮𝗱𝗶𝗱𝗱𝗹𝗲 เป็น 𝗿𝘂𝗱𝗶𝗺𝗲𝗻𝘁 ที่มีรูปแบบชัดเจน แต่ในเพลงจริง คุณไม่ได้ตีแค่ “ถูกต้อง” หรือ “ครบถ้วน” แต่ต้องรู้ว่า…



๐ มันต้องมี 𝗱𝘆𝗻𝗮𝗺𝗶𝗰 แบบไหน? การตี 𝗽𝗮𝗿𝗮𝗱𝗶𝗱𝗱𝗹𝗲 แบบหนักเบาที่ต่างกันจะส่งผลต่อความรู้สึกของเพลง เช่น การตีเบาๆ ช่วยให้มันกลมกลืนกับส่วนอื่นๆ หรือการตีหนักที่ปลายเพื่อเน้นความตื่นเต้น



๐ มันควรขึ้นก่อน 𝗵𝗼𝗼𝗸 ไหม? การวาง 𝗽𝗮𝗿𝗮𝗱𝗶𝗱𝗱𝗹𝗲 ก่อนถึง 𝗵𝗼𝗼𝗸 หรือจุดไคลแมกซ์ของเพลง อาจทำให้เกิดความรู้สึก “ดึงกลับ” สร้างความตึงเครียดและเตรียมพร้อมสำหรับการระเบิดของเพลงในตอนต่อไป



๐ มันเล่าเรื่องอะไรให้เพลง? ไม่ใช่แค่เสียงของมือกลอง แต่ 𝗽𝗮𝗿𝗮𝗱𝗶𝗱𝗱𝗹𝗲 ในเพลงควรสื่อสารบางอย่าง เช่น ความก้าวหน้า ความตื่นเต้น หรือแม้แต่ความนุ่มนวลและความอ่อนโยน ซึ่งต้องรู้สึกถึงบริบทเพลงและเรื่องราวที่เพลงจะเล่า



  ‘ตีได้’ กับ ‘พูดได้’ — ความแตกต่างที่ชัดเจน



ถ้าคุณแค่ตี 𝗽𝗮𝗿𝗮𝗱𝗶𝗱𝗱𝗹𝗲 ได้เร็วและแม่นยำ แต่วางลงไปในเพลงแบบสุ่ม ๆ หรือไม่รู้ว่ามันทำหน้าที่อะไร นั่นคือคุณยังอยู่ในบทบาทของ “นักเรียน” ที่เรียนรู้แค่ทักษะพื้นฐาน แต่ยังไม่ใช่ “ศิลปิน” ที่ใช้เสียงเหล่านั้นสื่อสารอย่างมีความหมาย



แต่ถ้าคุณตีแล้วรู้สึกถึงมัน รู้ว่าควรวางไว้ตรงไหนเพื่อเสริมเนื้อหาเพลง หรือสร้างความรู้สึกให้คนฟัง นั่นคือคุณกำลัง “พูดได้” ด้วยภาษาเพลงของคุณเอง



วิธีฝึกให้รู้สึก ไม่ใช่แค่จำ



ฟังเพลงที่ใช้ 𝗽𝗮𝗿𝗮𝗱𝗶𝗱𝗱𝗹𝗲 ในหลากหลายแบบ ฟังด้วยหูที่ใส่ใจว่าแต่ละจังหวะ 𝗽𝗮𝗿𝗮𝗱𝗶𝗱𝗱𝗹𝗲 ถูกตีอย่างไร มี 𝗱𝘆𝗻𝗮𝗺𝗶𝗰 อย่างไร และส่งผลกับเพลงยังไง



ตี 𝗽𝗮𝗿𝗮𝗱𝗶𝗱𝗱𝗹𝗲 ไปพร้อมกับเพลง ทดลองตี 𝗽𝗮𝗿𝗮𝗱𝗶𝗱𝗱𝗹𝗲 พร้อมกับเพลงที่ชอบและพยายามใส่อารมณ์ลงไป ไม่ใช่แค่ตีให้ตรงแต่ให้ “รู้สึก” จังหวะและพลังของเพลง



ลองเปลี่ยน 𝗱𝘆𝗻𝗮𝗺𝗶𝗰 และตำแหน่ง ฝึกตี 𝗽𝗮𝗿𝗮𝗱𝗶𝗱𝗱𝗹𝗲 ด้วยน้ำหนักที่ต่างกัน หรือวางในจุดที่ต่างกันในเพลง แล้วฟังผลลัพธ์ว่าแต่ละแบบสื่อความหมายอย่างไร



บันทึกเสียงตัวเองแล้วฟังซ้ำ ฟังเสียงตัวเอง และถามตัวเองว่า “เสียงนี้พูดอะไร?” ถ้าคุณไม่ตอบได้ ลองปรับจนกว่าจะรู้สึกถึงความหมาย



การฝึก 𝗿𝘂𝗱𝗶𝗺𝗲𝗻𝘁 ไม่ใช่แค่การ “จำ 𝗽𝗮𝘁𝘁𝗲𝗿𝗻” แต่คือการฝึกให้ “รู้สึกและพูดด้วยเสียง” นั้น



ถ้าคุณแค่ตีได้ = คุณยังเป็นนักเรียน ถ้าคุณตีแล้วพูดได้ = คุณกำลังก้าวสู่บทบาทศิลปินอย่างแท้จริง





ในความคิดของหลายคน เวลาเราพูดถึงคำว่า “ศิลปิน” มักนึกถึงคนที่มีชื่อเสียง อยู่บนเวทีใหญ่ หรือมีแฟนเพลงจำนวนมาก แต่ความจริงแล้ว ศิลปินไม่ได้ถูกจำกัดอยู่แค่ในกรอบนั้น ศิลปินคือคนที่มีความกล้าที่จะใช้เสียงของตัวเองในการสื่อสารออกมา ไม่ว่าจะมีคนฟังหรือไม่ก็ตาม



ศิลปินคือใคร?



ศิลปินไม่จำเป็นต้องเป็นคนที่คนรู้จัก หรือมีผลงานออกมาอย่างเป็นทางการ แต่ศิลปินคือคนที่ “ใช้เสียงของตัวเอง” แม้จะเป็นแค่เสียงเดียวในห้องซ้อมเล็ก ๆ กับเพื่อนที่เล่นดนตรีด้วยกัน หรือตีจังหวะที่บ้านตอนกลางคืนโดยไม่มีใครเห็น



บางคนอาจจะเป็นศิลปินในสตูดิโอบันทึกเสียง ที่ไม่มีใครรู้จักผลงานของเขาอย่างกว้างขวาง แต่เสียงที่เขาสร้างขึ้นนั้นยังคงมีชีวิตและความหมายสำหรับตัวเขาเองและคนรอบข้าง



บางคนอาจจะเป็นศิลปินในคลิปสั้น ๆ บน 𝗧𝗶𝗸𝗧𝗼𝗸 ที่ตีจังหวะเพียงไม่กี่วินาที แต่กลับทำให้คนดูต้องหยุดและฟังซ้ำหลาย ๆ รอบ เพราะเสียงนั้นมีพลังและเอกลักษณ์เฉพาะตัว



เสียงของคุณมีค่าตั้งแต่เริ่ม “ตั้งใจใช้มัน”



ไม่ว่าคุณจะเล่นดนตรีในวงเล็ก ๆ หรือแค่ฝึกซ้อมอยู่คนเดียว ความตั้งใจที่จะ “ใช้เสียงของตัวเอง” คือจุดเริ่มต้นของศิลปิน เสียงไม่ได้วัดคุณค่าที่จำนวนผู้ฟังหรือยอดวิว แต่อยู่ที่ความจริงใจและความตั้งใจในการสื่อสารออกมา



การมีชื่อเสียงเป็นเรื่องที่ดี แต่ไม่ใช่เกณฑ์ชี้วัดความเป็นศิลปิน ถ้าคุณเริ่มรู้จักและกล้าที่จะปล่อยเสียงของตัวเองออกมาอย่างมีความหมาย — นั่นแหละคือคุณได้เป็นศิลปินแล้ว



ศิลปินคือคนที่กล้าแสดงตัวตนผ่านเสียงของตัวเอง ไม่ว่าจะอยู่ในสถานการณ์ไหนก็ตาม



อย่ารอให้มีคนรู้จักก่อนถึงจะกล้าพูด อย่ารอให้มีเวทีใหญ่ก่อนถึงจะกล้าปล่อยเสียง



เพราะทุกครั้งที่คุณตั้งใจใช้เสียงของตัวเอง นั่นคือการสร้าง “ศิลปะ” ที่มีคุณค่าและมีชีวิต





การเปลี่ยนผ่านจาก “นักเรียน” ที่แค่ฝึกฝนตามแบบ ไปเป็น “ศิลปิน” ที่มีเสียงและตัวตนของตัวเองนั้น ไม่ใช่เรื่องเกิดขึ้นในชั่วข้ามคืน แต่เกิดจากกระบวนการคิดตั้งคำถามกับตัวเองอย่างลึกซึ้งและสม่ำเสมอ การตั้งคำถามที่ถูกต้องจะช่วยให้คุณหยุดคิดก่อนเล่นแต่ละจังหวะ เพื่อให้ทุกเสียงที่เกิดขึ้นมีความหมายและสื่อสารออกมาได้จริง ไม่ใช่แค่การตีโน้ตให้ถูกต้อง



วันนี้เราตีเพื่อให้ “ถูกต้อง” หรือ “ตรงใจ”?



นี่คือคำถามแรกที่สำคัญที่สุดของมือกลองและนักดนตรีทุกคน



“ถูกต้อง” คือการตีให้ตรงกับโน้ต รูปแบบ หรือเทคนิคที่ฝึกมา “ตรงใจ” คือการตีโดยใส่อารมณ์ ความรู้สึก และความตั้งใจลงไปในเสียงนั้น



นักเรียนมักฝึกตีให้ถูกต้อง และนั่นก็จำเป็นสำหรับพื้นฐาน แต่ศิลปินจะไม่หยุดแค่นั้น พวกเขาฝึกตีให้ “ตรงใจ” เพื่อให้เสียงพูดแทนความรู้สึก และเชื่อมโยงกับคนฟังได้จริง



  จังหวะที่เราใส่เพิ่มลงไป เพลงต้องการจริงไหม?



มือกลองที่ดีไม่ใช่คนตีโน้ตเยอะที่สุด แต่เป็นคนรู้ว่าเพลงต้องการอะไร การใส่จังหวะหรือ 𝗳𝗶𝗹𝗹-𝗶𝗻 เพิ่มขึ้นมาโดยไม่มีเหตุผล อาจทำให้เพลงดูรกหรือเสียสมดุล



คำถามนี้ช่วยให้คุณพิจารณาว่า ทุกการเล่นของคุณควรเป็นส่วนหนึ่งของการเล่าเรื่องในเพลง ไม่ใช่แค่แสดงทักษะเพื่อโชว์ตัว



  เสียงของเราฟังเหมือนใคร หรือเริ่มแตกต่างอย่างตั้งใจ?



ในช่วงแรก การเรียนรู้มักทำให้เสียงของเราคล้ายกับต้นแบบที่เราชื่นชอบ. แต่การเป็นศิลปินคือการมีเสียงที่ “แตกต่างอย่างตั้งใจ”



การตั้งคำถามนี้จะช่วยให้คุณพิจารณาว่า เสียงที่คุณสร้างขึ้นนั้นยังคงเป็นตัวของคุณเอง หรือยังคงเป็นเพียง “สำเนา” ของคนอื่น



นี่คือขั้นตอนสำคัญในการสร้างเอกลักษณ์และตัวตนทางดนตรี



  เรากำลังฝึกเพื่อไปโชว์ หรือฝึกเพื่อพูดในแบบของเรา?



หลายคนฝึกดนตรีด้วยเป้าหมาย “โชว์” หรือ “ทำให้คนอื่นเห็น” แต่ศิลปินแท้จริงจะฝึกเพื่อ “พูด” ผ่านเสียงดนตรีของตัวเอง



คำถามนี้กระตุ้นให้คุณเปลี่ยนโฟกัสจากการแสดงภายนอก มาสู่การสื่อสารภายใน



ฝึกด้วยความตั้งใจที่จะสื่อสารและบอกเล่าเรื่องราวผ่านเสียงของตัวเอง แทนที่จะเป็นแค่การแสดงความสามารถ



ดังนั้น คำถามเหล่านี้ไม่ได้มีคำตอบผิดถูก แต่มันเป็นกระบวนการทำให้คุณค่อย ๆ ตระหนักและเชื่อมโยงกับเสียงของตัวเองมากขึ้น



เมื่อคุณเริ่มถามตัวเองบ่อย ๆ ว่าเสียงที่เล่นนั้น “พูด” อะไรและมีความหมายอย่างไร นั่นคือสัญญาณว่าคุณกำลังเปลี่ยนจากนักเรียนที่แค่ “ทำตาม” เป็นศิลปินที่ “สร้างสรรค์และสื่อสาร” อย่างแท้จริง



จุดเริ่มต้นของเสียงคุณ คือวันนี้ คุณไม่ต้องรอให้ฝีมือถึงระดับโลก ไม่ต้องรอให้คนแชร์คลิปคุณหมื่นครั้ง คุณสามารถเริ่ม “พูดด้วยเสียงของตัวเอง” ได้ตั้งแต่ตอนนี้ — ด้วย 𝗴𝗿𝗼𝗼𝘃𝗲 ธรรมดา ๆ ที่คุณตั้งใจเล่นมันอย่างแท้จริง ไม่ต้องซับซ้อน ไม่ต้องเร่ง ไม่ต้องเลียนแบบ แค่ซื่อสัตย์กับเสียงที่คุณรู้สึก แล้วเสียงนั้น...จะกลายเป็นสิ่งที่คนจำคุณได้เสมอ จากนักเรียนสู่ศิลปิน — ไม่ได้วัดกันที่ความแม่น แต่วัดกันที่ความกล้าที่จะพูดในแบบของตัวเอง

 
 
 

Comments


bottom of page