top of page
Search

จะฝึก 𝗥𝘂𝗱𝗶𝗺𝗲𝗻𝘁 ไปอีกกี่ปี ถ้ายังไม่กล้าเอามันไปใช้ในเพลงจริง❓🥁😉

  • Writer: Dr.Kasem THipayametrakul
    Dr.Kasem THipayametrakul
  • 2 days ago
  • 4 min read

𝟭. 𝗥𝘂𝗱𝗶𝗺𝗲𝗻𝘁 ไม่ใช่เป้าหมาย — มันเป็นแค่บันได



หลายคนฝึก 𝗿𝘂𝗱𝗶𝗺𝗲𝗻𝘁 เหมือนกับคนที่เข้าฟิตเนสแล้วยกเวทซ้ำ ๆ เพื่อหวังให้กล้ามเนื้อชัด แต่ไม่ได้เอากล้ามนั้นไปใช้ทำอะไรจริงจัง เช่นเดียวกับมือกลองจำนวนมากที่ตี 𝗽𝗮𝗿𝗮𝗱𝗶𝗱𝗱𝗹𝗲 ได้รวดเร็วแม่นยำตามเมโทรนอม แต่พอถึงเวลาต้องเล่นเพลงจริง กลับ “ตัน” เพราะไม่รู้ว่าจะเอา 𝗽𝗮𝗿𝗮𝗱𝗶𝗱𝗱𝗹𝗲 นั้นไปวางไว้ตรงไหน หรือทำไมถึงต้องวางตรงนั้น



𝗿𝘂𝗱𝗶𝗺𝗲𝗻𝘁 ไม่ใช่เป้าหมายสุดท้ายของการเล่นกลอง มันคือเครื่องมือพื้นฐานที่ช่วยให้คุณรู้คำศัพท์ของภาษาเพลงนั้น ๆ ก่อนจะนำไปเรียงร้อยเป็นประโยค หรือบทสนทนาในวงดนตรี การตี 𝗿𝘂𝗱𝗶𝗺𝗲𝗻𝘁 อย่างเดียวโดยไม่เข้าใจว่ามันหมายถึงอะไร หรือจะใช้สื่อสารยังไงในเพลงจริง ก็เหมือนกับการท่องศัพท์ภาษาอังกฤษเยอะ ๆ แต่ไม่เคยพูดประโยคให้ใครฟังได้เลย



ถ้าคุณตี 𝗽𝗮𝗿𝗮𝗱𝗶𝗱𝗱𝗹𝗲 ได้เร็วแค่ไหนก็ไม่สำคัญ หากคุณไม่รู้ว่าจะนำมันไปใส่ในจังหวะไหนของเพลง หรือใช้เพื่อสื่อสารอารมณ์อะไร 𝗿𝘂𝗱𝗶𝗺𝗲𝗻𝘁 จะยังคงเป็นแค่ “𝗽𝗮𝘁𝘁𝗲𝗿𝗻” ที่ไร้ชีวิต ไร้ความหมาย ไม่มีอัตลักษณ์ ไม่ต่างจากคำศัพท์ที่ไม่มีใครเข้าใจ



มือกลองที่เก่งจริง ๆ คือคนที่รู้ว่า 𝗿𝘂𝗱𝗶𝗺𝗲𝗻𝘁 แต่ละตัวพูดอะไรได้บ้าง และรู้จักนำมันไปใช้ในเพลงให้เกิดอารมณ์และความรู้สึก เช่น 𝗽𝗮𝗿𝗮𝗱𝗶𝗱𝗱𝗹𝗲 ที่ใช้สร้าง 𝗴𝗿𝗼𝗼𝘃𝗲 เชื่อมต่อระหว่างเสียงกลองต่าง ๆ หรือ 𝗳𝗹𝗮𝗺 ที่ช่วยเพิ่ม 𝘁𝗲𝘅𝘁𝘂𝗿𝗲 และน้ำหนักทางอารมณ์ให้กับจังหวะเพลง



ดังนั้น 𝗿𝘂𝗱𝗶𝗺𝗲𝗻𝘁 คือบันได ไม่ใช่ปลายทาง เป้าหมายที่แท้จริงคือการใช้ 𝗿𝘂𝗱𝗶𝗺𝗲𝗻𝘁 เหล่านั้น “พูด” ผ่านกลองของคุณ ให้คนฟังรู้สึก เชื่อมโยง และขยับตามเสียงดนตรีได้



ท้ายที่สุด หากคุณฝึกแต่ตีให้เร็วและแม่น โดยไม่เคยลองนำไปใช้จริง คุณก็เหมือนกับคนที่รู้คำศัพท์หลายพันคำ แต่ไม่เคยกล้าพูดออกมา ถามตัวเองว่า “𝗿𝘂𝗱𝗶𝗺𝗲𝗻𝘁 ที่คุณตีอยู่ทุกวันนี้ มันกำลังพูดแทนใจคุณ หรือแค่เป็น 𝗽𝗮𝘁𝘁𝗲𝗿𝗻 ที่ไร้ความหมาย?”





ลองหยุดฝึก 𝗽𝗮𝗿𝗮𝗱𝗶𝗱𝗱𝗹𝗲 สักสิบนาที แล้วถามตัวเองว่า:



๐ เราจะใช้ 𝗽𝗮𝘁𝘁𝗲𝗿𝗻 นี้ในเพลงแบบไหน?


๐ มันมี 𝗱𝘆𝗻𝗮𝗺𝗶𝗰 ยังไง? เบาหนักแค่ไหน?


๐ วางบน 𝗸𝗶𝗰𝗸/𝘀𝗻𝗮𝗿𝗲/𝗵𝗶𝗵𝗮𝘁 ได้กี่แบบ?


๐ มันช่วยให้ 𝗴𝗿𝗼𝗼𝘃𝗲 น่าสนใจขึ้นได้ยังไง?


๐ ถ้าเอา 𝗽𝗮𝗿𝗮𝗱𝗶𝗱𝗱𝗹𝗲 ไปใส่ในวง 𝗷𝗮𝗺 ตอนนี้ เพื่อนจะฟังรู้เรื่องไหม?



คำถามเหล่านี้ดูเรียบง่าย แต่จริง ๆ แล้ว มันคือจุดเปลี่ยนสำคัญระหว่าง “การฝึกเพื่อตีให้ถูก” กับ “การฝึกเพื่อพูดให้ชัด”



𝗣𝗮𝗿𝗮𝗱𝗶𝗱𝗱𝗹𝗲 ที่ซ้อมบน 𝗽𝗮𝗱 จะไม่มีความหมายอะไรเลย ถ้าคุณไม่รู้ว่ามันจะไปโผล่ในเพลงแนวไหน หรือมันให้ “อารมณ์แบบไหน” เมื่อเอาไปวางในเพลงจริง เพราะศิลปะการตีไม่ใช่แค่การ “เล่นให้ครบ” แต่คือการ “เลือกไม่เล่น” ด้วยเหตุผลบางอย่าง



มือกลองที่เข้าใจ 𝗽𝗮𝗿𝗮𝗱𝗶𝗱𝗱𝗹𝗲 อย่างลึกซึ้ง อาจตีมันแบบกระซิบด้วย 𝗴𝗵𝗼𝘀𝘁 𝗻𝗼𝘁𝗲 ใน 𝘃𝗲𝗿𝘀𝗲 ที่เงียบ หรือเน้น 𝗮𝗰𝗰𝗲𝗻𝘁 ลงบนโน้ตเดียวใน 𝗵𝗼𝗼𝗸 เพื่อเปลี่ยนอารมณ์ทั้งเพลง



การฝึกอย่างมีคำถาม คือการเปลี่ยนจาก “จำ 𝗽𝗮𝘁𝘁𝗲𝗿𝗻” ไปสู่ “สร้างเสียง” ที่มีเจตนา



มันไม่เกี่ยวกับความเร็ว เพราะเพลงที่ดีไม่เคยถามว่า “ตีได้เร็วแค่ไหน” แต่มันถามว่า “คุณกำลังเล่าเรื่องอะไร?”



และนั่นคือจุดที่คุณเลิกเป็นนักเรียน แล้วกลายเป็น “ศิลปิน” ไม่ใช่เพราะคุณเก่งกว่าใคร แต่เพราะคุณเริ่มตั้งคำถามที่ถูกต้องกับเสียงของตัวเอง



𝟯. ฝึกแบบ “#นักกลอง” หรือฝึกแบบ “#เครื่องตี



ลองถามตัวเองดูว่า...ทุกครั้งที่คุณนั่งหน้ากลอง คุณกำลังฝึกแบบ “นักดนตรี” หรือแค่ “เครื่องจักรที่มีจังหวะตรง”?



การฝึก 𝗿𝘂𝗱𝗶𝗺𝗲𝗻𝘁 อย่างหนักไม่ใช่เรื่องผิด แต่หากคุณฝึกเพียงเพื่อ “ให้มันเร็วขึ้น” หรือ “ตีให้ไม่พลาด” โดยไม่เคยถามว่า เสียงแบบนี้จะทำให้เพลงรู้สึกอย่างไร? คุณอาจกำลังเปลี่ยนตัวเองให้กลายเป็นแค่ “เครื่องตีเสียงแม่น” ที่ไม่มีใครจำได้



คุณอาจ



๐ เล่น 𝗽𝗮𝘁𝘁𝗲𝗿𝗻 ได้หลากหลาย แต่ไม่เคย “สื่อสาร”


๐ ตีได้ครบทุกโน้ต แต่ไม่มี “เจตนา” ใส่ลงไปเลย


๐ วาง 𝗴𝗿𝗼𝗼𝘃𝗲 ได้เป๊ะตาม 𝗰𝗹𝗶𝗰𝗸 แต่ไร้ชีวิต ไม่มีคนฟังรู้สึกสะเทือน



ดนตรีไม่ใช่การสอบผ่าน ไม่ใช่การได้คะแนนเต็มจากครู แต่มันคือการ “ทำให้คนคนหนึ่งในห้องนั้น ขยับตัวเบา ๆ หรือหลับตาลงด้วยความอิน”



คุณอาจไม่ได้ตีโน้ตยากที่สุด ไม่ได้มี 𝗳𝗶𝗹𝗹 สลับซับซ้อนที่สุด แต่เสียงของคุณสามารถทำให้ใครบางคน รู้สึกว่ามีคนพูดแทนหัวใจเขา และเสียงแบบนั้น ไม่มีทางเกิดจากการฝึกที่ขาด การฟัง และ การตั้งใจจะพูด



เพราะเครื่องจักรจะไม่ลังเล เครื่องจักรจะไม่เว้นวรรค เครื่องจักรจะไม่รู้จักคำว่า “รอเพื่อนในวงให้ทัน” แต่นักดนตรีจะรู้ว่า…จังหวะที่ไม่เล่น อาจคือจังหวะที่สำคัญที่สุดในเพลง



𝟰. 𝗣𝗮𝗿𝗮𝗱𝗶𝗱𝗱𝗹𝗲, 𝗙𝗹𝗮𝗺, 𝗗𝗿𝗮𝗴 #ถ้าไม่เล่าเรื่องมันก็เป็นแค่ 𝗽𝗮𝘁𝘁𝗲𝗿𝗻



ทุก 𝗿𝘂𝗱𝗶𝗺𝗲𝗻𝘁 คือคำศัพท์ดนตรี แต่คำศัพท์จะไม่มีความหมายเลย ถ้าคุณไม่รู้จะใช้มัน “พูดอะไร”



𝗣𝗮𝗿𝗮𝗱𝗶𝗱𝗱𝗹𝗲, 𝗙𝗹𝗮𝗺, 𝗗𝗿𝗮𝗴 อาจดูเหมือนแค่แบบฝึกหัดทางเทคนิคสำหรับมือกลอง แต่จริง ๆ แล้ว พวกมันคือ “น้ำเสียง” และ “โทนเสียง” ที่ช่วยให้คุณเล่าเรื่องบางอย่างในเพลงได้อย่างแนบเนียน



๐ 𝗣𝗮𝗿𝗮𝗱𝗶𝗱𝗱𝗹𝗲 ที่คุณแทรกใน 𝗳𝗶𝗹𝗹-𝗶𝗻 ก่อนเข้าท่อนฮุก อาจไม่ใช่การโชว์เทคนิค แต่มันคือการ ชะลอเวลา เพื่อให้คนฟัง “หายใจตาม” ก่อนจะปล่อยทุกอย่างพุ่งไปข้างหน้า


๐ 𝗙𝗹𝗮𝗺 ที่ตีเบา ๆ ระหว่างท่อนร้อง อาจช่วยให้เสียงกลอง “นุ่มและมีน้ำหนักทางอารมณ์” มากขึ้น เหมือนกับว่าคุณกำลังพูดว่า “ฉันอยู่ตรงนี้นะ ฟังนายอยู่”


๐ 𝗗𝗿𝗮𝗴 ที่ใส่หน้าก่อนโน้ตหลัก อาจไม่ใช่แค่เทคนิคซับซ้อน แต่มันคือ “ลมหายใจ” หนึ่งจังหวะ ที่ทำให้ภาษาดนตรีของคุณมี 𝘁𝗲𝘅𝘁𝘂𝗿𝗲 และชีวิต



แต่ถ้าคุณไม่เคยเอา 𝗿𝘂𝗱𝗶𝗺𝗲𝗻𝘁 พวกนี้ไปทดลองใน “เพลงจริง” เลย มันก็จะยังคงเป็นแค่ “ท่ามือสวย ๆ” ที่อยู่บน 𝗽𝗿𝗮𝗰𝘁𝗶𝗰𝗲 𝗽𝗮𝗱 หรือในห้องซ้อมเท่านั้น และสิ่งที่คุณพลาดไป…ไม่ใช่แค่การใช้งาน แต่มันคือ ศักยภาพของเสียงคุณ ที่จะกลายเป็น “เรื่องเล่าทางดนตรี” ที่ไม่มีใครลอกเลียนแบบได้



ดนตรีคือศิลปะของเจตนา และ 𝗿𝘂𝗱𝗶𝗺𝗲𝗻𝘁𝘀 จะไม่มีวันกลายเป็นดนตรี ถ้าคุณไม่ใส่ “เจตนาที่จะพูด” ลงไป





หลายคนเข้าใจผิดว่า 𝗴𝗿𝗼𝗼𝘃𝗲 ที่ดีคือ 𝗴𝗿𝗼𝗼𝘃𝗲 ที่ “เท่” หรือ “ซับซ้อน” แต่ในความจริง 𝗚𝗿𝗼𝗼𝘃𝗲 ไม่ได้วัดกันที่ความเร็วหรือลูกเล่น 𝗚𝗿𝗼𝗼𝘃𝗲 วัดกันที่ว่า มัน “ฟังได้” ไหม? และมัน “เชื่อมโยงกับคนอื่น” ได้แค่ไหน?



ดนตรีคือบทสนทนา และ 𝗴𝗿𝗼𝗼𝘃𝗲 คือ น้ำเสียง ที่คุณใช้สื่อสารกับวง ถ้าคุณตี 𝗴𝗿𝗼𝗼𝘃𝗲 ที่แน่น ชัด แต่ไม่มีใครในวงรู้ว่าคุณกำลังพูดอะไร เสียงคุณจะกลายเป็นแค่ “เสียงพูดที่ไม่มีคนฟัง”



คุณอาจฝึก 𝗽𝗮𝗿𝗮𝗱𝗶𝗱𝗱𝗹𝗲 มาเป็นพันรอบ และสามารถสร้าง 𝗴𝗿𝗼𝗼𝘃𝗲 ที่สลับเสียงได้ทุกอย่างบนกลองชุด



แต่ถ้าเบสไม่รู้ว่าคุณจะเข้า 𝘀𝘆𝗻𝗰𝗼𝗽𝗮𝘁𝗶𝗼𝗻 ตอนไหน



ถ้าเพื่อนคีย์บอร์ดไม่แน่ใจว่าคุณกำลังจะพาเพลงไปข้างหน้า หรือหน่วงมันไว้



หรือถ้านักร้องรู้สึกว่าคุณไม่ได้ฟังการหายใจของเขาเลย แบบนั้น 𝗚𝗿𝗼𝗼𝘃𝗲 ของคุณก็ยัง ไม่ได้สื่อสาร



การเป็นมือกลอง ไม่ใช่แค่การตีกลองให้ดี แต่คือการ “ฟังวง” พร้อมกับ “พูดด้วยเสียงของตัวเอง” ในเวลาเดียวกัน และการฝึก 𝗿𝘂𝗱𝗶𝗺𝗲𝗻𝘁 ที่ดีที่สุด คือการฝึกให้มันกลายเป็น “คำ” ที่เอาไปใช้ในวงสนทนาได้จริง



อย่าฝึกเพื่อพูดกับตัวเองเท่านั้น


๐ ฝึกเพื่อจะพูดกับเบส


๐ ฝึกเพื่อจะฟังนักร้อง


๐ ฝึกเพื่อจะเว้นพื้นที่ให้กีตาร์พูด


๐ ฝึกเพื่อจะเป็นคนเงียบในบางช่วง แล้วให้ 𝘀𝗶𝗹𝗲𝗻𝗰𝗲 นั้นมีความหมาย



𝗚𝗿𝗼𝗼𝘃𝗲 ที่ดีที่สุดในโลก อาจไม่มี 𝗴𝗵𝗼𝘀𝘁 𝗻𝗼𝘁𝗲 เลยแม้แต่ตัวเดียว แต่มันทำให้ทุกคนในห้อง “รู้สึกตรงกัน” ว่า เพลงนี้กำลังพูดอะไร และนั่นแหละคือ 𝗚𝗿𝗼𝗼𝘃𝗲 ที่แท้จริง





สิ่งที่มือกลองหลายคนลืมไปในการฝึก 𝗿𝘂𝗱𝗶𝗺𝗲𝗻𝘁 ก็คือ คุณไม่ได้ฝึกเพื่อ “โชว์” แต่คุณฝึกเพื่อ “เข้าใจว่าเมื่อไหร่ไม่ควรเล่นมัน”



𝗣𝗮𝗿𝗮𝗱𝗶𝗱𝗱𝗹𝗲, 𝗙𝗹𝗮𝗺, 𝗗𝗿𝗮𝗴 หรือ 𝗿𝘂𝗱𝗶𝗺𝗲𝗻𝘁 อื่น ๆ ล้วนเป็นทักษะสำคัญ



แต่ถ้าคุณเอามาใส่ในเพลงเพียงเพราะ “อยากให้คนเห็นว่าทำได้” โดยไม่ฟังว่าเพลงต้องการอะไร มันก็เหมือนคุณเข้าไปขัดบทสนทนา แล้วพูดสิ่งที่ไม่มีใครถาม



บางจังหวะ เพลงต้องการแค่ 𝗯𝗮𝗰𝗸𝗯𝗲𝗮𝘁 ง่าย ๆ ที่ตีแน่น และไม่ขัดจังหวะ ไม่ใช่การตี 𝗿𝗼𝗹𝗹 𝟲 ชั้นใส่เต็มความเร็ว เพราะคุณเพิ่งฝึกได้เมื่อวาน



บางช่วง เพลงต้องการ “ช่องว่าง” เพื่อให้นักร้องได้หายใจ หรือให้เครื่องดนตรีอื่นได้พูด ไม่ใช่ 𝗳𝗶𝗹𝗹-𝗶𝗻 ยาว ๆ ที่ใส่มาเพราะคุณ “เสียดาย” ที่ไม่ได้โชว์ 𝗿𝘂𝗱𝗶𝗺𝗲𝗻𝘁



และบางครั้ง เพลงไม่ต้องการให้คุณ “เล่น” อะไรเลย แต่ต้องการให้คุณ ฟังอย่างตั้งใจ เพื่อรู้ว่าจังหวะถัดไปควรเว้น หรือควรเติม



การฟังคือพื้นฐานของ 𝗴𝗿𝗼𝗼𝘃𝗲 ที่ดี และ 𝗴𝗿𝗼𝗼𝘃𝗲 ที่ดีคือ 𝗴𝗿𝗼𝗼𝘃𝗲 ที่พูดกับเพลง ไม่ใช่ตะโกนใส่มัน มือกลองที่ยิ่งใหญ่ทุกคนรู้ว่า “จะไม่เล่นเมื่อไหร่” สำคัญกว่า “จะเล่นอะไร”



𝗥𝘂𝗱𝗶𝗺𝗲𝗻𝘁 ที่คุณฝึกมาอาจทำให้คุณเป็นนักกลองที่แม่น แต่การฟัง จะทำให้คุณเป็น นักดนตรีที่คนอยากเล่นด้วย



ดังนั้นก่อนจะใส่อะไรเข้าไปในเพลง ลองหยุดแล้วถามตัวเองว่า:



๐ เพลงตอนนี้อยากให้คุณพูดอะไร?


๐ คุณกำลังฟังจริง ๆ หรือกำลังรอโอกาสจะโชว์?



เพราะสุดท้ายแล้ว เพลงไม่ได้ต้องการให้คุณ “แสดงความเก่ง” แต่มันต้องการให้คุณ “พูดอย่างจริงใจ” และบางครั้ง คำพูดที่ดีที่สุด…คือความเงียบที่มีเจตนา





สิ่งที่แยก “นักฝึก” กับ “นักดนตรี” ออกจากกัน ไม่ใช่จำนวน 𝗿𝘂𝗱𝗶𝗺𝗲𝗻𝘁 ที่ตีได้ แต่คือ “ความสามารถในการใช้มันให้เล่าเรื่องได้” เพราะ 𝗿𝘂𝗱𝗶𝗺𝗲𝗻𝘁 ที่ตีได้เร็วที่สุด ก็ไม่มีประโยชน์อะไร ถ้ามันไม่สามารถพูดแทนใจคุณได้ในตอนที่คุณเล่นเพลงจริง



ลองใช้กระบวนการ 𝟲 ขั้นตอนนี้ เพื่อเปลี่ยน 𝗿𝘂𝗱𝗶𝗺𝗲𝗻𝘁 ที่ยังเป็น “ภาษาเขียน” ให้กลายเป็น “คำพูดสด” ที่ฟังแล้วมีชีวิต:



๐ ฟัง — เพราะการพูดที่ดี เริ่มจากการฟังที่ดี



หาเพลงที่คุณชอบ แล้วโฟกัสเฉพาะเสียงกลอง มือกลองใช้ 𝗿𝘂𝗱𝗶𝗺𝗲𝗻𝘁 แบบไหน? เขาใส่มันเมื่อไหร่? ใส่เพราะอะไร? เพื่อดันอารมณ์? หรือเพื่อสร้างจังหวะให้เครื่องดนตรีอื่น?



ฟังซ้ำ ๆ จนคุณเริ่มเข้าใจว่า 𝗿𝘂𝗱𝗶𝗺𝗲𝗻𝘁 ไม่ใช่แค่ 𝗽𝗮𝘁𝘁𝗲𝗿𝗻 แต่มันคือ “คำ” ที่ถูกเลือกมาใช้ในสถานการณ์เฉพาะเจาะจง



๐ เลียนแบบ — หัดพูดก่อนแต่งประโยคของตัวเอง



ตีตาม 𝗴𝗿𝗼𝗼𝘃𝗲 หรือ 𝗳𝗶𝗹𝗹 ที่คุณได้ยิน เล่นตาม 𝗯𝗮𝗰𝗸𝗶𝗻𝗴 𝘁𝗿𝗮𝗰𝗸 หรือเพลงจริงจนเริ่มจำความรู้สึกได้. ไม่ได้เพื่อให้เหมือนเป๊ะ แต่เพื่อเข้าใจว่า “เขาใช้ 𝗿𝘂𝗱𝗶𝗺𝗲𝗻𝘁 ยังไงให้กลมกลืนกับเพลง” เหมือนเด็กหัดพูด ก่อนจะพูดได้คล่อง ต้องเริ่มจากการเลียนเสียงก่อน



๐ แปลเสียง — จาก 𝗽𝗮𝗱 สู่วงจริง



ลองเปลี่ยน 𝗿𝘂𝗱𝗶𝗺𝗲𝗻𝘁 ที่ฝึกบน 𝗽𝗿𝗮𝗰𝘁𝗶𝗰𝗲 𝗽𝗮𝗱 ให้กลายเป็นเสียงจริงบน 𝗱𝗿𝘂𝗺 𝘀𝗲𝘁 เช่น เปลี่ยน 𝗽𝗮𝗿𝗮𝗱𝗶𝗱𝗱𝗹𝗲 ให้เป็น 𝗹𝗶𝗻𝗲𝗮𝗿 𝗴𝗿𝗼𝗼𝘃𝗲 หรือเอา 𝗳𝗹𝗮𝗺 ไปเติมใน 𝗯𝗮𝗰𝗸𝗯𝗲𝗮𝘁 ที่คุณเล่นประจำ เสียงที่เคยเป็น 𝗽𝗮𝘁𝘁𝗲𝗿𝗻 ในหัว จะกลายเป็นภาษาเฉพาะของคุณเมื่อมันอยู่ใน 𝗰𝗼𝗻𝘁𝗲𝘅𝘁 ของเครื่องดนตรีจริง



๐ ทดลองใช้ — เอาไปวางในสถานการณ์จริง



ลองเล่นเพลงหลายแนว แล้วเอา 𝗿𝘂𝗱𝗶𝗺𝗲𝗻𝘁 ไปใส่ดูว่ามัน 𝘄𝗼𝗿𝗸 ไหม วางบนจังหวะที่ต่างกัน สปีดต่างกัน อารมณ์เพลงต่างกัน คุณจะเริ่มเห็นว่า บาง 𝗿𝘂𝗱𝗶𝗺𝗲𝗻𝘁 พูดได้ชัดในบางเพลง แต่ในบางช่วง มันอาจจะ “พูดมากเกินไป” หรือ “ไม่พูดอะไรเลย”



๐ วิเคราะห์ — ฟังตัวเองให้ลึกกว่าที่เคย



หลังจากลองใช้ ให้ฟังเสียงของตัวเอง อะไรฟังแล้วน่าสนใจ? อะไรดูฝืนหรือไม่เป็นธรรมชาติ? คุณรู้สึกยังไงกับเสียงนั้น มันพูดแทนความรู้สึกคุณได้ไหม?



การวิเคราะห์ไม่ใช่การวิจารณ์ แต่คือการสังเกตด้วยความซื่อสัตย์ เพราะดนตรีที่ดี ไม่ได้มาจากการ “ตีให้ถูก” แต่มาจากการ “ตีให้ตรงใจ”



๐ กลั่นกรอง — ปรุงให้เป็น “ภาษาของคุณ”



เมื่อคุณรู้แล้วว่า 𝗿𝘂𝗱𝗶𝗺𝗲𝗻𝘁 ไหนใช้ยังไงได้ เริ่มเลือกใช้อย่างมีเจตนา ไม่ใช่แค่ “ตีได้” แต่ “รู้ว่าใช้เพื่ออะไร”



นั่นคือจุดที่ 𝗿𝘂𝗱𝗶𝗺𝗲𝗻𝘁 จะเปลี่ยนจาก “แบบฝึกหัด” เป็น “ภาษาดนตรี” และกลายเป็นเสียงที่ไม่มีใครเหมือนคุณได้



คุณอาจจะตี 𝗽𝗮𝗿𝗮𝗱𝗶𝗱𝗱𝗹𝗲 ได้เร็ว 𝟮𝟬𝟬 𝗕𝗣𝗠 แต่ถ้าเอามันไปใส่ในเพลง แล้วทำให้เพื่อนร่วมวง “ยิ้มตาม” นั่นคือค่าที่แท้จริงของ 𝗿𝘂𝗱𝗶𝗺𝗲𝗻𝘁



ดนตรีไม่ต้องการคนเก่งที่สุด มันต้องการคนที่ พูดได้จริง และการพูดได้จริง ไม่ใช่แค่การท่อง 𝗽𝗮𝘁𝘁𝗲𝗿𝗻 แต่คือการฟังคนอื่น เข้าใจตัวเอง และเลือกใช้คำให้ “ตรงใจ”





ลองนึกถึง 𝗿𝘂𝗱𝗶𝗺𝗲𝗻𝘁 ทุกแบบที่คุณเคยฝึก: 𝗽𝗮𝗿𝗮𝗱𝗶𝗱𝗱𝗹𝗲, 𝗳𝗹𝗮𝗺, 𝗱𝗼𝘂𝗯𝗹𝗲 𝘀𝘁𝗿𝗼𝗸𝗲, 𝗱𝗿𝗮𝗴... มันเหมือนเด็กน้อยที่คุณเลี้ยงไว้ในห้องซ้อม คุณป้อนเขาทุกวัน บอกให้เขานั่งตรง จังหวะเป๊ะ ไม่เอียง



แต่ถ้าเด็กคนนั้นไม่เคยได้ออกไปเจอโลกจริง เขาจะไม่รู้เลยว่าตัวเองมีเสียงแบบไหน มีบุคลิกยังไง หรือมี “ที่ทาง” อยู่ตรงไหนในบทสนทนาของโลกดนตรี



เพราะสุดท้าย การฝึกที่ดีที่สุด ก็ยังเป็นแค่ การจำลอง มันจะไม่มีวันกลายเป็น “ภาษา” ถ้ามันไม่ถูกใช้ในสถานการณ์จริง



๐ แบบฝึกหัด = ราก



โลกจริง = ดิน น้ำ แดด และลม



𝗿𝘂𝗱𝗶𝗺𝗲𝗻𝘁 เป็นเพียงโครงสร้างดิบ ๆ เหมือนรากต้นไม้ แต่รากจะไม่โต ถ้าไม่ได้ฝังอยู่ในดิน ไม่ได้เจอน้ำจริง ไม่ได้สัมผัสแดดจริง และไม่เคยถูกลมพัดแรง ๆ ให้รู้ว่าอะไรแข็งแรงพอจะอยู่ต่อ



คุณต้องเอา 𝗿𝘂𝗱𝗶𝗺𝗲𝗻𝘁 ที่ซ้อมมา ไปลองในวง 𝗷𝗮𝗺 เอาไปใช้กับ 𝗯𝗮𝗰𝗸𝗶𝗻𝗴 𝘁𝗿𝗮𝗰𝗸 ที่คุณไม่ได้คุ้น หรือเอาไปเล่นกับนักดนตรีคนอื่น ที่มี 𝘁𝗶𝗺𝗶𝗻𝗴 ไม่เหมือนคลิก เพราะที่นั่นแหละ ที่ 𝗿𝘂𝗱𝗶𝗺𝗲𝗻𝘁 ของคุณจะเริ่มเปลี่ยนจาก “แบบฝึกหัด” เป็น “ภาษาชีวิต”



๐ เจ็บบ้าง อายบ้าง = เติบโต



ใช่, บางครั้งคุณจะใส่ 𝗽𝗮𝗿𝗮𝗱𝗶𝗱𝗱𝗹𝗲 ลงในเพลงแล้วมัน “ไม่เวิร์ก” บางครั้งคุณจะพยายามใช้ 𝗳𝗹𝗮𝗺 ใน 𝗴𝗿𝗼𝗼𝘃𝗲 แต่เบสดันลากคุณหลุด บางครั้งคุณจะอายเมื่อ 𝗳𝗶𝗹𝗹-𝗶𝗻 ที่ฝึกมาอย่างดีฟังดู “เยอะเกินไป” เมื่ออยู่ในวงจริง



แต่ไม่มีอะไรผิดกับสิ่งเหล่านั้น เพราะนั่นคือกระบวนการเติบโต ไม่มีเด็กคนไหนพูดคล่องโดยไม่เคยพูดผิด และไม่มีมือกลองคนไหนมีเสียงของตัวเอง ถ้าไม่เคยตีพลาดเลย



𝗣𝗮𝗿𝗮𝗱𝗶𝗱𝗱𝗹𝗲 จะไม่กลายเป็นเสียงของคุณ ถ้าคุณไม่เคยเอามันไปเล่าเรื่องกับใคร



𝗙𝗹𝗮𝗺 จะไม่มีน้ำหนัก ถ้ามันไม่เคยถูกโยนออกไปท่ามกลางเสียงเครื่องดนตรีอื่น



𝗗𝗿𝗮𝗴 จะไม่มีความหมาย ถ้ามันไม่เคยได้พูดในบริบทที่ต้องการความรู้สึกจริง ๆ



ทุก 𝗿𝘂𝗱𝗶𝗺𝗲𝗻𝘁 คือเมล็ด...แต่การเล่นดนตรีกับคนจริง คือฤดูกาลที่ทำให้มันเติบโต



ลองผิด ลองถูก อายบ้าง หัวเราะบ้าง แล้ววันหนึ่งคุณจะพบว่า เสียงที่คุณสร้างขึ้นจาก 𝗿𝘂𝗱𝗶𝗺𝗲𝗻𝘁 ที่ดูธรรมดา มันสามารถ “พูดแทนตัวคุณ” ได้ดังกว่าคำพูดใด ๆ





ลองนึกภาพตัวเองนั่งฝึก 𝗿𝘂𝗱𝗶𝗺𝗲𝗻𝘁 บน 𝗽𝗿𝗮𝗰𝘁𝗶𝗰𝗲 𝗽𝗮𝗱 ทุกวัน วันละ 𝟮 ชั่วโมง ตีได้เป๊ะทุกโน้ต เร็วเท่าไหร่ก็เอาอยู่ ผ่านไป 𝟯 ปี… คุณอาจกลายเป็น “นักฝึกซ้อม” ที่ดีมาก แต่พอถึงวันต้องเล่นเพลงจริงในวง คุณอาจจะรู้สึกเหมือน “พูดไม่ออก” เพราะไม่รู้จะเริ่มใช้มันยังไง



มันไม่ใช่เพราะคุณขาดทักษะ แต่เพราะคุณไม่เคย “เชื่อจริง ๆ” ว่าสิ่งที่คุณฝึกนั้น มัน ใช้พูดกับคนอื่นได้



๐ 𝗥𝘂𝗱𝗶𝗺𝗲𝗻𝘁 = ภาษา



แต่ถ้าคุณไม่ใช้ มันก็ไม่ต่างจากศัพท์ที่จำแล้วลืม มันเหมือนกับการเรียนศัพท์ภาษาอังกฤษวันละ 𝟭𝟬 คำ โดยไม่เคยลองเอาไปพูด



สุดท้ายคุณจะมีคลังคำที่เยอะมากในหัว แต่เวลาต้องสื่อสารจริง คุณกลับพูดไม่ออก เพราะสมองของคุณไม่เคย “เชื่อมคำเหล่านั้นเข้ากับประสบการณ์จริง”



𝗿𝘂𝗱𝗶𝗺𝗲𝗻𝘁 ก็เช่นกัน


คุณอาจจำได้หมดว่า 𝗽𝗮𝗿𝗮𝗱𝗶𝗱𝗱𝗹𝗲 คืออะไร


คุณอาจตี 𝗱𝗿𝗮𝗴 แบบเร็วระดับ 𝟯𝟮𝗻𝗱 𝗻𝗼𝘁𝗲 ได้เป๊ะ



แต่ถ้าคุณไม่เคยลองใส่มันลงในเพลงจริง ไม่เคยทดลองใน 𝗷𝗮𝗺 ไม่เคยแม้แต่คิดว่า "เพลงนี้จะได้ประโยชน์อะไรจาก 𝗿𝘂𝗱𝗶𝗺𝗲𝗻𝘁 ที่เรารู้" วันหนึ่งคุณจะลืม และไม่ใช่แค่ลืมทางเทคนิค แต่คุณจะลืมว่า “ทำไมเราฝึกมันตั้งแต่แรก”



๐ ความรู้ที่ไม่ได้ใช้ = ความรู้ที่ร่วงโรย



𝗿𝘂𝗱𝗶𝗺𝗲𝗻𝘁 ที่คุณฝึกอย่างหนัก จะกลายเป็นเพียง “ความรู้เปล่า” ถ้าไม่เคยถูกเชื่อมโยงเข้ากับ เสียงจริง, ความรู้สึกจริง, และ บริบทจริง



  𝗣𝗮𝗿𝗮𝗱𝗶𝗱𝗱𝗹𝗲 ที่คุณฝึกมา 𝟯 ปี อาจหายไปจากร่างกายทันที เมื่อคุณเจอสถานการณ์ที่ต้อง 𝗶𝗺𝗽𝗿𝗼𝘃𝗶𝘀𝗲


  𝗗𝗿𝗮𝗴 ที่คุณเคยควบคุมได้อย่างนุ่มนวล อาจแข็งทื่อขึ้นมาทันที เมื่อเล่นท่ามกลางวงที่มีคนฟัง


  𝗙𝗹𝗮𝗺 ที่คุณเคยใส่ใน 𝗴𝗿𝗼𝗼𝘃𝗲 อัตโนมัติ อาจหายไปจากเพลงที่เรียบง่าย เพราะคุณไม่กล้าใช้มันในบริบทที่ “จริงเกินไป”



๐ อย่าปล่อยให้ 𝗿𝘂𝗱𝗶𝗺𝗲𝗻𝘁 ตายอยู่ในสมุดโน้ต



ทุกครั้งที่คุณฝึก 𝗿𝘂𝗱𝗶𝗺𝗲𝗻𝘁 แล้วไม่เคยทดลองใช้ คุณกำลังค่อย ๆ ทำให้มัน “หายไป”. ไม่ใช่หายจากร่างกาย แต่หายจาก “ภาษาของคุณ”. เพราะภาษาที่ไม่ได้พูดซ้ำ มันจะจาง ภาษาที่ไม่เคยสื่อสาร มันจะตายลงอย่างช้า ๆ



ฝึกเก่งแค่ไหนก็ไม่พอ ถ้าไม่เคยเอาไปใช้ คุณไม่ได้ฝึก 𝗿𝘂𝗱𝗶𝗺𝗲𝗻𝘁 เพื่อให้จำได้ แต่เพื่อให้ “พูดได้” และถ้าคุณอยากให้มันอยู่กับคุณไปตลอด คุณต้องใช้มันให้คนอื่น “ฟังรู้เรื่อง” ไม่ใช่แค่ตีได้ตรง แต่ต้องตีแล้วมีเสียง ตีแล้วมีความหมาย ตีแล้ว “มันคือคุณ”





เมื่อเราพูดถึง 𝗿𝘂𝗱𝗶𝗺𝗲𝗻𝘁 หลายคนมักติดกับดักของการฝึกเพื่อ “ตีให้ได้” ตีให้เร็ว ตีให้เป๊ะ ตีให้ครบทุก 𝗽𝗮𝘁𝘁𝗲𝗿𝗻



แต่ในความจริงแล้ว 𝗿𝘂𝗱𝗶𝗺𝗲𝗻𝘁 ไม่ใช่ปัญหา ปัญหาที่แท้จริงคือ การฝึกที่ไม่มีเป้าหมายที่ชัดเจน และไม่กล้าเอาไปใช้จริง



  ฝึกเพื่อ “ตีได้” คือการหลอกตัวเอง



ลองถามตัวเองดู คุณฝึก 𝗿𝘂𝗱𝗶𝗺𝗲𝗻𝘁 เพื่ออะไร? ถ้าคำตอบคือแค่ “ตีได้” ก็เหมือนกับการสะสมชุดคำศัพท์โดยไม่ได้พูดกับใคร มันเป็นการฝึกที่ขาดความหมาย เหมือนกับการวิ่งอยู่กับที่โดยไม่รู้จะวิ่งไปไหน ซ้อมไปวัน ๆ แต่พอถึงเวลาจริง… คุณยังรู้สึกตัน รู้สึกเหมือนขาดชีวิตในเสียง เสียงที่ตีออกมาจึงเป็นแค่ “𝗽𝗮𝘁𝘁𝗲𝗿𝗻” ไม่มีอะไรสื่อสาร ไม่มีอะไรดึงดูดใจ



  ฝึกเพื่อ “พูดได้” คือการสร้างเสียงของตัวเอง



ในทางกลับกัน ถ้าคุณฝึกด้วยความตั้งใจว่า “วันนี้ฉันจะใช้ 𝗿𝘂𝗱𝗶𝗺𝗲𝗻𝘁 นี้ไปสื่อสารอะไร?” เช่นสร้าง 𝗴𝗿𝗼𝗼𝘃𝗲 ง่าย ๆ จาก 𝗽𝗮𝗿𝗮𝗱𝗶𝗱𝗱𝗹𝗲 แล้วลองเล่นให้เพื่อนฟัง และถามเพื่อนว่า “รู้สึกยังไง?” นี่แหละคือการฝึกที่มีความหมาย



เสียงของคุณจะเริ่มมีชีวิต เสียงที่ไม่ใช่แค่ชุดโน้ตที่ถูกตีตามสูตร แต่เป็น “บทสนทนา” ที่เชื่อมโยงกับคนฟังจริง ๆ เสียงที่ทำให้คนฟังอยากขยับหัวตาม อยากเคลื่อนไหวตาม



  เริ่มจากสิ่งเล็ก ๆ ก่อน



ไม่จำเป็นต้องสร้าง 𝗴𝗿𝗼𝗼𝘃𝗲 ซับซ้อน หรือโชว์เทคนิคเยอะ เริ่มจาก 𝗿𝘂𝗱𝗶𝗺𝗲𝗻𝘁 เดียวที่คุณชอบ ลองสร้าง 𝗴𝗿𝗼𝗼𝘃𝗲 ที่ฟังง่าย มีจังหวะและน้ำหนัก แล้วเอาไปเล่นในวง หรือให้เพื่อนฟัง ฟัง 𝗳𝗲𝗲𝗱𝗯𝗮𝗰𝗸 และรู้สึกกับสิ่งที่เกิดขึ้น



คุณจะเห็นว่า 𝗿𝘂𝗱𝗶𝗺𝗲𝗻𝘁 ที่เคยดู “แห้ง” กลับกลายเป็นเสียงที่ “มีชีวิต” และนั่นคือสิ่งที่แตกต่างระหว่าง “นักฝึก” กับ “ศิลปิน”



คำถามให้ลองถามตัวเอง



𝗿𝘂𝗱𝗶𝗺𝗲𝗻𝘁 ที่คุณตีจนคล่อง มันพูดแทนใจคุณได้แล้วหรือยัง? หรือมันยังเป็นแค่ 𝗽𝗮𝘁𝘁𝗲𝗿𝗻 ที่ไม่มีความหมาย?



ถ้าคำตอบคือ “ยัง” นั่นคือเวลาที่ต้องเปลี่ยนวิธีฝึก เปลี่ยนจากการตีเพื่อแค่ “ทำได้” เป็นการตีเพื่อ “สื่อสาร” ให้ได้



สุดท้าย...



เสียงของคุณไม่ได้วัดกันที่ “จำนวน 𝗽𝗮𝘁𝘁𝗲𝗿𝗻 ที่ตีได้” แต่วัดกันที่ “ความรู้สึกที่คนฟังรับรู้” และนั่นคือหัวใจของการเป็นมือกลองที่มีชีวิต ที่ไม่ใช่แค่เครื่องตี แต่เป็นศิลปินที่พูดด้วยเสียงของตัวเอง

 
 
 

Comments


bottom of page