ความเบื่อในการฝึกคือสัญญาณว่าเรากำลังลืมอะไรบางอย่าง❓
- Dr.Kasem THipayametrakul
- 4 days ago
- 2 min read

เบื่อเพราะหมดไฟ? หรือเพราะหลงลืมบางสิ่งระหว่างทาง?
ในเส้นทางของการฝึกฝน —ไม่ว่าจะเป็นดนตรี กีฬา ศิลปะ หรือศาสตร์ใดก็ตาม —ย่อมมีช่วงเวลาที่เรารู้สึกเฉย ๆ กับสิ่งที่เคยทำด้วยหัวใจเต็มร้อย
เราเริ่มรู้สึกซ้ำซาก จำเจ
ไม่ตื่นเต้นกับกระบวนการฝึกอีกต่อไป
และบางครั้งก็อดถามตัวเองไม่ได้ว่า
"สิ่งที่ฉันทำอยู่...ยังมีความหมายอยู่ไหม?"
หลายคนอาจรีบสรุปว่า “#ความเบื่อ” คือสัญญาณของความไม่มีวินัย
แต่บทความนี้อยากชวนคุณมองอีกแบบ —ว่าแท้จริงแล้ว ความเบื่ออาจกำลังพยายามบอกอะไรบางอย่างกับเรา
บางอย่างที่เราหลงลืมไป
บางอย่างที่เราเลิกฟัง เลิกรู้สึก
หรือบางอย่างที่เคยเชื่อมโยงลึกซึ้ง...แต่เราทิ้งมันไว้ข้างทาง
ความเบื่อไม่ใช่สิ่งเลวร้าย และไม่ควรถูกตีตราว่าเป็น “ศัตรูของความพยายาม” เสมอไป ตรงกันข้าม—มันคือสัญญาณเงียบจากระบบภายในของเรา ที่กำลังบอกว่า “บางสิ่งบางอย่างกำลังขาดหาย” และเราอาจยังไม่ทันได้สังเกต
เสียงของความเบื่อมักเกิดขึ้นหลังจากช่วงที่เราฝึกแบบสม่ำเสมอมาแล้วระยะหนึ่ง มันไม่ใช่เสียงต้าน แต่คือเสียงเตือน เช่น การฝึก 𝙧𝙪𝙙𝙞𝙢𝙚𝙣𝙩 แบบเดิมซ้ำ ๆ ทุกวัน โดยไม่มีคำถาม ไม่มีการฟังตัวเอง หรือไม่มี 𝙛𝙚𝙚𝙙𝙗𝙖𝙘𝙠 ว่ามันนำไปสู่เป้าหมายใดจริงหรือไม่
บางคนอาจรู้สึกว่า "ฉันขยันแล้ว แต่ไม่ไปไหน" — จุดนี้เองที่ความเบื่อเริ่มกระซิบว่า
“คุณยังเข้าใจสิ่งที่ทำอยู่ไหม?”
“คุณกำลังฝึกเพื่ออะไร?”
“คุณเห็นความเปลี่ยนแปลงของตัวเองหรือยัง?”
หากเราฝึกแบบ 𝙢𝙚𝙘𝙝𝙖𝙣𝙞𝙘𝙖𝙡 𝙩𝙧𝙖𝙞𝙣𝙞𝙣𝙜 คือทำตามตารางฝึกแบบเดิม ๆ โดยไม่เชื่อมโยงกับภาพรวม ความเบื่อย่อมเกิดขึ้นตามธรรมชาติ เพราะสมองของเราต้องการ “ความหมาย” เพื่อขับเคลื่อน ไม่ใช่เพียง “คำสั่ง”
อีกสาเหตุหนึ่งคือ เราอาจลืมไปว่า “ความเปลี่ยนแปลงเล็ก ๆ” ก็มีความหมายมาก เช่น การตีโน้ตเดียวให้ได้โทนเสียงที่ลึกขึ้น หรือการผ่อนคลายข้อมือได้มากขึ้น 𝟱% ใน 𝙥𝙖𝙨𝙨𝙖𝙜𝙚 เดิม สิ่งเล็ก ๆ แบบนี้ หากเราไม่รู้จัก “ฟังมัน” ความรู้สึกว่า “เราย่ำอยู่กับที่” ก็จะครอบงำ
ในหลายกรณี ความเบื่อคือผลข้างเคียงของการ “ฝึกโดยไม่รู้ตัวว่าเรียนรู้อะไร”
และเมื่อผู้ฝึกไม่ได้มีปฏิสัมพันธ์กับสิ่งที่ฝึก (เช่น การตั้งคำถาม ทดลอง ปรับเปลี่ยน หรือฟังผลลัพธ์ของตัวเองจริง ๆ) สิ่งที่เคยเป็นความมุ่งมั่น จึงอาจกลายเป็น “ภาระ” ทางใจโดยไม่รู้ตัว
คำถามที่ตามมาคือ:
๐ คุณสังเกตไหมว่า ตัวเองเริ่มฝึกโดยอัตโนมัติโดยไม่คิด?
๐ คุณยังเชื่อมโยงได้ไหมว่าแบบฝึกนี้เกี่ยวกับเสียงที่คุณอยากได้อย่างไร?
๐ คุณให้คุณค่ากับความรู้สึกเล็ก ๆ หลังการฝึก หรือคุณรอแค่ผลลัพธ์ใหญ่?
ความเบื่อจึงไม่ใช่ศัตรูของการฝึกฝน — แต่เป็นเพื่อนที่ซื่อสัตย์ที่สุด ที่จะปรากฏตัวเสมอ เมื่อเราหลงลืมความหมายของการเดินทาง
𝟮. เราอาจลืม “#ความหมาย” ของการฝึก ♪
แรงบันดาลใจมักเป็นสิ่งที่ผลักดันให้เราเริ่มต้นการฝึกฝน ไม่ว่าจะเป็นเสียงของศิลปินที่เรารัก ภาพของเวทีที่อยากไปยืน หรือคำพูดของครูที่เคยบอกว่า “เธอทำได้นะ” — สิ่งเหล่านี้สร้างพลังงานให้เราเดินเข้าสู่กระบวนการซ้ำ ๆ อย่างสมัครใจ เพราะเรามองเห็นปลายทางที่ชัดเจน และเชื่อมโยงตัวเองกับมันได้
แต่เมื่อเวลาผ่านไป แรงขับเคลื่อนเหล่านี้อาจเริ่มจางลง โดยเฉพาะเมื่อกระบวนการฝึกเริ่มเข้าสู่โหมด “กิจวัตร” คือทำทุกวันเหมือนเดิม เหมือนมีสคริปต์ฝังอยู่ในชีวิต เช่น ตื่นเช้ามาฝึก 𝙧𝙪𝙙𝙞𝙢𝙚𝙣𝙩𝙨 → เล่นสเกล → อ่านโน้ต → เล่น 𝙢𝙚𝙩𝙧𝙤𝙣𝙤𝙢𝙚 — แล้วก็จบไปอีกวัน โดยไม่ทันได้ถามอะไรเลย
ความเบื่อที่เกิดขึ้นในช่วงนี้ อาจไม่ได้บอกว่าเรา “เหนื่อย” หรือ “หมดไฟ” เสมอไป แต่อาจเป็นการสะท้อนว่าเรากำลัง “หลงลืมเป้าหมายต้นทาง” หรืออาจไม่ได้ทบทวนความหมายของสิ่งที่ทำอยู่เลย
คำถามคือ: คุณยังจำได้ไหมว่า คุณฝึกเพื่ออะไร?
ไม่ใช่แค่ “เพื่อเก่งขึ้น” — แต่เก่งขึ้นไปเพื่ออะไร?
เพื่อเล่นให้คนฟังเข้าใจ?
เพื่อสื่อสารความรู้สึกของคุณผ่านเสียง?
เพื่อยืนบนเวทีที่คุณเคยฝัน?
หรือเพื่อเติบโตในฐานะมนุษย์ที่เข้าใจตัวเองผ่านศิลปะ?
ถ้าเราไม่สามารถเชื่อมโยงกิจกรรมเล็ก ๆ ที่ทำซ้ำทุกวัน — เช่น การตีโน้ตเดิม ๆ หรือการนับจังหวะให้ตรง — กับเป้าหมายที่มีความหมายในเชิงลึก (𝙥𝙚𝙧𝙨𝙤𝙣𝙖𝙡 𝙢𝙚𝙖𝙣𝙞𝙣𝙜) มันจะกลายเป็นเพียงกิจกรรมกลวงเปล่า คือ “ทำไปเพราะต้องทำ” แทนที่จะเป็น “ทำไปเพราะเลือกทำ”
นักเรียนจำนวนมากที่ฝึกหนักทุกวัน แต่รู้สึกหมดไฟ ไม่ใช่เพราะพวกเขาไม่ขยัน — แต่เพราะพวกเขาหลงลืม “ภาพรวม” หรือ “ความฝันต้นทาง” ที่เคยชัดเจนในใจ เมื่อฝึกกลายเป็นหน้าที่ มากกว่าความสัมพันธ์ — ความเบื่อก็ย่อมตามมา
บางครั้ง วิธีเรียกความหมายกลับมา อาจไม่ใช่การฝึกให้หนักขึ้น แต่อาจเป็นการหยุดเพื่อถามตัวเองว่า:
๐ วันนี้ฉันฝึกเพื่ออะไร?
๐ สิ่งที่ฉันทำเชื่อมโยงกับคุณค่าในชีวิตฉันอย่างไร?
๐ ฉันยังรู้สึกว่าเสียงของฉันสำคัญอยู่ไหม?
การกลับไปเชื่อมโยงกับ “เหตุผล” ในการเริ่มต้น — แม้เพียงเสี้ยวหนึ่ง — อาจเพียงพอที่จะเติมสีสันกลับเข้าไปในกระบวนการฝึก และแปรเปลี่ยนความเบื่อ ให้กลายเป็นโอกาสในการทบทวนหัวใจของการเดินทางอีกครั้ง
𝟯. เราอาจลืม “#สังเกต” การเปลี่ยนแปลงเล็กน้อย ♪
การฝึกฝนที่แท้จริงไม่ใช่กระบวนการแบบ “ก่อน-หลัง” ที่เปลี่ยนแปลงอย่างชัดเจนในทุกวัน หากแต่คือการค่อย ๆ สะสมความละเอียดอ่อน — ทั้งในทางเทคนิค ความรู้สึก และการรับรู้ ที่ซ้อนทับกันอย่างเงียบ ๆ
ในชีวิตจริงของผู้ฝึก ไม่ได้มีเสียงปรบมือทุกครั้งที่เราตีได้ดีขึ้น 𝟭% ไม่มีใครมาเตือนเราว่า “วันนี้เสียงของคุณควบคุมได้ดีขึ้นนิดนึงนะ” หรือ “นิ้วคุณคลายเกร็งแล้ว” ความก้าวหน้าในแต่ละวันจึงอาจเล็กจนแทบมองไม่เห็น — ถ้าเราไม่ฝึกนิสัยในการสังเกต
ความเบื่อหลายครั้งไม่ได้เกิดจาก “ไม่มีความคืบหน้า” แต่เกิดจาก “เรามองไม่เห็นมัน”
ลองนึกภาพว่าคุณฝึก 𝙥𝙖𝙩𝙩𝙚𝙧𝙣 เดิมซ้ำมา 𝟱 วัน แล้วรู้สึกเหมือนทุกอย่างเท่าเดิม — แต่ในความจริง:
๐ คุณควบคุมไดนามิกได้สม่ำเสมอขึ้น
๐ เสียง 𝙜𝙝𝙤𝙨𝙩 𝙣𝙤𝙩𝙚 ฟังชัดโดยไม่กระโดด
๐ วงแขนไม่ตึงเท่าเดิม
๐ หรือคุณไม่หอบเมื่อเล่นติดต่อกัน 𝟱 นาที
สิ่งเหล่านี้คือการเปลี่ยนแปลง — แม้จะไม่หวือหวา แต่มันคือ “ข้อมูลล้ำค่า” ที่สะท้อนว่าคุณกำลังไปข้างหน้า
แล้วทำไมเราจึงมองไม่เห็นมัน?
เพราะเรามักเฝ้ารอ “ผลลัพธ์ใหญ่” จนลืมมอง “ความเคลื่อนไหวเล็ก”
เพราะเราฝึกโดยใช้หูฟังเสียงเท่านั้น — แต่อาจไม่ใช้ใจฟังตัวเอง
หรือเพราะเราไม่ได้ตั้งใจจะ “ฟัง” แต่เพียงแค่ “ทำ” ให้เสร็จ
การฝึกจึงกลายเป็นเหมือนการขุดดินลงไปในที่เดิมซ้ำ ๆ โดยไม่รู้ว่ารากของต้นไม้ได้แผ่กว้างออกไปแล้ว
คำถามคือ: วันนี้คุณสังเกตอะไรบางอย่างในเสียงหรือร่างกายของคุณได้หรือไม่?
หากยัง — อาจไม่ใช่เพราะมันไม่มี
แต่อาจเพราะคุณยังไม่ได้ “ฟังแบบตั้งใจ”
การฝึกแบบมีสติรับรู้ (𝙢𝙞𝙣𝙙𝙛𝙪𝙡 𝙥𝙧𝙖𝙘𝙩𝙞𝙘𝙚) คือการหัดสังเกต
ไม่ใช่แค่ “ว่าฝึกไปถึงไหนแล้ว” แต่คือ “ฝึกอย่างไร เสียงเป็นอย่างไร ร่างกายตอบสนองอย่างไร และตัวเรารู้สึกอย่างไร”
การบันทึกวิดีโอการฝึกในแต่ละสัปดาห์ แล้วกลับมาดูย้อนหลัง
การจดโน้ตถึงสิ่งเล็กน้อยที่สังเกตได้
หรือแม้แต่การพูดออกมาว่า “เมื่อกี้ตีดีขึ้นกว่าเมื่อวานนะ” — ก็อาจเพียงพอให้เรารู้สึกว่า “เราไม่ได้อยู่กับที่”
เพราะในโลกของการฝึก ไม่มีใคร “ไปถึงเป้าหมาย” ในวันเดียว มีแต่คนที่ “ไม่ยอมลืมมอง” สิ่งเล็กน้อยที่เขาเปลี่ยนแปลงทุกวันเท่านั้นเอง
𝟰. เราอาจลืม “#การตั้งคำถาม” กับสิ่งที่ทำอยู่ ♪
การฝึกโดยไม่มีคำถาม คือการฝึกที่ขาดชีวิต
คือการเคลื่อนไหวซ้ำ ๆ โดยไม่มีเจตจำนง
คือการเดินไปตามเส้นทางของคนอื่น โดยไม่รู้ว่าเส้นทางนั้นยังตรงกับจุดหมายของตัวเองหรือไม่
ในการเรียนรู้ดนตรี (หรือศาสตร์ใด ๆ) เรามักเริ่มต้นด้วยความไว้วางใจในครู — และเป็นสิ่งที่ดี
แต่เมื่อเวลาผ่านไป เราอาจติดอยู่กับชุดคำสั่งหรือแบบฝึกที่ “เคยถูกต้อง” โดยไม่เคยถามว่า วันนี้มันยังจำเป็นกับเราอยู่ไหม?
คำถาม
๐ “ทำไมเราต้องฝึก 𝙧𝙪𝙙𝙞𝙢𝙚𝙣𝙩 นี้ทุกวัน?”
๐ “เสียงที่เราตีเมื่อเช้า มันต่างจากเสียงของเมื่อวานตรงไหน?”
๐ “เรากำลังฟังเสียงจริง หรือแค่ฟังเสียงที่คิดว่า ‘ควรเป็น’?”
๐ “สิ่งที่เราฝึก ยังเชื่อมโยงกับเป้าหมายที่เราตั้งไว้ตั้งแต่แรกหรือเปล่า?”
คำถามเหล่านี้ไม่ได้ทำให้เรา “เก่งขึ้น” ในทันที แต่มันทำให้เรากลับมา “ตื่นรู้” กับกระบวนการของตัวเอง
เพราะคนที่ไม่ตั้งคำถาม จะหลงลืมเป้าหมายของตัวเองไปช้า ๆ และคนที่ไม่รู้ว่า “ทำไปเพื่ออะไร” ก็จะรู้สึกเบื่อเร็วกว่าคนอื่นเสมอ
การตั้งคำถามไม่ใช่การแย้งครู ไม่ใช่การหาวิธีลัด
แต่มันคือการรับผิดชอบต่อกระบวนการเรียนรู้ของตัวเอง
คือการปรับสิ่งที่คนอื่นเคยสอน ให้กลายเป็นของเราจริง ๆ
คือการเปลี่ยนจาก “คนทำตาม” → เป็น “คนเรียนรู้ด้วยตัวเอง”
บางครั้ง คำถามเพียงหนึ่งคำถาม อาจเปลี่ยนทั้งวิธีฝึกของเราไปตลอดชีวิต และคำถามง่าย ๆ อย่าง
“วันนี้ฉันรู้สึกอย่างไรกับเสียงที่ฉันเล่นออกมา?”
ก็อาจเพียงพอจะทำให้การฝึกธรรมดา กลับมามีชีวิตอีกครั้ง
𝟱. เราอาจลืม “#ความยืดหยุ่น” ในการออกแบบการฝึก ♪
บางครั้ง “ความเบื่อ” ไม่ได้เกิดจากสิ่งที่เราฝึก — แต่เกิดจาก วิธีที่เราฝึก เราฝึกเวลาเดิม ท่าเดิม ลำดับเดิม ด้วยมุมมองเดิม ๆ ไม่ใช่เพราะมันดีที่สุด แต่เพราะเราชินกับมันเกินไป
การฝึกซ้ำเดิมเป็นสิ่งสำคัญสำหรับพัฒนาทักษะ แต่ถ้าซ้ำโดยไม่มีชีวิตชีวา — สิ่งนั้นอาจกลายเป็นความชินชา
ลองสังเกตดูว่า มีสิ่งเหล่านี้เกิดขึ้นกับคุณหรือไม่:
ฝึกในช่วงเวลาเดิมทุกวัน จนร่างกายเริ่มเข้าโหมดอัตโนมัติ
ฝึกท่าเดิมจนไม่มีแรงจูงใจจะ “ฟัง” หรือ “รู้สึก” อะไรใหม่ ๆ
ใช้ลำดับเดิมของการฝึกเสมอ ทำให้สมองเดาทุกอย่างได้หมด
คิดว่า “ต้องฝึกแบบนี้เท่านั้นจึงจะเรียกว่าถูก”
หากเป็นเช่นนั้น — อาจถึงเวลาที่คุณต้องให้ “ความยืดหยุ่น” แก่ตัวเอง
ความยืดหยุ่นไม่ได้แปลว่าเราละเลยเป้าหมาย แต่คือการปรับเส้นทางเพื่อให้เรายังเดินต่อได้ — ด้วยใจที่สดใหม่
ลองเปลี่ยนอะไรบางอย่างดู เช่น
สลับลำดับการฝึก (เช่น เริ่มจากเพลงก่อน แล้วค่อยซ้อม 𝙧𝙪𝙙𝙞𝙢𝙚𝙣𝙩)
เปลี่ยนเวลา (เช้า-เย็น) เพื่อให้จังหวะร่างกายไม่จำเจ
ฝึกในสถานที่ใหม่ ๆ เพื่อกระตุ้นการรับรู้ทางประสาทสัมผัส
ฝึกกับเพื่อน หรืออัดวิดีโอตัวเองเพื่อมองจากมุมใหม่
ตั้งโจทย์ใหม่ เช่น “วันนี้จะฝึกด้วยการโฟกัสแค่เสียง 𝙧𝙞𝙢𝙨𝙝𝙤𝙩 เท่านั้น”
ทั้งหมดนี้คือการออกแบบการฝึกอย่างตั้งใจ ด้วยความยืดหยุ่นและความตื่นรู้ อย่ากลัวที่จะ “เปลี่ยน” — หากการเปลี่ยนนั้นยังพาคุณไปในทิศทางเดิม เพราะบางครั้ง สิ่งที่เราต้องการ ไม่ใช่แรงผลักมากขึ้น แต่เป็นความสดใหม่ ที่ทำให้เรายัง “รักการฝึก” ต่อไปได้
ในท้ายที่สุด หากเรามองให้ลึกลงไปอีกชั้น ความเบื่ออาจไม่ใช่เพียงอารมณ์หนึ่งที่เกิดขึ้นจากการฝึกซ้ำ แต่คือกระจกที่สะท้อน “#ช่องว่าง” ระหว่างสิ่งที่เราทำ กับสิ่งที่เรารับรู้ว่าเรากำลังทำอยู่
นั่นคือหัวใจของ 𝙢𝙚𝙩𝙖𝙘𝙤𝙜𝙣𝙞𝙩𝙞𝙤𝙣 — ความสามารถในการ “#คิดถึงสิ่งที่เรากำลังคิด” และ “#สังเกตตนเองขณะเรียนรู้”
เมื่อเราเริ่มรู้สึกเบื่อ เรากำลังได้รับสัญญาณว่า กระบวนการเรียนรู้ของเราหลุดออกจากความรู้ตัวบางประการ
อาจเป็นการที่เราไม่รู้ว่าเรียนรู้อะไรอยู่
อาจเป็นการที่เราทำซ้ำ แต่ไม่รู้ว่าเพื่ออะไร
หรืออาจเป็นการที่เราฝึกไปเรื่อย ๆ โดยไม่ได้ “#ฟัง” สิ่งที่ตัวเองกำลังเปลี่ยนแปลง
ในมิตินี้ ความเบื่อจึงไม่ได้เป็น “#ศัตรูของการฝึกฝน” แต่กลับเป็น “#เพื่อนคนหนึ่งของการเรียนรู้” เพื่อนที่ปรากฏตัวเมื่อเราหลงลืม…และจะหายไป เมื่อเรากลับมาฟังตัวเองอีกครั้ง
ความคิดเห็น