🎵 การใช้ Polyrhythm ในการสร้างความน่าสนใจในดนตรี (The Use of Polyrhythm in Creating Musical Interest)
- Dr.Kasem THipayametrakul
- Nov 7
- 7 min read

1. Polyrhythm คืออะไร?
Polyrhythm (โพลีริธึม) หมายถึงการเกิด หลายระบบของจังหวะ (multiple rhythmic layers) ใน กรอบเวลาร่วมเดียวกัน ไม่ใช่การเล่นหลายเสียงพร้อมกันแบบธรรมดา แต่เป็น การมี “หลายเวลา” อยู่ในพื้นที่เดียวกัน
จังหวะหนึ่งกำลัง “เล่าเรื่อง” ไปทางหนึ่ง ขณะที่อีกจังหวะหนึ่ง “เล่าเรื่อง” ไปอีกทางหนึ่ง แต่สุดท้ายทั้งหมด ยังกลับไปเจอ “จุดร่วมของเวลา” เดียวกันเสมอ (common pulse)
ที่มาและรากฐานทางวัฒนธรรม
Polyrhythm มีรากมาจากวัฒนธรรม ดนตรีแอฟริกันตะวันตก ซึ่งมีการใช้ กลองหลายใบ เพื่อสร้าง “พื้นที่เสียง” ที่มีจังหวะทับซ้อนกัน
1. กลองหนึ่งให้ กรอบเวลา (pulse)
2. กลองหนึ่งให้ จังหวะหลัก (main rhythm)
3. อีกกลองหนึ่งให้ จังหวะตอบโต้ / ต้านสมดุล (counter-rhythm)
เป้าหมายไม่ใช่ “ความซับซ้อนเพื่ออวดเทคนิค” แต่คือ การสร้างชีวิตและแรงขับเคลื่อน (drive) ในพื้นที่การเต้นและการเคลื่อนไหว
ในดนตรีแอฟริกัน จังหวะ = ชีวิต ชีวิตไม่เคยนิ่ง จังหวะก็ไม่ควรนิ่งเช่นกัน
หลักการทางทฤษฎีเวลา (Temporal Theory)
คำสำคัญ:
1. คำว่า Beat → ความหมาย จังหวะหลักที่ทุกคนรู้สึกร่วมกัน
2. คำว่า Subdivision → ความหมาย การแบ่งจังหวะหลักออกเป็นหน่วยเล็ก
3. คำว่า Common Pulse → ความหมาย กรอบเวลาร่วมที่ทุกจังหวะต้องกลับมาพบกัน
ตัวอย่างความสัมพันธ์จังหวะ:
1. 3:2 → 3 หน่วยเกิดในเวลาเดียวกับ 2 หน่วย
2. 4:3 → 4 หน่วยในเวลาที่อีกฝ่ายเกิด 3 หน่วย
3. 5:4 → ทำให้เวลา “ลื่น” เหมือนยืด–หดได้
ภาพมองง่าย:
3:2
| 1 | 2 | 3 |
| 1 | 2 |
จิตจะรู้สึกเหมือน “สองประตูเปิด–ปิดพร้อมกัน แต่ไม่ค่อยตรงกันจนกว่าจะถึงจุดร่วม”
จิตวิทยาการฟัง: ทำไม Polyrhythm ฟังแล้ว “ลื่น”?
สมองมนุษย์ไม่ฟัง Polyrhythm เป็น “สองจังหวะ” แต่ฟังเป็น “คลื่นเวลา” ที่กำลังดึง–ผลักกันตลอดเวลา เรียกว่า Phase Interaction
1. จังหวะหนึ่งพยายาม ล็อกเวลา
2. อีกจังหวะหนึ่งพยายาม ปลดล็อกเวลา
ผลลัพธ์คือความรู้สึกว่า เพลงกำลังเคลื่อนอยู่ตลอด แม้นิ่งอยู่กับที่
นี่คือเหตุผลที่ Polyrhythm ทำให้เพลง
1. มีความลึก (depth)
2. ไม่น่าเบื่อ (variety)
3. และ มีพลังของการเคลื่อนที่ (momentum)
Polyrhythm ในดนตรีร่วมสมัย
1. ศิลปิน / วง Steve Reich → รูปแบบที่ใช้ Minimalism / Phase Shifting
2. ศิลปิน / วง Meshuggah → รูปแบบที่ใช้ Metal + Polymeter / Time Displacement
3. ศิลปิน / วง Afro-Cuban / Brazilian Samba → รูปแบบที่ใช้ Layering percussion
4. ศิลปิน / วง Snarky Puppy / Jacob Collier → รูปแบบที่ใช้ Modern harmonic rhythm complexity
Polyrhythm ไม่ได้จำกัดที่ดนตรีแจ๊สหรือเวิลด์มิวสิค แต่กำลังกลายเป็น ภาษาดนตรีสมัยใหม่ ในระดับโครงสร้างระดับโลก
แบบฝึกเริ่มต้น (สำหรับเครื่องดนตรีทุกชนิด)
1. ตบมือ 2 จังหวะ พร้อมนับ 3
→ นับ: 1 - 2 - 3
→ ตบ: X X
จะเริ่มเกิดความรู้สึก "เคลื่อน" แม้อยู่ใน pulse เดียวกัน
2. พูด “ต้ม-ยำ-กุ้ง” ซ้อนกับ “ไก่-ทอด”
→ ต้ม-ยำ-กุ้ง = 3 พยางค์
→ ไก่-ทอด = 2 พยางค์
มีพฤติกรรม 3:2 โดยธรรมชาติ
ในเชิงจิตวิทยาการฟัง (Cognitive Perception) : สมองมนุษย์รับรู้ Polyrhythm ไม่เป็น “สองเวลา” ที่แยกกัน แต่รับรู้เป็น “คลื่นของเวลา” ที่บรรจบกันและแยกออก เป็นภาวะที่เสียงหนึ่งพยายามดึงอีกเสียงหนึ่งให้กลับสู่สมดุล
2. รากทางวัฒนธรรม: จากแอฟริกาสู่เวทีโลก
แนวคิดของ Polyrhythm มิได้เกิดขึ้นจากความต้องการ “ทำให้จังหวะซับซ้อน” แต่เกิดจาก วิถีชีวิตและกรอบความคิดเรื่องเวลา ของมนุษย์ในสังคมดั้งเดิม โดยเฉพาะในดนตรีของชุมชน Yoruba, Ewe, Akan และ Mandé ในแอฟริกาตะวันตก
ดนตรีในแอฟริกาตะวันตก: จังหวะคือระบบของชีวิต
ในสังคมเหล่านี้ กลองไม่ได้เป็น “เครื่องดนตรี” ในความหมายแบบตะวันตก แต่เป็น สื่อกลางของพิธีกรรม การสื่อสาร และอัตลักษณ์ของบุคคล
1. กลองแต่ละใบ → เสียงของบุคคลหนึ่งคน
2. กลุ่มกลองที่เล่นร่วมกัน → ชีวิตของชุมชน
จังหวะที่แตกต่างกันของแต่ละคน ไม่เคยตั้งใจให้ตรงกัน แต่มุ่งหมายให้ สัมพันธ์กัน ผ่าน common pulse ที่ทุกคนรู้ร่วมกัน
→ เสียงหนึ่ง “ดึง” เวลา
→ อีกเสียงหนึ่ง “ผลัก” เวลา
→ การอยู่ร่วมกันของทั้งสองคือลมหายใจของชุมชน
เวลาแบบ “หมุนวน” vs เวลาแบบ “เส้นตรง”
นักชาติพันธุ์ดนตรี David Locke อธิบายไว้ชัดเจนว่า:
“จังหวะในดนตรีแอฟริกาไม่ได้ดำเนินไปข้างหน้าแบบเส้นตรง
แต่มัน หมุนวนกลับมายังจุดเดิม (cyclical time).”
ในดนตรีแอฟริกา:
→ เวลา = พื้นที่หมุน ที่ทุกคนเดินเข้าหาและออกจาก
ในดนตรีตะวันตกคลาสสิกดั้งเดิม:
→ เวลา = เส้นตรง ที่มุ่งไปสู่จุดจบ (goal-oriented)
ดังนั้น Polyrhythm จึงสะท้อน โลกทัศน์เรื่องเวลา
→ ไม่ใช่ ความซับซ้อนทางเทคนิค
→ แต่คือ วิธีรู้สึกถึงชีวิต
การเดินทางของ Polyrhythm สู่ดนตรีโลก
1. ผ่านการอพยพและการค้าทาส → สู่ทวีปอเมริกา
แนวคิดจังหวะซ้อนถูกสืบทอดสู่:
1. Afro-Cuban (Clave + Conga + Bongo)
2. Brazilian Samba (Surdo + Caixa + Tamborim)
3. Gospel / Blues / Jazz (Call-and-Response + Groove)
ในวัฒนธรรม Afro-diasporic:
Groove คือ “จังหวะที่คนหลายคนหายใจร่วมกัน”
ดังนั้น Polyrhythm = โครงสร้างทางสังคม ที่ฟังได้
2. สู่ดนตรีคลาสสิกยุโรปยุคใหม่
นักประพันธ์อย่าง:
1. ชื่อ Stravinsky → แนวทาง ใช้ polyrhythm เพื่อสร้าง “พลังดิบ” (primitive energy)
2. ชื่อ Bartók → แนวทาง ศึกษาดนตรีพื้นบ้าน → ผสมโครงสร้างจังหวะซับซ้อน
3. ชื่อ Messiaen → แนวทาง ใช้จังหวะเป็นมิติของ “เวลาเชิงจิตวิญญาณ” (non-linear time)
พวกเขา ไม่ได้ลอกจังหวะ แต่ นำแนวคิดเรื่องเวลาที่ไม่เป็นเส้นตรง ไปใช้
3. สู่ดนตรี Minimalism และ Avant-garde
โดยเฉพาะ Steve Reich และ Philip Glass ซึ่งไม่ได้ใช้ polyrhythm เพื่อความซับซ้อน แต่เพื่อสร้าง:
“การเคลื่อนไหวภายในความนิ่ง” (Inner motion within outer stillness)
Reich เรียกสิ่งนี้ว่า Phase Shifting เช่นใน “Clapping Music” หรือ “Drumming”
เหตุใด Polyrhythm จึงเป็น “หัวใจของ Groove”?
เพราะ Groove ไม่ได้เกิดจาก การตรงเวลา แต่เกิดจาก ความต่างของเวลา ที่ ดัน–รับ, ดึง–ปล่อย, ยืด–หด อยู่ตลอด
1. หากมีจังหวะเดียว → เพลง “นิ่งเกินไป”
2. หากมีหลายชั้น → เพลง “หายใจได้”
กล่าวอีกแบบหนึ่ง:
Groove คือ “ความสัมพันธ์ระหว่างเวลาสองชั้นขึ้นไป”
3. โครงสร้างและตรรกะของ Polyrhythm
Polyrhythm ไม่ได้เป็นเพียง “หลายจังหวะซ้อนกัน” แต่เป็น ระบบเวลาที่มีตรรกะภายในของมันเอง สิ่งนี้เรียกว่า “ตรรกะเชิงคณิตศาสตร์ของเวลา” (Temporal Arithmetic)
3:2 คือโครงสร้างต้นแบบของ Polyrhythm
ให้เรากำหนดจังหวะหลัก (pulse) 1 ช่องเวลา = 1 วงจร
1. มือที่ 1 → จำนวนโน้ต 3 โน้ต → ความหมาย แบ่งเวลาเดียวกันออกเป็น 3 ส่วนเท่ากัน
2. มือที่ 2 → จำนวนโน้ต 2 โน้ต → ความหมาย แบ่งเวลาเดียวกันออกเป็น 2 ส่วนเท่ากัน
แม้ทั้งสอง “แบ่งเวลาไม่เท่ากัน” แต่ เริ่มพร้อมกัน และจบพร้อมกัน ในกรอบเวลาเดียวกัน
หลักคณิตศาสตร์: หารเวลาร่วม (Common Time Field)
1. จำนวน subdivision ร่วม = ผลคูณของจำนวนโน้ตแต่ละมือ
3 × 2 = 6
2. ดังนั้น โครงสร้างภายในของจังหวะจะเป็น 6 ช่องย่อย
1 2 3 4 5 6 (subdivisions)
3. การวางตำแหน่งเสียง
3.1 มือที่ ตี 3 → ลงจังหวะทุก ทุก 2 subdivision → ตำแหน่งที่ได้ 1, 3, 5
3.2 มือที่ตี 2 → ลงจังหวะทุก ทุก 3 subdivision → ตำแหน่งที่ได้ 1, 4
4. ภาพรวม (● = เสียง)
4.1 Subdivisions: 1 2 3 4 5 6
4.2 3-โน้ต (มือ1): ● ● ●
4.3 2-โน้ต (มือ2): ● ●
ทั้งสองมือ เห็นเวลาไม่เหมือนกัน แต่ อยู่ในจักรวาลเวลาเดียวกัน นี่คือความงามของ Polyrhythm
เมื่อขยายไป 4:3, 5:4, 7:5 ฯลฯ
1. รูปแบบ 4:3 → จำนวน subdivision ร่วม 12 → ความรู้สึกทางการได้ยิน เสียง “ไหล-ตีกลับ” (push–pull)
2. รูปแบบ 5:4 → จำนวน subdivision ร่วม 20 → ความรู้สึกทางการได้ยิน เวลาเริ่ม “ยืดได้-หดได้” (elastic time)
3. รูปแบบ 7:5 → จำนวน subdivision ร่วม 35 → ความรู้สึกทางการได้ยิน ความไม่สมมาตรที่มีสมดุลภายใน (fractal rhythm)
Polyrhythm ไม่ใช่ความไม่เป็นระเบียบ แต่เป็น ระบบที่มีความสมมาตรในแบบของมันเอง ความงามของ Polyrhythm ไม่ได้อยู่ที่ “จำนวน” แต่อยู่ที่ ความสัมพันธ์ของเวลา
“สมดุลภายในความไม่สมมาตร”
1. Polyrhythm ทำให้เพลงรู้สึก มีชีวิต เพราะ:
→ ไม่มีจังหวะไหน “ชนะ” หรือ “แพ้”
→ ทุกจังหวะ มีที่ทางของตัวเอง
→ เวลาไม่ได้เดินเป็นเส้นตรง แต่ หายใจเข้า–หายใจออก
จึงเกิด ความเคลื่อนไหวที่ไม่สิ้นสุด
2. คล้ายกับ:
→ การเดิน
→ การหายใจ
→ คลื่นทะเล
→ จังหวะหัวใจ
ดนตรีกลับมาเป็น สิ่งมีชีวิต ไม่ใช่คณิตศาสตร์แห้งแล้ง
4. ทำไม Polyrhythm จึงทำให้ดนตรีน่าสนใจ
ความน่าสนใจของ Polyrhythm ไม่ได้อยู่ที่ “ความซับซ้อน” แต่อยู่ที่ ความสัมพันธ์ของเวลา ที่เกิดขึ้นในเสียงเพลง สิ่งที่ผู้ฟังรู้สึกจึงเป็นผลของ การเคลื่อนไหวของเวลาในจิตใจ (temporal perception)
4.1 สร้าง “ชั้นของเวลา” (Temporal Layering)
เมื่อเกิด Polyrhythm
→ ฝั่งหนึ่งแบ่งเวลาเป็น 3 (โลกของสาม)
→ อีกฝั่งหนึ่งแบ่งเวลาเป็น 2 (โลกของสอง)
ทั้งคู่ ไม่มองเวลาเหมือนกัน แต่ อยู่ภายใต้ pulse เดียวกัน
จึงเหมือนเราได้ฟัง สองมุมมองของเวลา พร้อมกัน ดนตรีจึงไม่แบนราบ แต่มี “มิติของความลึก” (depth of groove) เหมือนบทสนทนาที่สองคนพูดคนละประโยค แต่เข้าใจกันได้ เพราะ อยู่ในบริบทเดียวกัน
4.2 สร้างแรงดึงดูดทางอารมณ์ (Rhythmic Tension & Resolution)
สมองมนุษย์มีแนวโน้ม แสวงหารูปแบบ (pattern-seeking instinct)
เมื่อจังหวะสองฝั่ง ไม่ตรงกัน:
→ สมองจะพยายาม จัดความหมายให้เข้ากัน
→ เกิด แรงตึงทางจังหวะ (rhythmic tension)
และเมื่อจังหวะกลับมาตรงกันในจุดร่วม:
→ เกิด ความรู้สึกคลี่คลาย (resolution)
→ ผู้ฟังรู้สึก “อิ่ม” และ “มีพลัง”
นี่คือหลักเดียวกับ:
→ ความตึงในคอร์ด → คลี่คลายในคาเดนซ์
→ ความสูง–ต่ำของเมโลดี้
→ แรง–เบาในไดนามิก
แต่เกิดขึ้นใน “มิติเวลา” แทนมิติความสูงของเสียง
4.3 ขยายความคิดเรื่องเวลา (Expanded Temporality)
ปกติ เรามองเวลาแบบ แนวนอน เดินทีละวินาทีไปข้างหน้า
แต่ใน Polyrhythm เวลา = พื้นที่ ที่ผู้เล่นสามารถเคลื่อนตัวไปมา
ดนตรีจึงไม่ใช่ “ข้อบังคับของเวลา” แต่เป็น พื้นที่ให้เวลาได้กะพริบ ขยาย และหดตัว
เวลาไม่ใช่เส้น แต่เป็นสนาม (field) สิ่งนี้ทำให้ผู้เล่นรู้สึกเหมือน กำลังสำรวจภายในเพลงมากกว่าท่องตามโน้ต
4.4 สะท้อนสภาวะของชีวิตจริง (Human Metaphor)
ในร่างกายมนุษย์มีจังหวะหลายชั้นที่เกิดพร้อมกัน:
→ จังหวะหัวใจ (แผ่ว–แรง–คงที่–เปลี่ยนแปลง)
→ จังหวะการหายใจ (ยาว–สั้น–เว้นช่วง)
ทั้งสอง ไม่ตรงกัน แต่ อยู่ร่วมกันได้อย่างงดงาม
Polyrhythm จึงมีความหมายเชิงสุนทรียศาสตร์และเชิงชีวิตว่า:
ความไม่พร้อมเพรียง ไม่ได้แปลว่าไร้ระเบียบ ความแตกต่างสามารถอยู่ร่วมกันได้อย่างสมดุล ชีวิตจริงไม่ได้เป็นจังหวะที่เท่ากันเสมอ แต่มันยังงดงาม จึงมีพลังทางอารมณ์ในแบบที่ ผู้ฟัง “รู้สึกได้” แม้ไม่เข้าใจทฤษฎี
สรุปภาพรวม
1. มิติ โครงสร้างเวลา → ผลที่เกิดขึ้น ดนตรีมีหลายชั้น (layering)
2. มิติ อารมณ์ → ผลที่เกิดขึ้น เกิดแรงดึงและการคลี่คลาย
3. มิติ การรับรู้ → ผลที่เกิดขึ้น เวลาไม่ตายตัว แต่เคลื่อนไหว
4. มิติ ความหมาย → ผลที่เกิดขึ้น สะท้อนรูปแบบของชีวิตจริง
Polyrhythm = ดนตรีที่ “มีชีวิต” เคลื่อนไหวตลอดเวลา แม้ยืนนิ่งอยู่กับที่
5. ตัวอย่างการใช้ Polyrhythm ในแนวดนตรีต่าง ๆ
Polyrhythm ไม่ได้เป็นเพียง “เทคนิค” แต่เป็น วิธีคิดเกี่ยวกับเวลาและความหมาย ดนตรีแต่ละยุค แต่ละวัฒนธรรม จึงนำมันไปใช้เพื่อสร้าง ประสบการณ์ทางอารมณ์ ที่ไม่เหมือนกัน
5.1 ดนตรีคลาสสิกสมัยใหม่ (Modernism)
Igor Stravinsky – The Rite of Spring (1913) Stravinsky ใช้ Polyrhythm เพื่อสร้าง ความไม่มั่นคงของเวลา สะท้อน “พลังดิบ” และ “แรงสั่นสะเทือน” ของพิธีกรรมโบราณ
1. สิ่งที่เกิดขึ้น จังหวะหลายชั้นทับซ้อน → ผลที่ผู้ฟังรู้สึก หัวใจเต้นแรง (physiological response)
2. สิ่งที่เกิดขึ้น การเน้นจังหวะไม่สม่ำเสมอ → ผลที่ผู้ฟังรู้สึก ความดุเดือด คล้ายการเต้นของฝูงชน
3. สิ่งที่เกิดขึ้น จังหวะไม่ได้เดินต่อเนื่อง → ผลที่ผู้ฟังรู้สึก เวลาถูก “ฉีก-งอ-บิด” ออกจากรูปทรงเดิม
ในที่นี้ Polyrhythm = การปลุกสัญชาตญาณดั้งเดิมของมนุษย์ นี่คือเหตุผลที่ผู้ชมในปารีสปี 1913 “ปะทะกันในโรงละคร” เพลงนี้ไม่ใช่เพลง มันคือแรงสั่นสะเทือนทางวัฒนธรรม
5.2 แจ๊ส (Jazz & Post-Bop Spiritual Movement)
Elvin Jones (มือกลอง) + John Coltrane Quartet Elvin ไม่ได้เล่น “จังหวะทับจังหวะ” เพื่อซับซ้อน แต่เพื่อทำให้ เวลาในเพลงเคลื่อนไหว–หายใจ–ยืด–หด
1. บทบาท มือกลอง → ความหมาย “ผู้พ่นลมหายใจ” (Time Shaper)
2. บทบาท มือเบส → ความหมาย พื้นฐานของจักรวาลจังหวะ (Pulse)
3. บทบาท เมโลดี้ (Coltrane) → ความหมาย การเดินทางของจิตวิญญาณ (Spiritual Motion)
จังหวะจึงไม่ใช่กรอบ แต่เป็น บทสนทนา
→ มือกลองถาม
→ นักโซโล่ตอบ
→ เพลงกลายเป็น การภาวนา (meditative improvisation)
Polyrhythm ในแจ๊ส = อิสระในภายใต้ความร่วมกัน
5.3 ร็อก / โปรเกรสซีฟ / เมทัลสมัยใหม่
Tool / Dream Theater / Meshuggah กลุ่มนี้นำ Polyrhythm ไปใช้เพื่อสร้าง Groove แบบ “หลายเวลาพร้อมกัน”
เช่น Meshuggah จะทำ:
1. กีตาร์และเบสเดิน pattern 23/16
2. แต่กลองยึด pulse 4/4
ผลลัพธ์:
เพลงเหมือน “เมืองที่มีหลายความเร็ว” แต่ ทุกอย่างยังลงจุดร่วมเดียวกัน
1. คุณลักษณะ จังหวะเข้ารูปแบบเลขที่ผิดปกติ → ผลต่อผู้ฟัง เกิดภาวะ Hypnotic Groove
2. คุณลักษณะ ความหนักและความซ้ำของ riff → ผลต่อผู้ฟัง ดึงร่างกายให้ “โยก” โดยไม่รู้ตัว
3. คุณลักษณะ จังหวะไม่ใช่เครื่องคุม แต่เป็นแรงผลัก → ผลต่อผู้ฟัง ดนตรีมีมิติคล้ายโคจรของดาว
นี่คือ Polyrhythm ในฐานะ “แรงโน้มถ่วง”
5.4 ดนตรียุคมินิมอลลิสม์ (Minimalism & Phase Music)
Steve Reich – Clapping Music (1972) ที่นี่ Polyrhythm ไม่ได้เกิดจากการแบ่งเวลาไม่เท่ากัน แต่เกิดจาก การเลือนเฟส (Phase Shifting)
→ มือที่ 1 เล่น pattern เดิม
→ มือที่ 2 ค่อย ๆ ขยับ pattern ทีละ 1 องค์ประกอบ
→ ทั้งคู่ยังอยู่ใน pulse เดียวกันเสมอ
ความเปลี่ยนแปลงจึงเกิดจาก การเลื่อนช้า ๆ ทีละเสี้ยววินาที ไม่ใช่จากความซับซ้อนของจำนวนโน้ต นั่นคือ “ความเคลื่อนไหวภายในความนิ่ง”
เหมือน:
→ ลมหายใจยาว
→ การเดินสมาธิ
→ การสังเกตจิตของตัวเอง
สรุปแนวคิดของแต่ละแนวดนตรี
1. แนว คลาสสิก → จุดประสงค์ของ Polyrhythm ความปั่นป่วน / พลังมนุษย์ดิบ → ประสบการณ์ที่ผู้ฟังได้รับ แรงสั่นสะเทือนทางอารมณ์
2. แนว แจ๊ส → จุดประสงค์ของ Polyrhythm เวลาเป็นการสนทนา / หายใจ → ประสบการณ์ที่ผู้ฟังได้รับ ความรู้สึกเคลื่อนตัวและเป็นอิสระ
3. แนว ร็อก/เมทัล → จุดประสงค์ของ Polyrhythm การซ้อนจังหวะสร้างพลังและ groove → ประสบการณ์ที่ผู้ฟังได้รับ ภาวะเคลื่อนที่แบบเข้าฌาน (trance-like)
4. แนว มินิมอลลิสม์ → จุดประสงค์ของ Polyrhythm การเคลื่อนเฟสอย่างละเอียด → ประสบการณ์ที่ผู้ฟังได้รับ สภาวะจิตสงบนิ่งแต่ลึก
6. การฝึก Polyrhythm: จากร่างกายสู่จิตสำนึก
หัวใจของ Polyrhythm คือ “การรับรู้เวลาสองชั้นพร้อมกัน” ซึ่งเกี่ยวข้องกับการทำงานร่วมกันของ:
6.1 ระบบ ร่างกาย (Motor System) → หน้าที่ รับรู้และสร้างจังหวะ
6.2 ระบบ สมอง (Cognitive System) → หน้าที่ แยก-รวมรูปแบบของเวลา
6.3 ระบบ จิตสำนึก (Awareness) → หน้าที่ รู้สึกถึงจังหวะโดยไม่ต้องควบคุม
ดังนั้นการฝึก Polyrhythm = การฝึกการประสานงาน ร่างกาย–สมอง–การฟัง
ขั้นที่ 1: ฝึกด้วยร่างกาย (Embodied Rhythm)
ฝึก 3:2 ด้วยการ “ตบมือ + เคาะอก”
→ นับ subdivison: 1 2 3 4 5 6
→ ตบมือ (3 โน้ต): X X X
→ เคาะอก (2 โน้ต): X X
ให้โฟกัส ไม่ใช่จำนวนครั้ง แต่คือ ความรู้สึกว่า “จังหวะทั้งสองเกิดในพื้นที่เวลาเดียวกัน”
เคล็ดลับ
1. ไม่ต้องรีบให้ “ลงตรง”
2. ให้ฟัง ความสัมพันธ์ ก่อน
3. เพราะ Polyrhythm คือ Relationship of Time ไม่ใช่ Accuracy
ขั้นที่ 2: ฝึกผ่านเครื่องดนตรี (Applied Technique)
กลอง (Drums)
1. Ride / Hi-Hat → เล่นโน้ต 3
2. Snare → เล่นโน้ต 2
→ Ride: 1 . 2 . 3 .
→ Snare: 1 . . 2 . .
→ Kick: 1 2
จุดประสงค์: ให้รู้สึกว่าจังหวะ “หายใจได้”
เปียโน (Piano)
1. มือซ้าย = 2
2. มือขวา = 3
→ ให้เล่นเป็น รูปทรงง่าย ๆ เช่นโน้ตเดียว หรือ arpeggio ช้า ๆ ก่อน
→ เป้าหมาย: อย่าบังคับให้ “มือใดมือหนึ่งตามอีกมือหนึ่ง”
→ ให้แต่ละมือ “มีชีวิตของมันเอง”
กีตาร์ (Guitar)
เริ่มด้วย:
1. เคาะเท้าเป็น 4/4
2. เล่น Riff ที่มีความยาว 5 หรือ 7 (Polyrhythmic grouping)
ตัวอย่าง riff 5-note grouping บน 4/4:
1 2 3 4 5 | 1 2 3 4 5 | ...
คุณจะได้ “groove ที่หมุน” โดยอัตโนมัติ
ขั้นที่ 3: ฝึกด้วยการฟังอย่างตั้งใจ (Active Listening)
การฟัง Polyrhythm ต้องฟัง ชั้นของเวลา ไม่ใช่เฉพาะ beats
แบบฝึกฟัง:
1. เพลง Radiohead – “Pyramid Song” → สิ่งที่ให้โฟกัส เวลาไม่เดินเป็นเส้นตรง ฟังช่องว่างระหว่างโน้ต
2. เพลง Meshuggah – “Bleed” → สิ่งที่ให้โฟกัส กีตาร์หมุนในวัฏจักรยาว ในขณะที่กลองยึด pulse กลาง
3. เพลง Steve Reich – “Clapping Music” → สิ่งที่ให้โฟกัส ฟังการเลื่อนเฟสทีละเสี้ยวเสียง
ฟัง “เมื่อเวลาทั้งสองชั้นกลับมาพบกัน” = จุดรู้แจ้ง (temporal alignment)
แก่นสำคัญของการฝึก (Core Insight):
Polyrhythm ฝึกจนถึงจุดหนึ่ง เสียงไม่ได้ถูก “คิด” อีกต่อไป แต่ถูก รู้สึก
จังหวะจะ:
→ ไม่ต้องนับ
→ ไม่ต้องตั้งใจประคอง
→ แต่ “เกิดขึ้นเองในร่างกาย”
นี่คือ การเปลี่ยนจากการฝึกกล้ามเนื้อ → การฝึกจิตสำนึกของเวลา
7. Polyrhythm: ภาษาของเวลาและจิตวิญญาณ
Polyrhythm ไม่ได้เป็นเพียงเทคนิคของนักดนตรี และไม่ใช่เพียงคณิตศาสตร์ของจังหวะ มันคือ ภาษาที่มนุษย์ใช้เพื่อเข้าใจ “การอยู่ร่วมกันของความแตกต่าง”
เมื่อจังหวะหนึ่งแบ่งเวลาเป็น สาม และอีกจังหวะหนึ่งแบ่งเวลาเป็น สอง ทั้งคู่ไม่ได้พยายามทำให้เหมือนกัน ไม่ได้แข่งขันว่าใคร “ถูกต้องกว่า” แต่ดำรงอยู่ร่วมกันภายใต้ พื้นที่เวลาร่วมเดียวกัน
นี่ไม่ใช่แค่เสียงเพลง แต่คือ แบบจำลองของชีวิต
เวลาในฐานะพื้นที่ของความแตกต่าง
Polyrhythm เปิดเผยว่า:
1. เวลาไม่ใช่เส้นตรงที่ทุกคนต้องเดินตามทีละก้าว
2. เวลาเป็นพื้นที่ที่ แต่ละสิ่งเดินด้วยจังหวะของตัวเองได้
3. ความหลากหลายไม่ใช่ปัญหา หากมี จุดร่วมที่เชื่อมโยงกัน
จังหวะแต่ละชั้นไม่ได้พยายาม ครอบงำ ผู้อื่น แต่ เคลื่อนไหวในโลกของตนเอง พร้อมกับ รับรู้การมีอยู่ของอีกฝ่าย
นี่คือแนวคิดของ Coexistence การอยู่ร่วมกันอย่างมีพื้นที่ มีจังหวะ มีตัวตน
ภาษาของเวลา = ภาษาของความสัมพันธ์
ถ้าฟัง Polyrhythm โดยไม่พยายาม “นับ” คุณจะได้ยิน การหมุนเวียนของเวลา เสมือนว่าดนตรีกำลังหายใจ เหมือนจิตกำลังขยายพื้นที่รับรู้
เวลาในดนตรี จึงมิใช่เครื่องวัด แต่คือ ภาวะของการมีอยู่
🜂 มิติทางจิตวิญญาณ (Spiritual Dimension)
ในหลายวัฒนธรรม เช่น แอฟริกา, อินเดีย, อินโดนีเซีย จังหวะคือการสื่อสารกับสิ่งที่สูงกว่า เพราะมันไม่ได้ผ่านสมองเพียงอย่างเดียว
แต่มันผ่าน:
1. ร่างกาย (การเคลื่อนไหว)
2. ลมหายใจ (จังหวะชีวภาพ)
3. จิตสำนึก (ความตื่นรู้)
4. ความหมายร่วมของชุมชน (co-presence)
ดังนั้น Polyrhythm = การเชื่อมร่างกาย จิต และโลกภายนอกให้เป็นหนึ่ง เมื่อเราเข้าใจ Polyrhythm เราไม่ได้แค่เข้าใจดนตรี แต่เราเข้าใจ ตัวเองในฐานะส่วนหนึ่งของโลกที่เคลื่อนไหวตลอดเวลา
สรุป
แก่นคิด: Polyrhythm = การมี “หลายระบบของเวลา” อยู่ร่วมกันภายใน common pulse เดียว ทำให้ดนตรีมี “ชั้นของเวลา (layering)”, “แรงตึง–แรงคลาย (tension–resolution)”, และ “ความหมายเชิงชีวิต” ว่าความแตกต่างสามารถอยู่ร่วมกันได้อย่างสมดุล
“To master polyrhythm is to master time and to understand coexistence.” (การเข้าใจพหุจังหวะคือการเข้าใจเวลา และเพื่อทำความเข้าใจการอยู่ร่วมกัน)
Polyrhythm จึงไม่ใช่เพียง “ดนตรีที่มีหลายชั้น” แต่คือ บทเรียนเรื่องชีวิต ที่บอกเราว่า ความไม่เหมือนกัน ไม่ได้ทำให้เราต้องแยกออกจากกัน เราสามารถ เคลื่อนไหวในจังหวะของตนเอง ขณะเดียวกันก็ยัง ประสานกับผู้อื่นได้อย่างงดงาม
อ้างอิงเพิ่มเติม
1. Arom, S. (1991). African Polyphony and Polyrhythm: Musical Structure and Methodology. Cambridge University Press.
2. Chernoff, J. M. (1979). African Rhythm and African Sensibility. University of Chicago Press.
3. Locke, D. (1987). Drum Gahu: An Introduction to African Rhythm. White Cliffs Media.
4. London, J. (2012). Hearing in Time: Psychological Aspects of Musical Meter (2nd ed.). Oxford University Press.
5. Patel, A. D. (2008). Music, Language, and the Brain. Oxford University Press.
6. Pressing, J. (1997). Cognitive complexity and the structure of musical time. Contemporary Music Review, 14(3–4), 199–231.
7. Berliner, P. (1994). Thinking in Jazz: The Infinite Art of Improvisation. University of Chicago Press.
8. Monson, I. (1996). Saying Something: Jazz Improvisation and Interaction. University of Chicago Press.
9. Gioia, T. (2011). The History of Jazz (2nd ed.). Oxford University Press.
10. Reich, S. (2002). Writings on Music, 1965–2000. Oxford University Press.
11. Potter, K. (2000). Four Musical Minimalists: La Monte Young, Terry Riley, Steve Reich, Philip Glass. Cambridge University Press.
12. Stravinsky, I. (1947). Poetics of Music in the Form of Six Lessons. Harvard University Press.
13. Capuzzo, G. (2018). Meter, conflict, and the grooves of Meshuggah. Music Theory Spectrum, 40(2), 197–219.
14. Pieslak, J. (2007). Sound, text and identity in Meshuggah’s “I.” Popular Music, 26(1), 57–73.



Comments