“การรู้จักถอย คือทักษะที่ผู้นำทุกคนควรฝึก” 🥁⭐
- Dr.Kasem THipayametrakul
- 2 days ago
- 2 min read

ในโลกของการเป็นผู้นำ โดยเฉพาะในกลุ่มเยาวชนที่ทำกิจกรรมร่วมกันอย่างเข้มข้น เช่น วงโยธวาทิต วงดนตรีเยาวชน หรือกลุ่มฝึกซ้อมดนตรีประเภททีม การยืนอยู่แถวหน้า พูดเสียงดังที่สุด หรือเป็นผู้ตัดสินใจในทุกครั้ง ไม่ได้หมายความว่าจะมีภาวะผู้นำที่แท้จริงเสมอไป ในทางตรงกันข้าม หลายครั้ง “#การถอยออกมา” อย่างมีเจตนาและมีสติ กลับเป็นคุณลักษณะที่สะท้อนถึงภาวะผู้นำในระดับลึกซึ้งกว่า
ผู้นำที่แท้จริงไม่ได้ต้องการแค่ให้ทุกคนฟังเสียงของตนเองเพียงอย่างเดียว แต่ต้องการสร้าง “#วงที่ฟังกันและกัน” ได้อย่างแท้จริง ที่ซึ่งทุกเสียง ทุกคนในทีมต่างมีส่วนร่วมและถูกเคารพ
การ “#ถอย” ไม่ใช่การละทิ้งบทบาท หรือการถอดใจ แต่เป็นการรู้จักพื้นที่ของตนเองในบริบทที่เปลี่ยนไป การรู้ว่าเมื่อไรควรพูดและเมื่อไรควรเงียบ เมื่อไรควรตีจังหวะนำ และเมื่อไรควรปล่อยให้เพื่อนร่วมทีมขับเคลื่อนจังหวะไปเอง นั่นคือการแสดงออกถึงความมี 𝗮𝘄𝗮𝗿𝗲𝗻𝗲𝘀𝘀 ที่สูง ซึ่งช่วยให้ผู้นำนั้นสามารถควบคุมอัตตา (𝗲𝗴𝗼) ของตนเองเพื่อประโยชน์ของทีมโดยรวม ไม่ใช่เพื่อประโยชน์ของตำแหน่งหรือความได้รับการยอมรับส่วนตัวเท่านั้น
ผู้นำที่กล้าถอยในเวลาที่เหมาะสม จะช่วยเปิดพื้นที่ให้สมาชิกในทีมได้แสดงศักยภาพและเติบโตอย่างแท้จริง โดยไม่ต้องถูกกดทับหรือถูกครอบงำด้วยเสียงที่แข็งกร้าวเพียงเสียงเดียว นี่คือหัวใจของความเป็นผู้นำที่มีความสมดุลและยั่งยืน ซึ่งจะสร้างทีมที่แข็งแกร่งและมีความสามัคคีมากกว่าการผลักดันด้วยความเข้มงวดเพียงฝ่ายเดียว
● การถอย = #การเปิดพื้นที่ให้คนอื่นเติบโต
ในโลกของกิจกรรมที่ต้องอาศัยความพร้อมเพรียงและจังหวะ เช่น วงโยธวาทิต หรือวงดนตรีฝึกหัด การยืนอยู่แถวหน้าไม่ได้หมายความว่าคุณต้อง “ทำทุกอย่าง” หรือ “ควบคุมทุกจังหวะ” เสมอไป ตรงกันข้าม ความเป็นผู้นำที่มีพลังมากที่สุด กลับอาจแสดงออกผ่านการ “ถอย” อย่างมีเป้าหมาย เพื่อเปิดพื้นที่ให้คนอื่นได้เติบโตและแสดงศักยภาพของตัวเองอย่างแท้จริง
การที่หัวแถวหรือนักดนตรีรุ่นพี่ไม่ยึดติดกับบทบาทผู้นำเสมอไป แต่กล้าที่จะยอมเปิดโอกาสให้สมาชิกในทีมได้ลองรับผิดชอบหน้าที่บางส่วน เช่น การนับจังหวะ, การตัดสินใจจัดตำแหน่งในแถว, การนำวอร์มเสียง หรือแม้กระทั่งการแก้ปัญหาเฉพาะหน้าระหว่างซ้อม — นั่นคือการมอบ “สนามทดลอง” ให้คนรุ่นใหม่ได้เรียนรู้ผ่านการลงมือทำจริง ซึ่งเป็นบทเรียนที่มีคุณค่ากว่าการบอกเล่าหรือการสั่งสอนเพียงอย่างเดียว
ที่สำคัญกว่าคือ การให้โอกาสนี้เกิดขึ้นในที่ที่ปลอดภัย มีผู้คอยสนับสนุนอยู่เบื้องหลัง เพื่อให้เมื่อเกิดความผิดพลาด จะได้ไม่รู้สึกถูกตำหนิหรือกลัวจนไม่กล้าลองอีกต่อไป นี่คือจุดเริ่มต้นของการพัฒนาผู้นำรุ่นใหม่ ที่สามารถรับมือกับความท้าทายในอนาคตได้อย่างมั่นใจและมั่นคง
การถอยอย่างตั้งใจจึงไม่ใช่การทิ้งความรับผิดชอบ แต่คือการเปลี่ยนบทบาทจาก “ผู้นำผู้บังคับบัญชา” มาเป็น “ผู้ปล่อยให้เติบโต” หรือที่เรียกว่า 𝗳𝗮𝗰𝗶𝗹𝗶𝘁𝗮𝘁𝗼𝗿 𝗼𝗳 𝗴𝗿𝗼𝘄𝘁𝗵 ซึ่งเป็นทักษะสำคัญที่ผู้นำระดับสูงในหลายวงการกำลังตระหนักและฝึกฝนอย่างจริงจัง เพราะโลกในปัจจุบันไม่ได้ต้องการเพียงคนที่ “เก่งที่สุดคนเดียว” แต่ต้องการทีมที่ “กล้าเติบโตไปด้วยกัน” อย่างมีความหมายและยั่งยืน
ลองนึกภาพช่วงเวลาที่คุณเห็นรุ่นน้องคนหนึ่งลังเลไม่มั่นใจว่าจะกล้าลองนับจังหวะแทนคุณดีไหม หรือไม่แน่ใจว่าจะตัดสินใจแทนคุณในระหว่างซ้อมได้หรือเปล่า หากคุณเลือกจะทำทุกอย่างให้เร็วที่สุดด้วยตัวเอง มันอาจจะจบลงอย่างรวดเร็ว แต่คุณก็พลาดโอกาสสำคัญในการช่วยให้เขาได้ “#เติบโตผ่านประสบการณ์” และความไว้วางใจของคุณเอง
การยอม “#ถอย” เพื่อให้เขาได้ลองผิดลองถูก แม้จะทำให้เกิดความผิดพลาดในครั้งแรก แต่การเติบโตที่เขาจะได้รับจากความไว้วางใจนี้ มีค่ามากกว่าคำพูดสอนใดๆ เพราะเขาจะเริ่มเรียนรู้ที่จะเชื่อมั่นในตัวเอง กล้าตัดสินใจ กล้ารับผิดชอบ และพร้อมที่จะก้าวขึ้นมาเป็นผู้นำในอนาคต
หลักการนี้สอดคล้องกับแนวคิด “𝘀𝗲𝗿𝘃𝗮𝗻𝘁 𝗹𝗲𝗮𝗱𝗲𝗿𝘀𝗵𝗶𝗽” หรือผู้นำที่รับใช้ผู้อื่น ที่ไม่ได้มองว่าผู้นำต้องเป็นคนควบคุมหรือสั่งการเพียงอย่างเดียว แต่คือผู้ที่มอบพลังและเครื่องมือให้คนรอบตัวเติบโตและพัฒนาได้อย่างเต็มศักยภาพ โดยไม่จำเป็นต้องดึงความสำเร็จนั้นกลับมาเป็นของตนเองเสมอไป
นอกจากนั้น การถอยอย่างตั้งใจยังมีผลลัพธ์เชิงจิตวิทยาที่ลึกซึ้งกว่าที่คิด — เมื่อสมาชิกในทีมได้รับความเชื่อมั่นจากผู้นำที่อยู่แถวหน้า พวกเขาจะรู้สึกถึง “#คุณค่า” ของตนเองในทีมมากขึ้น รู้ว่าความเห็นของตนมีความหมาย และรู้สึกปลอดภัยที่จะเรียนรู้และเติบโตแม้ในวันที่ยังไม่สมบูรณ์แบบ นี่คือรากฐานสำคัญของ “วัฒนธรรมการเรียนรู้” ที่แท้จริงซึ่งทุกองค์กรหรือกลุ่มกิจกรรมที่ประสบความสำเร็จควรมี
การถอยยังเป็นบทเรียนทางอ้อมที่ทรงพลัง เพราะคุณไม่จำเป็นต้องพูดออกมาว่า “ฉันกำลังฝึกเธอให้เป็นผู้นำ” แต่ด้วยการกระทำของคุณกำลังบอกกับคนในทีมอย่างชัดเจนว่า “ฉันเชื่อในศักยภาพของเธอ” และนั่นคือแรงผลักดันที่ดีที่สุดที่ผู้นำคนหนึ่งจะมอบให้กับทีมของตน
สุดท้าย การถอยอย่างตั้งใจนั้นไม่ใช่การล้มเหลว แต่คือการยอมรับว่าไม่มีใครยืนอยู่แถวหน้าได้ตลอดเวลา ทุกคนในทีมมีเวลาของตนเองที่จะเปล่งประกาย และเมื่อผู้นำกล้าถอยเพื่อเปิดทาง นั่นคือการสร้างความแข็งแกร่งและความยั่งยืนให้กับทีมอย่างแท้จริง
● การถอย = #การฟังให้มากกว่าพูด
ในวงดนตรีทุกประเภท ไม่ว่าจะเป็นวงโยธวาทิต วงเครื่องสาย วงแจ๊ส หรือแม้แต่การแจมดนตรีธรรมดาๆ หนึ่งในองค์ประกอบสำคัญที่สุดที่ทำให้เกิด “ความเป็นวง” อย่างแท้จริง คือการฟังกันและกัน ไม่ใช่การสั่งการ หรือการแสดงความสามารถของใครคนใดคนหนึ่งเพียงลำพัง
ผู้นำที่แท้จริงในโลกของดนตรี ไม่ใช่แค่คนที่พูดเก่งที่สุด หรือเทคนิคการเล่นดีที่สุดเท่านั้น แต่เป็นผู้ที่มีความไวและลึกซึ้งในการฟัง — ฟังเสียงที่ซ่อนอยู่ ฟังสิ่งที่ไม่ได้ถูกพูดออกมา ฟังว่าแต่ละเสียงแต่ละจังหวะต้องการอะไร และสำคัญที่สุด ฟังเพื่อเข้าใจว่าช่วงเวลาไหนควรถอยออกมา เปิดพื้นที่ให้คนอื่นมีส่วนร่วม หรือช่วงไหนควรหนุนให้เสียงนั้นโดดเด่นขึ้น
ในบริบทของวงดนตรีเยาวชน หรือกลุ่มฝึกซ้อมที่ต้องทำงานร่วมกันอย่างเข้มข้น ผู้นำที่พูดมากเกินไปมักทำให้บรรยากาศ “ตึงเครียด” และลดทอนโอกาสที่สมาชิกในวงจะได้ทดลอง ลองผิดลองถูก หรือแสดงความคิดสร้างสรรค์ของตนเอง เพราะพวกเขาอาจกลัวว่าจะ “ผิด” หรือไม่เป็นไปตามที่ผู้นำคาดหวัง
แต่ถ้าผู้นำเลือกที่จะ “ถอย” ออกมา และเริ่มต้นด้วยการฟังอย่างตั้งใจ — ไม่ใช่แค่ฟังเสียงเครื่องดนตรี แต่ฟังจังหวะของคนในทีม ฟังน้ำเสียงของการซ้อม ฟังความเหนื่อยล้า ฟังความลังเลและความกล้าแสดงออก — ผู้นำจะสามารถรับรู้ความต้องการที่แท้จริงของวง และปรับจังหวะของทั้งวงให้เดินไปด้วยกันอย่างกลมกลืน มีชีวิตชีวา และมีพลังมากขึ้น
ดนตรีที่ดีไม่ได้เกิดจากการควบคุมทุกจังหวะ แต่เกิดจากการเปิดพื้นที่ให้เสียงอื่น ๆ ได้มีพื้นที่และจังหวะของตัวเอง ผู้นำที่ถอยจึงไม่ได้ลดบทบาทของตนเอง แต่กำลังสร้างพื้นที่สำหรับการเติบโตของทีมโดยแท้จริง
นอกจากนี้ ผู้นำที่ “ฟังก่อนพูด” ยังแสดงออกถึงความเคารพในศักยภาพและความเห็นของสมาชิกในทีมอย่างจริงใจ ซึ่งส่งผลให้การสื่อสารภายในทีมมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น เพราะคนในทีมรู้สึกว่าเสียงของตนมีคุณค่า และไม่ได้ถูกมองข้ามเพียงเพราะไม่ได้ยืนอยู่แถวหน้า
อีกมุมหนึ่งที่น่าสนใจคือ การฟังยังเป็นช่องทางที่ดีที่สุดในการ “เรียนรู้ย้อนกลับ” (𝗿𝗲𝘃𝗲𝗿𝘀𝗲 𝗹𝗲𝗮𝗿𝗻𝗶𝗻𝗴) — เพราะในขณะที่ผู้นำบางคนอาจคิดว่าหน้าที่ของตนคือการสอนและถ่ายทอดความรู้ให้กับผู้อื่น แต่ความจริงแล้ว เสียงเล็ก ๆ ของสมาชิกใหม่ หรือผู้ที่เพิ่งเริ่มต้น อาจมีมุมมองใหม่ ๆ หรือจังหวะที่สดชื่นกว่าคนที่อยู่มานาน ผู้นำที่ฟังเป็น จึงมีโอกาสได้เรียนรู้และเติบโตไปพร้อมกับทีมเสมอ
สุดท้าย การฟังยังเป็นเครื่องมือสำคัญในการสร้างสมดุลของ 𝗲𝗴𝗼 ภายในทีมดนตรี เพราะเมื่อทุกคนฟังกันมากขึ้น พื้นที่สำหรับการแข่งขันหรือการอวดดีจะลดลง เหลือเพียงพื้นที่สำหรับการประสานเสียงและการร่วมมือกันเพื่อสร้างผลงานที่ดีที่สุดร่วมกัน
✧ คำถาม:
ในครั้งสุดท้ายที่คุณนำวงหรือกลุ่ม คุณใช้เวลากี่เปอร์เซ็นต์ในการฟัง และกี่เปอร์เซ็นต์ในการสั่ง? หากคุณลองเปลี่ยนสัดส่วนนี้โดยเพิ่มเวลาการฟังมากขึ้น จะเกิดอะไรขึ้นกับจังหวะและความกลมกลืนของทั้งวง?
● การถอย = #การไม่กลัวที่จะไม่โดดเด่น
ในโลกของการเป็นผู้นำ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในวงดนตรีหรือกลุ่มที่ต้องทำงานร่วมกันอย่างใกล้ชิด การมีความโดดเด่นและเป็นที่รู้จักมักถูกมองว่าเป็นคุณสมบัติที่สำคัญของผู้นำที่ประสบความสำเร็จและได้รับการยอมรับ แต่แท้จริงแล้ว “การถอย” หรือการยอมไม่เป็นจุดสนใจเสมอไป กลับเป็นการแสดงออกถึงความกล้าและความมั่นใจในตัวเองที่สูงไม่แพ้การก้าวขึ้นไปอยู่แถวหน้า
ผู้นำหลายคนมักติดอยู่กับความกลัวว่า หากตนเองถอยออกไป เสียงของตัวเองจะเงียบหาย และถูกลืมเลือนไปในความทรงจำของคนอื่น ดังนั้นจึงพยายามยึดเกาะบทบาท “คนเด่น” หรือ “#ศูนย์กลางความสนใจ” ไว้อย่างเหนียวแน่น แม้ว่าจะรู้ดีว่าการเปิดพื้นที่ให้คนอื่นได้แสดงศักยภาพก็สำคัญไม่แพ้กัน แต่ก็ยังลังเลที่จะปล่อยวางเพราะกลัวสูญเสียสถานะและอำนาจ
อย่างไรก็ตาม ในวงดนตรีที่ดี โดยเฉพาะวงที่เล่นพร้อมกันเป็นทีม ความโดดเด่นไม่ได้วัดจากความดังของเสียงหรือแสงไฟที่ส่องมาเพียงอย่างเดียว แต่คือ “#ความสมดุล” ของเสียงทุกชิ้นที่ประสานกันอย่างลงตัว เพื่อสร้างประสบการณ์ทางดนตรีที่น่าจดจำและลึกซึ้งสำหรับผู้ฟัง
เสียงโซโลที่โดดเด่นอาจสะดุดตาและตราตรึงใจ แต่ถ้าขาดพื้นหลังที่มั่นคงและสนับสนุน เสียงนั้นก็จะขาดความหมายและความงดงาม ในทางกลับกัน เสียงรองหรือเสียงสนับสนุนที่อาจดูเหมือนไม่โดดเด่นในทันที ก็มีบทบาทสำคัญอย่างยิ่งในการเชื่อมโยงทุกเสียงให้เป็นหนึ่งเดียว เป็นเสาหลักที่ทำให้เสียงทั้งหมดสอดคล้องกันอย่างลงตัว
ดังนั้น การถอยออกมาในบางช่วงเวลาของผู้นำจึงไม่ใช่การหลีกหนีความรับผิดชอบหรือแสดงความอ่อนแอ แต่คือการแสดงความเข้าใจลึกซึ้งในบทบาทที่แท้จริงของตนเอง และเห็นความสำคัญของการทำงานร่วมกันว่า ความสำเร็จและการเติบโตของทีมไม่ขึ้นอยู่กับคนใดคนหนึ่ง แต่เป็นผลลัพธ์ของความร่วมมือ การเติมเต็ม และการสนับสนุนซึ่งกันและกัน
ในมุมมองนี้ การยอม “#ไม่เป็นจุดสนใจ” อย่างตั้งใจ กลายเป็นพลังที่ยิ่งใหญ่ เพราะผู้นำที่กล้าถอยออกมาเพื่อให้แสงสว่างส่องไปยังคนอื่น เป็นคนที่สร้างแรงบันดาลใจและเปิดพื้นที่ให้ผู้อื่นได้ “#เปล่งประกาย” อย่างเต็มที่ เป็นการมอบโอกาสให้สมาชิกในทีมได้เติบโตทั้งในทักษะและความมั่นใจ
นี่คือความหมายแท้จริงของการเป็นผู้นำ — ไม่ใช่เพียงแค่การเดินนำทาง หรือการเป็นคนที่ถูกจดจำมากที่สุด แต่คือการทำให้ทั้งทีมเดินไปพร้อมกันอย่างมั่นใจและกลมกลืนด้วยกันอย่างแท้จริง
✧ คำถาม:
คุณเคยรู้สึกภาคภูมิใจจากการ “ช่วยให้คนอื่นเปล่งประกาย” แทนที่จะเป็นคนเปล่งประกายเองไหม? หรือในฐานะผู้นำ คุณเคยกล้าที่จะถอยออกมาเพื่อเปิดโอกาสให้สมาชิกคนอื่นได้แสดงศักยภาพของตัวเองบ้างหรือไม่?
ในโลกที่เราเติบโตมากับการแข่งขัน และถูกสอนให้แย่งชิงตำแหน่งผู้นำตั้งแต่เด็ก หลายครั้งเราจึงเชื่อว่าการยืนแถวหน้าคือหนทางเดียวสู่ความสำเร็จ แต่จริง ๆ แล้ว ผู้นำที่แท้จริงไม่ได้หมายความว่าต้องอยู่ตรงนั้นเสมอไป
การ “#ถอยออกมาอย่างมีเป้าหมาย” คือการเปิดพื้นที่ให้เสียงของทั้งวงหรือทีมได้ดังขึ้นอย่างแท้จริง เป็นการสร้างโอกาสให้คนอื่นเติบโตและแสดงศักยภาพของตัวเอง
บางครั้ง ความนิ่งและการเปิดทางให้สิ่งใหม่ได้เปล่งประกาย นั่นต่างหากคือพลังที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของผู้นำ
Comentários