🎧 “Perceptual Timing Drift”: ทำไมเล่นนาน ๆ แล้ว Tempo เปลี่ยนเองโดยไม่รู้ตัว? 🎧
- Dr.Kasem THipayametrakul
- 11 minutes ago
- 10 min read

1. นิยาม: Perceptual Timing Drift ในบริบทของนักดนตรี
เมื่อนักดนตรีรู้สึกว่า “เล่นเท่าของเดิม” แต่ความเร็วจริงกลับเปลี่ยนไปเรื่อย ๆ นั่นคือภาพของ Perceptual Timing Drift ซึ่งเป็นหนึ่งในหัวข้อที่ถูกพูดถึงมากในวงการ neuroscience of music และ performance psychology เพื่อทำความเข้าใจ เราต้องแยก “ความเพี้ยนของจังหวะ” ออกเป็น 2 ชั้นใหญ่ ๆ ที่มีสาเหตุคนละแบบโดยตรง
1.1 Motor Drift (การเคลื่อนไหวเพี้ยน)
เกิดจากร่างกาย → ส่งผลต่อความเร็วจริงของการเล่น เมื่อเล่นต่อเนื่อง
กล้ามเนื้อเริ่มล้า → ความแม่นยำของ movement ลดลง
กล้ามเนื้อที่ล้าจะทำให้ “จังหวะสั้นลงหรือยาวขึ้น” โดยไม่ตั้งใจ เช่น
1. สแนร์ตีแรงขึ้นแล้วดีดไม้นิดเดียว → tempo เพิ่มโดยไม่รู้ตัว
2. มือเบสออกแรงเยอะเกิน → note length เปลี่ยน → groove shifted
การเคลื่อนไหวเปลี่ยนแบบไม่ตั้งใจ (micro-variance)
ระบบ motor ของมนุษย์ไม่เคยทำงานแบบคงที่ 100% แม้จะตั้งใจเล่นให้ steady แค่ไหน ก็มี micro-variation ตลอดเวลา เมื่อเล่นนาน ๆ micro-variation เหล่านี้สะสม → เกิด drift แบบช้า ๆ
ความรู้สึกตัวสั้นลง (less proprioceptive feedback)
ยิ่งล้า → ยิ่งรับรู้ตำแหน่ง–แรงของมือได้แย่ลง ทำให้เรา “รู้ตัวนิดหน่อย” ว่าเริ่มหน่วงหรือเริ่มเร่ง
สรุป: Motor Drift คือปัญหาด้าน “การเคลื่อนไหว” มากกว่า “การรับรู้เวลา” และหลายครั้งผู้เล่น พอรู้สึก ว่าเวลาแปลกไป แต่ไม่รู้แก้ตรงไหน
1.2 Perceptual Timing Drift (การรับรู้เวลาเพี้ยน)
เกิดจากสมอง → ทำให้ ‘รู้สึก’ ว่า tempo เดิม ทั้งที่จริงเปลี่ยนแล้ว
ปรากฏการณ์นี้ลึกกว่า Motor Drift เพราะไม่เกี่ยวกับมือ–แขนโดยตรง แต่เกิดจากระบบประเมินเวลา (time estimation) ในสมองที่เปลี่ยนไปเอง
ระบบรับรู้เวลาในสมอง (internal clock) “เลื่อนไป” อย่างช้า ๆ
สมองสร้างความรู้สึกของ tempo ผ่านชุดระบบประสาทใน
1. cerebellum
2. basal ganglia
3. auditory cortex
4. prefrontal cortex
เมื่อ attention ลดลงหรือ cognitive load เพิ่มขึ้น
→ internal clock จะค่อย ๆ drift อยู่ตลอดเวลา
→ แต่ผู้เล่น “ไม่รู้ตัว” เพราะสมอง re-calibrate ค่าใหม่ตลอด
เราเชื่อจริง ๆ ว่ายังเล่นเท่าเดิม
นี่คือประเด็นสำคัญที่สุด Perceptual Drift ไม่ใช่การเพี้ยนแบบรู้ตัว แต่เป็นการเพี้ยนแบบ subconscious สมองตีความว่า “tempo ที่เพิ่งเปลี่ยนไปนี้ = tempo เดิม” จึงรู้สึกเหมือนว่าเท่ากันทั้งหมด
เมื่อเทียบกับ external reference … จะเห็นว่าไม่ตรงเลย
เช่น
1. เปิดคลิกกลับมา → พบว่าเร็วขึ้น 4–12 BPM
2. เทียบกับ backing track → รู้สึกว่าเพลงเร่งขึ้น
3. อัดเสียง replay → ชัดเจนว่าเราค่อย ๆ drift ไปทางใดทางหนึ่ง
ภายนอกเห็นชัด แต่ภายในผู้เล่น “ไม่รู้สึกผิดปกติเลย”
จุดสำคัญเชิงลึก
นักดนตรีจำนวนมากเข้าใจผิดว่า
1. “จังหวะฉันไม่ดี”
2. “ฉันซ้อมไม่พอ”
3. “ฉันไม่มี sense of tempo”
แต่ในมุมวิจัย ไม่ใช่ข้อบกพร่องส่วนบุคคล แต่เป็น ธรรมชาติของระบบรับรู้เวลาในมนุษย์ ซึ่งมีแนวโน้มจะ drift ทุกครั้งที่ต้องคุมจังหวะเป็นเวลานาน โดยเฉพาะเมื่อไม่มี external reference เช่น click หรือ percussion จากวง กล่าวอีกแบบ Perceptual Timing Drift คือคุณสมบัติของสมองมนุษย์ ไม่ใช่ความผิดพลาดของนักดนตรี นักดนตรีที่เวลาแน่นมาก ๆ ไม่ใช่เพราะไม่มี drift แต่เพราะ
1. รู้จัก drift ของตัวเอง
2. คอย calibrate
3. มีเทคนิครับมือ
4. มี awareness ที่เกิดจากการฝึกเฉพาะทาง
เพื่อให้ชัดยิ่งขึ้น ลองดู ความต่างของทั้งสอง drift แบบคู่ขนาน
1. ประเภท Drift Motor Drift → เกิดจาก ความล้า, การเคลื่อนไหวไม่คงที่ → ผู้เล่นรู้ตัวไหม บางครั้ง “พอรู้ตัว” → ผล tempo เปลี่ยนแบบ mechanical → วิธีเช็ก อัดและดู waveform, note length
2. ประเภท Drift Perceptual Timing Drift → เกิดจาก internal clock เปลี่ยน → ผู้เล่นรู้ตัวไหม “ไม่รู้ตัวเลย” → ผล tempo เปลี่ยนแบบสัมผัสไม่ได้ → วิธีเช็ก เปิด click กลับมา, check BPM deviation
2. ระบบ “จับเวลา” ในสมอง: ทำไมมันถึง drift ได้โดยธรรมชาติ
หากเปรียบเทียบให้เห็นภาพง่ายที่สุด สมองมนุษย์ไม่มี “นาฬิกาเรือนเดียว” ที่คอยบอกเวลา มันมี “เครือข่ายจับเวลา” (temporal network) ที่ซับซ้อน ทำงานร่วมกันตลอดเวลา ดังนั้นจังหวะที่เราคิดว่า “คงที่” จริง ๆ แล้วเกิดจากการปรับสมดุลของหลายระบบในร่างกาย เมื่อระบบใดระบบหนึ่งเปลี่ยน → tempo ที่รู้สึกจะ drift โดยอัตโนมัติ
2.1 ระบบประสาทที่เกี่ยวข้องกับการจับเวลา (Neural Timing Network)
งานวิจัยนำเสนอว่าการรับรู้เวลาเกิดจากหลายส่วนทำงานร่วมกัน (distributed timing system)
1) Motor System (ระบบควบคุมการเคลื่อนไหว)
ครอบคลุมแขน–มือ–นิ้ว
เป็นระบบที่สร้าง “การเคลื่อนไหวตามจังหวะ”
หากล้า → ส่งผลทั้งต่อการลงจังหวะจริง และการรับรู้เวลาของสมอง
2) Cortex (สมองส่วนนอก)
โดยเฉพาะ prefrontal cortex และ supplementary motor area (SMA)
ใช้ประเมิน เวลา, คาดการณ์, และแก้ไขความคลาดเคลื่อน
ถ้า focus ลดลง หรือ cognitive load สูง → timing เริ่ม drift
3) Cerebellum (สมองน้อย)
มีบทบาทสำคัญใน precision timing ระดับมิลลิวินาที
ควบคุมความแม่นยำและความเสถียรของจังหวะ
ความล้าหรือความเครียดทำให้ cerebellum ทำงานช้าลง → timing เปลี่ยนอย่างไม่รู้ตัว
4) Basal Ganglia
ศูนย์กลางของ beat perception, groove, และการ “รู้จังหวะเป็นด่าน ๆ”
ทำงานหนักเวลาเราเล่นตามเพลงหรือสร้าง groove
ความเครียด / arousal ทำให้ basal ganglia shift การรับรู้ beat โดยไม่บอกเราล่วงหน้า
5) Auditory Cortex
จับความสัมพันธ์ระหว่างเสียง–จังหวะ
ถ้าเล่นลำพังในห้องเงียบ ๆ → ไม่มีเสียง reference → auditory cortex จะ “เดาเวลา” มากขึ้น
เมื่อเดาเยอะ → drift เยอะ
ภาพรวมสำคัญ
การรับรู้เวลา (time perception) คือผลลัพธ์ของเครือข่ายระบบประสาท ไม่ใช่นาฬิกาเดียว ดังนั้นระบบใดทำงานลดลงแม้เล็กน้อย ก็ทำให้ tempo drift ได้ทันที
2.2 แนวคิดสำคัญเกี่ยวกับ “Timing Drift”
2.2.1 Scalar Timing / Pacemaker–Accumulator Model
โมเดลนี้เป็นหนึ่งในทฤษฎีที่มีอิทธิพลที่สุดใน neuroscience of timing
หลักการ
1. Pacemaker
เป็นเหมือนตัว “ยิง pulse” ต่อเนื่องในสมอง (tick–tick–tick)
ถ้ายิงเร็วขึ้น → รู้สึกว่าเวลานานขึ้น
2. Accumulator
นับจำนวน pulse เพื่อประเมินว่าเวลาผ่านไปเท่าไร
ถ้า accumulator ทำงานช้าลง → ประเมินเวลาเพี้ยนกว่าเดิม
3. Switch Mechanism
เปิด–ปิดระบบจับเวลา
ถ้าเปิดช้า/ปิดช้า → ความแม่นยำลดลง
แล้ว drift เกิดจากอะไร?
1. Pacemaker ยิงเร็วขึ้น (arousal สูง, adrenaline)
ความรู้สึกของ “หนึ่งวินาที” นานขึ้น
สมองสรุปว่า เวลาเดินช้า
ร่างกายเลยเร่ง tempo เพราะคิดว่า “ช้าไป”
2. Pacemaker ยิงช้าลง (ล้า, เครียด, attention ต่ำ)
ความรู้สึกของเวลา “วิ่งเร็วเกินจริง”
ผู้เล่นจึงดึง tempo ลงเพราะคิดว่า “เร็วไป”
นี่คือเหตุผลว่า ทำไมบนเวทีที่ไฟแรง → เพลงมักเร็วขึ้นโดยไม่รู้ตัว
2.2.2 Internal vs External Timing (สองโหมดจับเวลาในดนตรี)
เวลาที่นักดนตรีควบคุมจังหวะ สมองทำงานได้ สองโหมดหลัก ซึ่งมีความเสถียรต่างกัน
1) Externally-paced Timing (ใช้สิ่งเร้าภายนอกนำจังหวะ)
เล่นตาม
→ click / metronome
→ backing track
→ drummer / percussion
→ bassline
ในโหมดนี้
→ สมองใช้ “external clock” เป็นตัวอ้างอิง
→ ระบบ error correction ทำงานตลอด
→ ถ้ามีการเพี้ยน สมองจะแก้ให้อัตโนมัติในมิลลิวินาที
นี่คือโหมดที่ทำให้เราเล่นเสถียรที่สุด แม่นที่สุด
2) Internally-paced Timing (ใช้ internal clock ล้วน ๆ)
เล่นลำพัง
ไม่มี click, ไม่มี backing
เล่นใน parts ที่เสียงเพื่อนร่วมวงน้อยมาก
เล่น bow/solo/piano rubato
ในโหมดนี้สมองต้อง
→ คิดเวลาเอง
→ คาดเดา beat เอง
→ รักษาจังหวะเอง
ซึ่งเป็นสภาพแวดล้อมที่ ทำให้ Perceptual Timing Drift เกิดง่ายที่สุด
ทำไม?
เพราะไม่มี external reference ให้ calibrate เวลา ระบบจับเวลาในสมองจึง drift ตาม
1. ความล้า
2. ความฟุ้งซ่าน
3. ความยากของท่อน
4. อารมณ์
5. adrenaline
6. การแก้มือ
ยิ่งเล่นนาน → ยิ่ง drift โดยไม่รู้ตัว
สรุปเพื่อใช้งานจริงสำหรับนักดนตรีระดับสูง
Drift เกิดเพราะ
1. ระบบจับเวลาในสมองไม่เสถียร
2. การทำงานของหลายระบบในสมองไม่ได้สมดุลเสมอไป
Drift เกิดมากที่สุดเมื่อ
1. เล่นลำพัง
2. เล่นนาน
3. เล่นยาก
4. ล้า
5. ตื่นเต้น
6. ไม่มีเสียงอ้างอิงจากภายนอก
ทำไมควรรู้เรื่องนี้?
เพราะเรื่องจังหวะไม่ใช่ “ความผิดส่วนตัว” แต่มาจากข้อจำกัดทางชีวภาพของมนุษย์ นักดนตรีระดับโลกก็ drift ทั้งนั้น แต่เขาแก้ด้วย
1. awareness
2. practice design
3. internal–external switching
นั่นคือสิ่งที่ทำให้ timing ของพวกเขา “นิ่งเหมือนเครื่องจักร” แต่ยังมีชีวิตของ groove
3. ปัจจัยที่ทำให้ Tempo Drift โดยไม่รู้ตัว
Tempo Drift ไม่ได้เกิดจาก “เราเล่นไม่ดี” แต่เป็นผลลัพธ์ธรรมชาติของระบบจับเวลาในสมองที่ได้รับอิทธิพลจากทั้งร่างกาย อารมณ์ และสภาวะการประมวลผลข้อมูลจำนวนมหาศาลระหว่างการเล่นเพลงจริง ปัจจัยทั้ง 4 ด้านล่างนี้คือสิ่งที่นักดนตรีเจอทุกครั้งโดยไม่รู้ตัว
3.1 ความล้า (Fatigue) ทั้งกายและสมอง — เมื่อร่างกายเริ่มหมดแรง เวลาในสมองก็เปลี่ยนไป
ความล้าไม่ได้ส่งผลต่อพลังกล้ามเนื้อเท่านั้น แต่เป็นต้นเหตุสำคัญของ perceptual drift ในระดับสมอง
1) กล้ามเนื้อ → ล้า → การเคลื่อนไหวไม่นิ่ง → tempo แปรปรวน เมื่อกล้ามเนื้อทำงานซ้ำ ๆ เป็นเวลานาน
การเคลื่อนไหวของมือ–แขนเริ่ม “ไม่นิ่ง”
แรงตี + ความเร็วของ motion เปลี่ยน และ
micro-timing (ความละเอียดระดับมิลลิวินาที) จะเบี่ยงทีละน้อย
แม้ผู้เล่นจะ “ตั้งใจคุม” แต่ร่างกายไม่ตอบสนองเหมือนช่วงเริ่มต้นอีกแล้ว
2) สมอง → attention ลดลง
ส่วนที่ควบคุมเวลา (SMA, prefrontal cortex, cerebellum) ต้องใช้พลังงานสูง เมื่อเหนื่อย
ระดับโดปามีนลดลง
attention กระจาย
สมองไม่สามารถตรวจจับความเพี้ยนแบบเล็ก ๆ ได้
นี่คือเหตุผลว่า ทำไม “ความล้า 1 ชั่วโมงหลังซ้อม” ทำให้ tempo drift มากกว่าตอนเริ่มซ้อม
3) ระบบแก้ไขข้อผิดพลาดของเวลา (error detection) อ่อนลง ปกติสมองจะคอยแก้
เร็วไปนิดหนึ่ง → ดึงลง
ช้าไปนิดหนึ่ง → ดันขึ้น
เมื่อเหนื่อย → กลไกนี้ค่อย ๆ หายไป ผลลัพธ์คือ drift แม้มือยังรู้สึก “ดี” อยู่ก็ตาม
3.2 Arousal, Emotion และ Adrenaline ทำไมบนเวทีเพลงจึงมักเร็วขึ้นหรือช้าลงโดยไม่รู้ตัว
ระบบอารมณ์และระบบเวลาในสมอง ถูกเชื่อมกันโดยตรง อารมณ์แต่ละแบบสร้าง “การรับรู้เวลา” ที่ต่างออกไป
Arousal สูง → รู้สึกว่าเพลงช้า → เร่งเทมโป
1. ผู้ชมสนุก
2. เสียงเชียร์
3. แสงเวที + adrenaline
4. หัวใจเต้นเร็ว
ทั้งหมดนี้ทำให้ pacemaker ในสมองยิง pulse ถี่ขึ้น
→ ความรู้สึกของ “1 วินาที” ยาวเกินจริง
→ เราจึงคิดว่า “เพลงช้าไป”
→ แล้วเร่ง tempo ขึ้นโดยอัตโนมัติ
นี่เป็นเหตุผลว่า ทำไมเพลงสดมักเร็วกว่าอัลบั้ม 3–10 BPM โดยที่วงไม่รู้ตัว
ในทางกลับกัน: เมื่อเครียด เหนื่อย หรือ overload → tempo จะช้าลง
1. ความกังวล
2. ความล้าทางสมอง
3. การพยายามควบคุมทุกอย่างมากเกินไป
ทำให้สมองตีความว่า “เวลาเดินเร็วเกินจริง”→ ผู้เล่นจึงดึง tempo ลงเพื่อรักษาความมั่นคง
นี่คือสาเหตุที่ท่อนช้า ๆ หลังโซโล่หนัก ๆ มัก “ย้วยลง” โดยไม่ตั้งใจ
ประเด็นสำคัญแบบวิชาการ
สมองมนุษย์ ไม่แยก ระบบรับรู้เวลาออกจากระบบอารมณ์ สิ่งที่เรารู้สึก คือสิ่งที่เรา “ฟังเวลา” ไปพร้อมกันเสมอ
3.3 Cognitive Load เมื่อเพลงยากขึ้น สมองไม่มีพื้นที่เหลือให้จับเวลา
ดนตรีไม่ใช่แค่การกดโน้ต แต่เป็นการคิดหลายชั้นในเวลาเดียวกัน โดยเฉพาะในเพลงที่ซับซ้อนหรือการเล่นสด
เมื่อบทเพลงยากขึ้น สมองต้องจัดการอะไรบ้าง?
1. คิดโน้ตและแก้เมโลดี้ (melodic generation)
2. คาดการณ์คอร์ด ที่จะเกิดขึ้นถัดไป
3. ฟังสมาชิกในวง ว่าเล่นอะไรอยู่
4. คุมโทน–ไดนามิก–สัมผัสเสียง
5. ปรับเทคนิค เพื่อแก้สถานการณ์จริง
6. ควบคุมการเคลื่อนไหวของมือสองข้าง
ทั้งหมดนี้ต้องใช้ working memory + attentional resources
ผลลัพธ์: ทรัพยากรที่เหลือไว้คุมเวลา = น้อยลงมาก
เมื่อสมองไม่มี bandwidth พอ
1. การ monitor tempo จะถูก “ลดลำดับความสำคัญ”
2. internal clock เริ่ม drift
3. แต่เรายัง “รู้สึกว่าตรง” เพราะการตรวจสอบภายในลดลง
ตัวอย่างที่เห็นบ่อยในวงการดนตรี
1. มือกีตาร์เร่งขึ้นตอน solo เพราะต้องคิด line ตลอดเวลา
2. มือกลองช้า–เร็วไม่เท่ากันตอนทำ fill ยาก
3. มือคีย์เล่น rubato โดยไม่รู้ตัวในเพลงที่หมุนคอร์ดเร็ว
3.4 Adaptation กับ Groove ของเพื่อนร่วมวง (Entrainment) จังหวะคือระบบนิเวศ
Entrainment คือปรากฏการณ์ที่ระบบเวลาของมนุษย์ “ดึงดูดกัน” เหมือนวงโคจรของดาวที่ปรับเข้าหากันจนเกิดสมดุลใหม่
ในวงดนตรี ไม่มีใครตรง 100%
แต่ทุกคนมี “แนวโน้มจังหวะ” ของตัวเอง เช่น
1. มือกลอง → ดันบนท่อนพีค
2. มือเบส → หน่วงท้าย beat เพื่อให้ groove หนา
3. มือคีย์ → ดันหน้า beat เพื่อสร้างความลื่นไหล
แนวโน้มเล็ก ๆ เหล่านี้เมื่อรวมกัน → ระบบจังหวะของทั้งวงจะหา “จุดสมดุลใหม่” เองโดยอัตโนมัติ
ถ้าไม่มี external reference (click / percussion เด่น ๆ)
tempo ของวงอาจ
1. ค่อย ๆ เร่งขึ้น
2. หรือค่อย ๆ ช้าลง
และที่สำคัญ
ทุกคนจะรู้สึกว่ามันปกติ เพราะ internal clock ปรับตามกันทั้งวงแล้ว
นี่คือเหตุผลที่วงที่เล่นด้วยกันนาน ๆ มัก “ลอยไปทิศเดียวกัน” โดยไม่รู้สึกผิดปกติเลย
ภาพรวม Tempo Drift = ผลรวมของ
1. ความล้าทั้งกาย–สมอง
2. อารมณ์และ adrenaline
3. ความยากของบทเพลง
4. การดึงดูดกันของจังหวะในวง (entrainment)
ทั้งหมดนี้เป็นธรรมชาติของมนุษย์ ไม่มีใครควบคุมได้ 100%
แต่เรา “รับมือ” และ “ออกแบบ” ให้มันอยู่ในกรอบที่ต้องการได้
4. ทำไมเราถึง “ไม่รู้ตัว” ว่า Tempo เปลี่ยน?
นี่คือหัวใจของคำว่า Perceptual Timing Drift หนึ่งในความจริงที่น่าสนใจที่สุดของระบบเวลาในมนุษย์คือ สมองจะบอกเราว่า “จังหวะยังเท่าเดิม” แม้มันจะเปลี่ยนไปมากแล้วก็ตาม สาเหตุไม่ได้เกิดจากความผิดพลาดของนักดนตรี แต่เกิดจาก “ธรรมชาติการทำงานของสมอง” ที่ออกแบบมาให้ prioritise ความสัมพันธ์ของเสียงมากกว่า absolute timing เช่นเครื่องจักร ด้านล่างคือสองกลไกหลักที่ทำให้เราไม่รู้ว่ากำลัง drift
4.1 ระบบการฟังของเราจูนตาม “กรอบใหม่” ตลอดเวลา (Re-calibration Mechanism)
หนึ่งในฟังก์ชันพื้นฐานของสมองมนุษย์คือ การปรับตัวกับบริบทใหม่ (adaptive time perception) เมื่อ tempo เปลี่ยนเพียงเล็กน้อย สมองจะ
Re-calibrate กรอบเวลาใหม่ทันที
ตัวอย่าง
1. เริ่มที่ 120 BPM
2. ค่อย ๆ เร่งจนไปถึง 124 → 126 BPM
สมองจะ
1. ไม่เปรียบเทียบ “126” กับ “120” (ค่าตั้งต้น) แต่จะ
2. เปรียบเทียบจังหวะปัจจุบันกับจังหวะก่อนหน้าอีกไม่กี่มิลลิวินาที
ดังนั้น internal beat จะ align กับสิ่งที่ได้ยิน “ตอนนี้” → ไม่ใช่สิ่งที่ตั้งต้นไว้ตอนเริ่มเพลง
ทำไมสมองทำแบบนี้?
เพราะสมองออกแบบมาเพื่อช่วยให้เรา เล่นต่อได้อย่างราบรื่น ไม่สะดุด ถ้าสมอง “คอยเตือนทุกครั้งที่ tempo ขยับ 0.5–1 BPM” การเล่นดนตรีคงเป็นไปไม่ได้ ดังนั้นเพื่อให้ flow ของเพลงดำเนินไป สมองจะ
1. ยอมรับ tempo ใหม่เป็น baseline ใหม่
2. ทำให้ผู้เล่นรู้สึกว่า "ยังเท่าเดิม"
3. ลดความขัดแย้งระหว่าง perception และ sound จริง
ผลลัพธ์คืออะไร?
ระหว่างที่เราเล่นกลางเพลง หากมีคนถามว่า “ตอนนี้ยัง 120 ไหม?”
สมองจะตอบว่า
“ใช่” เพราะมันกำลังประเมินจาก baseline ล่าสุด ไม่ใช่ baseline ตอนเริ่ม แม้ความจริง tempo อาจ drift ไปไกลมาก เช่น +8 BPM แล้วก็ตาม
4.2 เรา “ฟังความสัมพันธ์ของจังหวะ” มากกว่า “absolute BPM”
มนุษย์โดยธรรมชาติไม่ได้รับรู้เวลาแบบเครื่อง metronome เราไม่ได้มี sensor ที่บอกตัวเลขว่า “ตอนนี้คือ 123.7 BPM” เราตีความเวลาแบบ สัมพันธ์ (relational perception) โดยอาศัยความรู้สึกและตำแหน่งเชิงดนตรี
สิ่งที่นักดนตรีฟังจริง ๆ คือ “ความสัมพันธ์ของเสียง” (Temporal Relationship) เมื่อเล่นเพลง สมองสนใจว่า…
1) โน้ตตกหน้า–หลัง beat แค่ไหน
เราสนใจ micro-timing เช่น playing behind the beat / on top of the beat มากกว่า BPM จริง
2) groove ของเราสัมพันธ์กับ drum/bass อย่างไร
ตราบใดที่
1. kick
2. bass
3. comp
4. melody
“ล็อกกัน” ในเชิงสัมพัทธ์ สมองจะตีความว่า “ groove ยังนิ่งและคงที่”
3) phrasing relative กับ harmony ยังลื่นไหลไหม
นักดนตรีมักตาม “แรงดึงของคอร์ด” มากกว่า “ตัวเลข BPM”
ทำไมสิ่งนี้ทำให้เราจับ drift ไม่ได้?
เพราะสมองของเรา “ไม่ได้ถูกออกแบบให้วัดเวลาแบบ absolute” แต่ถูกออกแบบให้วัดเวลาแบบ contextual & relational ดังนั้น… ถ้า groove ภายในวงยังสัมพันธ์กันดี แม้ tempo จะ drift 5–15 BPM เราจะไม่รู้สึกเลยว่ามันเปลี่ยน
นี่คือเหตุผลที่วงที่เล่น tight มาก ๆ สามารถ drift ไปพร้อมกันทั้งวง โดยผู้เล่นทุกคนยังรู้สึกว่า “มันดี มันนิ่ง มันไหล”
ตัวอย่างสถานการณ์จริง (ที่ทุกวงเคยเจอ)
1. เริ่มเพลง 120 BPM
2. ท่อน B → drummer ใส่ fill ดันขึ้นนิดเดียว
3. bassist รู้สึกว่าไฟเริ่มมา → เล่นหน้า beat กว่าเดิม
4. keyboard comp ตามพลังรวมของวง
5. ทั้งวง drift ขึ้นมาที่ 126 BPM
แต่ทุกคนยังรู้สึกว่า “กำลังเล่นนิ่งมาก” เพราะ internal time ของทุกคน ถูก recalibrate พร้อมกัน
สรุปหยุดใจ: ทำไมเราไม่รู้ว่า tempo เปลี่ยน?
เพราะสมองเราถูกออกแบบมาให้ “รับรู้แบบสัมพันธ์” ไม่ใช่แบบตัวเลข และเพราะสมองจะ “อัปเดต baseline ใหม่ตลอดเวลา” เพื่อให้เล่นต่อได้อย่างลื่นไหล นี่คือหัวใจของ Perceptual Timing Drift
5. 5. มุมมองเชิงวิจัย: การสั่น (jitter) กับการ drift ของจังหวะ
หนึ่งในความเข้าใจผิดของนักดนตรี คือเชื่อว่า “ถ้าซ้อมเยอะพอ เราจะลงจังหวะแบบตรงเป๊ะเหมือนเครื่องจักรได้” แต่งานวิจัยด้าน sensorimotor synchronization บอกตรงกันว่า มนุษย์ไม่สามารถตีจังหวะได้ตรงเป๊ะ 0 ms และ error ที่เกิดขึ้น “ไม่ใช่ความผิดพลาดล้วน ๆ” แต่เป็นโครงสร้างทางธรรมชาติของระบบประสาทปรากฏการณ์นี้ประกอบด้วยสองส่วนหลัก
1. jitter = ความสั่นแบบสุ่มระดับมิลลิวินาที
2. drift = การเบี่ยงออกจากค่าเดิมไปเรื่อย ๆ
ทั้งสองอย่างเกิดขึ้นพร้อมกันเสมอในทุกการเคาะจังหวะของมนุษย์
5.1 “Jitter” ความผิดพลาดระดับมิลลิวินาทีที่หลีกเลี่ยงไม่ได้
งานของ Repp, Su, Wing, และนักวิจัยเชิง timing ชี้ว่า
เวลาเราตบมือ/เคาะตาม metronome จะมี error เล็ก ๆ เสมอ
1. ค่า error โดยทั่วไปอยู่ที่ ± 20–40 ms
2. มืออาชีพอาจลดเหลือ ± 10–20 ms
3. แต่ไม่มีใครทำได้ “0 ms”
นี่ไม่ใช่ความผิดพลาด แต่เป็นผลจาก…
ระบบประสาทสั่งงานแบบ biological ไม่ใช่ digital
1. motor system มี latency
2. neural firing ไม่สม่ำเสมอ 100%
3. การรับรู้เวลามาจาก multi-system integration (auditory + motor + cerebellum)
ดังนั้น jitter เป็น “ธรรมชาติของมนุษย์” ไม่ใช่ข้อบกพร่อง
5.2 error ของมนุษย์ “มีรูปแบบ” ไม่ใช่ noise ล้วน ๆ
นี่คือข้อมูลที่สำคัญที่สุดจากงานวิจัย sensorimotor timing
error ของมนุษย์มีโครงสร้าง (structured variability)
ไม่ใช่แค่การ “เพี้ยนแบบสุ่ม” แต่มี pattern 3 ชนิด
1) Drift (สะสมไปทิศทางเดียว)
แม้ error จะเล็กมาก แต่เมื่อสะสม frame ต่อ frame → tempo จะค่อย ๆ ขยับขึ้นหรือช้าเป็นลำดับ เหมือน
1. ลงผิดหน่อย ๆ ทุกครั้ง
2. พอเล่นไป 30 วินาที–2 นาที
→ drift มาถึงระดับที่ “ได้ยินชัด”
2) Overcorrection (แก้เกิน)
เมื่อรู้สึกว่าเร็วไป 2–3 ms สมองจะ “แก้มันเกิน” ไปเป็น 5–10 ms เพื่อดึงกลับเข้าหา beat ผลคือ pattern ของ error จะเป็นรูปฟันปลาเล็ก ๆ
3) Undercorrection (แก้น้อยไป)
บางครั้งสมองแก้เร็วไป/ช้าไป “ไม่พอ” → error จะค่อย ๆ ขยายจนเกิด drift ทั้ง overcorrection และ undercorrection คือธรรมชาติของ system feedback ของร่างกายมนุษย์
5.3 เมื่อ metronome หายไป: internal clock จะเผยนิสัย drift ของเราออกมา
ช่วงที่ metronome ทำงาน → external timing system คอย calibrate เรา แต่ทันทีที่ metronome หยุด…
internal clock ของเราจะทำงานเพียงลำพัง และสิ่งที่เกิดขึ้นแทบทุกครั้ง
1) internal clock มัก drift ไปทิศทางใดทิศทางหนึ่งตาม “นิสัยประจำตัว” บางคน
1. มี tendency “เร่งขึ้นเรื่อย ๆ” (positive drift) เพราะระบบเร้าอารมณ์สูงกว่าเฉลี่ย บางคน
2. มี tendency “ช้าลงเรื่อย ๆ” (negative drift) เพราะ motor output ช้าลงเมื่อเล่นนาน
นิสัยเหล่านี้มั่นคงมากจนสามารถวัดได้จากการทดลอง 3–5 ครั้ง
2) เมื่อเวลานานพอ ความคลาดเคลื่อนจะใหญ่จน “ใครก็ฟังออก”
เวลาที่ใช้ให้ drift แสดงตัวมีดังนี้
1. 15–30 วินาทีแรก → ยังฟังไม่ชัด
2. 1 นาที → เริ่มสังเกตว่าขึ้นหรือช้าลง
3. 2–3 นาที → drift จะชัดมาก (บางคนหลุดถึง 10–20 BPM)
4. 5 นาทีขึ้นไป → internal tempo อาจไม่เหลือเค้าโครงเดิมเลย
นี่คือเหตุผลที่
1. Intro ที่ยาว
2. Ostinato เดิม ๆ
3. การจูง tempo แบบเล่นลำพัง
มัก drift โดยไม่มีใครรู้ตัวจนจบเพลง
งานวิจัยชี้ชัดว่า: Drift เป็นธรรมชาติ ไม่ใช่ข้อผิดพลาด
นักวิจัยมองว่า drift เป็นหลักฐานว่า
1. ระบบเวลาในสมองเป็นระบบชีวภาพที่มี variation โดยธรรมชาติ
2. คนมี timing ดี ไม่ใช่เพราะไม่มี jitter/drift แต่เพราะแก้ได้เร็วและแม่น
3. การใช้ external reference (click, pulse จากเพื่อนร่วมวง) ช่วยลด drift ได้ดีที่สุด
ตัวอย่างการทดลองที่ทำให้เห็น drift ชัด ๆ (อธิบายแบบเข้าใจง่ายมาก)
1. ให้ผู้เล่นเคาะตาม metronome ที่ 120 BPM 10 วินาที
2. ปิด metronome
3. ให้เคาะต่อไปอีก 40 วินาทีโดยใช้ internal time
4. วัด tempo ทุก 5 วินาที
ผลที่พบเกือบทุกมนุษย์
1. คนหนึ่ง → จาก 120 → 122 → 124 → 127 BPM
2. อีกคน → จาก 120 → 118 → 115 → 112 BPM
3. ไม่มีใครนิ่งที่ 120 BPM ตลอดเวลา
นี่คือ Perceptual Timing Drift ในรูปแบบที่วัดได้จริงตามงานวิจัย
สรุปแบบ “รู้แล้วชีวิตดีขึ้นมาก”
1. มนุษย์ทุกคนมี jitter ระดับ ms → หลีกเลี่ยงไม่ได้
2. error ของมนุษย์ไม่สุ่ม แต่มีโครงสร้าง → drift
3. เมื่อ metronome หายไป internal clock จะแสดงนิสัย drift ออกมา
4. ความคลาดเคลื่อนสะสม → ฟังออกชัดเจนในไม่กี่นาที
5. มืออาชีพไม่ใช่คนที่ “ไม่มี drift” แต่เป็นคนที่ “รู้วิธีคุม drift”
6. แล้วเราจะ “อยู่กับ Perceptual Timing Drift” อย่างชาญฉลาดได้ยังไง?
Perceptual Timing Drift ไม่ใช่สิ่งที่ต้อง “กำจัดให้หมด” แต่เป็นสิ่งที่ต้อง “อยู่ร่วมกับมันให้เป็น” — เช่นเดียวกับการควบคุมลมหายใจของนักร้อง หรือ bow pressure ของนักเชลโล่
ประเด็นสำคัญที่สุด
1. เรากำจัด drift ไม่ได้ → เพราะมันเป็นธรรมชาติของสมองมนุษย์
2. แต่เราลด drift ได้ → ผ่านการออกแบบการฝึกที่ดี
3. เรารู้ทัน drift ได้ → ผ่านการพัฒนาความรู้สึกจับเวลาแบบ internal–external
4. เรานำ drift มาใช้เป็นเครื่องมือดนตรีได้ → เพื่อเสริมอารมณ์และไดนามิกของเพลง
ดังนั้น การเป็นนักดนตรีระดับสูงไม่ใช่ “ไม่มี drift” แต่คือ “รู้ว่า drift เกิดยังไง – เกิดเมื่อไหร่ – และใช้อย่างไร” ต่อไปนี้คือ 3 วิธีที่ใช้กันจริงในระดับมืออาชีพ
6.1 ฝึก Internal Time + External Checkpoint (การฝึกที่ดีที่สุดสำหรับคุม drift)
แนวคิดหลัก
ให้สมองได้ “ขับเคลื่อนจังหวะเอง” ผ่าน internal clock แต่มี “จุดตรวจ” ระหว่างทางเพื่อ recalibrate เวลาให้ตรง นี่คือการสร้างสมดุลระหว่าง
1. การพึ่งพา click 100% (ซึ่งดีแต่ไม่พัฒนาการฟังภายใน)
2. กับการไม่ใช้ click เลย (ซึ่งเสี่ยง drift มาก)
ตัวอย่างแบบฝึก (ระดับอาชีพ)
1. แบบฝึก A: Click ทุก 4 Bars
ตั้ง tempo = 80
เล่น groove 4 bars โดยมี click
อีก 4 bars → click เงียบ
เปิด click กลับมา → ดูว่าตรงไหม
ทำซ้ำ 10–20 รอบ จะเห็น drift pattern ของตัวเองชัดเจนมาก
2. แบบฝึก B: Click ทุก 8 Bars (ยากขึ้น)
click → 8 bars
ปิด → 8 bars
เปิดกลับมา → วัด deviation
แบบนี้จะเห็นว่า
1. คุณมี tendency เร่งขึ้นเรื่อย ๆ หรือ
2. ช้าลงเรื่อย ๆ
3. แบบฝึก C: Click เฉพาะ “ตัวที่ 1” ของแต่ละ bar
ใช้ได้ทั้งนักกลอง นักเปียโน กีตาร์ เบส และเครื่องสาย click = 1/4 note click (ไม่ใช่ทุกจังหวะ) เป้าคือ
ให้ internal subdivision แข็งแรง
ให้ให้สมองสร้างจังหวะเอง
ลดการพึ่ง external cue
ทำไมแบบฝึกนี้ได้ผล?
เพราะมันสร้าง 3 skill พร้อมกัน
1. Internal Stabilization
สมองเรียนรู้ที่จะรักษา time ของตัวเองให้เสถียร
2. Error Detection Sensitivity
ผู้เล่นเริ่ม “ฟังออก” ว่า tempo ของตัวเอง drift ออกไปทางไหนก่อนใคร
3. Recalibration Flexibility
สมองยืดหยุ่นมากขึ้น พร้อมปรับ baseline ใหม่เมื่อมี cue จากภายนอกเข้ามา
กล่าวง่าย ๆ
แบบฝึกนี้ทำให้สมอง “ทั้งมั่นคง” และ “พร้อมปรับตัว” ในเวลาเดียวกัน → ซึ่งคือทักษะที่นักดนตรีระดับสูงทุกคนมี
6.2 ฝึกในสภาพ “ความรู้สึก” ต่างกัน (Emotional State Training)
เพราะ drift เกิดขึ้นจากอารมณ์โดยตรง การฝึกต้องรวม “สภาวะอารมณ์” เข้าไปด้วย ไม่ใช่แค่โน้ตหรือจังหวะ
วิธีทำ
เลือกเพลงหนึ่งเพลง แล้วเล่น 3 โหมดต่างกัน
1. โหมดชิว (Low Arousal)
รู้สึกผ่อนคลาย
ไม่ใส่แรงมาก
เน้นการหายใจและ flow
→ ดูว่าคุณช้าลงไหม?
2. โหมดไฟแรง (High Arousal)
เปิด metronome ให้เสียงดังขึ้น
เล่นแบบใส่พลัง
ทำเหมือนอยู่บนเวทีจริง
→ คุณมี tendency เร่งขึ้นเท่าไหร่?
3. โหมด Focus สูงสุด (Analytical Mode)
เล่นสุดละเอียด
คุม articulations
คุม dynamics
คิดทุกอย่างชัดเจนแบบเล่น classical recital
→ มีโอกาสช้าลงหรือ “ย้วย” ไหม?
ทำไมต้องฝึกแบบนี้?
เพราะการเล่นบนเวทีจริง = การเล่นภายใต้อารมณ์ ไม่ใช่ภายใต้วิธีซ้อมในห้องเท่านั้น ศิลปินระดับโลกที่ timing ดีมาก ๆ ไม่ใช่เพราะ internal clock ดีที่สุด แต่เพราะ “รู้ pattern ของตัวเองในทุกสภาวะ” ดังนั้น การรู้ drift แบบ “personal” ของตัวเอง คือกุญแจทองของ timing ที่มั่นคง
6.3 ออกแบบ Flow ของเพลง/เซต เพื่อรับมือและใช้ drift ให้เป็นประโยชน์
บนเวที drift ไม่ใช่ศัตรู แต่เป็น “เครื่องมือเพิ่มพลังเพลง”
ตัวอย่างการใช้ drift อย่างตั้งใจบนเวที
1. เร่งขึ้นเล็กน้อยใน chorus ท้ายเพื่อสร้าง climax เช่น
+2 ถึง +4 BPM
ทำให้เพลงมีไดนามิกแบบ emotional lift
วง fusion, rock, pop, และ jazz ทำแบบนี้เสมอ
2. ดึง tempo ใน intro เพื่อสร้าง tension
intro นิ่ง ๆ แต่ช้ากว่าปกติ
แล้วดัน tempo ขึ้นตอน verse
เกิด contrast ที่ฟังแล้ว “จับหู” มากขึ้น
3. ใช้ drift เป็น feedback ว่าวงกำลังหลุดหรือยังอยู่ใน control
นักดนตรีระดับสูงจะฟัง drift แล้วตีความดังนี้
ถ้า drift ขึ้นเรื่อย ๆ = วงไฟแรงเกิน → ต้อง reset
ถ้าดรอปลง = วงล้า → ต้องดึงพลังกลับมา
ถ้า drift พร้อมกันทั้งวง = groove สมดุล
ถ้า drift คนเดียวหลุดไปไกล = ต้อง sync กลับใหม่
ใครคือคนที่ “รีเซตเวลา” ของวง?
1. มือกลอง
2. มือเบส
3. นักคีย์/กีตาร์ที่ comp
4. หรือแม้แต่นักร้องนำ (ผ่าน gesture และ phrasing)
หนึ่งในหน้าที่สำคัญที่สุดของ rhythm section คือ “รีเซตกรอบเวลา” ของทั้งวงเมื่อ drift เริ่มเกินควบคุม นี่คือสิ่งที่แยก วงระดับอาชีพ ออกจาก วงมือสมัครเล่น
สรุป
เรากำจัด drift ไม่ได้ แต่คุมมันได้
เราซ้อมให้ drift ช้าลงได้
เราสังเกต drift ของตัวเองได้
เราใช้ drift เพื่อเพิ่มพลังเพลงได้
วงอาชีพ “อาศัย drift แบบมีสติ” ไม่ใช่ “หลุด drift โดยไม่รู้ตัว”
สรุป “Perceptual Timing Drift” สำหรับนักดนตรี
Perceptual Timing Drift คือปรากฏการณ์ที่นักดนตรี “รู้สึกว่าเล่นเท่าเดิม” แต่ tempo จริงค่อย ๆ เปลี่ยนไปเองทีละนิด โดยเฉพาะเมื่อเล่นต่อเนื่องนาน ๆ และไม่มีตัวช่วยจากภายนอก เช่น click หรือ backing track ปรากฏการณ์นี้ต่างจาก Motor Drift ซึ่งเกิดจากความล้าทางกายและการเคลื่อนไหว (movement) ที่เปลี่ยนไป Perceptual Drift เกิดที่ระดับ การรับรู้เวลาในสมอง โดยตรง (internal clock) ทำให้ผู้เล่น “เชื่อสนิทใจ” ว่า tempo ยังเท่าเดิม ทั้งที่ค่าจริงเบี่ยงไปไกลแล้วเมื่อเทียบกับ external reference
จากมุมมองประสาทวิทยา การจับเวลาของมนุษย์ไม่ได้มี “นาฬิกาเรือนเดียว” แต่เป็นเครือข่ายร่วมกันของหลายระบบ เช่น cerebellum, basal ganglia, motor cortex, prefrontal cortex และ auditory cortex ที่รับผิดชอบทั้งการขยับ การฟัง และการประเมินเวลา การเปลี่ยนแปลงในระบบใดระบบหนึ่ง (เช่น ความล้า ความเครียด arousal สูง) สามารถทำให้ จังหวะที่รู้สึก ค่อย ๆ เลื่อนออกจากเวลาจริงได้อย่างเป็นธรรมชาติ ไม่ใช่ความผิดพลาดส่วนบุคคลของนักดนตรีคนใดคนหนึ่ง
ในเชิงทฤษฎี หลายงานอธิบาย timing ด้วยแนวคิด pacemaker–accumulator / scalar timing: สมองมีเหมือน “เครื่องยิง pulse” ข้างใน (pacemaker) ที่ยิงถี่หรือห่างต่างกันตามสถานะของร่างกาย–อารมณ์ จากนั้น accumulator จะนับ pulse เพื่อประเมินว่าผ่านไปกี่หน่วยเวลา ถ้า pacemaker ยิงเร็วขึ้น (เช่น adrenaline / arousal สูง) เราจะรู้สึกว่า “เวลาผ่านไปช้าเกิน” แล้วเผลอเร่ง tempo ตรงกันข้าม ถ้ายิงช้าลง (ล้า เครียด overload) เราจะรู้สึกว่าเพลงเร็วไป แล้วดึง tempo ลงโดยไม่ตั้งใจ ปรากฏการณ์นี้ทำให้เกิด drift แม้ผู้เล่นจะตั้งใจคุมจังหวะอย่างดีแล้วก็ตาม
งานวิจัยด้าน sensorimotor synchronization (SMS) แสดงให้เห็นว่า แม้แค่การเคาะนิ้วตาม metronome ง่าย ๆ มนุษย์ก็มีความคลาดเคลื่อนระดับมิลลิวินาที (jitter) ตลอดเวลา และ error เหล่านี้ไม่ได้สุ่มทั้งหมด แต่มีโครงสร้าง เช่น การสะสมไปทางใดทางหนึ่ง (drift) การแก้เกิน (overcorrection) หรือแก้น้อยไป (undercorrection) เมื่อ metronome หยุดและให้เล่นต่อด้วย internal time เพียงอย่างเดียว tempo จะค่อย ๆ เคลื่อนขึ้นหรือลงตาม “นิสัย” ของระบบเวลาแต่ละคน และหลังผ่านไป 1–3 นาที ความคลาดเคลื่อนจะใหญ่จนผู้ฟังภายนอกรับรู้ได้ชัด
ในบริบทของวงดนตรี ปรากฏการณ์ entrainment ทำให้ระบบจังหวะของสมาชิกในวง “ดึงดูดกัน” แล้วหาจุดสมดุลใหม่ร่วมกัน ถ้าไม่มี external reference (เช่น click) วงทั้งวงอาจ drift ขึ้นหรือช้าลงทีละน้อย แต่ทุกคนยัง “รู้สึกว่าโอเค” เพราะ internal clock ของแต่ละคน recalibrate ตามกันเป็นระบบเดียวกัน เราจึงรู้สึกว่า groove ยังแน่น แม้ตัวเลข BPM จะเปลี่ยนไปแล้วก็ตาม
ภาพรวมที่สำคัญคือ
1. Drift เป็นธรรมชาติของสมองมนุษย์ ไม่ใช่ข้อบกพร่องส่วนตัว
2. นักดนตรีที่ timing ดี ไม่ได้ “ไม่มี drift” แต่
รู้ pattern drift ของตัวเอง
ฝึก internal time ควบคู่กับ external checkpoint (click เป็นระยะ ๆ)
พัฒนา error detection และความสามารถในการ recalibrate tempo ระหว่างเล่นจริง
ใช้ drift อย่างตั้งใจ เพื่อเสริมอารมณ์เพลง (เช่น ดัน chorus ท้ายให้ไฟขึ้นเล็กน้อย หรือตั้งใจดึง intro ให้หน่วงเพื่อสร้าง tension)
ดังนั้น เป้าหมายของการฝึกจังหวะระดับสูงไม่ใช่ “ทำให้เป็นเครื่องจักรที่ไม่เคยเพี้ยน” แต่คือการสร้างระบบเวลาในตัวเองที่ นิ่งพอจะควบคุมได้ และ ยืดหยุ่นพอจะใช้ drift เป็นส่วนหนึ่งของภาษาดนตรี บนเวที
เอกสารอ้างอิง
1. Buhusi, C. V., & Meck, W. H. (2005). What makes us tick? Functional and neural mechanisms of interval timing. Nature Reviews Neuroscience, 6(10), 755–765.
2. Ivry, R. B., & Keele, S. W. (1989). Timing functions of the cerebellum. Journal of Cognitive Neuroscience, 1(2), 136–152.
3. Large, E. W., & Jones, M. R. (1999). The dynamics of attending: How people track time-varying events. Psychological Review, 106(1), 119–159.
4. Repp, B. H. (2005). Sensorimotor synchronization: A review of the tapping literature. Psychonomic Bulletin & Review, 12(6), 969–992.
5. Repp, B. H., & Su, Y.-H. (2013). Sensorimotor synchronization: A review of recent research (2006–2012). Psychonomic Bulletin & Review, 20(3), 403–452.
6. Wing, A. M., & Kristofferson, A. B. (1973). The timing of interresponse intervals. Perception & Psychophysics, 13, 455–460.



Comments