top of page
Search

เสียงในหัว ของนักดนตรี แต่ละคนแต่ละเชื้อชาติที่แตกต่างกัน เป็นเหตุที่ทำให้ การแสดงดนตรีได้คุณภาพที่ไม่เท่ากัน ❓


การแสดงดนตรีไม่ใช่แค่การเล่นเครื่องดนตรีให้ถูกต้องตามโน้ตที่ปรากฏ แต่เป็นการถ่ายทอดความรู้สึก ความคิดสร้างสรรค์ และอารมณ์ผ่านเสียง ซึ่งทำให้การแสดงของนักดนตรีแต่ละคนมีลักษณะเฉพาะตัว แม้ว่าพวกเขาจะเล่นเพลงเดียวกันและใช้เครื่องดนตรีเดียวกัน ความแตกต่างที่ชัดเจนที่หลายคนสังเกตได้คือ "#คุณภาพ" ของการแสดงที่ไม่เท่ากัน



ถ้าหากถามว่า "ทำไม?" หรือ "อะไรทำให้การแสดงดนตรีไม่เหมือนกัน?" คำตอบอาจซับซ้อนกว่าที่เราคิด การแตกต่างทางด้านคุณภาพการแสดงดนตรีมีหลายปัจจัยที่ซ่อนอยู่—หนึ่งในนั้นคือ เสียงในหัว หรือ 𝗜𝗻𝗻𝗲𝗿 𝗛𝗲𝗮𝗿𝗶𝗻𝗴 ของนักดนตรีแต่ละคน



𝟭. นิยามของ "#เสียงในหัว"



คำว่า "#เสียงในหัว" หรือ "𝗶𝗻𝗻𝗲𝗿 𝗵𝗲𝗮𝗿𝗶𝗻𝗴" เป็นคำที่ใช้ในแวดวงดนตรีเพื่ออธิบายปรากฏการณ์ที่นักดนตรีสามารถ “ได้ยิน” เสียงดนตรีในใจได้โดยไม่ต้องมีเสียงจริงเกิดขึ้น นักดนตรีสามารถนึกเสียงของโน้ต คอร์ด เมโลดี้ หรือแม้แต่เสียงทั้งวงได้อย่างแม่นยำก่อนที่เสียงเหล่านั้นจะถูกผลิตออกมาทางเครื่องดนตรีหรือเสียงร้องจริง



ความสามารถนี้มีความสำคัญอย่างยิ่งในหลายแง่มุม เช่น การอ่านโน้ต (𝘀𝗶𝗴𝗵𝘁-𝗿𝗲𝗮𝗱𝗶𝗻𝗴), การประพันธ์ดนตรี, การฝึกซ้อมแบบเงียบ, หรือแม้แต่ในการ 𝗶𝗺𝗽𝗿𝗼𝘃𝗶𝘀𝗮𝘁𝗶𝗼𝗻 ในดนตรีแจ๊ส ซึ่งนักดนตรีต้องสามารถได้ยินทางเลือกของเสียงที่เป็นไปได้ในหัวก่อนจะตัดสินใจเลือกเล่นเสียงหนึ่งเสียงใด





๐ คุณสามารถ “#ได้ยิน” เมโลดี้ในหัวโดยไม่ต้องเล่นเครื่องดนตรีได้ชัดเจนแค่ไหน?



๐ เวลาคุณเล่นดนตรี คุณเล่นจากหู จากสายตา หรือจากความรู้สึกในหัวใจมากที่สุด?





เสียงในหัวของนักดนตรีแต่ละคนไม่ได้เกิดจากการเรียนรู้ดนตรีเพียงอย่างเดียว แต่ยังได้รับอิทธิพลจากภาษาแม่ วัฒนธรรมเสียงของพื้นที่ที่เติบโต และรูปแบบการฟังที่สะสมมาตลอดชีวิต



𝟮.𝟭 ภาษาและระบบเสียงของภาษา



ภาษาแต่ละภาษามีลักษณะทางเสียงที่ต่างกัน เช่น ภาษาโทน (𝘁𝗼𝗻𝗮𝗹 𝗹𝗮𝗻𝗴𝘂𝗮𝗴𝗲𝘀) อย่างภาษาไทย จีน เวียดนาม ใช้ระดับเสียง (𝗽𝗶𝘁𝗰𝗵) เพื่อแยกความหมายของคำ ส่งผลให้ผู้พูดภาษาเหล่านี้อาจมีความไวต่อความแตกต่างของ 𝗽𝗶𝘁𝗰𝗵 มากกว่าผู้ที่พูดภาษาอื่น ในทางกลับกัน ภาษาอย่างอังกฤษหรือเยอรมันมีระบบ 𝘀𝘁𝗿𝗲𝘀𝘀-𝗯𝗮𝘀𝗲𝗱 ที่ให้ความสำคัญกับการเน้นพยางค์และ 𝗿𝗵𝘆𝘁𝗵𝗺 ซึ่งอาจส่งผลให้ผู้พูดมีความรู้สึกถึง “#จังหวะ” มากกว่า 𝗽𝗶𝘁𝗰𝗵



𝟮.𝟮 ดนตรีพื้นถิ่นและการฟังในชีวิตประจำวัน



วัฒนธรรมดนตรีที่คนเราสัมผัสตั้งแต่เด็ก — ไม่ว่าจะเป็นเพลงกล่อมเด็ก เสียงร้องในพิธีกรรม หรือดนตรีพื้นบ้าน — ล้วนส่งผลต่อระบบรับรู้เสียงภายใน คนที่เติบโตมากับดนตรีที่มีโครงสร้าง 𝗿𝗵𝘆𝘁𝗵𝗺 ซับซ้อน เช่น ดนตรีแอฟริกันหรือบราซิล มักมีเสียงในหัวที่อิงกับโครงจังหวะมากกว่าคนที่เติบโตมากับดนตรีแนวตะวันตกคลาสสิก





๐ เพลงแรกในชีวิตที่คุณจำได้คือเพลงแบบไหน?



๐ คุณเคยพิจารณาไหมว่าเสียงจากสิ่งแวดล้อมของคุณตั้งแต่เด็กส่งผลต่อรูปแบบการฟังในปัจจุบันอย่างไร?





เสียงในหัวไม่ได้เป็นเพียงสิ่งที่เกิดขึ้นโดยธรรมชาติ แต่ยังสามารถพัฒนาได้ผ่านกระบวนการเรียนรู้ที่เน้นการฟัง การเลียนแบบ และการจินตนาการ



𝟯.𝟭 ความต่างของวิธีเรียนในแต่ละวัฒนธรรม



ในบางวัฒนธรรม เช่น วัฒนธรรมดนตรีอินเดีย การเรียนรู้ดนตรีเริ่มจากการ “ฟังและเลียนเสียง” ก่อนที่จะเข้าสู่การเล่นเครื่องดนตรี นักเรียนจะถูกฝึกให้ได้ยินและจำเสียงผ่านระบบเสียงที่เรียกว่า 𝘀𝗮𝗿𝗴𝗮𝗺 ซึ่งเปรียบได้กับ 𝘀𝗼𝗹𝗳𝗲̀𝗴𝗲 ในตะวันตก สิ่งนี้ช่วยให้ผู้เรียนพัฒนา “เสียงในหัว” อย่างเป็นระบบ



ในขณะที่ในบางระบบการศึกษาดนตรี เช่น การเรียนคลาสสิกตะวันตก นักเรียนอาจเริ่มต้นด้วยการอ่านโน้ตและการฝึกเทคนิคเครื่องดนตรี โดยไม่ได้เน้นการพัฒนาเสียงในหัวตั้งแต่ต้น สิ่งนี้อาจนำไปสู่ช่องว่างระหว่าง “#สิ่งที่อยากให้เสียงเป็น” กับ “#สิ่งที่เสียงออกมา





๐ ระบบการเรียนดนตรีที่คุณเคยผ่านมามีจุดเน้นที่การฟังมากน้อยแค่ไหน?



๐ คุณเคยรู้สึกไหมว่าเสียงที่คุณ “นึกไว้” กับเสียงที่คุณ “เล่นออกมา” มันไม่เหมือนกัน?





การแสดงดนตรีที่มีคุณภาพไม่ใช่เพียงการเล่นโน้ตให้ถูกต้อง แต่รวมถึงการควบคุมคุณภาพเสียง (𝘁𝗼𝗻𝗲 𝗾𝘂𝗮𝗹𝗶𝘁𝘆), น้ำหนักเสียง (𝗱𝘆𝗻𝗮𝗺𝗶𝗰𝘀), จังหวะ (𝘁𝗶𝗺𝗶𝗻𝗴), และอารมณ์ (𝗲𝘅𝗽𝗿𝗲𝘀𝘀𝗶𝗼𝗻) ซึ่งทั้งหมดนี้เชื่อมโยงกับเสียงที่นักดนตรี “ได้ยินในหัว” ก่อนจะถ่ายทอดมันออกมา



𝟰.𝟭 การควบคุมเสียง



นักดนตรีที่มีภาพของเสียงในหัวอย่างชัดเจน มักจะสามารถควบคุมการเปล่งเสียงให้ใกล้เคียงกับสิ่งที่ตนตั้งใจได้ดีกว่า เพราะเสียงในหัวเป็นเสมือน “แบบร่าง” ของสิ่งที่กำลังจะเล่น นักดนตรีประเภทนี้จะมีการแก้ไขการเล่นในขณะเล่นได้อย่างแม่นยำมากขึ้น



𝟰.𝟮 ความแตกต่างระหว่าง "เล่น" กับ "พูดด้วยเสียงดนตรี"



นักดนตรีที่ไม่มีเสียงในหัวชัดเจน อาจสามารถเล่นโน้ตได้ถูกต้องทางเทคนิค แต่การแสดงจะขาดน้ำหนักทางอารมณ์หรือมิติของเสียง นักดนตรีที่มีเสียงในหัวชัดจะเล่นดนตรีเหมือน “พูดภาษา” ที่เขาคิดไว้ภายใน — มีจังหวะที่เป็นธรรมชาติ มีความไหลลื่น และมีการควบคุมอารมณ์





๐ เวลาคุณเล่นดนตรี คุณ “ได้ยิน” เสียงล่วงหน้าในหัวหรือเปล่า?



๐ คุณเคยรู้สึกไหมว่าบางครั้งคุณเล่นดนตรีเหมือนพูดจากข้างใน และบางครั้งก็เหมือนพูดจากภายนอก?





การยอมรับว่าเสียงในหัวของแต่ละคนมีลักษณะแตกต่างกันตามพื้นหลังทางวัฒนธรรม การเรียนรู้ และประสบการณ์ชีวิต เป็นจุดเริ่มต้นของการพัฒนาในแนวทางเฉพาะของแต่ละคน ไม่มีเสียงในหัวแบบใดที่ “#ถูกต้องกว่า” กัน แต่เสียงในหัวที่ “#ชัดเจน” และ “#สอดคล้องกับตัวตน” จะนำไปสู่การแสดงดนตรีที่มีพลังและความหมาย



แนวทางการฝึก เช่น



 การร้อง 𝘀𝗼𝗹𝗳𝗲̀𝗴𝗲 / 𝘀𝗮𝗿𝗴𝗮𝗺



 การจำและนึกเสียงของคอร์ดและสเกลในหัว



 การฝึกฟังดนตรีโดยไม่เล่นเครื่องดนตรี



 การ 𝗶𝗺𝗽𝗿𝗼𝘃𝗶𝘀𝗮𝘁𝗶𝗼𝗻 โดยเริ่มจากการได้ยินในใจ



สามารถใช้เพื่อพัฒนาเสียงในหัวอย่างเป็นระบบ





๐ ตอนนี้เสียงในหัวของคุณชัดเจนแค่ไหน?



๐ ถ้าคุณจะฝึกเพื่อให้เสียงในหัวของคุณชัดขึ้น คุณจะเริ่มจากจุดไหน?



 ดังนั้น “#เสียงในหัว" เป็นองค์ประกอบสำคัญในการเล่นดนตรีอย่างมีคุณภาพ โดยเป็นสิ่งที่เกิดจากทั้งวัฒนธรรม ภาษา การฟังในชีวิตประจำวัน และกระบวนการเรียนรู้ดนตรี ความแตกต่างของพื้นหลังทางวัฒนธรรมส่งผลให้เสียงในหัวของนักดนตรีแต่ละคนมีลักษณะเฉพาะตัว



การพัฒนาเสียงในหัวไม่ได้เป็นเรื่องของพรสวรรค์ แต่สามารถฝึกฝนได้อย่างมีระบบ นักดนตรีที่สามารถ “#ได้ยิน” ดนตรีในหัวได้ชัดเจน จะมีแนวโน้มในการแสดงดนตรีอย่างมีอารมณ์ มีความหมาย และมีเอกลักษณ์เฉพาะตัวมากยิ่งขึ้น





 คุณเคยพิจารณาไหมว่าเสียงในหัวของคุณตอนนี้เป็นผลมาจากอะไรบ้าง?


 ดนตรีแบบไหนที่คุณอยากให้มัน “เกิดขึ้นในหัว” ของคุณมากขึ้น?


 คุณจะเริ่มพัฒนาเสียงในหัวของคุณอย่างไรตั้งแต่วันนี้?


 
 
 

Comentarios


bottom of page