top of page
Search

“เล่นได้ทุกแนว แต่ไม่มีแนวของตัวเอง❓”

  • Writer: Dr.Kasem THipayametrakul
    Dr.Kasem THipayametrakul
  • 3 days ago
  • 5 min read

จากคำชม…สู่คำถามที่ไม่ค่อยมีใครกล้าถาม



ในยุคดนตรีร่วมสมัยที่เต็มไปด้วยความยืดหยุ่นทางสไตล์ มือกลองที่สามารถ “เล่นได้ทุกแนว” มักถูกยกย่องว่าเป็นมืออาชีพที่ครบเครื่อง พร้อมขึ้นเวทีหรือเข้าสตูดิโอได้ทันที ไม่ว่าจะเป็น 𝗣𝗼𝗽, 𝗙𝘂𝗻𝗸, 𝗥𝗼𝗰𝗸, 𝗝𝗮𝘇𝘇, 𝗙𝘂𝘀𝗶𝗼𝗻 หรือแม้แต่ 𝗟𝗮𝘁𝗶𝗻, 𝗠𝗲𝘁𝗮𝗹, 𝗘𝘅𝗽𝗲𝗿𝗶𝗺𝗲𝗻𝘁𝗮𝗹 ความสามารถแบบนี้เรียกได้ว่าเป็น 𝗠𝘂𝗹𝘁𝗶-𝗦𝘁𝘆𝗹𝗶𝘀𝘁𝗶𝗰 𝗖𝗼𝗺𝗽𝗲𝘁𝗲𝗻𝗰𝘆 ซึ่งตลาดงานดนตรีในศตวรรษที่ 𝟮𝟭 ต่างก็ต้องการอย่างมาก



แต่เมื่อเสียงปรบมือจางลง…คำถามที่ไม่ค่อยถูกถามกลับเริ่มดังขึ้นในใจใครหลายคน:



“ถ้าคุณเล่นได้ทุกแนว…แนวของคุณคืออะไร?” หรือในอีกแง่: “คุณเป็นใคร เมื่อไม่มีใครบอกให้คุณตีแบบไหน?”



นักจิตวิทยาดนตรีและผู้วิจัยด้านอัตลักษณ์สร้างคำถามลักษณะนี้ไว้นานแล้ว แต่มันกลับไม่ค่อยถูกนำมาพูดในวงการที่เน้น “ความเก่ง” และ “ความพร้อมใช้งาน” เป็นหลัก ทั้งที่ในความเป็นจริงแล้ว อัตลักษณ์ทางดนตรี (𝗠𝘂𝘀𝗶𝗰𝗮𝗹 𝗜𝗱𝗲𝗻𝘁𝗶𝘁𝘆) คือหัวใจของความยั่งยืนในอาชีพดนตรี โดยเฉพาะในตำแหน่ง “มือกลอง” ซึ่งไม่ใช่แค่ผู้เล่นจังหวะ แต่คือผู้นำพลังงานของทั้งวง



บทความนี้จึงไม่ได้ตั้งใจจะตั้งคำถามเชิงลบ แต่ต้องการชวนคุณ โดยเฉพาะมือกลองที่ทำงานในหลากหลายบทบาท กลับมาฟังเสียงของตัวเองให้ชัดขึ้น ผ่านการวิเคราะห์เชิงจิตวิทยา การเรียนรู้ดนตรีแบบ 𝗶𝗻𝗳𝗼𝗿𝗺𝗮𝗹 และตัวอย่างจากวงการจริง เพื่อเข้าใจว่า



“การไม่มีแนวของตัวเอง” อาจไม่ใช่แค่การยังไม่เจอเสียงของเรา แต่อาจเป็น “กำแพง” ที่ซ่อนอยู่ใต้ความเก่งอย่างเงียบๆ



𝟭. เล่นได้ทุกแนว: ทักษะ หรือกับดักแห่งการไร้อัตลักษณ์?



การฝึกให้เล่นได้หลากหลายแนว ถือเป็น ทักษะเชิงมืออาชีพที่ประเมินค่าไม่ได้ โดยเฉพาะในยุคที่ตลาดดนตรีต้องการ “ความยืดหยุ่น” มากกว่าความเฉพาะทาง มือกลองที่สามารถเปลี่ยนแนวได้ทันที ปรับ 𝗴𝗿𝗼𝗼𝘃𝗲 ได้ตามโจทย์ของศิลปิน หรือตีให้ได้ 𝘀𝗼𝘂𝗻𝗱 แบบที่ 𝗽𝗿𝗼𝗱𝘂𝗰𝗲𝗿 ต้องการภายในไม่กี่เทค คือทรัพยากรที่ทุกวงการดนตรีอยากจ้าง



ความสามารถเช่นนี้คือ “ความพร้อมใช้งาน” สูงสุดในเชิงเทคนิค แต่ในขณะเดียวกัน ความสามารถนั้นเอง อาจกลายเป็น “จุดอ่อนล่องหน” ที่กัดกร่อนอัตลักษณ์ทางดนตรีอย่างช้าๆ โดยเฉพาะหากไม่ได้มีการวางโครงสร้างภายในเพื่อคงความเป็นตัวของตัวเองไว้



  ดนตรีกับการสร้างอัตลักษณ์



งานวิจัยของ 𝗛𝗮𝗿𝗴𝗿𝗲𝗮𝘃𝗲𝘀, 𝗠𝗶𝗲𝗹𝗹 และ 𝗠𝗮𝗰𝗗𝗼𝗻𝗮𝗹𝗱 (𝟮𝟬𝟬𝟮) ใน 𝗠𝘂𝘀𝗶𝗰𝗮𝗹 𝗜𝗱𝗲𝗻𝘁𝗶𝘁𝗶𝗲𝘀 เสนอแนวคิดสำคัญว่า:



“ดนตรีไม่ใช่แค่กิจกรรมสร้างเสียง แต่เป็น ‘เครื่องมือ’ สำหรับสร้างความหมายเกี่ยวกับตัวตนในระดับลึก (𝗠𝘂𝘀𝗶𝗰 𝗮𝘀 𝗶𝗱𝗲𝗻𝘁𝗶𝘁𝘆 𝗰𝗼𝗻𝘀𝘁𝗿𝘂𝗰𝘁𝗶𝗼𝗻)” และยังเสริมว่า: “นักดนตรีที่ไม่มีความชัดเจนใน 𝘀𝗲𝗹𝗳-𝗰𝗼𝗻𝗰𝗲𝗽𝘁 ด้านดนตรี อาจประสบภาวะ 𝗶𝗱𝗲𝗻𝘁𝗶𝘁𝘆 𝗳𝗿𝗮𝗴𝗺𝗲𝗻𝘁𝗮𝘁𝗶𝗼𝗻 เมื่อถึงจุดหนึ่งในอาชีพ”



กล่าวโดยง่ายคือ: การเล่นดนตรีโดยไม่พัฒนา “กรอบความเข้าใจในตัวเอง” ไปพร้อมกัน อาจนำไปสู่ภาวะที่เรียกว่า ตัวตนกระจัดกระจาย (𝗳𝗿𝗮𝗴𝗺𝗲𝗻𝘁𝗲𝗱 𝗶𝗱𝗲𝗻𝘁𝗶𝘁𝘆) คือเก่งในทุกบริบท แต่ไม่มีจุดยืนในตัวเอง



ลองนึกภาพมือกลองที่เล่นได้ทุกแนว เล่นได้เหมือน “ต้นฉบับ” ทุกเพลง แต่พอให้เล่นอะไรที่เป็นอิสระ ไม่มีแนวกำกับ เขากลับ นิ่งงัน ไม่รู้จะตีอย่างไร



นี่ไม่ใช่แค่ความสับสนชั่วคราวในเชิงเทคนิค แต่มันคือ “ช่องว่างของการไม่มีแกนกลางในเสียงของตัวเอง” เขาอาจรู้ทุก 𝗴𝗿𝗼𝗼𝘃𝗲 แต่ไม่รู้ว่า เสียงของตัวเองคืออะไร



  ระหว่าง “กระจก” กับ “แสงสว่าง”



คุณอาจถูกฝึกให้เป็นกระจก สะท้อนทุกสิ่งที่คนอื่นต้องการได้แม่นยำ แต่การสะท้อนซ้ำๆ จนไม่รู้ว่าสิ่งที่สะท้อนออกมาคืออะไร และสะท้อน “ด้วยมุมมองแบบใคร” คืออันตรายทางการเรียนรู้



คุณอาจกลายเป็น “มือกลองที่ตีได้ทุกอย่าง ยกเว้นตีในแบบของตัวเอง”



  ผลที่ตามมาในระยะยาว



การไม่มีแนวของตัวเองจะเริ่มปรากฏผลในช่วงที่คุณ:


  ต้องเลือกว่าจะพัฒนาไปทางไหน


  ต้องสร้างผลงานของตัวเอง


  หรือเมื่อคุณเล่นร่วมกับคนที่ “มีแนวชัด” แล้วคุณรู้สึก “ลอย”



สิ่งที่อันตรายที่สุดจึงไม่ใช่แค่การ ไม่มีแนวทาง แต่คือการ ไม่รู้ตัวเลยว่าตัวเองไม่มีแนวทาง



เมื่อสิ่งที่คุณทำมีแต่การปรับตัวโดยไม่มีจุดยืน คุณจะไม่รู้ด้วยซ้ำว่า “อะไรคือสิ่งที่คุณยึดถือ” ในจังหวะที่คุณปล่อยออกไป แล้วคุณกำลังปล่อยเสียงในแบบที่ใคร “สั่งให้คุณเป็น”? หรือคุณกำลังฟังเสียงในแบบที่คุณ “อยากเป็นจริงๆ”?



อ้างอิง:


๐ 𝗛𝗮𝗿𝗴𝗿𝗲𝗮𝘃𝗲𝘀, 𝗗. 𝗝., 𝗠𝗶𝗲𝗹𝗹, 𝗗., & 𝗠𝗮𝗰𝗗𝗼𝗻𝗮𝗹𝗱, 𝗥. 𝗔. 𝗥. (𝗘𝗱𝘀.). (𝟮𝟬𝟬𝟮). 𝗠𝘂𝘀𝗶𝗰𝗮𝗹 𝗜𝗱𝗲𝗻𝘁𝗶𝘁𝗶𝗲𝘀. 𝗢𝘅𝗳𝗼𝗿𝗱 𝗨𝗻𝗶𝘃𝗲𝗿𝘀𝗶𝘁𝘆 𝗣𝗿𝗲𝘀𝘀.



𝟮. แนวทางดนตรี: ความจำเป็นของการมี “เสียงเฉพาะตัว”



ในโลกยุคปัจจุบันที่ทุกคนสามารถเข้าถึง 𝗴𝗿𝗼𝗼𝘃𝗲, 𝗽𝗮𝘁𝘁𝗲𝗿𝗻 และ 𝘀𝗼𝘂𝗻𝗱 𝘁𝗲𝗺𝗽𝗹𝗮𝘁𝗲 ได้เพียงไม่กี่คลิก แนวทางดนตรีจึงไม่ควรถูกลดทอนให้เหลือเพียง “แนวเพลง” เช่น 𝗝𝗮𝘇𝘇, 𝗥𝗼𝗰𝗸, 𝗙𝘂𝗻𝗸, 𝗥&𝗕 แต่มันควรถูกเข้าใจใหม่ว่าเป็น กรอบความคิด หรือที่อาจเรียกได้ว่า "ภาษาภายใน" ที่เรานำมาใช้สื่อสารความเป็นเรา ผ่านเสียง



แนวทางดนตรี คือ "วิธีที่คุณแปลโลกออกมาเป็นจังหวะ" ไม่ใช่การเลือกเล่นสไตล์ไหน แต่คือการเลือกฟังและเล่าด้วยมุมมองแบบไหน



  แนวทางในฐานะ “กรอบความคิด” ไม่ใช่ “กรอบสไตล์”



𝗝𝗼𝗵𝗻 𝗦𝗹𝗼𝗯𝗼𝗱𝗮 (𝟮𝟬𝟬𝟱) ใน 𝗘𝘅𝗽𝗹𝗼𝗿𝗶𝗻𝗴 𝘁𝗵𝗲 𝗠𝘂𝘀𝗶𝗰𝗮𝗹 𝗠𝗶𝗻𝗱 กล่าวไว้ว่า:



“นักดนตรีมีแนวเฉพาะตัว เมื่อสามารถใช้ภาษาเสียงเป็นเครื่องมือสะท้อนการรับรู้ของตนเอง ไม่ใช่เพียงการตอบสนองต่อสูตรสำเร็จ”



กล่าวคือ: แนวดนตรีไม่ใช่แค่การเล่นในรูปแบบที่ “ถูกต้องตามตำรา” แต่คือการ จัดวางความรู้สึก ความเข้าใจ และการเลือกใช้ 𝘀𝗶𝗹𝗲𝗻𝗰𝗲 อย่างมีเจตนา



  คุณเลือกจะเติมตรงไหน


  คุณเลือกจะหยุดตรงไหน


  คุณเลือกจะปล่อยให้ “ความเงียบพูดแทน” แค่ไหน


และทั้งหมดนี้รวมกัน กลายเป็นสิ่งที่ผู้ฟังสามารถรับรู้ได้ว่า



“นี่คือคุณ” แม้คุณจะยังไม่ได้เซ็นชื่อไว้บนเสียงนั้น



ตัวอย่างจากภาคปฏิบัติ: เสียงที่มี “𝗗𝗡𝗔” ในตัวมันเอง



ลองพิจารณามือกลองระดับโลกอย่าง 𝗦𝘁𝗲𝘃𝗲 𝗚𝗮𝗱𝗱, 𝗕𝗿𝗶𝗮𝗻 𝗕𝗹𝗮𝗱𝗲 และ 𝗝𝗼𝗷𝗼 𝗠𝗮𝘆𝗲𝗿 แม้ทั้งสามจะเล่นได้หลากหลายแนว และบางครั้งเล่นเพลงเดียวกันด้วยซ้ำ แต่เสียงของแต่ละคนกลับ มีลายมือที่ต่างกันอย่างสิ้นเชิง



  𝗦𝘁𝗲𝘃𝗲 𝗚𝗮𝗱𝗱 วาง 𝗴𝗵𝗼𝘀𝘁 𝗻𝗼𝘁𝗲 ด้วยน้ำหนักเบาแบบที่ “แทบไม่มี แต่ขาดไม่ได้”



  𝗕𝗿𝗶𝗮𝗻 𝗕𝗹𝗮𝗱𝗲 ใช้ 𝘀𝗶𝗹𝗲𝗻𝗰𝗲 สร้าง 𝘁𝗲𝗻𝘀𝗶𝗼𝗻 ได้เทียบเท่าการใส่โน้ต



𝗝𝗼𝗷𝗼 𝗠𝗮𝘆𝗲𝗿 สร้างภาษาที่ 𝗵𝘆𝗯𝗿𝗶𝗱 ระหว่าง 𝗮𝗰𝗼𝘂𝘀𝘁𝗶𝗰 กับ 𝗲𝗹𝗲𝗰𝘁𝗿𝗼𝗻𝗶𝗰 แต่ยังคง “สัมผัส” แบบ 𝗷𝗮𝘇𝘇 𝗽𝗹𝗮𝘆𝗲𝗿 ทุก 𝘀𝘁𝗿𝗼𝗸𝗲



เสียงพวกเขาไม่ใช่แค่เทคนิค แต่มันคือ เจตนาในการสื่อสาร และเจตนานั้นไม่สามารถเลียนแบบได้ แม้จะคัดลอก 𝗴𝗿𝗼𝗼𝘃𝗲 ได้ทุกโน้ต



ในงานวิจัยของ 𝗠. 𝗖𝗹𝗮𝘆𝘁𝗼𝗻 และ 𝗥. 𝗟𝗲𝗮𝗻𝘁𝗲 (𝟮𝟬𝟭𝟯) เรื่อง 𝗘𝗺𝗯𝗼𝗱𝗶𝗺𝗲𝗻𝘁 𝗶𝗻 𝗠𝘂𝘀𝗶𝗰 𝗣𝗲𝗿𝗳𝗼𝗿𝗺𝗮𝗻𝗰𝗲 ได้ชี้ว่า



“การรับรู้ของผู้ฟังไม่ได้ขึ้นอยู่กับเนื้อหาโน้ตเท่านั้น แต่ขึ้นอยู่กับ 𝗯𝗼𝗱𝘆 𝗳𝗲𝗲𝗹, 𝗽𝗵𝗿𝗮𝘀𝗶𝗻𝗴, และเจตนาที่ผู้เล่นส่งผ่านเวลาและน้ำหนักของเสียง” กล่าวอีกนัยหนึ่งคือ: 𝗚𝗿𝗼𝗼𝘃𝗲 ไม่ใช่แค่สิ่งที่ ‘ถูกตี’ แต่คือสิ่งที่ ‘ถูกถ่ายทอด’



  แนวทางของตัวเอง คือการ “จัดวางตัวตน” ลงในเสียง



การมีแนวของตัวเองไม่ใช่การปฏิเสธการเรียนรู้สไตล์อื่น แต่คือการ กลั่นกรองสิ่งที่เรียนมา แล้วเรียงร้อยมันด้วยมุมมองของเราเอง เช่น:



  เราอาจฝึก 𝗟𝗮𝘁𝗶𝗻 แต่เลือกจะเอาเฉพาะ 𝗰𝗼𝗻𝗰𝗲𝗽𝘁 ของ 𝗰𝗹𝗮𝘃𝗲 ไปใส่ไว้ใน 𝗻𝗲𝗼-𝘀𝗼𝘂𝗹



  เราอาจตี 𝗳𝘂𝗻𝗸 ได้ 𝘁𝗶𝗴𝗵𝘁 มาก แต่เลือกจะหน่วงมันนิดนึงเพื่อให้มัน “หายใจ” มากขึ้น



  หรือเราอาจเล่น 𝘀𝘁𝗿𝗮𝗶𝗴𝗵𝘁 𝗷𝗮𝘇𝘇 แต่ปรับ 𝗱𝘆𝗻𝗮𝗺𝗶𝗰𝘀 ให้สะท้อน 𝗺𝗼𝗼𝗱 แบบ 𝗮𝗺𝗯𝗶𝗲𝗻𝘁 มากกว่า 𝗯𝗲𝗯𝗼𝗽



เหล่านี้คือการ “คิดในแนวทางของตัวเอง” ไม่ใช่การลอกแนวของคนอื่นแบบสำเนา



  ระหว่าง “เทคนิคที่ละลายเรา” กับ “เทคนิคที่ต่อเติมเรา”



ในช่วงการฝึกเริ่มต้น มือกลองต้องเรียนรู้ 𝗴𝗿𝗼𝗼𝘃𝗲, 𝗿𝘂𝗱𝗶𝗺𝗲𝗻𝘁, 𝗰𝗼𝗻𝘁𝗿𝗼𝗹, 𝘁𝗶𝗺𝗲, 𝗱𝘆𝗻𝗮𝗺𝗶𝗰𝘀 ฯลฯ



แต่คำถามที่สำคัญกว่าคือ: เราฝึกสิ่งเหล่านั้นเพื่อ “กลืนเข้าเป็นของเรา” หรือเพื่อ “กลืนเข้าเป็นของคนอื่น”?



เทคนิคที่ดีควรเสริมพลังให้ตัวตน ไม่ใช่ทำให้เรากลายเป็นแบบเดียวกับทุกคน



บทความโดย 𝗗. 𝗚𝗿𝗲𝗲𝗻𝗯𝗲𝗿𝗴 และ 𝗣. 𝗥𝗲𝗻𝘁𝗳𝗿𝗼𝘄 (𝟮𝟬𝟭𝟱) จาก 𝗦𝗼𝗰𝗶𝗮𝗹 𝗣𝘀𝘆𝗰𝗵𝗼𝗹𝗼𝗴𝗶𝗰𝗮𝗹 𝗮𝗻𝗱 𝗣𝗲𝗿𝘀𝗼𝗻𝗮𝗹𝗶𝘁𝘆 𝗦𝗰𝗶𝗲𝗻𝗰𝗲 ระบุว่า:



“ความสอดคล้องระหว่างบุคลิกภาพของนักดนตรีกับรูปแบบการแสดงออกทางดนตรี ส่งผลโดยตรงต่อความพึงพอใจในระยะยาวและความสามารถในการรักษาแรงบันดาลใจ”



พูดอีกแบบคือ: ถ้าคุณตีแบบที่ “ไม่ใช่คุณ” ไปเรื่อยๆ สุดท้ายคุณจะหมดพลัง และไม่อยากตีอีกเลย



✧ คำถาม:


๐ คุณกำลังฝึกเพื่อ “เป็นเหมือนมือกลองที่คุณชอบ” หรือเพื่อ “สร้างเสียงที่คุณอยากได้ยิน”?



๐ ถ้าต้องอธิบายจังหวะของคุณโดยไม่ใช้ 𝗴𝗲𝗻𝗿𝗲 คุณจะใช้อะไรแทนคำว่า “𝗝𝗮𝘇𝘇”, “𝗙𝘂𝗻𝗸” หรือ “𝗦𝗼𝘂𝗹”?



๐ คุณเคยรู้สึกไหมว่า “เสียงของตัวเองมันเริ่มชัด” หรือยังไม่เคยได้ยินมันเลย?



อ้างอิง:


๐ 𝗦𝗹𝗼𝗯𝗼𝗱𝗮, 𝗝. 𝗔. (𝟮𝟬𝟬𝟱). 𝗘𝘅𝗽𝗹𝗼𝗿𝗶𝗻𝗴 𝘁𝗵𝗲 𝗠𝘂𝘀𝗶𝗰𝗮𝗹 𝗠𝗶𝗻𝗱: 𝗖𝗼𝗴𝗻𝗶𝘁𝗶𝗼𝗻, 𝗘𝗺𝗼𝘁𝗶𝗼𝗻, 𝗔𝗯𝗶𝗹𝗶𝘁𝘆, 𝗙𝘂𝗻𝗰𝘁𝗶𝗼𝗻. 𝗢𝘅𝗳𝗼𝗿𝗱 𝗨𝗻𝗶𝘃𝗲𝗿𝘀𝗶𝘁𝘆 𝗣𝗿𝗲𝘀𝘀.



๐ 𝗖𝗹𝗮𝘆𝘁𝗼𝗻, 𝗠., & 𝗟𝗲𝗮𝗻𝘁𝗲, 𝗟. (𝟮𝟬𝟭𝟯). 𝗘𝗺𝗯𝗼𝗱𝗶𝗺𝗲𝗻𝘁 𝗶𝗻 𝗠𝘂𝘀𝗶𝗰 𝗣𝗲𝗿𝗳𝗼𝗿𝗺𝗮𝗻𝗰𝗲. 𝗜𝗻 𝗠. 𝗖𝗹𝗮𝘆𝘁𝗼𝗻 𝗲𝘁 𝗮𝗹. (𝗘𝗱𝘀.), 𝗧𝗵𝗲 𝗢𝘅𝗳𝗼𝗿𝗱 𝗛𝗮𝗻𝗱𝗯𝗼𝗼𝗸 𝗼𝗳 𝗠𝘂𝘀𝗶𝗰 𝗮𝗻𝗱 𝘁𝗵𝗲 𝗕𝗼𝗱𝘆.



๐ 𝗚𝗿𝗲𝗲𝗻𝗯𝗲𝗿𝗴, 𝗗. 𝗠., & 𝗥𝗲𝗻𝘁𝗳𝗿𝗼𝘄, 𝗣. 𝗝. (𝟮𝟬𝟭𝟱). 𝗧𝗵𝗲 𝗦𝗼𝗻𝗴 𝗜𝘀 𝗬𝗼𝘂: 𝗣𝗿𝗲𝗳𝗲𝗿𝗲𝗻𝗰𝗲 𝗳𝗼𝗿 𝗠𝘂𝘀𝗶𝗰𝗮𝗹 𝗔𝘁𝘁𝗿𝗶𝗯𝘂𝘁𝗲 𝗗𝗶𝗺𝗲𝗻𝘀𝗶𝗼𝗻𝘀 𝗥𝗲𝗳𝗹𝗲𝗰𝘁𝘀 𝗣𝗲𝗿𝘀𝗼𝗻𝗮𝗹𝗶𝘁𝘆. 𝗦𝗼𝗰𝗶𝗮𝗹 𝗣𝘀𝘆𝗰𝗵𝗼𝗹𝗼𝗴𝗶𝗰𝗮𝗹 𝗮𝗻𝗱 𝗣𝗲𝗿𝘀𝗼𝗻𝗮𝗹𝗶𝘁𝘆 𝗦𝗰𝗶𝗲𝗻𝗰𝗲, 𝟲(𝟯), 𝟮𝟴𝟯–𝟮𝟵𝟭.



𝟯. ความต่างระหว่าง “ตีได้” กับ “เข้าใจ”



ระหว่างความแม่น กับความหมาย ระหว่าง 𝗽𝗮𝘁𝘁𝗲𝗿𝗻 กับภูมิหลัง



ในโลกของการฝึกฝนดนตรี เทคนิคคือประตูด่านแรก มันคือสิ่งจำเป็น เพราะถ้าไม่แม่น ก็ยากที่จะฟังใคร ยากที่จะทำงานร่วมกับใคร และยากที่จะเป็นที่วางใจในวงการดนตรี



แต่ในโลกของ “การเป็นนักดนตรี” จริงๆ เทคนิคเป็นเพียงโครงกระดูก สิ่งที่ทำให้ดนตรี “มีชีวิต” คือความเข้าใจ คือเลือดเนื้อที่หล่อเลี้ยง 𝗴𝗿𝗼𝗼𝘃𝗲 ให้ไม่กลายเป็นเพียงการเรียงเสียงให้ตรง 𝗴𝗿𝗶𝗱



  ตีได้เป๊ะ…แต่ไม่เข้าใจว่า “เสียงนั้นพูดถึงอะไร”



ตี 𝗴𝗿𝗼𝗼𝘃𝗲 ได้แม่น…ไม่ได้แปลว่าเข้าใจจิตวิญญาณของ 𝗴𝗿𝗼𝗼𝘃𝗲 นั้น



คุณอาจตี 𝗰𝗹𝗮𝘃𝗲 𝗔𝗳𝗿𝗼-𝗖𝘂𝗯𝗮𝗻 ได้ทุก 𝗵𝗶𝘁 แต่ยังไม่เคยถามตัวเองว่า: ทำไม 𝗿𝗵𝘆𝘁𝗵𝗺 แบบนั้นถึงเกิดขึ้นในพื้นที่ที่เต็มไปด้วยความหลากหลายทางชาติพันธุ์ การผสมผสานทางศาสนา ความรื่นเริงจากพิธีกรรม และบาดแผลจากระบบอาณานิคม?



คุณอาจตี 𝗕𝗼𝘀𝘀𝗮 𝗻𝗼𝘃𝗮 ได้เนียนแบบ 𝗺𝗲𝘁𝗿𝗼𝗻𝗼𝗺𝗲 แต่ไม่เคยฟัง 𝗝𝗼𝗮̃𝗼 𝗚𝗶𝗹𝗯𝗲𝗿𝘁𝗼 อย่างเปิดใจ จนสัมผัสได้ว่าเสียงร้องของเขาหน่วงแค่พอให้ใจคนฟัง “เดินเข้าไประหว่างโน้ต” หน่วงแบบที่มีความกล้า หน่วงแบบที่ยอมรับความไม่สมบูรณ์ หน่วงแบบที่เต็มไปด้วยชีวิต นี่ไม่ใช่แค่เรื่องของการตีผิดหรือถูก แต่มันคือคำถามว่า:



คุณกำลังเล่น 𝗿𝗵𝘆𝘁𝗵𝗺…หรือกำลัง “เข้าใจ” ว่าจังหวะนั้นเกิดมาจากอะไร?



𝗟𝘂𝗰𝘆 𝗚𝗿𝗲𝗲𝗻 (𝟮𝟬𝟬𝟴) ใน 𝗠𝘂𝘀𝗶𝗰, 𝗜𝗻𝗳𝗼𝗿𝗺𝗮𝗹 𝗟𝗲𝗮𝗿𝗻𝗶𝗻𝗴 𝗮𝗻𝗱 𝘁𝗵𝗲 𝗦𝗰𝗵𝗼𝗼𝗹 กล่าวไว้ชัดเจนว่า:



“กระบวนการเรียนรู้ดนตรีผ่านการมีปฏิสัมพันธ์กับผู้คน วัฒนธรรม และสถานการณ์จริง มีอิทธิพลต่ออัตลักษณ์ทางดนตรีของนักเรียนมากกว่าการเรียนผ่านโน้ตหรือการท่องจำในห้องเรียนหลายเท่า”



กล่าวคือ: ความเข้าใจทางดนตรีไม่ได้เกิดจากการเรียนสูตรอย่างเดียว แต่มาจากการได้ “อยู่กับ” ดนตรีนั้น อยู่กับวิธีคิด อยู่กับสถานที่ อยู่กับภาษา อยู่กับการเคลื่อนไหวของคนที่เติบโตมากับ 𝗿𝗵𝘆𝘁𝗵𝗺 เหล่านั้น



  “ชีวิต” ที่อยู่ระหว่างโน้ต



ลองสังเกตเสียงของนักร้องบราซิล จะพบว่าเสียงร้องไม่ได้เข้า 𝗴𝗿𝗶𝗱 แบบ 𝗽𝗿𝗲𝗰𝗶𝘀𝗲 แต่กลับ “คล้อง” กับจังหวะของลมหายใจในชีวิตจริง



มือกลองที่เข้าใจสิ่งนี้จะไม่ตี 𝗯𝗼𝘀𝘀𝗮 แบบกลไก แต่จะตีด้วย 𝘀𝗽𝗮𝗰𝗲 ที่พอเหมาะ ให้ “เสียงร้องได้หายใจในช่องว่างนั้น”



นี่คือความเข้าใจที่ซ่อนอยู่ในความเบาของ 𝗯𝗿𝘂𝘀𝗵 ที่ลาก ในไดนามิกที่ต่ำกว่าที่ตำราแนะนำ ในการหน่วงเสียงเพียงครึ่งคีย์ เพื่อให้ 𝗿𝗵𝘆𝘁𝗵𝗺 มัน “ขาด” อย่างตั้งใจ



สิ่งเหล่านี้ ไม่มีในโน้ต แต่มีในชีวิต และเป็นสิ่งที่ทำให้ 𝗿𝗵𝘆𝘁𝗵𝗺 มีความหมายมากกว่าแค่ “แม่นยำ”



  การเข้าใจคือการรู้ว่า “สิ่งนี้พูดอะไร และพูดกับใคร”



บทความโดย 𝗕𝗲𝗿𝗹𝗶𝗻𝗲𝗿 (𝟭𝟵𝟵𝟰) ใน 𝗧𝗵𝗶𝗻𝗸𝗶𝗻𝗴 𝗶𝗻 𝗝𝗮𝘇𝘇: 𝗧𝗵𝗲 𝗜𝗻𝗳𝗶𝗻𝗶𝘁𝗲 𝗔𝗿𝘁 𝗼𝗳 𝗜𝗺𝗽𝗿𝗼𝘃𝗶𝘀𝗮𝘁𝗶𝗼𝗻 กล่าวว่า:



“นักดนตรีที่ดีคือคนที่เข้าใจว่าการเล่นทุกครั้งคือการสื่อสารที่มีเนื้อหา มีอารมณ์ และมีเจตนา ไม่ใช่แค่การเรียงลำดับเสียงให้ถูกต้อง”



นั่นหมายความว่า หากคุณเล่น 𝗴𝗿𝗼𝗼𝘃𝗲 โดยไม่รู้ว่ามันมาจากอะไร หรือสร้างมาเพื่อพูดอะไร คุณอาจตีถูกทุกโน้ต…แต่ไม่ได้พูดอะไรเลยจริงๆ



คุณกำลังใช้ภาษาโดยไม่รู้ว่าแต่ละคำมันแปลว่าอะไร เหมือนนักแสดงที่จำบทได้ทุกคำ แต่ไม่รู้ว่าฉากนั้นตัวละครรู้สึกอะไรอยู่



✧ คำถามสำคัญที่ต้องย้อนถามตัวเอง:



๐ คุณตี 𝗽𝗮𝘁𝘁𝗲𝗿𝗻 ได้...หรือคุณเข้าใจว่า 𝗽𝗮𝘁𝘁𝗲𝗿𝗻 นั้น เกิดจากอะไร และพูดอะไรอยู่?



๐ ถ้า 𝗴𝗿𝗼𝗼𝘃𝗲 คือบทสนทนา — คุณกำลัง พูดภาษานั้น หรือแค่ ท่องบทพูดที่ไม่ได้แปลความหมาย?



๐ คุณเคยฟังแนวดนตรีที่คุณเล่น แล้วถามว่า "คนในวัฒนธรรมนั้นใช้ 𝗿𝗵𝘆𝘁𝗵𝗺 นี้ทำอะไรในชีวิตจริง?" หรือยัง?



อ้างอิง:


๐ 𝗚𝗿𝗲𝗲𝗻, 𝗟. (𝟮𝟬𝟬𝟴). 𝗠𝘂𝘀𝗶𝗰, 𝗜𝗻𝗳𝗼𝗿𝗺𝗮𝗹 𝗟𝗲𝗮𝗿𝗻𝗶𝗻𝗴 𝗮𝗻𝗱 𝘁𝗵𝗲 𝗦𝗰𝗵𝗼𝗼𝗹: 𝗔 𝗡𝗲𝘄 𝗖𝗹𝗮𝘀𝘀𝗿𝗼𝗼𝗺 𝗣𝗲𝗱𝗮𝗴𝗼𝗴𝘆. 𝗔𝘀𝗵𝗴𝗮𝘁𝗲 𝗣𝘂𝗯𝗹𝗶𝘀𝗵𝗶𝗻𝗴.



๐ 𝗕𝗲𝗿𝗹𝗶𝗻𝗲𝗿, 𝗣. (𝟭𝟵𝟵𝟰). 𝗧𝗵𝗶𝗻𝗸𝗶𝗻𝗴 𝗶𝗻 𝗝𝗮𝘇𝘇: 𝗧𝗵𝗲 𝗜𝗻𝗳𝗶𝗻𝗶𝘁𝗲 𝗔𝗿𝘁 𝗼𝗳 𝗜𝗺𝗽𝗿𝗼𝘃𝗶𝘀𝗮𝘁𝗶𝗼𝗻. 𝗨𝗻𝗶𝘃𝗲𝗿𝘀𝗶𝘁𝘆 𝗼𝗳 𝗖𝗵𝗶𝗰𝗮𝗴𝗼 𝗣𝗿𝗲𝘀𝘀.



𝟰. ไม่มีแนวของตัวเอง = ไม่มีบทสนทนาในวง



เมื่อความเงียบไม่ได้สื่อสาร และความแม่นไม่ได้สร้างความหมาย



ในโลกของดนตรีที่ดี การเล่นร่วมกันไม่ใช่แค่การ “เล่นพร้อมกัน” แต่มันคือกระบวนการที่ละเอียดอ่อนของ การฟัง การสื่อสาร และการมีส่วนร่วมกับอารมณ์ของคนอื่นแบบไม่ต้องใช้คำพูด



มือกลองมักถูกเข้าใจว่าเป็น “คนคุมจังหวะ” คนที่ทำหน้าที่เป็น 𝗺𝗲𝘁𝗿𝗼𝗻𝗼𝗺𝗲 มีชีวิต แต่หากมองให้ลึกลงไป จะพบว่ามือกลองเป็นเหมือน ผู้กำกับน้ำเสียงของบทสนทนา ทั้งหมดในวง



จังหวะแบบไหนจะทำให้เครื่องดนตรีอื่น “พูดได้เต็มที่”?


จังหวะเงียบตรงไหนที่ทำให้ทั้งวง “ฟัง” กันมากขึ้น?



และคำถามที่สำคัญคือ: ถ้าคุณไม่มีแนวของตัวเอง คุณกำลังตั้งใจฟัง หรือแค่ “อยู่เฉยๆ ไปวันๆ” ใต้เสียงของคนอื่น?



  บทสนทนาที่ไร้เสียงพูด ต้องการ “ตัวตนของคนฟัง”



ดนตรีร่วมวงไม่ใช่การรวมทักษะ แต่เป็นการรวมวิธีฟัง



𝗞𝗲𝗶𝘁𝗵 𝗦𝗮𝘄𝘆𝗲𝗿 (𝟮𝟬𝟬𝟳) กล่าวใน 𝗚𝗿𝗼𝘂𝗽 𝗖𝗿𝗲𝗮𝘁𝗶𝘃𝗶𝘁𝘆: 𝗠𝘂𝘀𝗶𝗰, 𝗧𝗵𝗲𝗮𝘁𝗲𝗿, 𝗖𝗼𝗹𝗹𝗮𝗯𝗼𝗿𝗮𝘁𝗶𝗼𝗻 ว่า:



“ความคิดสร้างสรรค์ในการทำงานร่วมกันเกิดขึ้นจากการที่แต่ละคนมี 𝗰𝗿𝗲𝗮𝘁𝗶𝘃𝗲 𝗶𝗱𝗲𝗻𝘁𝗶𝘁𝘆 ที่ชัดเจน แล้วนำสิ่งนั้นเข้าสู่บทสนทนา โดยไม่กลืนกัน แต่เกื้อกัน”



กล่าวคือ วงที่ดีไม่ใช่วงที่ทุกคนเล่นเหมือนกัน แต่วงที่ทุกคน “ต่างกันอย่างเข้าใจ”



ต่างในเสียง แต่เหมือนกันในเป้าหมาย ต่างในมุมมอง แต่พร้อมฟังสิ่งที่อีกฝ่ายเสนอ



ถ้าคุณไม่มีแนวของตัวเอง คุณอาจเล่นได้ทุกแบบ…แต่ไม่มีอะไรที่ “เป็นของคุณจริงๆ” เหมือนคนที่ตอบได้ทุกคำถาม แต่ ไม่เคยตั้งคำถามที่น่าสนใจเลยสักครั้ง



  การมีแนวเฉพาะตัวคือการ “ตั้งคำถามผ่านเสียง”



มือกลองอย่าง 𝗤𝘂𝗲𝘀𝘁𝗹𝗼𝘃𝗲 หรือ 𝗡𝗮𝘁𝗲 𝗦𝗺𝗶𝘁𝗵 ไม่ได้โดดเด่นเพราะความเร็วหรือความซับซ้อน แต่เพราะทุกโน้ตที่เขาเล่น คือประโยคที่มี “น้ำเสียงเฉพาะตัว” และสิ่งที่พิเศษคือ เสียงของเขา ไม่ใช่แค่ตอบสนองเพลง แต่กระตุ้นให้เกิดการตอบกลับ



  ความราบรื่น ≠ ความลึก



ในบางกรณี วงที่ทุกคนคิดเหมือนกัน ตอบเหมือนกัน เล่นเหมือนกัน อาจดูราบรื่น แต่ “ไม่น่าจดจำ”



วงแบบนั้นเหมือนการประชุมที่ทุกคนพยักหน้าให้กัน โดยไม่มีใครเสนออะไรใหม่ ไม่มีคนตั้งคำถาม ไม่มีเสียงที่สร้าง 𝘁𝗲𝗻𝘀𝗶𝗼𝗻 ไม่มีพลังเปลี่ยนแปลง



แต่วงที่มีเสียงเฉพาะตัวของแต่ละคน จะเต็มไปด้วย 𝗺𝗼𝗺𝗲𝗻𝘁 เล็กๆ ที่ “เกิดขึ้นจริง” มีการหยุดรอฟัง มีการโต้ตอบ มีการ 𝘀𝘂𝗿𝗽𝗿𝗶𝘀𝗲 ที่เกิดจากความกล้าที่จะแตกต่าง และทั้งหมดนั้นเริ่มจาก “การมีแนวของตัวเอง”



  ความเงียบก็เป็นบทสนทนา ถ้ามีเจตนา



ในบทสนทนาดนตรี ความเงียบไม่ใช่สิ่งที่ขาดหาย แต่คือ "พื้นที่เปิดสำหรับคนอื่น"



มือกลองที่เข้าใจสิ่งนี้จะรู้ว่า บางครั้ง การไม่ตี คือการ “เชิญชวน” ให้อีกคนพูด และบางครั้งการตีเพียงเบาๆ หนึ่ง 𝗵𝗶𝘁 คือการ “แสดงการฟัง” อย่างลึกซึ้ง



บทความของ 𝗦𝘁𝗲𝘃𝗲𝗻 𝗙𝗲𝗹𝗱 (𝟭𝟵𝟵𝟰) ใน 𝗦𝗼𝘂𝗻𝗱 𝗦𝘁𝗿𝘂𝗰𝘁𝘂𝗿𝗲 𝗮𝘀 𝗦𝗼𝗰𝗶𝗮𝗹 𝗦𝘁𝗿𝘂𝗰𝘁𝘂𝗿𝗲 กล่าวว่า:



“ความหมายในดนตรีไม่ได้อยู่ในโน้ต แต่อยู่ในความสัมพันธ์ของเสียงทั้งหมด และ ‘𝘀𝗶𝗹𝗲𝗻𝗰𝗲’ มีบทบาทเท่ากับเสียง เพราะมันคือรูปแบบของเจตนาทางสังคม”



แปลว่า: ถ้าเสียงของคุณไม่มีเจตนา คนอื่นก็อาจไม่ฟัง และถ้า 𝘀𝗶𝗹𝗲𝗻𝗰𝗲 ของคุณไม่มีน้ำหนัก คนอื่นก็จะไม่รู้ว่าคุณยังอยู่ตรงนั้น



✧ คำถามชวนคิด:


๐ ถ้าคุณหยุดตีไปเฉยๆ…คนในวงจะสังเกตไหม?


๐ ถ้าไม่มีใครสังเกต แปลว่าเสียงของคุณยังไม่ “พูด” อะไรเลยหรือเปล่า?



เพราะในบทสนทนาดนตรี สิ่งที่สำคัญไม่ใช่แค่ “ความแม่น” แต่คือ การมีตัวตน ในทุกสิ่งที่คุณพูด แม้กระทั่งในความเงียบ



อ้างอิง:


๐ 𝗦𝗮𝘄𝘆𝗲𝗿, 𝗥. 𝗞. (𝟮𝟬𝟬𝟳). 𝗚𝗿𝗼𝘂𝗽 𝗖𝗿𝗲𝗮𝘁𝗶𝘃𝗶𝘁𝘆: 𝗠𝘂𝘀𝗶𝗰, 𝗧𝗵𝗲𝗮𝘁𝗲𝗿, 𝗖𝗼𝗹𝗹𝗮𝗯𝗼𝗿𝗮𝘁𝗶𝗼𝗻. 𝗣𝘀𝘆𝗰𝗵𝗼𝗹𝗼𝗴𝘆 𝗣𝗿𝗲𝘀𝘀.



๐ 𝗙𝗲𝗹𝗱, 𝗦. (𝟭𝟵𝟵𝟰). 𝗦𝗼𝘂𝗻𝗱 𝗦𝘁𝗿𝘂𝗰𝘁𝘂𝗿𝗲 𝗮𝘀 𝗦𝗼𝗰𝗶𝗮𝗹 𝗦𝘁𝗿𝘂𝗰𝘁𝘂𝗿𝗲. 𝗘𝘁𝗵𝗻𝗼𝗺𝘂𝘀𝗶𝗰𝗼𝗹𝗼𝗴𝘆, 𝟮𝟴(𝟯), 𝟯𝟴𝟯–𝟰𝟬𝟵.



𝟱. แนวของคุณคือสิ่งที่คนจำได้…เมื่อคุณไม่ได้อยู่ตรงนั้น



เพราะเสียงอาจดับลง แต่ตัวตนยังสะเทือนอยู่ในใจ



เสียงกลองของคุณอาจจางหายทันทีที่โชว์จบ


เสียงไม้กระทบ 𝘀𝗻𝗮𝗿𝗲 อาจไม่มีใครจำได้แบบแม่นเป๊ะ



แต่ “ความรู้สึก” ที่คนฟังได้รับ ถ้ามันมีความเฉพาะเจาะจงพอ มันจะยังสะเทือนในความทรงจำของเขาแม้คุณไม่ได้อยู่ตรงนั้นอีกแล้ว



และนั่นคือสิ่งที่เรียกว่า “แนวของคุณ”



  แนวของคุณคือร่องรอย ไม่ใช่สิ่งที่คุณประกาศ



อัตลักษณ์ทางดนตรี ไม่ใช่สิ่งที่คุณพยายามจะเป็นตอนที่คุณเล่น แต่มันคือสิ่งที่ “ยังอยู่” หลังจากคุณหยุดเล่นแล้ว



เหมือนที่คนเรามักจำ “น้ำเสียงของใครบางคน” ได้โดยไม่ต้องเห็นหน้า



แนวของคุณ คือ “น้ำเสียงแบบนั้น” ที่ติดอยู่ในใจ ที่ทำให้ใครสักคนพูดว่า: “เขาตีธรรมดามากเลยนะ แต่ทำไมรู้สึกว่าไม่มีใครแทนเขาได้เลย?”



งานวิจัยโดย 𝗦𝗻𝘆𝗱𝗲𝗿 (𝟮𝟬𝟬𝟬) ใน 𝗠𝘂𝘀𝗶𝗰 𝗮𝗻𝗱 𝗠𝗲𝗺𝗼𝗿𝘆 อธิบายว่า:



“มนุษย์จำดนตรีไม่ได้จากโน้ต แต่จำจาก 𝘁𝗲𝘅𝘁𝘂𝗿𝗲, 𝗽𝗮𝘁𝘁𝗲𝗿𝗻, 𝗱𝘆𝗻𝗮𝗺𝗶𝗰 และความประหลาดใจทางอารมณ์ที่เกิดขึ้นระหว่างทาง”



ซึ่งหมายความว่า: สิ่งที่ผู้ฟังจดจำคือ บุคลิกของเสียง ไม่ใช่ข้อมูลของเสียง



  แนวทางเฉพาะตัว คือผลรวมของ “ความเป็นคุณ”



การมีแนวทางดนตรีที่ชัดเจน ไม่ได้เกิดจากการ “สร้าง” ขึ้นมาแบบทันที แต่มันเป็นผลรวมจากสิ่งที่คุณสะสมโดยไม่รู้ตัว เช่น:



  สิ่งที่คุณเลือกฟัง เพราะการฟังคือวิธีเลือกมองโลก คุณฟังใครบ้าง? คุณชอบความเรียบง่ายหรือซับซ้อน?


วิธีที่คุณจัดการเวลา คุณตีเร็วหรือช้า? หน่วงเล็กน้อยหรือแม่นแบบ 𝗰𝗹𝗼𝗰𝗸? คุณปรับตัวตามคนอื่นไหม? หรือคุณเป็นคนกำหนด 𝗳𝗹𝗼𝘄 เอง?



  วิธีที่คุณปล่อยน้ำหนัก คุณตีหนักทุกโน้ต? หรือคุณปล่อยไดนามิกให้ลื่นเหมือนการพูดแบบสุภาพ?



  ความกล้าที่จะ “ไม่ตี” คุณปล่อยช่องว่างให้เครื่องอื่นบ้างไหม? คุณกล้าหยุดไหมเมื่อเสียงมัน “พอแล้ว”?



และเหนือสิ่งอื่นใด: คุณกล้าที่จะ “ไม่เป็นเหมือนใคร” ไหม?



  ความกล้าที่จะฟัง “เสียงของตัวเอง” แล้วบอกว่า: มันใช่



ในโลกที่เต็มไปด้วยแบบฝึกหัด คอร์สออนไลน์ เทคนิคใหม่ๆ ทุกวัน สิ่งที่หายากที่สุดอาจไม่ใช่เทคนิค…แต่คือ “การยืนหยัดกับเสียงของตัวเอง”



เพราะแนวของคุณ ไม่ต้องแปลก ไม่ต้องเล่น 𝗼𝗱𝗱 𝘁𝗶𝗺𝗲 ไม่ต้องตี 𝗴𝗵𝗼𝘀𝘁 𝗻𝗼𝘁𝗲 ซับซ้อนทุกบาร์



แต่แนวของคุณควรจะทำให้คนฟังรู้สึกว่า



“อืม…แบบนี้แหละ คือเขา” “ถ้าคนนี้ไม่อยู่ เสียงมันจะขาดอะไรบางอย่างทันทีเลยนะ”



และการจะไปถึงจุดนั้นได้ ไม่ได้ขึ้นอยู่กับอายุ หรือระดับฝีมือ แต่ขึ้นอยู่กับการกล้าฟังเสียงของตัวเองอย่างซื่อสัตย์ และกล้าปล่อยเสียงนั้นออกมาในทุกเวที



✧ คำถาม:


๐ ถ้าคุณออกจากวงที่เล่นอยู่ เสียงกลองจะเปลี่ยนไปไหม?



๐ วันนี้คุณฟังตัวเองมากพอที่จะรู้หรือยังว่า…“อะไรคือสิ่งที่ไม่มีใครแทนคุณได้”?



เพราะสุดท้ายแล้ว ความยากที่สุดในชีวิตดนตรี ไม่ใช่การเล่นให้เก่ง แต่คือการกล้าตอบว่า: “เสียงนี้…เป็นของฉัน”



อ้างอิง:


๐ 𝗦𝗻𝘆𝗱𝗲𝗿, 𝗕. (𝟮𝟬𝟬𝟬). 𝗠𝘂𝘀𝗶𝗰 𝗮𝗻𝗱 𝗠𝗲𝗺𝗼𝗿𝘆: 𝗔𝗻 𝗜𝗻𝘁𝗿𝗼𝗱𝘂𝗰𝘁𝗶𝗼𝗻. 𝗠𝗜𝗧 𝗣𝗿𝗲𝘀𝘀.



#บทสรุป: แนวของตัวเอง ไม่มีทางลัด มีแต่ “ทางเข้าใจ”



การเล่นได้ทุกแนวคือ ‘ความสามารถ’. แต่นั่นเป็นเพียงสิ่งที่ “โลกภายนอกมองเห็น”



แต่การมีแนวของตัวเอง คือสิ่งที่ มาจากภายใน และต้องการมากกว่าความเก่ง มันต้องการ “ความกล้า”



กล้าที่จะฟังเสียงของตัวเอง กล้าที่จะซื่อสัตย์กับสิ่งที่เรารู้สึก และกล้าที่จะ “ไม่เหมือน” ในโลกที่เราถูกสอนให้เหมือนกัน



เส้นทางนี้ไม่มี 𝘀𝗵𝗼𝗿𝘁𝗰𝘂𝘁 เพราะมันไม่ใช่เรื่อง “ทำให้ดีขึ้น” แต่คือ “รู้ตัวให้ชัดขึ้น”



คุณไม่สามารถฝึกให้มีแนวของตัวเองได้ในเวลา 𝟯 เดือน คุณไม่สามารถคัดลอก 𝘀𝗶𝗴𝗻𝗮𝘁𝘂𝗿𝗲 𝗴𝗿𝗼𝗼𝘃𝗲 ของคนอื่นแล้วกลายเป็น “คุณ” ได้



เพราะ “แนวของคุณ” ไม่ได้เกิดจาก “การฝึกให้เหมือน” แต่มันเกิดจาก “การฟังให้รู้ว่าคุณไม่เหมือนใครตั้งแต่ต้น”



แนวของตัวเองเกิดขึ้นเมื่อคุณเริ่มตีเพื่อพูดสิ่งที่รู้สึกจริงๆ ไม่ใช่แค่ตีให้ “ตรงกับสิ่งที่คนสั่ง” แต่ยังคงรับฟังผู้อื่น. ยังคงอยู่ร่วมในบทสนทนา โดยไม่สูญเสียเจตนาของตัวเอง



ในโลกที่ทุกอย่างกำลังเบลอ…ความชัดของคุณ คือสิ่งเดียวที่คนอาจจำได้



ในยุคที่ 𝗴𝗲𝗻𝗿𝗲 เริ่มหลอมรวมกันจนแยกไม่ออกว่าอะไรคือ 𝗝𝗮𝘇𝘇, 𝗦𝗼𝘂𝗹, 𝗡𝗲𝗼-𝗙𝘂𝗻𝗸 หรือ 𝗘𝗹𝗲𝗰𝘁𝗿𝗼𝗻𝗶𝗰



สิ่งที่คนฟัง “จำ” ไม่ใช่ชื่อแนวเพลง แต่คือ “อารมณ์”



คือ “ความรู้สึกที่เสียงนั้นสื่อ” คือ “ลายเซ็นที่ไม่ได้มาจากลายมือ แต่จากลมหายใจและความกล้าสะท้อนตัวเองออกมา”



อย่าหยุดที่การเป็น “นักดนตรีที่ตอบสนองเก่ง”



แต่ลองถามตัวเองว่า...คุณได้ “ชวนใครสนทนา” ผ่านจังหวะของคุณแล้วหรือยัง?



เพราะการเป็นมือกลองที่ดี ไม่ได้แปลว่าคุณเล่นได้ทุกอย่าง



แต่แปลว่า: คุณ สื่อสารสิ่งที่คุณเชื่อ ได้อย่างชัดเจน แม้ในจังหวะที่เบาที่สุด



แปลว่า: คุณ “ฟังคนอื่นได้ลึก” โดยไม่ยอมให้เสียงของตัวเองหายไป



แปลว่า: แม้คุณจะเงียบ คนอื่นก็ยัง “ได้ยิน” ว่าคุณอยู่ตรงนั้น



✧ คำถามชวนกลับมาฟังตัวเอง:


๐ ถ้าวันนี้มีคอนเสิร์ตที่ ไม่มี 𝗴𝗲𝗻𝗿𝗲 ระบุเลย คุณจะตีแบบไหน? เพราะอะไร?



๐ ถ้าให้คนในวงหรือคนดู อธิบายเสียงกลองของคุณใน 𝟯 คำ เขาจะพูดว่าอะไร?



๐ อะไรคือ 𝟭 สิ่งที่คุณจะไม่เปลี่ยน ไม่ว่าเพลงจะเป็นแนวไหน?



เสียงของคุณ…อาจไม่ใช่เสียงที่ดังที่สุด แต่อาจเป็นเสียงเดียวที่ยัง “สะท้อนอยู่”



หลังจากทุกอย่างเงียบไปแล้ว ไม่ใช่เพราะมันดีที่สุด ไม่ใช่เพราะมันซับซ้อนที่สุด แต่เพราะมัน ซื่อตรงที่สุด  

 
 
 

Comentarios


bottom of page