top of page

ประวัติศาสตร์และวิวัฒนาการของกลอง 𝗧𝗶𝗺𝗽𝗮𝗻𝗶 🥁🥁🥁


กลอง 𝗧𝗶𝗺𝗽𝗮𝗻𝗶 หรือที่บางครั้งเรียกว่า 𝗞𝗲𝘁𝘁𝗹𝗲𝗱𝗿𝘂𝗺 ถือเป็นหนึ่งในเครื่องดนตรีประเภทเพอร์คัชชันที่มีความสำคัญมากในวงดนตรีคลาสสิกและการแสดงที่มีองค์ประกอบทางดนตรีที่เข้มข้นตั้งแต่สมัยโบราณจนถึงปัจจุบัน กลองชนิดนี้มีประวัติศาสตร์อันยาวนานและได้รับการพัฒนาอย่างต่อเนื่องตลอดหลายร้อยปีที่ผ่านมา



  ต้นกำเนิดและการพัฒนาของกลอง 𝗧𝗶𝗺𝗽𝗮𝗻𝗶 (𝗔𝗻𝗰𝗶𝗲𝗻𝘁 𝘁𝗼 𝗠𝗶𝗱𝗱𝗹𝗲 𝗔𝗴𝗲𝘀)



𝟭.𝟭 ยุคโบราณ (𝗔𝗻𝗰𝗶𝗲𝗻𝘁 𝗘𝗿𝗮)



กลองที่มีลักษณะคล้ายกับ 𝗧𝗶𝗺𝗽𝗮𝗻𝗶 สามารถพบได้ในหลายอารยธรรมโบราณ โดยเฉพาะในอียิปต์และกรีซ ซึ่งใช้ในการประกอบพิธีกรรมทางศาสนา และเป็นส่วนหนึ่งของการแสดงทางทหาร เช่น การใช้กลองในสงครามหรือการประกอบพิธีในศาสนากรีกและโรมัน ซึ่งมักจะทำจากวัสดุที่หาได้ง่าย เช่น ไม้และหนังสัตว์



𝟭.𝟮 ยุคกลาง (𝗠𝗲𝗱𝗶𝗲𝘃𝗮𝗹 𝗘𝗿𝗮)



ในยุคกลาง (ประมาณปี 𝟱𝟬𝟬-𝟭𝟱𝟬𝟬) การใช้กลองในยุโรปเริ่มมีความสำคัญในด้านพิธีกรรมและทหาร แต่ยังไม่ได้ใช้ในการแสดงดนตรีเชิงคลาสสิค กลองที่ใช้ในยุคนี้มักเป็นกลองขนาดใหญ่ที่ต้องใช้มือในการตี กลองที่ใช้ในยุคนี้มีรูปร่างคล้ายกับกลองที่พบในวัฒนธรรมอิสลามและตะวันออกกลาง



  การพัฒนาในยุคบาโรก (𝗕𝗮𝗿𝗼𝗾𝘂𝗲 𝗘𝗿𝗮)



𝟮.𝟭 การพัฒนาในศตวรรษที่ 𝟭𝟳



ในช่วงศตวรรษที่ 𝟭𝟳 (𝟭𝟲𝟬𝟬–𝟭𝟳𝟬𝟬) กลอง 𝗧𝗶𝗺𝗽𝗮𝗻𝗶 เริ่มมีการพัฒนาทางด้านเสียงและโครงสร้างให้มีความหลากหลายมากขึ้น นักประพันธ์ชาวเยอรมัน เช่น จอห์น เซบาสเตียน บาค เริ่มใช้กลอง 𝗧𝗶𝗺𝗽𝗮𝗻𝗶 ในงานซิมโฟนีเพื่อเพิ่มความยิ่งใหญ่และความกระชับให้กับการแสดง โดยการใช้กลอง 𝗧𝗶𝗺𝗽𝗮𝗻𝗶 ในงานดนตรีดังกล่าวช่วยเพิ่มอารมณ์และการเคลื่อนไหวให้กับดนตรี



𝟮.𝟮 การพัฒนาเทคนิคการเล่น



ในยุคนี้, นักดนตรีเริ่มใช้เทคนิคที่ทำให้กลอง 𝗧𝗶𝗺𝗽𝗮𝗻𝗶 สามารถเปลี่ยนเสียงได้ตามต้องการ โดยเริ่มมีการใช้ผ้าหนังหรือวัสดุอื่น ๆ เพื่อปรับเสียงให้เหมาะสมขึ้น ซึ่งเป็นการพัฒนาอย่างต่อเนื่องจนสามารถสร้างเสียงที่มีความหลากหลายและความละเอียดอ่อนมากขึ้น



  ตัวอย่างบทเพลงสำคัญ



 𝟭. "𝗠𝗮𝗴𝗻𝗶𝗳𝗶𝗰𝗮𝘁" 𝗕𝗪𝗩 𝟮𝟰𝟯 โดย 𝗝𝗼𝗵𝗮𝗻𝗻 𝗦𝗲𝗯𝗮𝘀𝘁𝗶𝗮𝗻 𝗕𝗮𝗰𝗵



ในบทเพลงนี้ กลอง 𝗧𝗶𝗺𝗽𝗮𝗻𝗶 มีบทบาทในการเน้นจังหวะที่สำคัญในช่วงท้ายของแต่ละท่อน ช่วยเพิ่มความกระชับและความยิ่งใหญ่ให้กับงานดนตรีที่มีลักษณะเฉลิมฉลอง



 𝟮. "𝗖𝗵𝗿𝗶𝘀𝘁𝗺𝗮𝘀 𝗢𝗿𝗮𝘁𝗼𝗿𝗶𝗼" 𝗕𝗪𝗩 𝟮𝟰𝟴 โดย 𝗝𝗼𝗵𝗮𝗻𝗻 𝗦𝗲𝗯𝗮𝘀𝘁𝗶𝗮𝗻 𝗕𝗮𝗰𝗵



  กลอง 𝗧𝗶𝗺𝗽𝗮𝗻𝗶 ถูกใช้ในการสร้างความเร้าใจในท่อนเปิดตัวและการเน้นจังหวะในช่วงที่มีการร้องเพลงประสานเสียง (𝗰𝗵𝗼𝗿𝗮𝗹)



 𝟯. "𝗧𝗲 𝗗𝗲𝘂𝗺" โดย 𝗠𝗮𝗿𝗰-𝗔𝗻𝘁𝗼𝗶𝗻𝗲 𝗖𝗵𝗮𝗿𝗽𝗲𝗻𝘁𝗶𝗲𝗿



  งานนี้ใช้กลอง 𝗧𝗶𝗺𝗽𝗮𝗻𝗶 ในการเปิดตัวเพลงและในส่วนคอรัส (𝗰𝗵𝗼𝗿𝘂𝘀) ที่มีลักษณะเสียงกังวานและทรงพลัง



𝟰 "𝗠𝘂𝘀𝗶𝗰 𝗳𝗼𝗿 𝘁𝗵𝗲 𝗥𝗼𝘆𝗮𝗹 𝗙𝗶𝗿𝗲𝘄𝗼𝗿𝗸𝘀" โดย 𝗚𝗲𝗼𝗿𝗴𝗲 𝗙𝗿𝗶𝗱𝗲𝗿𝗶𝗰 𝗛𝗮𝗻𝗱𝗲𝗹 (แม้เป็นงานในช่วงต้นศตวรรษที่ 𝟭𝟴 แต่ยังได้รับอิทธิพลจากแนวทางการใช้ 𝗧𝗶𝗺𝗽𝗮𝗻𝗶 ในศตวรรษที่ 𝟭𝟳)



  กลอง 𝗧𝗶𝗺𝗽𝗮𝗻𝗶 ถูกใช้ในการเน้นเสียงที่หนักแน่นในงานเฉลิมฉลองราชพิธี



  การพัฒนาในยุคคลาสสิกและยุคโรแมนติก (𝗖𝗹𝗮𝘀𝘀𝗶𝗰𝗮𝗹 𝘁𝗼 𝗥𝗼𝗺𝗮𝗻𝘁𝗶𝗰 𝗘𝗿𝗮)



𝟯.𝟭 ยุคคลาสสิก (𝗖𝗹𝗮𝘀𝘀𝗶𝗰𝗮𝗹 𝗘𝗿𝗮)



ในยุคคลาสสิก (𝟭𝟳𝟱𝟬-𝟭𝟴𝟮𝟬) กลอง 𝗧𝗶𝗺𝗽𝗮𝗻𝗶 เริ่มมีบทบาทในวงดนตรีออร์เคสตรามากขึ้น นักแต่งเพลงชั้นนำเช่น โวล์ฟกัง อามาเดอุส โมซาร์ท (𝗠𝗼𝘇𝗮𝗿𝘁) และลุดวิก ฟาน เบโธเฟน (𝗕𝗲𝗲𝘁𝗵𝗼𝘃𝗲𝗻) ได้นำกลอง 𝗧𝗶𝗺𝗽𝗮𝗻𝗶 มาใช้ในการแสดงดนตรีอย่างแพร่หลาย โดยมักจะใช้ในช่วงที่ต้องการให้เกิดความเข้มข้นทางอารมณ์ เช่น การเพิ่มความตึงเครียดหรือการเน้นจังหวะที่สำคัญในเพลง



  ตัวอย่างบทเพลงสำคัญในยุคคลาสสิก



 𝟭. 𝗦𝘆𝗺𝗽𝗵𝗼𝗻𝘆 𝗡𝗼. 𝟰𝟭 𝗶𝗻 𝗖 𝗠𝗮𝗷𝗼𝗿, "𝗝𝘂𝗽𝗶𝘁𝗲𝗿" (𝗠𝗼𝘇𝗮𝗿𝘁)



  ในซิมโฟนีนี้ 𝗧𝗶𝗺𝗽𝗮𝗻𝗶 ถูกใช้เพื่อเน้นจังหวะสำคัญในท่อนสุดท้าย ซึ่งช่วยเพิ่มพลังและความยิ่งใหญ่ให้กับบทเพลง



 𝟮. 𝗦𝘆𝗺𝗽𝗵𝗼𝗻𝘆 𝗡𝗼. 𝟵 𝗶𝗻 𝗗 𝗠𝗶𝗻𝗼𝗿, "𝗖𝗵𝗼𝗿𝗮𝗹" (𝗕𝗲𝗲𝘁𝗵𝗼𝘃𝗲𝗻)



ในบทเพลงนี้ 𝗧𝗶𝗺𝗽𝗮𝗻𝗶 มีบทบาทสำคัญในช่วงเปิดตัวและช่วงจบ โดยเฉพาะในท่อนที่ใช้ร้องประสานเสียง (𝗰𝗵𝗼𝗿𝗮𝗹) ที่สร้างความตึงเครียดและความทรงพลังอย่างมาก



𝟯.𝟮 ยุคโรแมนติก (𝗥𝗼𝗺𝗮𝗻𝘁𝗶𝗰 𝗘𝗿𝗮)



ในช่วงยุคโรแมนติก (𝟭𝟴𝟬𝟬-𝟭𝟵𝟬𝟬) กลอง 𝗧𝗶𝗺𝗽𝗮𝗻𝗶 ได้รับการพัฒนาในด้านเสียงและวิธีการเล่นมากยิ่งขึ้น นักประพันธ์เช่น จูเซปเป้ เวิร์ดี้ (𝗩𝗲𝗿𝗱𝗶) และ ริชาร์ด วากเนอร์ (𝗪𝗮𝗴𝗻𝗲𝗿) ได้ใช้กลอง 𝗧𝗶𝗺𝗽𝗮𝗻𝗶 เพื่อเพิ่มความหนักแน่นให้กับการแสดง โดยเฉพาะในการแสดงที่มีความยิ่งใหญ่และต้องการการเน้นเสียงดนตรีที่ทรงพลัง



  ตัวอย่างบทเพลงสำคัญในยุคโรแมนติก



 𝟭. 𝗦𝘆𝗺𝗽𝗵𝗼𝗻𝘆 𝗡𝗼. 𝟱 𝗶𝗻 𝗖 𝗠𝗶𝗻𝗼𝗿 (𝗕𝗲𝗲𝘁𝗵𝗼𝘃𝗲𝗻)



𝗧𝗶𝗺𝗽𝗮𝗻𝗶 ถูกใช้เพื่อเน้นจังหวะในช่วงเปิดตัวที่มีชื่อเสียง ซึ่งทำให้บทเพลงนี้เป็นที่จดจำในฐานะหนึ่งในผลงานที่ทรงพลังที่สุด



 𝟮. 𝗥𝗲𝗾𝘂𝗶𝗲𝗺 (𝗩𝗲𝗿𝗱𝗶)



ในโอเปร่าชิ้นนี้ 𝗧𝗶𝗺𝗽𝗮𝗻𝗶 ถูกใช้เพื่อสร้างบรรยากาศที่น่ากลัวและยิ่งใหญ่ โดยเฉพาะในท่อน 𝗗𝗶𝗲𝘀 𝗜𝗿𝗮𝗲 ซึ่งเสียงกลองสะท้อนความตึงเครียดของบทเพลง



 𝟯. 𝗧𝗵𝗲 𝗥𝗶𝗻𝗴 𝗖𝘆𝗰𝗹𝗲 (𝗪𝗮𝗴𝗻𝗲𝗿)



𝗧𝗶𝗺𝗽𝗮𝗻𝗶 ถูกใช้ในหลากหลายบทบาท เช่น การเลียนเสียงฟ้าร้องใน 𝗧𝗵𝗲 𝗥𝗶𝗱𝗲 𝗼𝗳 𝘁𝗵𝗲 𝗩𝗮𝗹𝗸𝘆𝗿𝗶𝗲𝘀 และการเน้นจังหวะในช่วงที่เน้นความอลังการของบทเพลง



  การพัฒนาในศตวรรษที่ 𝟮𝟬 และการใช้งานในยุคปัจจุบัน (𝟮𝟬𝘁𝗵 𝗖𝗲𝗻𝘁𝘂𝗿𝘆 𝘁𝗼 𝗣𝗿𝗲𝘀𝗲𝗻𝘁)



𝟰.𝟭 การพัฒนาในศตวรรษที่ 𝟮𝟬



ในช่วงศตวรรษที่ 𝟮𝟬 กลอง 𝗧𝗶𝗺𝗽𝗮𝗻𝗶 ได้รับการพัฒนาในด้านเทคโนโลยีและเทคนิคการเล่นอย่างก้าวกระโดด ความก้าวหน้าทางวิศวกรรมช่วยให้การปรับเสียงทำได้ง่ายและรวดเร็วขึ้น โดยเฉพาะการพัฒนา แป้นเหยียบ (𝗽𝗲𝗱𝗮𝗹 𝘁𝘂𝗻𝗶𝗻𝗴 𝘀𝘆𝘀𝘁𝗲𝗺) ที่ทำให้ผู้เล่นสามารถปรับความตึงของหนังและเปลี่ยนระดับเสียงได้ในทันทีระหว่างการแสดงสด



  นักประพันธ์ที่สำคัญ:



  แอตติลิโอ โรมัน (𝗔𝘁𝘁𝗶𝗹𝗶𝗼 𝗥𝗼𝗺𝗮𝗻𝗶):



โรมันถือเป็นหนึ่งในผู้บุกเบิกการใช้งาน 𝗧𝗶𝗺𝗽𝗮𝗻𝗶 ในรูปแบบใหม่ โดยมักจะปรับเสียงให้เหมาะสมกับบทเพลงเฉพาะ เช่น การใช้เสียงที่นุ่มนวลในส่วนที่ต้องการความอ่อนโยน และเพิ่มเสียงแหลมในส่วนที่ต้องการความโดดเด่น



  คาร์ล ออร์ฟ (𝗖𝗮𝗿𝗹 𝗢𝗿𝗳𝗳):



ผลงานชื่อดังของออร์ฟ เช่น 𝗖𝗮𝗿𝗺𝗶𝗻𝗮 𝗕𝘂𝗿𝗮𝗻𝗮 ใช้ 𝗧𝗶𝗺𝗽𝗮𝗻𝗶 เพื่อสร้างความยิ่งใหญ่และหนักแน่นในท่อนเปิดอย่าง 𝗢 𝗙𝗼𝗿𝘁𝘂𝗻𝗮 โดยกลอง 𝗧𝗶𝗺𝗽𝗮𝗻𝗶 มีบทบาทสำคัญในการสร้างจังหวะและอารมณ์อันทรงพลังที่กลายเป็นเอกลักษณ์ของบทเพลงนี้



  บทบาทในดนตรีซิมโฟนีและดนตรีทดลอง:



ในช่วงนี้ 𝗧𝗶𝗺𝗽𝗮𝗻𝗶 เริ่มถูกใช้ในบทบาทที่หลากหลายมากขึ้น เช่น การสร้างเสียงที่เลียนแบบธรรมชาติ (เช่น ฟ้าร้อง) หรือการสร้างจังหวะที่ซับซ้อนในดนตรีแนวทดลอง (𝗮𝘃𝗮𝗻𝘁-𝗴𝗮𝗿𝗱𝗲 𝗺𝘂𝘀𝗶𝗰)



  ตัวอย่างบทเพลงสำคัญในศตวรรษที่ 𝟮𝟬:



 𝟭. 𝗦𝘆𝗺𝗽𝗵𝗼𝗻𝘆 𝗡𝗼. 𝟭 (𝗠𝗮𝗵𝗹𝗲𝗿):



  กลอง 𝗧𝗶𝗺𝗽𝗮𝗻𝗶 มีบทบาทสำคัญในหลายช่วงของบทเพลง โดยเฉพาะในส่วนที่เน้นการเปลี่ยนแปลงของอารมณ์



 𝟮. 𝗧𝗵𝗲 𝗥𝗶𝘁𝗲 𝗼𝗳 𝗦𝗽𝗿𝗶𝗻𝗴 (𝗦𝘁𝗿𝗮𝘃𝗶𝗻𝘀𝗸𝘆):



  ใช้ 𝗧𝗶𝗺𝗽𝗮𝗻𝗶 เพื่อสร้างจังหวะที่ตึงเครียดและหนักแน่น โดยเฉพาะในช่วงที่ต้องการสื่อถึงพลังแห่งธรรมชาติ



 𝟯. 𝗖𝗮𝗿𝗺𝗶𝗻𝗮 𝗕𝘂𝗿𝗮𝗻𝗮 (𝗢𝗿𝗳𝗳):



  ท่อน 𝗢 𝗙𝗼𝗿𝘁𝘂𝗻𝗮 เป็นตัวอย่างเด่นของการใช้ 𝗧𝗶𝗺𝗽𝗮𝗻𝗶 เพื่อเน้นเสียงที่ทรงพลังและสร้างความโดดเด่นให้กับท่อนเปิด



𝟰.𝟮 การพัฒนาเทคโนโลยีในยุคปัจจุบัน



ในยุคปัจจุบัน กลอง 𝗧𝗶𝗺𝗽𝗮𝗻𝗶 ได้รับการพัฒนาในหลายด้าน ทั้งในแง่ของวัสดุที่ใช้ผลิตและเทคโนโลยีที่เพิ่มความสะดวกสบายและประสิทธิภาพให้กับผู้เล่น



  วัสดุที่ใช้ผลิต:



ในอดีตกลอง 𝗧𝗶𝗺𝗽𝗮𝗻𝗶 มักใช้ทองแดงเป็นวัสดุหลักในการผลิตตัวกลอง แต่ในปัจจุบันได้มีการนำ อลูมิเนียม และ โลหะผสม มาใช้เพื่อลดน้ำหนักและเพิ่มความทนทาน



หนังหน้ากลองที่ใช้ในปัจจุบันมักทำจากพลาสติกสังเคราะห์ (𝘀𝘆𝗻𝘁𝗵𝗲𝘁𝗶𝗰 𝗺𝗮𝘁𝗲𝗿𝗶𝗮𝗹) แทนหนังสัตว์ เนื่องจากสามารถผลิตเสียงที่สม่ำเสมอและดูแลรักษาง่ายกว่า



  เทคโนโลยีการปรับเสียง:



  ระบบแป้นเหยียบ (𝗽𝗲𝗱𝗮𝗹 𝘁𝘂𝗻𝗶𝗻𝗴 𝘀𝘆𝘀𝘁𝗲𝗺) ถูกปรับปรุงให้แม่นยำและเสถียรยิ่งขึ้น



บางรุ่นมีการติดตั้งระบบ ดิจิทัลจูนเนอร์ (𝗱𝗶𝗴𝗶𝘁𝗮𝗹 𝘁𝘂𝗻𝗲𝗿) เพื่อช่วยให้ผู้เล่นปรับเสียงได้ตรงตามคีย์ที่ต้องการโดยอัตโนมัติ



  การใช้งานในดนตรีร่วมสมัย:



กลอง 𝗧𝗶𝗺𝗽𝗮𝗻𝗶 ในปัจจุบันไม่เพียงแต่ใช้ในวงดนตรีออร์เคสตรา แต่ยังปรากฏในดนตรีร่วมสมัย เช่น ดนตรีภาพยนตร์ (𝗳𝗶𝗹𝗺 𝘀𝗰𝗼𝗿𝗲) และดนตรีแนวทดลอง โดยเน้นการสร้างบรรยากาศและการเน้นจังหวะ



  ตัวอย่างบทเพลงสำคัญในยุคปัจจุบัน:



 𝟭. 𝗦𝘆𝗺𝗽𝗵𝗼𝗻𝘆 𝗡𝗼. 𝟳 (𝗦𝗵𝗼𝘀𝘁𝗮𝗸𝗼𝘃𝗶𝗰𝗵):



  ใช้ 𝗧𝗶𝗺𝗽𝗮𝗻𝗶 เพื่อเน้นจังหวะที่หนักแน่นในส่วนที่ต้องการสร้างความตึงเครียดในดนตรีภาพยนตร์



 𝟮. 𝗦𝘁𝗮𝗿 𝗪𝗮𝗿𝘀 𝗦𝗼𝘂𝗻𝗱𝘁𝗿𝗮𝗰𝗸 (𝗝𝗼𝗵𝗻 𝗪𝗶𝗹𝗹𝗶𝗮𝗺𝘀):



  𝗧𝗶𝗺𝗽𝗮𝗻𝗶 ถูกใช้ในท่อนเปิดที่โดดเด่น สร้างความยิ่งใหญ่และดราม่าที่ทรงพลัง



 𝟯. 𝗖𝗹𝗼𝘂𝗱𝗯𝘂𝗿𝘀𝘁 (𝗘𝗿𝗶𝗰 𝗪𝗵𝗶𝘁𝗮𝗰𝗿𝗲):



  ใช้ 𝗧𝗶𝗺𝗽𝗮𝗻𝗶 ร่วมกับเครื่องดนตรีชนิดอื่นเพื่อสร้างเสียงที่เลียนแบบพายุฝนและธรรมชาติ



  ทิศทางในอนาคต



𝟱.𝟭 การใช้เทคโนโลยีดิจิตอล



ในอนาคต, การใช้เทคโนโลยีดิจิตอลอาจเข้ามามีบทบาทในการควบคุมเสียงของกลอง 𝗧𝗶𝗺𝗽𝗮𝗻𝗶 โดยอาจมีการใช้เซ็นเซอร์หรือระบบคอมพิวเตอร์ในการปรับแต่งเสียงได้อย่างแม่นยำ



𝟱.𝟮 การใช้งานในแนวดนตรีใหม่ๆ



กลอง 𝗧𝗶𝗺𝗽𝗮𝗻𝗶 จะยังคงเป็นเครื่องดนตรีที่สำคัญในวงออร์เคสตรา และอาจได้รับการใช้งานในแนวดนตรีใหม่ๆ เช่น ดนตรีอิเล็กทรอนิกส์ ดนตรีทดลอง หรือการประกอบภาพยนตร์ที่ต้องการเสียงที่หนักแน่นและทรงพลัง



 อ้างอิง


𝟭. 𝗧𝗵𝗲 𝗣𝗲𝗿𝗰𝘂𝘀𝘀𝗶𝘃𝗲 𝗔𝗿𝘁𝘀 𝗦𝗼𝗰𝗶𝗲𝘁𝘆.


𝟮. 𝗘𝗻𝗰𝘆𝗰𝗹𝗼𝗽𝗲𝗱𝗶𝗮 𝗼𝗳 𝗣𝗲𝗿𝗰𝘂𝘀𝘀𝗶𝗼𝗻 โดย 𝗝𝗼𝗵𝗻 𝗛. 𝗕𝗲𝗰𝗸


𝟯. 𝗕𝗹𝗮𝗱𝗲𝘀, 𝗝𝗮𝗺𝗲𝘀. 𝗣𝗲𝗿𝗰𝘂𝘀𝘀𝗶𝗼𝗻 𝗜𝗻𝘀𝘁𝗿𝘂𝗺𝗲𝗻𝘁𝘀 𝗮𝗻𝗱 𝗧𝗵𝗲𝗶𝗿 𝗛𝗶𝘀𝘁𝗼𝗿𝘆. 𝗙𝗮𝗯𝗲𝗿 & 𝗙𝗮𝗯𝗲𝗿, 𝟭𝟵𝟵𝟮.


𝟰. 𝗦𝗮𝗱𝗶𝗲, 𝗦𝘁𝗮𝗻𝗹𝗲𝘆, 𝗮𝗻𝗱 𝗝𝗼𝗵𝗻 𝗧𝘆𝗿𝗿𝗲𝗹𝗹. 𝗧𝗵𝗲 𝗡𝗲𝘄 𝗚𝗿𝗼𝘃𝗲 𝗗𝗶𝗰𝘁𝗶𝗼𝗻𝗮𝗿𝘆 𝗼𝗳 𝗠𝘂𝘀𝗶𝗰 𝗮𝗻𝗱 𝗠𝘂𝘀𝗶𝗰𝗶𝗮𝗻𝘀. 𝗠𝗮𝗰𝗺𝗶𝗹𝗹𝗮𝗻 𝗣𝘂𝗯𝗹𝗶𝘀𝗵𝗲𝗿𝘀, 𝟮𝟬𝟬𝟭.

0 views0 comments

Comments


bottom of page