top of page
Search

“นักเพอร์คัชชันดั้งเดิมเขาไม่มี 𝗺𝗲𝘁𝗿𝗼𝗻𝗼𝗺𝗲 แล้วเขาทำได้ยังไง❓”

  • Writer: Dr.Kasem THipayametrakul
    Dr.Kasem THipayametrakul
  • Apr 21
  • 3 min read

ในยุคที่เทคโนโลยีเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของการฝึกซ้อมดนตรี ไม่ว่าจะเป็นแอปเมโทรนอม เครื่องจับจังหวะ หรือซอฟต์แวร์ปรับไทม์มิ่งแบบละเอียดระดับมิลลิวินาที นักดนตรีจำนวนไม่น้อยจึงผูกความหมายของคำว่า “#แม่นยำ” เข้ากับ “#ความตรง” ต่อคลิก(𝗖𝗹𝗶𝗰𝗸) หรือกริด(𝗚𝗿𝗶𝗱) ที่ถูกกำหนดไว้ล่วงหน้า



แต่ถ้าเราถอยหลังกลับไปมองโลกของดนตรีดั้งเดิมจากหลากหลายวัฒนธรรม ทั้งกลองแอฟริกัน การเล่น 𝗴𝗮𝗺𝗲𝗹𝗮𝗻 อินโดนีเซีย ดนตรีฮินดูสถานี หรือแม้แต่การละเล่นของไทย จะพบว่ามีสิ่งน่าสนใจเกิดขึ้น นักดนตรีเหล่านั้นไม่มีเครื่องมือวัดจังหวะแบบที่เรามีในวันนี้...แต่พวกเขากลับเล่นได้พร้อมเพรียง ลื่นไหล และเปี่ยมด้วยพลังอย่างน่าทึ่ง  





#จังหวะ” ในโลกดั้งเดิมเกิดขึ้นจากอะไร ถ้าไม่ใช่ 𝗕𝗣𝗠 หรือคลิก?



#ความแม่น” คือสิ่งที่สามารถนับได้จริง ๆ หรือเป็นสิ่งที่เรารู้สึกร่วมกัน?



บทความนี้จะพาคุณไปสำรวจคำตอบผ่านการวิเคราะห์เชิงลึกใน 𝟲 หัวข้อ พร้อมอ้างอิงจากงานวิจัยด้านชาติพันธุ์ดนตรี จิตวิทยาการฟัง และทฤษฎีดนตรีร่วมสมัย เพื่อชวนคิดใหม่ว่า “เวลา” และ “จังหวะ” อาจไม่ได้มีเพียงนิยามเดียว



  ความแม่นยำคือสิ่งที่ “#ตกลงร่วมกัน” ไม่ใช่สิ่งที่ “#เครื่องวัดให้





ในระบบดนตรีตะวันตก ความแม่นยำ (𝗮𝗰𝗰𝘂𝗿𝗮𝗰𝘆) มักถูกเชื่อมโยงกับ การเล่นให้ตรงจังหวะ ตามที่ 𝗺𝗲𝘁𝗿𝗼𝗻𝗼𝗺𝗲 หรือตัวเลข 𝗕𝗣𝗠 (𝗯𝗲𝗮𝘁𝘀 𝗽𝗲𝗿 𝗺𝗶𝗻𝘂𝘁𝗲) กำหนดไว้ เช่น การเล่นสเกลให้ตรงเวลา หรือการซ้อมโดยใช้เครื่อง 𝗺𝗲𝘁𝗿𝗼𝗻𝗼𝗺𝗲 ที่คลิกในจังหวะตายตัวทุกบีต ซึ่งเป็นวิธีการฝึกที่แพร่หลายในระบบการศึกษาดนตรีปัจจุบัน



แนวคิดนี้มีรากมาจากวัฒนธรรมตะวันตกสมัยอุตสาหกรรม ที่ให้ความสำคัญกับ “#มาตรฐานเวลา” (𝘀𝘁𝗮𝗻𝗱𝗮𝗿𝗱𝗶𝘇𝗲𝗱 𝘁𝗶𝗺𝗲) โดยอิงกับนาฬิกา เครื่องจักร และความแม่นยำของการผลิต เช่นเดียวกับในดนตรีที่เครื่อง 𝗺𝗲𝘁𝗿𝗼𝗻𝗼𝗺𝗲 ทำหน้าที่คล้าย “นาฬิกาเสียง” ที่บอกให้ผู้เล่นรู้ว่าควรจะอยู่ตรงไหนในเวลาใด



#อ้างอิง: 𝗣𝗮𝘁𝗲𝗹 (𝟮𝟬𝟬𝟴) ใน 𝗠𝘂𝘀𝗶𝗰, 𝗟𝗮𝗻𝗴𝘂𝗮𝗴𝗲, 𝗮𝗻𝗱 𝘁𝗵𝗲 𝗕𝗿𝗮𝗶𝗻 ชี้ว่าความเชื่อมโยงระหว่างดนตรีกับระบบเวลาในสมองมนุษย์นั้นมีอยู่จริง โดยเฉพาะในบริบทที่มีการเรียนรู้แบบ “นับเวลา” ซึ่งสอดคล้องกับระบบ 𝗺𝗲𝘁𝗿𝗶𝗰𝗮𝗹 𝗿𝗵𝘆𝘁𝗵𝗺 ของดนตรีตะวันตก





เมื่อเราหันไปดูวัฒนธรรมดนตรีดั้งเดิมจากอินเดีย แอฟริกา อินโดนีเซีย หรือเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เราจะพบว่า “#ความแม่นยำ” ไม่ได้มีความหมายเหมือนกันกับในระบบตะวันตก ความพร้อมเพรียงทางจังหวะในดนตรีดั้งเดิมไม่ได้ขึ้นอยู่กับ “#จังหวะคงที่” หรือ 𝗺𝗲𝘁𝗿𝗼𝗻𝗼𝗺𝗲 แต่เกิดจาก การฟัง การเคลื่อนไหว และความรู้สึกร่วม (𝗶𝗻𝘁𝗲𝗿𝗽𝗲𝗿𝘀𝗼𝗻𝗮𝗹 𝘁𝗶𝗺𝗲 𝗳𝗲𝗲𝗹)



𝗖𝗹𝗮𝘆𝘁𝗼𝗻 (𝟮𝟬𝟬𝟬) ใน 𝗧𝗶𝗺𝗲 𝗶𝗻 𝗜𝗻𝗱𝗶𝗮𝗻 𝗠𝘂𝘀𝗶𝗰 ชี้ว่า การรับรู้จังหวะในดนตรีฮินดูสถานี (𝗛𝗶𝗻𝗱𝘂𝘀𝘁𝗮𝗻𝗶 𝗺𝘂𝘀𝗶𝗰) ไม่ได้อยู่บนฐานของการนับบีตแบบ 𝗺𝗲𝗰𝗵𝗮𝗻𝗶𝗰𝗮𝗹 แต่เป็นการตีความ “เวลา” ผ่านการฟัง การตอบสนอง และการเคลื่อนไหวร่วมกัน



ยกตัวอย่างเช่น ในพิธีกรรมดนตรีอินเดียเหนือ การเล่น 𝘁𝗮𝗯𝗹𝗮 จะสอดคล้องกับโครงสร้างจังหวะที่ซับซ้อน (𝘁𝗮𝗹𝗮) แต่ไม่ได้ยึดกับ 𝗰𝗹𝗶𝗰𝗸 𝘁𝗿𝗮𝗰𝗸 ใด ๆ นักดนตรีจะรู้ว่าอยู่ตรงไหนของวัฏจักรจังหวะผ่านความรู้สึกโดยรวม การเคลื่อนไหวของมือ และการตอบสนองต่อผู้เล่นคนอื่น ๆ



ในทำนองเดียวกัน วงกลองแอฟริกัน (เช่นใน 𝗚𝗵𝗮𝗻𝗮 หรือ 𝗠𝗮𝗹𝗶) จะเน้นการ “#ฟังจังหวะของวง” มากกว่าการเล่นให้ “ตรง” กับค่าจังหวะตายตัว นักดนตรีจะเรียนรู้ความแม่นยำจากการเคลื่อนไหว การเต้น และการฟังเสียงนำ (เช่น 𝗯𝗲𝗹𝗹 หรือ 𝗰𝗹𝗮𝘃𝗲) ไม่ใช่จากเครื่อง 𝗺𝗲𝘁𝗿𝗼𝗻𝗼𝗺𝗲



  #ความแม่น = #สิ่งที่คนในวง “#ตกลงกัน” อย่างไม่เป็นคำพูด



#ความแม่น” ในบริบทดนตรีดั้งเดิมจึงหมายถึง “#การเล่นอย่างกลมกลืน” กับจังหวะรวมของวง ไม่ใช่ความตรงกับเครื่องมือวัดใด ๆ และบ่อยครั้ง “#ความคลาดเคลื่อนเล็กน้อย” คือสิ่งที่ทำให้ดนตรีมีชีวิต มี 𝗴𝗿𝗼𝗼𝘃𝗲 และไม่น่าเบื่อ



𝗞𝗲𝗶𝗹 (𝟭𝟵𝟴𝟳) เรียกสิ่งนี้ว่า 𝗣𝗮𝗿𝘁𝗶𝗰𝗶𝗽𝗮𝘁𝗼𝗿𝘆 𝗗𝗶𝘀𝗰𝗿𝗲𝗽𝗮𝗻𝗰𝘆 ช่องว่างเล็ก ๆ ของจังหวะที่ช่วยให้เกิดการมีส่วนร่วม เพราะทุกคนต้องฟังและปรับจังหวะเข้าหากันอย่างต่อเนื่อง



 #คำถาม : ถ้าไม่มี 𝗺𝗲𝘁𝗿𝗼𝗻𝗼𝗺𝗲 แล้วอะไรคือสิ่งที่ทำให้วงดนตรี “พร้อมกัน”? แล้วเราเข้าใจคำว่า “แม่น” จากใคร? จาก 𝗺𝗲𝘁𝗿𝗼𝗻𝗼𝗺𝗲 หรือจากเพื่อนร่วมวง?



  กลไกของ “การฟังร่วม” (𝗘𝗻𝘁𝗿𝗮𝗶𝗻𝗺𝗲𝗻𝘁): เมื่อร่างกายคือเครื่องจับเวลา



  𝗘𝗻𝘁𝗿𝗮𝗶𝗻𝗺𝗲𝗻𝘁: คำตอบของ “#ความพร้อมกันโดยไม่ต้องนับ



นักดนตรีดั้งเดิมจำนวนมากสามารถเล่นพร้อมกันได้อย่างน่าอัศจรรย์โดยไม่ใช้ 𝗺𝗲𝘁𝗿𝗼𝗻𝗼𝗺𝗲 หรือแม้กระทั่งการนับเสียงในใจ สิ่งนี้เกิดขึ้นจากปรากฏการณ์ที่เรียกว่า 𝗲𝗻𝘁𝗿𝗮𝗶𝗻𝗺𝗲𝗻𝘁 การที่ระบบหนึ่ง (ร่างกาย/จิตใจของคน) ปรับเวลาให้เข้ากับอีกระบบหนึ่ง (เช่น 𝗿𝗵𝘆𝘁𝗵𝗺 ของกลุ่ม)



𝗣𝗵𝗶𝗹𝗹𝗶𝗽 𝗛𝗼𝗻𝗶𝗻𝗴 (𝟮𝟬𝟭𝟯) ในนิยาย 𝗧𝗵𝗲 𝗢𝗿𝗶𝗴𝗶𝗻𝘀 𝗼𝗳 𝗠𝘂𝘀𝗶𝗰𝗮𝗹𝗶𝘁𝘆 เสนอว่าการฟัง 𝗿𝗵𝘆𝘁𝗵𝗺 และการเคลื่อนไหวตามจังหวะนั้นเป็น สัญชาตญาณทางชีวภาพ ของมนุษย์ ที่เชื่อมโยงระบบการได้ยิน (𝗮𝘂𝗱𝗶𝘁𝗼𝗿𝘆) เข้ากับระบบการเคลื่อนไหว (𝗺𝗼𝘁𝗼𝗿 𝘀𝘆𝘀𝘁𝗲𝗺)



การฝึกเล่นร่วมกันในวัฒนธรรมดนตรีดั้งเดิมจึงมักเกิดจาก ประสบการณ์ซ้ำ ๆ ที่ร่างกายจดจำ มากกว่าการนับหรือจดโน้ต



ตัวอย่างของระบบ 𝗘𝗻𝘁𝗿𝗮𝗶𝗻𝗺𝗲𝗻𝘁 ในดนตรีพื้นบ้าน



  วงกลองแอฟริกันตะวันตก: สมาชิกแต่ละคนฟังจังหวะของเสียง 𝗯𝗲𝗹𝗹 ซึ่งทำหน้าที่เหมือน “#ศูนย์กลางของเวลา” และเล่นจังหวะของตนอย่างสัมพันธ์กับมัน



  ดนตรี 𝗴𝗮𝗺𝗲𝗹𝗮𝗻 อินโดนีเซีย: ผู้เล่นเครื่องดนตรีต่าง ๆ จะฟังเสียง 𝗸𝗲𝗻𝗱𝗮𝗻𝗴 และ 𝗴𝗼𝗻𝗴 เพื่อ “#รู้ตำแหน่งในเวลา” ของตนเอง



  𝗞𝗼𝗻𝗻𝗮𝗸𝗼𝗹 ของอินเดียใต้: นักดนตรีฝึกการรับรู้จังหวะโดยการ “#พูดพยางค์จังหวะ” อย่างสม่ำเสมอ (เช่น 𝘁𝗮-𝗸𝗮-𝗱𝗶-𝗺𝗶) ซึ่งช่วยสร้างรากฐานของ 𝗲𝗻𝘁𝗿𝗮𝗶𝗻𝗺𝗲𝗻𝘁 ผ่านเสียงและการเคลื่อนไหวของร่างกาย



𝗪𝗶𝗹𝗹𝗶𝗮𝗺𝗼𝗻 𝗲𝘁 𝗮𝗹. (𝟮𝟬𝟬𝟲) ยังชี้ว่า “ความสามารถในการ 𝘀𝘆𝗻𝗰𝗵𝗿𝗼𝗻𝗶𝘇𝗲” กับคนอื่นเป็นทักษะที่พัฒนาผ่านการฟังและการมีส่วนร่วมในดนตรีมากกว่าการฝึกเล่นกับเครื่อง 𝗺𝗲𝘁𝗿𝗼𝗻𝗼𝗺𝗲



  #ร่างกายคือ 𝗺𝗲𝘁𝗿𝗼𝗻𝗼𝗺𝗲 ที่แม่นยำที่สุด



ระบบการเคลื่อนไหวของมนุษย์ เช่น การหายใจ, การเคาะเท้า, หรือแม้แต่การแกว่งแขน ล้วนสามารถกลายเป็น “#เครื่องวัดเวลาในตัว” ได้ หากได้รับการฝึกฝนและเชื่อมโยงกับเสียงอย่างสม่ำเสมอ



ในวัฒนธรรมดนตรีดั้งเดิม เด็ก ๆ เรียนรู้จังหวะจากการร้อง เต้น และเล่นกับผู้อื่น ไม่ใช่จาก 𝗰𝗹𝗶𝗰𝗸 𝘁𝗿𝗮𝗰𝗸



  #คำถาม: ถ้าคุณฟังวงดนตรีทั้งวงโดยไม่เล่นเลยสักโน้ตเดียว คุณสามารถเดาได้ไหมว่าเสียงกลองจะมาตอนไหน? แล้วคุณจะเข้าจังหวะได้ยังไง…โดยไม่ต้องนับ?



  ไม่มี 𝗺𝗲𝘁𝗿𝗼𝗻𝗼𝗺𝗲 แต่มี "#เวลาในจิตใจร่วม" (𝗦𝗵𝗮𝗿𝗲𝗱 𝗧𝗶𝗺𝗲 𝗙𝗲𝗲𝗹)



  𝗜𝗻𝘁𝗲𝗿𝗻𝗮𝗹 𝗧𝗶𝗺𝗲 กับ 𝗧𝗶𝗺𝗲 𝗙𝗶𝗲𝗹𝗱



"เวลา" ในดนตรีไม่จำเป็นต้องถูกควบคุมโดยอุปกรณ์ภายนอกเสมอไป นักดนตรีหลายวัฒนธรรมพัฒนาความรู้สึกของ "จังหวะ" ผ่านสิ่งที่เรียกว่า "𝗶𝗻𝘁𝗲𝗿𝗻𝗮𝗹 𝘁𝗶𝗺𝗲" หรือเวลาในใจ ซึ่งเป็นผลรวมจากประสบการณ์ทางร่างกาย การฟัง และการมีปฏิสัมพันธ์กับผู้อื่นในสภาพแวดล้อมทางดนตรี



𝗖𝗹𝗮𝘆𝘁𝗼𝗻, 𝗟𝗲𝗮𝗻𝘁𝗲 และ 𝗗𝘂𝗲𝗰𝗸 (𝟮𝟬𝟭𝟲) ระบุว่า การเล่นดนตรีร่วมกันในชุมชนดั้งเดิมจำนวนมาก ขึ้นอยู่กับ "𝘀𝗵𝗮𝗿𝗲𝗱 𝘁𝗶𝗺𝗲 𝗳𝗲𝗲𝗹" หรือ "#ความรู้สึกเวลาร่วมกัน" มากกว่าการยึดตามเครื่องมือใด ๆ



ในวงดนตรีดั้งเดิม เช่น วง 𝗴𝗮𝗺𝗲𝗹𝗮𝗻 หรือวง 𝘀𝗮𝗺𝗯𝗮 สมาชิกในวงจะพัฒนา 𝗳𝗶𝗲𝗹𝗱 𝗼𝗳 𝘁𝗶𝗺𝗲 ร่วมกัน ซึ่งไม่จำเป็นต้องตรงกับ 𝗺𝗲𝘁𝗿𝗼𝗻𝗼𝗺𝗲 แต่เป็นกรอบเวลาที่มีชีวิตและเคลื่อนไหวได้



การที่สมาชิกในวงจะ "รู้ว่าอยู่ตรงไหน" ในกรอบเวลาเหล่านี้ ขึ้นอยู่กับการฟังเสียงหลัก (เช่น 𝗴𝗼𝗻𝗴, 𝗯𝗲𝗹𝗹), การเห็นท่าทางของผู้นำ, หรือแม้แต่การจับลมหายใจร่วมกัน



  #จังหวะคือการมีชีวิตร่วมในเวลาเดียวกัน



นี่คือความหมายของ "จังหวะร่วม" (𝗶𝗻𝘁𝗲𝗿𝗽𝗲𝗿𝘀𝗼𝗻𝗮𝗹 𝗿𝗵𝘆𝘁𝗵𝗺) ที่ไม่ใช่แค่เรื่องของตัวเลขหรือระยะห่างของเสียง แต่คือการมีเวลาเดียวกันระหว่างผู้เล่น



นักจิตวิทยาดนตรีชี้ว่า สิ่งนี้ต้องอาศัยการฟังอย่างลึกซึ้งและการฝึกซ้อมในบริบทกลุ่ม ไม่สามารถพัฒนาได้ด้วยการฝึกคนเดียวหน้ากระจก



  #คำถาม: ในการซ้อมของคุณ…คุณกำลังฝึกจังหวะส่วนตัว หรือคุณกำลังฝึกจังหวะร่วม?



  ฝึกโดยไม่มีเครื่อง: การซึมซับจังหวะผ่านการเคลื่อนไหวและการพูด



  𝗥𝗵𝘆𝘁𝗵𝗺 คือร่างกาย ไม่ใช่ตัวเลข



วัฒนธรรมดนตรีดั้งเดิมทั่วโลกมักมีระบบการเรียนรู้ 𝗿𝗵𝘆𝘁𝗵𝗺 ที่อิงกับร่างกายมากกว่าโน้ตหรือเครื่องมือวัดเวลา เช่น การพูด การเต้น และการเคลื่อนไหวแทนการนับบีตหรือตี 𝗺𝗲𝘁𝗿𝗼𝗻𝗼𝗺𝗲



  ในอินเดียใต้ นักดนตรีใช้ระบบ "𝗞𝗼𝗻𝗻𝗮𝗸𝗼𝗹" เพื่อฝึกจังหวะโดยการพูดพยางค์เฉพาะที่แทนเสียงกลอง (เช่น 𝘁𝗮-𝗸𝗮-𝗱𝗶-𝗺𝗶)



  ในแอฟริกา เด็ก ๆ ฝึก 𝗿𝗵𝘆𝘁𝗵𝗺 ผ่านการเต้นและการร้อง ก่อนที่จะจับเครื่องดนตรี



  ในไทย การเล่นกลองยาวหรือรำโทน มักเริ่มจากการเรียนรู้ด้วยการดูและทำตาม ไม่ใช่จากการอ่านโน้ต



  𝗦𝗲𝗻𝘀𝗼𝗿𝗶𝗺𝗼𝘁𝗼𝗿 𝗖𝗼𝘂𝗽𝗹𝗶𝗻𝗴



𝗪𝗶𝗹𝗹𝗶𝗮𝗺𝗼𝗻 𝗲𝘁 𝗮𝗹. (𝟮𝟬𝟬𝟲) กล่าวว่าทักษะ 𝗿𝗵𝘆𝘁𝗵𝗺 ที่ฝังลึกในตัวมนุษย์นั้นพัฒนาผ่าน 𝘀𝗲𝗻𝘀𝗼𝗿𝗶𝗺𝗼𝘁𝗼𝗿 𝗰𝗼𝘂𝗽𝗹𝗶𝗻𝗴 หรือการจับคู่ระหว่างการได้ยินกับการเคลื่อนไหว



การขยับร่างกาย เช่น การเดินเป็นจังหวะ การพยักหน้า หรือการเคาะนิ้ว ล้วนช่วยให้สมองสร้างกรอบเวลาและ 𝗽𝗮𝘁𝘁𝗲𝗿𝗻 ในจิตใจได้แม่นยำกว่าการเพียงฟังเสียง 𝗺𝗲𝘁𝗿𝗼𝗻𝗼𝗺𝗲



  #คำถาม: คุณเคยฝึกจังหวะด้วยการขยับตัวหรือพูดออกมาไหม? แทนการจับไม้กลองหรือเครื่องดนตรี



  บทบาทของการฟังแบบไม่มี "เป้า"



  𝗠𝗲𝘁𝗿𝗼𝗻𝗼𝗺𝗲 #คือเป้าหมายที่ไม่ยืดหยุ่น



การซ้อมกับ 𝗺𝗲𝘁𝗿𝗼𝗻𝗼𝗺𝗲 อาจทำให้เกิดการยึดติดกับเสียง 𝗰𝗹𝗶𝗰𝗸 จนสูญเสียความยืดหยุ่นของจังหวะ ซึ่งเป็นหัวใจของดนตรีหลายรูปแบบ เช่น 𝗷𝗮𝘇𝘇, 𝗳𝘂𝗻𝗸, 𝗮𝗳𝗿𝗼-𝗰𝘂𝗯𝗮𝗻



𝗞𝗲𝗶𝗹 (𝟭𝟵𝟴𝟳) อธิบายว่า "𝗣𝗮𝗿𝘁𝗶𝗰𝗶𝗽𝗮𝘁𝗼𝗿𝘆 𝗗𝗶𝘀𝗰𝗿𝗲𝗽𝗮𝗻𝗰𝘆" คือความคลาดเคลื่อนเล็ก ๆ ที่จงใจให้เกิดขึ้นในจังหวะ เพื่อสร้างความรู้สึกมีชีวิต ไม่แข็งจนเกินไป



ดนตรีที่ "แม่นเกินไป" อาจฟังแล้ว "ไม่มี 𝗴𝗿𝗼𝗼𝘃𝗲" เพราะไม่มีพื้นที่ให้การตอบสนองและการแกว่งของเวลา (𝗺𝗶𝗰𝗿𝗼𝘁𝗶𝗺𝗶𝗻𝗴)



  𝗚𝗿𝗼𝗼𝘃𝗲 เกิดจากความไม่เป๊ะ



ในวง 𝘀𝗮𝗺𝗯𝗮, 𝗯𝗹𝘂𝗲𝗴𝗿𝗮𝘀𝘀 หรือ 𝗳𝘂𝗻𝗸 จังหวะที่ "แอบเลื่อนนิดเดียว" กลับเป็นสิ่งที่ทำให้ผู้ฟังอยากขยับตัว เพราะมันให้ความรู้สึกเคลื่อนไหวและไม่ตายตัว



จังหวะที่ดีจึงไม่ใช่การเล่นให้ "ตรงกับ 𝗰𝗹𝗶𝗰𝗸" เสมอไป แต่คือการเล่นให้ "สอดคล้องกับวง และรู้สึกได้"



  #คำถาม: คุณยอมให้จังหวะของคุณ "สวิง" ได้ไหม? หรือคุณกำลังบังคับให้มันตรงจนไม่มีความรู้สึก?



  #เครื่องมือคือผู้ช่วย #ไม่ใช่ผู้ควบคุม



𝗠𝗲𝘁𝗿𝗼𝗻𝗼𝗺𝗲 เป็นเครื่องมือที่มีคุณค่าในการฝึกฝน โดยเฉพาะในช่วงเริ่มต้นของการพัฒนาทักษะทางจังหวะและการควบคุมเวลาในตนเอง



แต่ในระดับที่สูงขึ้น โดยเฉพาะในการเล่นร่วมกับผู้อื่น การยึดติดกับ 𝗺𝗲𝘁𝗿𝗼𝗻𝗼𝗺𝗲 มากเกินไป อาจขัดขวางการพัฒนา "#การฟังร่วม" และ "#ความรู้สึกจังหวะร่วม"



นักดนตรีดั้งเดิม "แม่น" เพราะเขาฝึกฟัง — ฟังตนเอง ฟังวง ฟังเสียงรอบตัว และฟังด้วยร่างกายไม่ใช่แค่หู



จังหวะไม่ใช่ตัวเลข แต่คือพื้นที่ของความสัมพันธ์ระหว่างคนและเสียงในเวลานั้น ๆ  



#สุดท้ายแล้ว: ถ้าคุณไม่มี 𝗺𝗲𝘁𝗿𝗼𝗻𝗼𝗺𝗲 แล้วต้องเล่นกับคนอีก 𝟭𝟬 คน — คุณจะฟังยังไง จะหายใจยังไง จะรู้ได้ยังไงว่าเสียงของคุณควรจะมาเมื่อไหร่



 #แหล่งอ้างอิง



๐ 𝗖𝗹𝗮𝘆𝘁𝗼𝗻, 𝗠. (𝟮𝟬𝟬𝟬). 𝗧𝗶𝗺𝗲 𝗶𝗻 𝗜𝗻𝗱𝗶𝗮𝗻 𝗠𝘂𝘀𝗶𝗰: 𝗥𝗵𝘆𝘁𝗵𝗺, 𝗠𝗲𝘁𝗿𝗲 𝗮𝗻𝗱 𝗙𝗼𝗿𝗺 𝗶𝗻 𝗡𝗼𝗿𝘁𝗵 𝗜𝗻𝗱𝗶𝗮𝗻 𝗥𝗮𝗴 𝗣𝗲𝗿𝗳𝗼𝗿𝗺𝗮𝗻𝗰𝗲. 𝗢𝘅𝗳𝗼𝗿𝗱 𝗨𝗻𝗶𝘃𝗲𝗿𝘀𝗶𝘁𝘆 𝗣𝗿𝗲𝘀𝘀.



๐ 𝗛𝗼𝗻𝗶𝗻𝗴, 𝗛. (𝟮𝟬𝟭𝟯). 𝗧𝗵𝗲 𝗢𝗿𝗶𝗴𝗶𝗻𝘀 𝗼𝗳 𝗠𝘂𝘀𝗶𝗰𝗮𝗹𝗶𝘁𝘆. 𝗠𝗜𝗧 𝗣𝗿𝗲𝘀𝘀.



๐ 𝗪𝗶𝗹𝗹𝗶𝗮𝗺𝗼𝗻, 𝗔., 𝗗𝗮𝘃𝗶𝗱𝘀𝗼𝗻, 𝗝. 𝗪., & 𝗦𝗹𝗼𝗯𝗼𝗱𝗮, 𝗝. 𝗔. (𝟮𝟬𝟬𝟲). 𝗣𝘀𝘆𝗰𝗵𝗼𝗹𝗼𝗴𝗶𝗰𝗮𝗹 𝗣𝗿𝗼𝗰𝗲𝘀𝘀𝗲𝘀 𝗶𝗻 𝗠𝘂𝘀𝗶𝗰 𝗣𝗲𝗿𝗳𝗼𝗿𝗺𝗮𝗻𝗰𝗲. 𝗠𝘂𝘀𝗶𝗰 𝗣𝗲𝗿𝗳𝗼𝗿𝗺𝗮𝗻𝗰𝗲 𝗥𝗲𝘀𝗲𝗮𝗿𝗰𝗵.



๐ 𝗞𝗲𝗶𝗹, 𝗖. (𝟭𝟵𝟴𝟳). 𝗣𝗮𝗿𝘁𝗶𝗰𝗶𝗽𝗮𝘁𝗼𝗿𝘆 𝗗𝗶𝘀𝗰𝗿𝗲𝗽𝗮𝗻𝗰𝗶𝗲𝘀 𝗮𝗻𝗱 𝘁𝗵𝗲 𝗣𝗼𝘄𝗲𝗿 𝗼𝗳 𝗠𝘂𝘀𝗶𝗰. 𝗖𝘂𝗹𝘁𝘂𝗿𝗮𝗹 𝗔𝗻𝘁𝗵𝗿𝗼𝗽𝗼𝗹𝗼𝗴𝘆.



๐ 𝗖𝗹𝗮𝘆𝘁𝗼𝗻, 𝗠., 𝗟𝗲𝗮𝗻𝘁𝗲, 𝗟., & 𝗗𝘂𝗲𝗰𝗸, 𝗕. (𝟮𝟬𝟭𝟲). 𝗘𝘅𝗽𝗲𝗿𝗶𝗲𝗻𝗰𝗲 𝗮𝗻𝗱 𝗠𝗲𝗮𝗻𝗶𝗻𝗴 𝗶𝗻 𝗠𝘂𝘀𝗶𝗰 𝗣𝗲𝗿𝗳𝗼𝗿𝗺𝗮𝗻𝗰𝗲. 𝗢𝗽𝗲𝗻 𝗨𝗻𝗶𝘃𝗲𝗿𝘀𝗶𝘁𝘆 𝗥𝗲𝘀𝗲𝗮𝗿𝗰𝗵.

 
 
 

Comments


bottom of page