top of page
Writer's pictureDr.Kasem THipayametrakul

𝟭𝟬 𝗥𝘂𝗱𝗶𝗺𝗲𝗻𝘁𝘀 ที่ถ้าคุณต้องการจะเป็นมือกลองที่ประสบความสำเร็จ คุณต้องฝึกและตีมันให้ได้ คือ ⁉️


การเล่นกลองไม่เพียงแค่การตีไม้กลองตามจังหวะที่ได้ยินจากเพลงเท่านั้น แต่ยังต้องมีการฝึกฝนทักษะที่สำคัญ ซึ่งการฝึก 𝗿𝘂𝗱𝗶𝗺𝗲𝗻𝘁𝘀 หรือ "ท่าตีกลองพื้นฐาน" ถือเป็นหนึ่งในขั้นตอนสำคัญในการพัฒนาความสามารถของมือกลองมืออาชีพ การทำความเข้าใจและฝึกฝน 𝗿𝘂𝗱𝗶𝗺𝗲𝗻𝘁𝘀 ที่ถูกต้องจะช่วยให้มือกลองสามารถเล่นได้รวดเร็วและแม่นยำ พร้อมทั้งสามารถประยุกต์ใช้ในเพลงที่มีความซับซ้อนมากขึ้นได้อย่างมีประสิทธิภาพ ในบทความนี้เราจะพาไปเจาะลึกถึง 𝟭𝟬 𝗿𝘂𝗱𝗶𝗺𝗲𝗻𝘁𝘀 ที่มือกลองทุกคนต้องรู้และฝึกให้ได้หากต้องการที่จะประสบความสำเร็จในสายอาชีพนี้



𝟭. 𝗦𝗶𝗻𝗴𝗹𝗲 𝗦𝘁𝗿𝗼𝗸𝗲 𝗥𝗼𝗹𝗹



𝗦𝗶𝗻𝗴𝗹𝗲 𝗦𝘁𝗿𝗼𝗸𝗲 𝗥𝗼𝗹𝗹 ถือเป็นพื้นฐานที่สำคัญที่สุดในการฝึกฝนมือกลองทุกคน เนื่องจากใช้ท่าตีโน้ตสลับระหว่างมือขวาและซ้าย โดยแต่ละโน้ตจะต้องมีความแม่นยำและสมดุล ทำให้การฝึก 𝗦𝗶𝗻𝗴𝗹𝗲 𝗦𝘁𝗿𝗼𝗸𝗲 𝗥𝗼𝗹𝗹 ช่วยเพิ่มความเร็วและความแม่นยำในการตีไม้กลอง ซึ่งจะส่งผลต่อการเล่นในทุกแนวเพลง รวมถึงการเล่นที่ต้องการความต่อเนื่องแบบไม่มีสะดุด



  การฝึกเพิ่มเติม:



การพัฒนาความเร็ว: เริ่มต้นฝึกที่ความเร็วต่ำ เช่น 𝟲𝟬 𝗯𝗽𝗺 แล้วค่อยๆ เพิ่มความเร็วทีละ 𝟱 𝗯𝗽𝗺 โดยต้องรักษาความสมดุลระหว่างมือขวาและมือซ้ายให้ได้



ฝึก 𝗗𝘆𝗻𝗮𝗺𝗶𝗰: การฝึกตีให้มีการเปลี่ยนแปลงระหว่างเสียงเบาและดัง (𝗽𝗽𝗽-𝗳𝗳𝗳) จะช่วยให้คุณสามารถควบคุมแรงของการตีได้ดีขึ้น



  ฝึกตีบนพื้นผิวต่าง ๆ: การฝึกบน 𝗦𝗻𝗮𝗿𝗲, 𝗧𝗼𝗺, หรือ 𝗖𝘆𝗺𝗯𝗮𝗹 ช่วยเพิ่มการควบคุมเสียงและการสัมผัสของไม้กลอง



𝟮. 𝗗𝗼𝘂𝗯𝗹𝗲 𝗦𝘁𝗿𝗼𝗸𝗲 𝗥𝗼𝗹𝗹



𝗗𝗼𝘂𝗯𝗹𝗲 𝗦𝘁𝗿𝗼𝗸𝗲 𝗥𝗼𝗹𝗹 เป็นการตีโน้ตสองครั้งติดต่อกันต่อมือ (ขวา-ขวา ซ้าย-ซ้าย) ซึ่งสำคัญมากสำหรับการสร้างเสียงที่ยาวและต่อเนื่อง โดยจะใช้ได้ทั้งในเพลงที่ต้องการเสียงเร็วและเพลงที่ต้องการการควบคุมเสียงให้มีความลื่นไหล



  การฝึกเพิ่มเติม:



  การเพิ่มความเร็ว: เริ่มที่ความเร็ว 𝟰𝟬 𝗯𝗽𝗺 และเพิ่มทีละ 𝟱 𝗯𝗽𝗺



𝗠𝗼𝗲𝗹𝗹𝗲𝗿 𝗧𝗲𝗰𝗵𝗻𝗶𝗾𝘂𝗲: เทคนิคนี้จะช่วยให้การตี 𝗗𝗼𝘂𝗯𝗹𝗲 𝗦𝘁𝗿𝗼𝗸𝗲 มีพลังและยืดหยุ่นมากขึ้น ทำให้คุณสามารถเล่นได้เร็วขึ้นโดยไม่ต้องใช้แรงมาก



  การควบคุมเสียง: ต้องฝึกให้เสียงทั้งสองครั้งมีความสมดุลกัน ทั้งในแง่ของความดังและการสัมผัสของไม้กลอง



𝟯. 𝗣𝗮𝗿𝗮𝗱𝗶𝗱𝗱𝗹𝗲



𝗣𝗮𝗿𝗮𝗱𝗶𝗱𝗱𝗹𝗲 เป็นการผสมระหว่าง 𝗦𝗶𝗻𝗴𝗹𝗲 𝗦𝘁𝗿𝗼𝗸𝗲 และ 𝗗𝗼𝘂𝗯𝗹𝗲 𝗦𝘁𝗿𝗼𝗸𝗲 ทำให้เป็นท่าตีกลองที่เหมาะสำหรับการเปลี่ยนมือและสร้างการเคลื่อนไหวที่ต่อเนื่อง โดยการฝึก 𝗣𝗮𝗿𝗮𝗱𝗶𝗱𝗱𝗹𝗲 จะช่วยให้คุณสามารถเล่น 𝗙𝗶𝗹𝗹 ที่ซับซ้อนขึ้นได้ รวมถึงการเล่น 𝗚𝗿𝗼𝗼𝘃𝗲 ที่มีความลื่นไหล



  การฝึกเพิ่มเติม:



  การฝึกความเร็ว: เริ่มที่ 𝟲𝟬 𝗯𝗽𝗺 และเพิ่มความเร็วทีละ 𝟭𝟬 𝗯𝗽𝗺 เพื่อให้มือทั้งสองข้างสามารถเคลื่อนไหวได้อย่างคล่องแคล่ว



การปรับ 𝗗𝘆𝗻𝗮𝗺𝗶𝗰: ฝึกตีด้วยการเปลี่ยนความดังระหว่างโน้ต เช่น ตีโน้ตแรกให้ดัง และโน้ตที่สองให้เบาลง หรือฝึกสลับการเน้นในแต่ละมือ



ฝึกตีบน 𝗦𝗻𝗮𝗿𝗲, 𝗧𝗼𝗺, และ 𝗛𝗶-𝗛𝗮𝘁: การฝึก 𝗣𝗮𝗿𝗮𝗱𝗶𝗱𝗱𝗹𝗲 บนพื้นผิวต่าง ๆ จะช่วยให้คุณปรับการสัมผัสและเพิ่มความหลากหลายในการเล่น



𝟰. 𝗙𝗹𝗮𝗺



𝗙𝗹𝗮𝗺 คือการตีสองโน้ตที่ไม่พร้อมกัน โดยโน้ตแรกจะเป็น 𝗚𝗿𝗮𝗰𝗲 𝗡𝗼𝘁𝗲 ที่เบาและตามด้วยโน้ตหลักที่ดังขึ้น 𝗙𝗹𝗮𝗺 ใช้เพื่อเพิ่มสีสันและความละเอียดในการตี โดยจะช่วยสร้างความเนียนในเสียงและเพิ่มความพลังให้กับการเล่น



  การฝึกเพิ่มเติม:



การควบคุมระยะห่าง: ต้องฝึกให้โน้ตแรก (𝗚𝗿𝗮𝗰𝗲 𝗡𝗼𝘁𝗲) อยู่ห่างจากโน้ตหลักที่ประมาณ 𝟮𝟬𝗺𝘀, 𝟰𝟬𝗺𝘀, และ 𝟲𝟬𝗺𝘀 ขึ้นอยู่กับความต้องการ


 


ฝึกกับ 𝗦𝗻𝗮𝗿𝗲 และ 𝗖𝘆𝗺𝗯𝗮𝗹: การฝึก 𝗙𝗹𝗮𝗺 บน 𝗦𝗻𝗮𝗿𝗲 และ 𝗖𝘆𝗺𝗯𝗮𝗹 ช่วยให้คุณสามารถควบคุมเสียงได้ดีขึ้นและใช้ 𝗙𝗹𝗮𝗺 ได้หลากหลาย


 


  การสร้าง 𝗙𝗶𝗹𝗹: คุณสามารถใช้ 𝗙𝗹𝗮𝗺 ในการสร้าง 𝗙𝗶𝗹𝗹 ที่ต้องการอารมณ์และการเน้นเสียงในบางช่วงของเพลง



𝟱. 𝗗𝗿𝗮𝗴



𝗗𝗿𝗮𝗴 คล้ายกับ 𝗙𝗹𝗮𝗺 แต่มีการตีสองครั้งก่อนโน้ตหลัก ซึ่งทำให้เสียงที่ได้มีความซับซ้อนและละเอียดมากขึ้น 𝗗𝗿𝗮𝗴 เป็นท่าที่ใช้ในการสร้างจังหวะที่ยืดหยุ่นและนุ่มนวล โดยเฉพาะในเพลง 𝗝𝗮𝘇𝘇 หรือ 𝗙𝘂𝗻𝗸



  การฝึกเพิ่มเติม:



  ฝึกความเร็ว: เริ่มที่ 𝟲𝟬 𝗯𝗽𝗺 และค่อยๆ เพิ่มความเร็วทีละ 𝟭𝟬 𝗯𝗽𝗺



  ฝึก 𝗗𝘆𝗻𝗮𝗺𝗶𝗰: สามารถฝึกให้โน้ตแรกและโน้ตที่สองมีความดังไม่เท่ากันเพื่อเพิ่มความหลากหลาย



ฝึกบน 𝗦𝗻𝗮𝗿𝗲 และ 𝗧𝗼𝗺: การฝึก 𝗗𝗿𝗮𝗴 บนพื้นผิวต่าง ๆ จะช่วยให้คุณได้สัมผัสเสียงที่หลากหลายและช่วยพัฒนาทักษะในการควบคุมการตี



𝟲. 𝗦𝗶𝗻𝗴𝗹𝗲 𝗣𝗮𝗿𝗮𝗱𝗶𝗱𝗱𝗹𝗲-𝗱𝗶𝗱𝗱𝗹𝗲



𝗦𝗶𝗻𝗴𝗹𝗲 𝗣𝗮𝗿𝗮𝗱𝗶𝗱𝗱𝗹𝗲-𝗱𝗶𝗱𝗱𝗹𝗲 เป็นการผสมระหว่าง 𝗣𝗮𝗿𝗮𝗱𝗶𝗱𝗱𝗹𝗲 กับการเพิ่มโน้ตซ้ำท้าย (𝗥-𝗥 หรือ 𝗟-𝗟) ทำให้เป็นท่าที่มีความซับซ้อนและยืดหยุ่นมากขึ้น เหมาะสำหรับการสร้าง 𝗚𝗿𝗼𝗼𝘃𝗲 ที่มีความต่อเนื่องและละเอียดมากขึ้น



  การฝึกเพิ่มเติม:



  การเพิ่มความเร็ว: เริ่มที่ 𝟴𝟬 𝗯𝗽𝗺 และเพิ่มความเร็วทีละ 𝟭𝟬 𝗯𝗽𝗺



  การใช้ 𝗗𝘆𝗻𝗮𝗺𝗶𝗰: ฝึกให้แต่ละโน้ตในท่ามีเสียงที่แตกต่างกัน เช่น โน้ตที่หนึ่งดังและโน้ตที่สองเบา



การปรับจังหวะ: คุณสามารถนำ 𝗣𝗮𝗿𝗮𝗱𝗶𝗱𝗱𝗹𝗲-𝗱𝗶𝗱𝗱𝗹𝗲 มาฝึกบน 𝗛𝗶-𝗛𝗮𝘁 หรือ 𝗦𝗻𝗮𝗿𝗲 เพื่อเพิ่มความหลากหลายในการเล่น



𝟳. 𝗙𝗶𝘃𝗲 𝗦𝘁𝗿𝗼𝗸𝗲 𝗥𝗼𝗹𝗹



𝗙𝗶𝘃𝗲 𝗦𝘁𝗿𝗼𝗸𝗲 𝗥𝗼𝗹𝗹 เป็นการ 𝗥𝗼𝗹𝗹 ห้าครั้งและจบด้วยโน้ตหลัก (𝗥 หรือ 𝗟) ใช้สำหรับการเน้นเสียงในจังหวะที่ต้องการพลังและความหนักแน่น โดยใช้ในเพลงที่ต้องการความแข็งแกร่งหรือใน 𝗠𝗮𝗿𝗰𝗵𝗶𝗻𝗴 𝗕𝗮𝗻𝗱



  การฝึกเพิ่มเติม:



  การควบคุมการตี: คุณต้องฝึกการใช้ 𝗠𝗼𝗲𝗹𝗹𝗲𝗿 𝗦𝘁𝗿𝗼𝗸𝗲 เพื่อให้การตีมีพลังและรวดเร็ว



  𝗔𝗰𝗰𝗲𝗻𝘁: ฝึกให้โน้ตสุดท้ายมีเสียงที่ดังขึ้นเพื่อเพิ่มความเน้น



  การฝึกบน 𝗣𝗿𝗮𝗰𝘁𝗶𝗰𝗲 𝗣𝗮𝗱: ช่วยให้คุณควบคุมความละเอียดในการตีได้ดีขึ้น



𝟴. 𝗦𝗲𝘃𝗲𝗻 𝗦𝘁𝗿𝗼𝗸𝗲 𝗥𝗼𝗹𝗹



𝗦𝗲𝘃𝗲𝗻 𝗦𝘁𝗿𝗼𝗸𝗲 𝗥𝗼𝗹𝗹 เป็นการ 𝗥𝗼𝗹𝗹 ที่ยาวขึ้นจาก 𝗙𝗶𝘃𝗲 𝗦𝘁𝗿𝗼𝗸𝗲 𝗥𝗼𝗹𝗹 โดยเพิ่มความต่อเนื่องในจังหวะ ช่วยให้คุณสร้างความซับซ้อนและไหลลื่นในการตี



  การฝึกเพิ่มเติม:



  การฝึกความเร็ว: เริ่มจาก 𝟱𝟬 𝗯𝗽𝗺 และค่อยๆ เพิ่มความเร็ว



  การเพิ่ม 𝗔𝗰𝗰𝗲𝗻𝘁: ฝึกการเพิ่ม 𝗔𝗰𝗰𝗲𝗻𝘁 ในโน้ตแรกและสุดท้ายเพื่อให้จังหวะดูมีชีวิตชีวามากขึ้น



  การฝึกบน 𝗦𝗻𝗮𝗿𝗲 และ 𝗧𝗼𝗺: เพิ่มความหลากหลายในการเคลื่อนไหวของมือ



𝟵. 𝗗𝗼𝘂𝗯𝗹𝗲 𝗣𝗮𝗿𝗮𝗱𝗶𝗱𝗱𝗹𝗲



𝗗𝗼𝘂𝗯𝗹𝗲 𝗣𝗮𝗿𝗮𝗱𝗶𝗱𝗱𝗹𝗲 เป็นการขยายจาก 𝗣𝗮𝗿𝗮𝗱𝗶𝗱𝗱𝗹𝗲 โดยเพิ่มความยาวของท่าทำให้มีความซับซ้อนขึ้น เหมาะสำหรับการสร้าง 𝗚𝗿𝗼𝗼𝘃𝗲 ที่ต่อเนื่องในเพลง 𝗣𝗿𝗼𝗴𝗿𝗲𝘀𝘀𝗶𝘃𝗲 หรือ 𝗙𝘂𝘀𝗶𝗼𝗻



  การฝึกเพิ่มเติม:



  การฝึกความเร็ว: เริ่มที่ 𝟲𝟬 𝗯𝗽𝗺 และเพิ่มทีละ 𝟱 𝗯𝗽𝗺



  การฝึก 𝗔𝗰𝗰𝗲𝗻𝘁: ฝึกตีให้โน้ตแรกและสุดท้ายมีความดังขึ้น



  การใช้เมโทรโนม: ช่วยให้คุณฝึกฝนจังหวะได้ถูกต้อง



𝟭𝟬. 𝗙𝗹𝗮𝗺 𝗧𝗮𝗽



𝗙𝗹𝗮𝗺 𝗧𝗮𝗽 เป็นการรวม 𝗙𝗹𝗮𝗺 และการตีโน้ตซ้ำ ซึ่งใช้ในการเพิ่มความพลังและความมีชีวิตชีวาให้กับจังหวะ เหมาะสำหรับการใช้ใน 𝗠𝗮𝗿𝗰𝗵𝗶𝗻𝗴 𝗕𝗮𝗻𝗱 หรือเพลง 𝗖𝗹𝗮𝘀𝘀𝗶𝗰𝗮𝗹



  การฝึกเพิ่มเติม:



  การควบคุม 𝗚𝗿𝗮𝗰𝗲 𝗡𝗼𝘁𝗲: รักษาระยะห่างของ 𝗚𝗿𝗮𝗰𝗲 𝗡𝗼𝘁𝗲 ให้พอดีเพื่อให้เสียง 𝗙𝗹𝗮𝗺 ดูเนียน



  การเพิ่มความเร็ว: ฝึก 𝗙𝗹𝗮𝗺 𝗧𝗮𝗽 โดยเพิ่มความเร็วทีละ 𝟱 𝗯𝗽𝗺



  การฝึก 𝗗𝘆𝗻𝗮𝗺𝗶𝗰: การฝึกให้โน้ตที่เป็น 𝗚𝗿𝗮𝗰𝗲 𝗡𝗼𝘁𝗲 เบาและโน้ตหลักดัง



การฝึกฝน 𝗿𝘂𝗱𝗶𝗺𝗲𝗻𝘁𝘀 เป็นเส้นทางสู่ความสำเร็จในการเป็นมือกลองที่มีความสามารถและมั่นคงในอาชีพ ไม่ว่าจะเป็นการเล่นในวงดนตรีหรืองานแสดงต่างๆ การเข้าใจและฝึกฝนเทคนิคพื้นฐานเหล่านี้อย่างถูกต้องจะช่วยให้มือกลองสามารถพัฒนาทักษะและประยุกต์ใช้ในการสร้างสรรค์เสียงดนตรีที่หลากหลายได้อย่างมีประสิทธิภาพ



อย่างไรก็ตาม การฝึกฝนทักษะเหล่านี้ต้องอาศัยเวลาและความพยายาม การตีไม้กลองให้ได้ตามที่ต้องการนั้นไม่ใช่เรื่องง่าย แต่ด้วยความพยายามและความมุ่งมั่นจากการฝึกฝนซ้ำๆ จะทำให้คุณสามารถพัฒนาเป็นมือกลองที่มีความชำนาญ สามารถเล่นเพลงที่ท้าทายและสร้างสรรค์จังหวะใหม่ๆ ได้อย่างไม่มีขีดจำกัด



ดังนั้น อย่าหยุดที่จะฝึกซ้อมและพัฒนาทักษะต่างๆ ที่คุณมี เพราะสิ่งเหล่านี้จะเป็นกุญแจสำคัญที่ทำให้คุณเป็นมือกลองที่ประสบความสำเร็จและได้รับการยอมรับในวงการดนตรีในที่สุด ทั้งนี้ สิ่งสำคัญที่สุดคือการสนุกกับการฝึกฝนและการสร้างเสียงดนตรี เพราะดนตรีไม่ได้เป็นเพียงแค่ทักษะหรือความสามารถ แต่ยังเป็นการแสดงออกทางอารมณ์และความรู้สึกที่สามารถเชื่อมโยงคนทั้งโลกได้



ขอให้ทุกการฝึกซ้อมของคุณเต็มไปด้วยแรงบันดาลใจและความสำเร็จในทุกๆ ก้าวที่คุณเดินครับ

1 view0 comments

Comments


bottom of page