ถ้าเพลงคือภาพวาด ตัวโน้ตคืออะไร❓และความเงียบคือสีอะไร❓
- Dr.Kasem THipayametrakul
- May 2
- 3 min read

การเปรียบเทียบระหว่างศิลปะเสียง (ดนตรี) และศิลปะภาพ (จิตรกรรม) ไม่ใช่เรื่องใหม่ในโลกของมนุษย์ ความสัมพันธ์ระหว่าง “สิ่งที่ได้ยิน” กับ “สิ่งที่มองเห็น” กลับกลายเป็นเครื่องมือทางปรัชญาในการสำรวจธรรมชาติของการรับรู้ ความงาม และความหมาย เมื่อดนตรีถูกเปรียบกับภาพวาด คำถามหนึ่งที่ผุดขึ้นคือ — หากดนตรีคือภาพวาด ตัวโน้ตจะเปรียบได้กับอะไร? และความเงียบที่อยู่ระหว่างเสียงเหล่านั้น ควรมีสถานะอย่างไรในภาพที่วาดด้วยเสียง?
ในกระบวนการสร้างสรรค์ดนตรี ตัวโน้ตทำหน้าที่เป็นหน่วยย่อยที่บันทึก “เสียง” ให้อยู่ในรูปแบบที่สามารถเขียน อ่าน และเล่นซ้ำได้ ไม่ว่าจะเป็นโน้ตดนตรีตะวันตกที่ใช้ระบบห้าเส้น หรือโน้ตในดนตรีไทยที่บันทึกด้วยอักษรย่อในระดับเสียง ตัวโน้ตล้วนทำหน้าที่คล้ายคลึงกัน คือทำให้สิ่งที่ไร้รูปทรงและไม่สามารถจับต้องได้อย่าง "เสียง" กลายเป็นสิ่งที่สามารถเข้าใจและจัดระเบียบได้ในระดับสัญลักษณ์
อย่างไรก็ตาม คำถามพื้นฐานที่ตามมาคือ ตัวโน้ตนั้นมีสถานะเช่นไรต่อผลงานดนตรีจริง ๆ?
#ตัวโน้ตในฐานะ “เส้นร่าง” (𝗦𝗸𝗲𝘁𝗰𝗵)
หากมองตัวโน้ตเป็น "เส้นร่าง" ก็เท่ากับว่า โน้ตไม่ได้มีสถานะเป็นตัวงานศิลปะโดยตัวมันเอง แต่เป็นเพียงแบบร่างที่เปิดโอกาสให้ตีความเสมอ การเล่นดนตรีตามโน้ต จึงไม่ใช่การทำซ้ำ แต่เป็นการ "แปล" งานต้นแบบออกมาในรูปแบบเฉพาะที่ขึ้นกับศิลปินแต่ละคน
ในแง่นี้ โน้ตอาจทำหน้าที่คล้ายเส้นดินสอในงานจิตรกรรมที่ช่างศิลป์ใช้ร่างองค์ประกอบหลักก่อนลงสีจริง — ผู้ฟังจะไม่เห็นเส้นร่างนี้โดยตรง แต่ก็รับรู้ได้จากผลลัพธ์สุดท้ายของภาพ
คำถามที่อาจเกิดขึ้นคือ:
๐ ถ้าโน้ตคือเส้นร่าง แล้วการฟังดนตรีที่ต่างศิลปินเล่นจากโน้ตเดียวกัน หมายถึงการดูภาพที่วาดจากแบบร่างเดียวแต่ลงสีต่างกันใช่หรือไม่?
๐ แล้วถ้าเส้นร่างนี้ไม่สมบูรณ์ หรือถูกตีความคลาดเคลื่อน งานศิลปะที่เกิดขึ้นยังถือว่าถูกต้องตามต้นแบบหรือเปล่า?
#ตัวโน้ตในฐานะ “ระบบสัญลักษณ์” (𝗦𝘆𝗺𝗯𝗼𝗹𝗶𝗰 𝗦𝘆𝘀𝘁𝗲𝗺)
อีกมุมหนึ่ง ตัวโน้ตอาจไม่ได้เป็นแค่ร่างแบบ แต่คือ "ระบบสัญลักษณ์" ที่มีโครงสร้างในตัวเองและมีความหมายภายในระบบนั้น คล้ายกับภาษาเขียนหรือคณิตศาสตร์ ตัวโน้ตบอกระดับเสียง (𝗽𝗶𝘁𝗰𝗵), ความยาว (𝗱𝘂𝗿𝗮𝘁𝗶𝗼𝗻), จังหวะ (𝗿𝗵𝘆𝘁𝗵𝗺), ความดัง (𝗱𝘆𝗻𝗮𝗺𝗶𝗰𝘀) และการเปลี่ยนแปลงต่าง ๆ ที่ผู้เล่นสามารถเข้าใจและปฏิบัติตามได้อย่างแม่นยำ
ในกรณีนี้ ตัวโน้ตจึงมีสถานะ “ใกล้เคียงกับภาษา” มากกว่าจะเป็นเส้นร่างภาพ มันไม่ใช่เพียงแบบจำลองของเสียง แต่คือระบบการสื่อสารที่ต้องเรียนรู้ และต้องการผู้รู้ในการตีความ
คำถามที่อาจใช้สำรวจแนวคิดนี้เพิ่มเติมคือ
๐ หากตัวโน้ตคือภาษาหนึ่ง ดนตรีที่ไม่มีการบันทึก เช่น ดนตรีพื้นบ้านที่สืบต่อด้วยการฟังและเลียนแบบ จะถือเป็น “ภาษาพูด” ในโลกของดนตรีได้หรือไม่?
๐ ถ้าตัวโน้ตเป็นสัญลักษณ์ที่ต้องการการตีความ แล้วการเล่นโดยใช้ "ความรู้สึก" มากกว่า "การอ่าน" จะถือว่าเป็นการใช้ภาษาเดียวกันหรือไม่?
ความแตกต่างระหว่างการมองตัวโน้ตเป็น "เส้นร่าง" กับ "ระบบสัญลักษณ์" สะท้อนแนวคิดสองกระแสในศิลปะและวัฒนธรรมดนตรีทั่วโลก บางแนวคิดเชิดชู “การตีความอย่างมีชีวิต” ที่ยืดหยุ่นและไม่ยึดติดกับโน้ต ขณะที่อีกแนวทางเน้น “ความถูกต้องตามบทประพันธ์” และความแม่นยำของการอ่านโน้ต
คำถามคือ:
๐ ตัวโน้ตจำเป็นแค่ไหนในกระบวนการสร้างสรรค์? หรือมันเป็นเพียงเครื่องมือที่ช่วยให้คนอื่น “เข้าใกล้” ความคิดของผู้แต่ง?
๐ ถ้าไม่มีโน้ต—ดนตรีจะยังอยู่ได้หรือไม่? หรือการบันทึกคือสิ่งที่จำเป็นเพื่อให้ดนตรีคงอยู่ข้ามยุคสมัย?
๐ เมื่อเทคโนโลยีสามารถบันทึกเสียงจริงได้แล้ว ตัวโน้ตยังจำเป็นอยู่หรือไม่ในโลกดิจิทัล?
เสียงคือสารตั้งต้นของดนตรี และเมื่อมองในฐานะองค์ประกอบทางศิลปะ เสียงก็มีคุณสมบัติที่คล้ายคลึงกับ “สี” ในโลกทัศนศิลป์—ทั้งในเชิงสัมผัส (𝗱𝗲𝗻𝘀𝗶𝘁𝘆), อารมณ์ (𝗲𝗺𝗼𝘁𝗶𝗼𝗻), และโทน (𝘁𝗲𝗺𝗽𝗲𝗿𝗮𝘁𝘂𝗿𝗲) เสียงสามารถหนาแน่นหรือละเอียดเบาบาง สามารถอบอุ่นหรือเย็นชา สามารถส่งความรู้สึกเคร่งขรึมหรือสนุกสนานได้โดยไม่ต้องพึ่งถ้อยคำใด ๆ ทั้งสิ้น
ในแง่นี้ การใช้เสียงในดนตรีจึงเป็นมากกว่าการวางองค์ประกอบเพื่อเติมเต็มความเงียบ—มันคือกระบวนการสร้างสรรค์ที่อาจเป็นการแต่งเติมบางอย่าง หรือกลับกัน อาจเป็นการรื้อทำลายรูปแบบเดิมทั้งหมดเพื่อสร้างโลกใหม่ขึ้นมา
#เสียงในฐานะ “การแต่งเติม”
ในบางกรณี เสียงทำหน้าที่คล้ายกับการ “ลงสี” ให้กับแบบร่างของดนตรี โดยเฉพาะในดนตรีที่ยึดตามแนวโครงสร้าง (𝗳𝗼𝗿𝗺-𝗯𝗮𝘀𝗲𝗱 𝗺𝘂𝘀𝗶𝗰) เสียงถูกใช้เพื่อเน้นจังหวะ, อารมณ์ หรือเสริมสร้างความรู้สึกเฉพาะจุด เปรียบเสมือนการระบายสีลงบนโครงสร้างทางเรขาคณิต
ดนตรีประเภทนี้มักเน้นการเลือกใช้เสียงอย่างประณีต เสียงที่มากเกินไปอาจทำให้โครงสร้างเสียสมดุล คล้ายภาพที่ใช้สีมากเกินความจำเป็นจนเกิดความวุ่นวายทางสายตา
คำถามที่ตามมาคือ
๐ ดนตรีจำเป็นต้องมี “เสียงที่เพียงพอ” เพื่อสื่อสารหรือไม่? แล้วคำว่า “เพียงพอ” ในที่นี้ใครเป็นผู้กำหนด?
๐ ถ้าเสียงทำหน้าที่เหมือนสีในการลงบนผืนผ้าใบแห่งความเงียบ แล้วการจัดวางเสียงคือศิลปะของการ “แต่งเติม” หรือไม่?
#เสียงในฐานะ “การรื้อสร้าง”
ในขณะเดียวกัน ดนตรีบางแขนงกลับใช้เสียงอย่างเป็นอิสระจากโครงสร้างดั้งเดิม เช่นในดนตรีแนวดนตรีอาว็อง-การ์ด (𝗮𝘃𝗮𝗻𝘁-𝗴𝗮𝗿𝗱𝗲), ดนตรีทดลอง (𝗲𝘅𝗽𝗲𝗿𝗶𝗺𝗲𝗻𝘁𝗮𝗹), หรือดนตรี 𝗡𝗼𝗶𝘀𝗲 เสียงในดนตรีเหล่านี้ไม่ใช่เพียงองค์ประกอบตกแต่ง แต่เป็น “เนื้อหา” โดยตัวของมันเอง และหลายครั้งมีเป้าหมายเพื่อรื้อถอนความคุ้นเคยทางโสตประสาท
เสียงในบริบทนี้อาจเปรียบได้กับการใช้องค์ประกอบของสีแบบอัตโนมัติ ไม่เป็นระบบ หรือท้าทายโครงสร้างภาพวาดแบบคลาสสิก เช่นเดียวกับที่จิตรกรในยุคโมเดิร์นบางคนใช้ “สีกระเด็น” หรือ “พื้นผิวที่ขรุขระ” เพื่อรื้อความงามในแบบเดิม
คำถามที่ตามมาคือ:
๐ การใช้เสียงแบบไม่ยึดติดกับโครงสร้างคือการรื้อหรือการค้นหาอิสรภาพใหม่?
๐ เสียงที่ฟังไม่ออกว่าเป็น “ดนตรี” ยังถือเป็นงานดนตรีได้หรือไม่?
#ความสำคัญของ “เสียงที่ไม่ได้ใช้”
เมื่อพูดถึงเสียงในฐานะองค์ประกอบหลักของดนตรี เรามักมองข้ามสิ่งที่สำคัญไม่แพ้กัน—ความเงียบ หรือ “เสียงที่ไม่ได้ใช้” ซึ่งอาจเปรียบได้กับพื้นที่ว่างในภาพวาด หรือพื้นที่ที่ไม่ได้ลงสี
ความเงียบไม่ใช่ความว่างเปล่า หากแต่เป็นพื้นหลังที่ทำให้เสียงโดดเด่น เช่นเดียวกับที่พื้นที่ขาวทำให้สีแดงจัดดูเข้มขึ้น หรือความไม่มีกลิ่นทำให้กลิ่นบางอย่างชัดเจนขึ้น
ในทางกลับกัน เสียงที่มากเกินไปอาจทำให้เกิดอาการล้า หลงทาง หรือแม้แต่ “ดับ” อารมณ์ที่ต้องการจะสื่อออกไป
คำถามเพื่อการไตร่ตรองอาจรวมถึง:
๐ เสียงที่เลือก “ไม่ใช้” สำคัญพอ ๆ กับเสียงที่เลือกใช้หรือไม่?
๐ เราจะเข้าใจ “การมีอยู่” ของเสียงได้อย่างไร หากเราไม่เข้าใจ “การไม่อยู่” ของเสียง หรือความเงียบ?
๐ ความเงียบในดนตรีทำหน้าที่เหมือน "แสง" ในภาพถ่ายหรือไม่—ที่ไม่ใช่เพียงสิ่งที่เห็น แต่คือสิ่งที่กำหนดความหมายของสิ่งที่เห็น?
𝟯. #ความเงียบในฐานะพื้นที่ว่าง: ว่างเปล่าหรือเต็มไปด้วยนัย?
ในโลกของดนตรี “ความเงียบ” (หรือ 𝗿𝗲𝘀𝘁) อาจดูเป็นช่วงเวลาที่ไม่มีอะไรเกิดขึ้น แต่ในทางกลับกัน มันคือองค์ประกอบที่มีพลังยิ่งในการชี้นำและกำหนดความหมายของเสียงอื่น ๆ ที่ปรากฏก่อนและหลังมัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อวางไว้อย่างจงใจ ความเงียบไม่เพียงแต่หยุด “เสียง” หากยังปลุกเร้า “ความคาดหวัง” และ “ความรู้สึก” ที่อยู่ระหว่างบรรทัดของเสียงอีกด้วย
เช่นเดียวกับที่พื้นที่ว่างในจิตรกรรมถูกใช้เพื่อจัดสมดุลให้ภาพ ความเงียบในดนตรีก็มีบทบาทคล้ายคลึงกัน เสียงที่เกิดขึ้นทั้งหมดไม่ได้มีความหมายในตัวของมันเอง หากไม่มี "กรอบเวลา" ที่ความเงียบกำหนดให้
ลองเปรียบเทียบกับภาพวาด พื้นที่ว่างไม่เพียงแต่ช่วยให้สายตาหยุดพัก แต่ยังเป็นตัวขับเน้นให้ภาพองค์รวม “หายใจ” ได้ เช่นเดียวกัน ความเงียบในดนตรีเป็นช่วงที่หูและจิตใจได้ "หยุด" เพื่อแปลความหมายของสิ่งที่เพิ่งได้ยิน หรือเตรียมรับสิ่งที่กำลังจะมา
ความเงียบจึงไม่ได้เป็นเพียง “ไม่มีเสียง” หากแต่เป็น “สนาม” ที่เปิดให้การรับรู้สามารถทำงานได้เต็มที่
เมื่อไม่มีเสียง หูของมนุษย์กลับ “ตื่น” มากขึ้น ความเงียบในดนตรีจึงมักไม่ถูกตีความว่าเป็นจุดสิ้นสุด แต่เป็นสัญญาณของการรอคอย เป็นแรงขับของการตั้งคำถาม หรือแม้กระทั่งเป็นสิ่งเร้าที่เรียกร้องการมีส่วนร่วมทางอารมณ์จากผู้ฟัง
ดนตรีของ 𝗝𝗼𝗵𝗻 𝗖𝗮𝗴𝗲 โดยเฉพาะผลงาน 𝟰'𝟯𝟯" ที่ทั้งบทเพลงเต็มไปด้วย “ความเงียบ” กลายเป็นการตั้งคำถามว่าจริง ๆ แล้ว เราเคยฟัง “ความเงียบ” อย่างแท้จริงหรือไม่? หรือความเงียบในดนตรีเป็นเพียงพื้นหลังที่ถูกละเลย?
ในงานจิตรกรรม แนวคิดของ “𝗻𝗲𝗴𝗮𝘁𝗶𝘃𝗲 𝘀𝗽𝗮𝗰𝗲” หรือพื้นที่ว่างรอบวัตถุ ไม่เพียงแต่ทำให้วัตถุดูชัดเจนขึ้น แต่ยังเผยให้เห็น “สิ่งที่ไม่อยู่ตรงหน้า” ความเงียบในดนตรีก็เช่นกัน มันคือการเผยให้เห็นสิ่งที่ไม่ได้ถูกเปล่งออกมา—อารมณ์ ความรู้สึก หรือแม้แต่ความไม่แน่ใจ
#ความเงียบเป็น “สี” หรือ “ความว่าง”?
คำถามที่ตามมาคือ ความเงียบคือ “สีเทา” ที่ให้มิติและความลึกกับเสียงอื่น ๆ? หรือคือ “ความว่าง” ที่หลีกทางให้เสียงโดดเด่นขึ้น?
ในบางครั้ง การตีความ ความเงียบเปรียบได้กับ “สีกลาง” ที่ไม่ชัดเจน ไม่เอียงไปทางใด แต่มีพลังของการรองรับ เปลี่ยนผ่าน และย้ำเน้น เช่นเดียวกับโทนสีเทาในงานจิตรกรรมที่เชื่อมโยงความสว่างและความมืดเข้าด้วยกัน
แต่อีกด้านหนึ่ง ความเงียบก็อาจเป็น “พื้นที่เปล่า” ที่ว่างเปล่าโดยสิ้นเชิง—ไม่ใช่เพราะไม่มีเสียง แต่เพราะมันเป็นที่ว่างให้ความหมายใหม่เกิดขึ้น
คำถามคือ:
๐ ความเงียบเป็นเพียงสิ่งที่ทำให้เสียงชัดเจนขึ้น หรือมันมีคุณค่าในตัวของมันเอง?
๐ ผู้ฟังจะยังรับรู้ความเงียบเป็นดนตรีอยู่หรือไม่ หากไม่เคยได้ยินเสียงมาก่อน?
ความสามารถในการ “ได้ยิน” ความเงียบในฐานะสิ่งที่มีนัยยะ ไม่ใช่สิ่งที่เกิดขึ้นอัตโนมัติกับทุกคน ในหลายวัฒนธรรม ความเงียบอาจถูกมองว่าเป็นช่องว่างที่ต้องถูกเติมเต็ม หรือเป็นสัญญาณของความอึดอัดใจ
ในทางตรงกันข้าม วัฒนธรรมบางแห่ง เช่นในญี่ปุ่น แนวคิด “𝗠𝗮” ให้ความสำคัญกับช่องว่างและความเงียบในฐานะที่มี “คุณค่า” เป็นศิลปะแห่งการเว้นจังหวะ และมักสื่อถึงความกลมกลืนที่ไม่ได้เกิดจากสิ่งที่ถูกเติมลงไป แต่เกิดจากสิ่งที่ “ไม่ได้พูด”
คำถามที่ตามมา:
๐ การรับรู้ความเงียบในดนตรีต้องผ่านการฝึกฝนหรือประสบการณ์โดยตรงหรือไม่?
๐ ผู้ฟังสามารถ “เรียนรู้” ที่จะฟังความเงียบได้หรือไม่? หรือมันคือความสามารถโดยกำเนิดที่ถูกหลงลืมไป?
๐ ถ้าเราอยู่ในโลกที่เต็มไปด้วยเสียงรบกวนตลอดเวลา เรายังสามารถฟังความเงียบได้อยู่ไหม?
เมื่อเปรียบดนตรีเป็นภาพ บทบาทของผู้ฟังอาจดูคล้ายคลึงกับผู้ชมงานศิลปะ ทว่าเมื่อพิจารณาในมิติของเวลา กลับพบความแตกต่างที่สำคัญอย่างยิ่ง ดนตรีเป็นศิลปะแห่งกาลเวลา (𝘁𝗲𝗺𝗽𝗼𝗿𝗮𝗹 𝗮𝗿𝘁) ขณะที่จิตรกรรมเป็นศิลปะแห่งพื้นที่ (𝘀𝗽𝗮𝘁𝗶𝗮𝗹 𝗮𝗿𝘁)
ภาพสามารถหยุดนิ่งและให้ผู้ชมใช้เวลาพินิจพิเคราะห์ตามอำเภอใจได้โดยไม่มีข้อจำกัด แต่ดนตรีไม่อาจ "หยุด" ไหลได้ตามธรรมชาติ ผู้ฟังจึงต้องดำเนินไปพร้อมกับมันอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ และนี่คือจุดที่ประสบการณ์ของทั้งสองแตกต่างกันอย่างมีนัย
เมื่อเสียงแรกของดนตรีเริ่มต้นขึ้น ผู้ฟังถูกพาเข้าสู่เส้นเวลาหนึ่งที่ไม่อาจย้อนกลับได้โดยไม่ใช้เครื่องมือหรือเทคโนโลยี เช่น การกรอเทป การกดเล่นซ้ำ หรือการรีมิกซ์
เสียง—รวมถึงความเงียบในดนตรี—จึงเป็นสิ่งที่ "ผ่านพ้น" และต้องถูกฟังในเวลาที่มันเกิดขึ้นเท่านั้น ความหมายของเสียงในดนตรีจึงไม่ได้ขึ้นอยู่กับเสียงนั้นลำพัง แต่อยู่ที่จังหวะ การเว้นวรรค และการเชื่อมโยงกับเสียงอื่นก่อนหน้าและหลังจากนั้น
ในจิตรกรรม "พื้นที่ว่าง" หรือ 𝗻𝗲𝗴𝗮𝘁𝗶𝘃𝗲 𝘀𝗽𝗮𝗰𝗲 คือสิ่งที่ผู้ชมสามารถ “หยุดดู” ได้ตลอดเวลา ผู้ชมสามารถพิจารณาพื้นที่นั้นในฐานะที่มีความหมายของตัวมันเอง หรือจะปล่อยให้มันช่วยขับเน้นวัตถุอื่นก็ได้
แต่ในดนตรี "ความเงียบ" ไม่อาจถูกทำให้คงอยู่ได้อย่างไม่สิ้นสุด เพราะโดยธรรมชาติแล้วมันมี “จุดสิ้นสุด” หรือกำหนดไว้ในโครงสร้างของเวลา
ดังนั้น ความเงียบในดนตรีจึงเป็นการรอคอย ไม่ใช่การคงอยู่ มันเปิดพื้นที่ทางอารมณ์เพียงชั่วคราวเท่านั้น และมักกระตุ้นความรู้สึกคาดหวัง หวั่นไหว หรือแม้กระทั่งตึงเครียด ขณะที่พื้นที่ว่างในภาพอาจให้ความสงบหรือการคลี่คลายทางสายตา
เวลาคือปัจจัยสำคัญที่ทำให้ดนตรีแตกต่างจากภาพ แม้ว่าเสียงจะสามารถบันทึกไว้เพื่อฟังซ้ำได้ แต่ในแต่ละครั้งที่ผู้ฟังกลับมาฟังใหม่ ประสบการณ์ก็ไม่เหมือนเดิม เพราะสภาพแวดล้อม สภาพจิตใจ และความคาดหวังของผู้ฟังเปลี่ยนแปลงอยู่เสมอ
ในทางกลับกัน ภาพหรือวัตถุทางศิลปะสามารถคงสภาพและรายละเอียดไว้ได้ชัดเจน แม้ผู้ชมจะเปลี่ยนไปก็ตาม
เวลาในดนตรีจึงไม่ใช่แค่กรอบของการเกิดเสียงเท่านั้น แต่ยังเป็น “ตัวละคร” อีกตัวหนึ่งที่ร่วมแสดงอยู่ในบทเพลงนั้นด้วย
ในโลกปัจจุบันที่เต็มไปด้วยเสียงรบกวน ความเงียบกลายเป็นสิ่งหายาก การได้ฟังความเงียบจึงไม่ใช่เพียงการหยุดเสียง แต่เป็นการถอนตัวจากบริบทของโลกที่มีเสียงตลอดเวลา
ในแง่นี้ ความเงียบในดนตรีอาจไม่ใช่เพียง "ช่วงพัก" ระหว่างเสียง แต่กลายเป็น "พื้นที่ศักดิ์สิทธิ์" ที่ผู้ฟังได้สัมผัสกับสภาวะที่หายไปจากชีวิตประจำวัน
𝟱. #บทสรุปที่ไม่มีคำตอบ: #เมื่อเสียงและความเงียบคือองค์ประกอบร่วม
การพยายามเปรียบเทียบดนตรีกับจิตรกรรม ไม่ใช่ความพยายามเพื่อ “แทนที่” ศิลปะแขนงหนึ่งด้วยอีกแขนงหนึ่ง หากเป็นการเปิดพื้นที่ใหม่ทางความคิด เพื่อทำความเข้าใจดนตรีในฐานะประสบการณ์อันซับซ้อน ที่ประกอบขึ้นจากสิ่งที่ “มีอยู่” และ “ไม่มีอยู่” ในเวลาเดียวกัน
หากตัวโน้ตคือระบบสัญลักษณ์ เสียงคือสี และความเงียบคือพื้นที่ว่าง—องค์ประกอบทั้งสามนี้อาจไม่ใช่เพียงแค่วัสดุที่ศิลปินใช้จัดวางเพื่อสร้างสรรค์เท่านั้น แต่ยังเป็นสื่อกลางระหว่างโลกภายในของผู้สร้าง กับโลกการรับรู้ของผู้ฟังด้วย
แต่ในระหว่างเสียงกับความเงียบ ยังมีสิ่งหนึ่งที่ยากจะจับต้องคือ: "ความรู้สึก"
เราจะวางตำแหน่งของความรู้สึกไว้ตรงไหน? มันคือผลผลิตจากเสียง? หรือคือสิ่งที่เรานำไปใส่ไว้ในเสียง?
#ความรู้สึก: สิ่งที่เติมลงไปหรือสิ่งที่ถูกปลุกขึ้นมา?
เสียงและความเงียบอาจเป็นสิ่งที่จับต้องได้ในระดับของโครงสร้าง เช่นเดียวกับเส้น สี และช่องว่างในภาพ แต่ ความรู้สึก เป็นสิ่งที่อยู่ในพื้นที่กลางระหว่างผลงานกับผู้รับสาร
ดนตรีไม่สามารถมีความรู้สึกได้หากไม่มีผู้ฟังที่มีชีวิตและประสบการณ์ เพราะเสียงดนตรีไม่ “รู้สึก” ด้วยตัวเอง เช่นเดียวกับสีที่ไม่ “เศร้า” หรือ “สุข” จนกว่าใครสักคนจะรับรู้มันในแบบนั้น
ความรู้สึกในดนตรีจึงไม่แน่นอน ไม่ตายตัว มันผันแปรไปตามบุคคล ช่วงเวลา บริบท และแม้แต่ความเงียบที่อยู่รอบ ๆ ตัวในขณะฟัง
#ความหมายในดนตรี: อยู่ที่เสียง ความเงียบ หรือการฟัง?
คำถามสำคัญที่ไม่อาจมีคำตอบเดียว คือ ดนตรีมีความหมายด้วยตัวมันเอง หรือเราเป็นผู้มอบความหมายให้มัน?
บางทฤษฎีเชื่อว่า ดนตรีสามารถสื่อสาร “ความหมาย” ได้โดยไม่ต้องพึ่งคำพูด เช่นเดียวกับที่ภาพนามธรรมสามารถกระตุ้นความรู้สึกโดยไม่ต้องเล่าเรื่อง แต่บางทฤษฎีกลับมองว่า ดนตรีไม่ได้มีความหมายที่แน่นอนเลย มันเพียงแต่กระตุ้นการรับรู้ที่คลุมเครือ แล้วผู้ฟังต่างหากที่ตีความและเติมเต็มด้วยประสบการณ์ของตน
เสียง—ไม่ว่าจะมาจากไวโอลินที่เล่นด้วยความละเอียดอ่อน หรือเสียงซินธิไซเซอร์ที่ถูกสังเคราะห์—อาจไม่มีนัยใด ๆ หากไม่มีผู้ฟังที่พร้อมรับฟัง และความเงียบก็เช่นกัน มันอาจไม่มีพลังเลยหากไม่มีผู้ฟังที่ “รู้จักฟัง”
#บทสรุปที่ไม่สรุป
ในที่สุด คำถามว่า “อะไรคือเสียง อะไรคือความเงียบ อะไรคือความรู้สึก” อาจไม่ต้องการคำตอบที่แน่นอน ดนตรีอาจไม่ได้มีจุดมุ่งหมายเพื่ออธิบาย หรือแม้แต่เพื่อสื่อความหมายชัดเจนใด ๆ
แต่สิ่งที่ดนตรีทำคือการเปิด “ช่องทาง” ให้ผู้ฟังได้เข้าไปสำรวจ—ไม่ใช่แค่สิ่งที่ได้ยิน แต่รวมถึงสิ่งที่ไม่ได้ยิน สิ่งที่รู้สึก และสิ่งที่ไม่อาจจับต้องได้
ดนตรีจึงอาจไม่ใช่ศิลปะแห่งเสียงเท่านั้น แต่อาจเป็นศิลปะแห่ง “การรับรู้”
และเมื่อดนตรีคือภาพที่ไม่มีรูป ความเงียบคือสีที่มองไม่เห็น แล้วผู้ฟังคือใครในกระบวนการนี้? คือผู้ชม? ผู้ตีความ? หรือศิลปินอีกคนที่ทำให้เสียงและความเงียบเกิดความหมายขึ้นมา
Comments