กระหึ่มทั้งสนาม❗ ทำไมเสียงวงโยธวาทิตถึงทรงพลังและไม่เหมือนใคร❓🎺🥁
- Dr.Kasem THipayametrakul
- Apr 6
- 1 min read

เมื่อวงโยธวาทิตเริ่มบรรเลงในสนามกีฬาหรือระหว่างขบวนพาเหรด เสียงที่เปล่งออกมานั้นไม่ใช่เพียงแค่โน้ตดนตรีที่เรียงร้อยกัน หากแต่เป็นคลื่นพลังที่สามารถเปลี่ยนอารมณ์ของผู้ฟังได้ทันที เสียงเหล่านั้นส่งผลต่อจิตใจได้ในระดับที่บางครั้งผู้ฟังเองก็ไม่สามารถอธิบายได้ว่าเพราะเหตุใด จึงมีอิทธิพลเช่นนั้น
ปรากฏการณ์นี้ไม่ได้เกิดขึ้นจากเพียงคุณสมบัติทางเสียงของเครื่องดนตรีแต่ละชิ้นเท่านั้น แต่เกิดจากกระบวนการออกแบบ โครงสร้าง และการฝึกฝนที่เฉพาะเจาะจงของวงโยธวาทิต เราสามารถวิเคราะห์เหตุผลเบื้องหลัง “#ความทรงพลัง” ของเสียงวงโยธวาทิตได้จากหลากหลายมิติ
𝟭. การออกแบบเครื่องดนตรีและบทบาทเชิงพื้นที่
เครื่องดนตรีที่ใช้ในวงโยธวาทิตถูกเลือกและจัดวางให้เหมาะสมกับการแสดงใน พื้นที่เปิด ที่ไม่มีผนังสะท้อนเสียงเหมือนในหอแสดงดนตรี จึงจำเป็นต้องใช้เครื่องดนตรีที่สามารถ “#สร้างพลังเสียงด้วยตัวเอง” และพุ่งทะลุอากาศไปยังผู้ฟังในระยะไกลได้
เครื่องเป่าทองเหลือง (𝗕𝗿𝗮𝘀𝘀) เช่น 𝘁𝗿𝘂𝗺𝗽𝗲𝘁, 𝗺𝗲𝗹𝗹𝗼𝗽𝗵𝗼𝗻𝗲, 𝘁𝗿𝗼𝗺𝗯𝗼𝗻𝗲, 𝗯𝗮𝗿𝗶𝘁𝗼𝗻𝗲, 𝘀𝗼𝘂𝘀𝗮𝗽𝗵𝗼𝗻𝗲 มีความสามารถในการสร้างเสียงที่พุ่งและก้องชัด โดยเฉพาะเมื่อใช้ลมในปริมาณมากควบคู่กับเทคนิคการตั้งท่าบริเวณปากเป่าให้เหมาะสม
เครื่องเพอร์คัชชัน (𝗣𝗲𝗿𝗰𝘂𝘀𝘀𝗶𝗼𝗻) เช่น 𝘀𝗻𝗮𝗿𝗲 𝗱𝗿𝘂𝗺, 𝘁𝗲𝗻𝗼𝗿 𝗱𝗿𝘂𝗺, 𝗯𝗮𝘀𝘀 𝗱𝗿𝘂𝗺, 𝗰𝘆𝗺𝗯𝗮𝗹 ถูกออกแบบให้มีเสียงที่คม ชัด และสื่อจังหวะได้เด่นชัดแม้ในที่โล่ง เสียงกลองไม่เพียงแค่บอกจังหวะให้วง แต่ยังสร้างความรู้สึกมั่นคงให้กับผู้ฟัง
ยิ่งไปกว่านั้น การจัดวางตำแหน่งของเครื่องดนตรีในการเดินขบวนหรือบนสนามก็มีผลต่อการกระจายเสียง เช่น การวางเครื่องกลองไว้ตรงกลางหรือด้านหน้าจะช่วยให้จังหวะเดินของวงมีความแน่นและสม่ำเสมอ ซึ่งสามารถส่งผ่านความมั่นคงไปยังผู้ชมได้ในระดับจิตวิทยา
เมื่อคุณอยู่ในพื้นที่เปิดโล่ง คุณเคยรู้สึกไหมว่าเสียงบางประเภทสามารถ “ครอบคลุมพื้นที่” ได้ดีกว่าเสียงอื่น? คุณเคยตั้งคำถามไหมว่าในสถานการณ์ใดที่เสียงมีบทบาทในการ “ครองพื้นที่” อย่างแท้จริง?
𝟮. การเรียบเรียงเสียงเพื่อ “ความพร้อมเพรียง” ไม่ใช่ “ความซับซ้อน”
ลักษณะของการเรียบเรียงดนตรีในวงโยธวาทิตมุ่งเน้นไปที่ “#ความเป็นกลุ่ม” มากกว่าการโชว์ความสามารถของรายบุคคล จุดมุ่งหมายคือการสร้างพลังเสียงในลักษณะก้อนเดียว (𝘀𝗼𝗻𝗶𝗰 𝗯𝗹𝗼𝗰𝗸) ที่กระแทกอารมณ์ผู้ฟัง
เทคนิค 𝘂𝗻𝗶𝘀𝗼𝗻 หรือการเล่นโน้ตเดียวกันพร้อมกันในหลายเครื่องดนตรี ทำให้เสียงมีมวลหนาแน่นและมีพลังสะเทือน
การใช้ 𝗯𝗹𝗼𝗰𝗸 𝗵𝗮𝗿𝗺𝗼𝗻𝘆 โดยเรียบเรียงให้เครื่องเป่าหลายชิ้นแบ่งเสียงในลักษณะสามเสียงหรือสี่เสียง สร้างความรู้สึกของ “#เสียงที่กว้างและเต็มพื้นที่”
จังหวะและไดนามิกมักถูกควบคุมอย่างเข้มงวด เพื่อให้วงสามารถสร้างคลื่นเสียงที่ต่อเนื่อง และไม่มีความแปรปรวนระหว่างผู้เล่น
ความตั้งใจนี้ต่างจากดนตรีประเภทอื่น เช่น แจ๊สหรือคลาสสิก ที่มักเปิดพื้นที่ให้กับการตีความของผู้เล่นรายบุคคล แต่ในวงโยธวาทิต ทุกเสียงจะต้องเชื่อมโยงกันเป็นโครงสร้างที่มั่นคง ไม่มีใครเล่นนอกกรอบ ไม่มีใครโดดเด่นเป็นพิเศษ นั่นทำให้ผู้ฟังรู้สึกถึง “#พลังของหมู่คณะ” มากกว่าพลังของตัวบุคคล
คุณเคยอยู่ในสถานการณ์ที่ต้องลดความโดดเด่นของตนเองเพื่อให้ระบบโดยรวมทำงานได้ดีขึ้นหรือไม่? ในโลกที่มักส่งเสริมความเป็นปัจเจก คุณคิดว่าเรากำลังให้ความสำคัญกับ “พลังของหมู่” มากน้อยเพียงใด?
𝟯. การควบคุมร่างกายและเสียงให้เป็นหนึ่งเดียว
สิ่งที่ทำให้วงโยธวาทิตมีลักษณะเฉพาะที่แตกต่างจากวงดนตรีประเภทอื่นคือการที่ผู้เล่นต้องบรรเลงดนตรีในขณะที่ “#เคลื่อนไหวอย่างเป็นจังหวะ” การเดิน การหมุน การจัดแถวล้วนต้องสอดคล้องกับดนตรีที่กำลังเล่นอยู่
การเดินเป็นจังหวะเท้าทั้งวง คือ การสร้างกรอบจังหวะที่สม่ำเสมอ ซึ่งมีผลต่อการควบคุมไดนามิกและอารมณ์ของเพลง
การเป่าหรือการตีขณะเดิน ต้องอาศัยการฝึกที่หนักและซ้ำซ้อน เพื่อให้กล้ามเนื้อมีหน่วยความจำ และทำงานได้อัตโนมัติ
การเคลื่อนไหวร่วมกันของผู้เล่นทั้งวงยังมีผลต่อสายตาของผู้ชม ซึ่งจะรู้สึกถึง “จังหวะที่ขยับได้” หรือ 𝗿𝗵𝘆𝘁𝗵𝗺 𝗶𝗻 𝗺𝗼𝘁𝗶𝗼𝗻
จึงอาจกล่าวได้ว่าทุกเสียงในวงโยธวาทิตไม่ได้เกิดจากเครื่องดนตรีเพียงอย่างเดียว แต่เป็นเสียงที่เกิดจาก “ร่างกายที่มีระเบียบ” และ “การเคลื่อนไหวที่สอดประสาน”
คุณเคยฝึกฝนกิจกรรมใดที่ต้องให้ร่างกายและจิตใจทำงานพร้อมกันอย่างแม่นยำหรือไม่? กิจกรรมนั้นเปลี่ยนความสัมพันธ์ระหว่างคุณกับร่างกายของตัวเองอย่างไร?
𝟰. พลังของเสียงที่มาจาก “ระบบหมู่” ไม่ใช่ “คนใดคนหนึ่ง”
ในวงโยธวาทิต ไม่มีพื้นที่ให้กับการแสดงตัวตนแบบโซโล่หรือการตีความส่วนบุคคล เพราะเสียงที่วงต้องการสื่อไม่ใช่เสียงของ “ใครบางคน” แต่คือ “#เสียงของกลุ่ม” ที่สอดประสานกันเป็นหนึ่งเดียว
สมาชิกในวงมีหน้าที่เท่ากันในการ “ค้ำจุนเสียงร่วม”
ความผิดพลาดแม้เพียงจุดเดียวสามารถส่งผลต่อความกลมกลืนของทั้งวง
ทุกคนต้องมีวินัยในการฟังเสียงรอบตัว เพื่อรักษาระยะ ความดัง และจังหวะอย่างต่อเนื่อง
ระบบนี้คล้ายกับการทำงานของฟันเฟืองในเครื่องจักร ทุกชิ้นส่วนต้องมีความแม่นยำ เพื่อให้ทั้งระบบทำงานได้ราบรื่น ไม่มีใครสำคัญเกินใคร แต่ขาดใครไปไม่ได้เลย
คุณเคยอยู่ในทีมที่ทุกคนต้องทำหน้าที่โดยไม่มีใครโดดเด่นเป็นพิเศษหรือไม่? บทบาทของคุณในทีมนั้นส่งผลต่อทัศนคติเกี่ยวกับ “คุณค่าในความเงียบ” หรือ “คุณค่าของความสามัคคี” อย่างไร?
𝟱. เสียงที่มีโครงสร้างเชิงจิตวิทยา
เสียงดนตรีที่เปล่งออกมาจากวงโยธวาทิตไม่ได้ถูกวางเรียงอย่างไร้จุดหมาย แต่มีโครงสร้างที่ส่งผลต่ออารมณ์และจิตใจของผู้ฟังอย่างมีแบบแผน เช่น:
การเร่งจังหวะและระดับเสียง (𝗰𝗿𝗲𝘀𝗰𝗲𝗻𝗱𝗼) อย่างค่อยเป็นค่อยไป สร้างความตึงเครียดและการคาดหวัง
การหยุดเสียงแบบกะทันหัน (𝘀𝘂𝗱𝗱𝗲𝗻 𝗰𝘂𝘁𝗼𝗳𝗳) ทำให้ผู้ฟังรู้สึกตกใจหรือสะเทือน
การกลับมาเล่นท่อนเดิมด้วยความดังที่เพิ่มขึ้น (𝗿𝗲𝗰𝗮𝗽𝗶𝘁𝘂𝗹𝗮𝘁𝗶𝗼𝗻) ทำให้ผู้ฟังรู้สึกเหมือนคลื่นอารมณ์กำลังท่วมท้น
การจัดวางลักษณะเสียงเหล่านี้ให้สัมพันธ์กับการเคลื่อนไหวของวง เช่น การเดินเข้า-ออกสนาม หรือการเปลี่ยนรูปขบวน ทำให้ผู้ฟังไม่เพียงแต่ได้ยินเสียง แต่รู้สึก “จม” อยู่ในบรรยากาศที่วงสร้างขึ้น
ในประสบการณ์ของคุณ มีเสียงแบบใดที่สามารถเปลี่ยนสภาพอารมณ์ของคุณได้ทันทีบ้าง? คุณคิดว่าเสียงมีบทบาทต่อพฤติกรรมและการตัดสินใจของมนุษย์มากน้อยเพียงใด?
วงโยธวาทิตเป็นระบบที่ผสานหลายศาสตร์เข้าด้วยกัน ทั้งด้านเสียง ด้านร่างกาย ด้านวินัย และด้านจิตวิทยา เสียงของวงจึงไม่ใช่เพียงสิ่งที่ “ได้ยิน” แต่เป็นสิ่งที่ “สัมผัสได้” ผ่านหลายช่องทาง
เมื่อวิเคราะห์อย่างเป็นระบบ จะพบว่าเสียงที่ “#กระหึ่มทั้งสนาม” ไม่ได้มาจาก “#พลังของเสียง” เพียงอย่างเดียวแต่เกิดจาก
โครงสร้างของเครื่องดนตรี
ความแม่นยำของร่างกาย
ความเป็นระบบในหมู่คณะ
และโครงสร้างทางอารมณ์ที่ฝังอยู่ในบทเพลง
แล้วคุณคิดว่าความสำเร็จในชีวิตใดบ้างที่ไม่ได้เกิดจากพรสวรรค์ส่วนตัวเพียงอย่างเดียว แต่ต้องอาศัย “ระบบ” และ “ความพร้อมเพรียง” แบบเดียวกับวงโยธวาทิต?
Comments