top of page
Search

“𝗥𝘂𝗱𝗶𝗺𝗲𝗻𝘁 ไม่ใช่แค่แบบฝึกหัด แต่มันคือคำในประโยคที่คุณกำลังพูด” 🤗

  • Writer: Dr.Kasem THipayametrakul
    Dr.Kasem THipayametrakul
  • May 17
  • 3 min read


 𝟭. 𝗥𝘂𝗱𝗶𝗺𝗲𝗻𝘁: จุดเริ่มต้นของการควบคุม...หรือการสื่อสาร?



เมื่อพูดถึง 𝗥𝘂𝗱𝗶𝗺𝗲𝗻𝘁 ในวงการกลองและเพอร์คัชชัน หลายคนมักนึกถึงเพียงชุดแบบฝึกหัดทางเทคนิคที่ต้องซ้อมอย่างเข้มงวด เป็นการสลับมือ ตี 𝗽𝗮𝘁𝘁𝗲𝗿𝗻 พื้นฐานซ้ำๆ เพื่อสร้างความแม่นยำและความแข็งแรงของกล้ามเนื้อเท่านั้น แต่หากมองให้ลึกกว่านั้น 𝗥𝘂𝗱𝗶𝗺𝗲𝗻𝘁 มีความหมายและบทบาทที่สำคัญกว่านั้นมาก เพราะมันคือ หน่วยย่อยของภาษาดนตรี ที่นักกลองใช้สื่อสารเรื่องราวและอารมณ์ผ่านการตี



๐ 𝗥𝘂𝗱𝗶𝗺𝗲𝗻𝘁 ไม่ใช่แค่ “#แบบฝึกหัด” ก่อนเล่นจริง



การฝึก 𝗥𝘂𝗱𝗶𝗺𝗲𝗻𝘁 ตามหลักสูตรทั่วไปถูกวางให้เป็นกิจกรรมเบื้องต้น เพื่อเตรียมร่างกายและจิตใจให้พร้อมสำหรับการเล่นดนตรีจริง หลายครั้ง 𝗥𝘂𝗱𝗶𝗺𝗲𝗻𝘁 ถูกเปรียบเหมือนการวอร์มอัพ ชุดท่าทางซ้ำๆ ที่ช่วยให้กล้ามเนื้อและความคล่องแคล่วพร้อมก่อนเข้าสู่บทเพลง แต่ถ้าเรามองแค่ในมุมนี้ จะเป็นการตัดทอนคุณค่าที่แท้จริงของ 𝗥𝘂𝗱𝗶𝗺𝗲𝗻𝘁 ไปอย่างมาก



เพราะในโลกของดนตรี 𝗥𝘂𝗱𝗶𝗺𝗲𝗻𝘁 ไม่ใช่แค่การเตรียมพร้อมทางกายภาพ แต่เป็น เครื่องมือสื่อสาร ที่นักกลองใช้ในการพูดกับผู้ฟังและเพื่อนร่วมวง ราวกับภาษาพูดที่มีคำศัพท์ น้ำเสียง และความหมายเฉพาะตัว นักกลองไม่ได้แค่ “ตีให้ถูก” แต่ต้องตีให้ “ฟังแล้วเข้าใจเจตนา” และ “รู้สึกถึงอารมณ์” ที่ต้องการจะสื่อ



๐ 𝗥𝘂𝗱𝗶𝗺𝗲𝗻𝘁 คือหน่วยย่อยของภาษาดนตรีที่พูดได้



ลองนึกภาพการเล่นกลองเหมือนการพูดประโยคหนึ่ง 𝗥𝘂𝗱𝗶𝗺𝗲𝗻𝘁 แต่ละรูปแบบก็เหมือน “คำ” ในประโยคนั้น มีน้ำเสียงและความหมายเฉพาะตัว เช่น



 𝗙𝗹𝗮𝗺 เหมือนเสียงประกาศอย่างฉับพลัน ที่บ่งบอกถึงความตื่นเต้นหรือความหนักแน่น



 𝗣𝗮𝗿𝗮𝗱𝗶𝗱𝗱𝗹𝗲 เปรียบเหมือนคำที่มีจังหวะและ 𝗳𝗹𝗼𝘄 ชัดเจน เหมือนการพูดอย่างมีจังหวะและลื่นไหล



 𝗗𝗿𝗮𝗴 เหมือนเสียงที่ย้ำเบาๆ หรือแสดงความรู้สึกอ่อนโยน



 𝗦𝗶𝗻𝗴𝗹𝗲 𝘀𝘁𝗿𝗼𝗸𝗲 𝗿𝗼𝗹𝗹 คือเสียงที่ตรงไปตรงมา ไม่ซับซ้อน เหมือนประโยคที่พูดอย่างตรงประเด็น



ดังนั้น 𝗥𝘂𝗱𝗶𝗺𝗲𝗻𝘁 ไม่ใช่แค่ลำดับมือที่ตีซ้ำๆ แต่คือ “คำศัพท์ดนตรี” ที่เราต้องเลือกใช้ให้เหมาะสมกับข้อความหรืออารมณ์ที่ต้องการจะสื่อสารในช่วงเวลานั้นๆ



๐ 𝗥𝘂𝗱𝗶𝗺𝗲𝗻𝘁 ไม่ใช่แค่ 𝘄𝗮𝗿𝗺-𝘂𝗽 แต่คือ “คำศัพท์” ที่จะต้องเลือกใช้ในประโยคจริง



ในวงดนตรี การใช้ 𝗥𝘂𝗱𝗶𝗺𝗲𝗻𝘁 อย่างเหมาะสมจึงไม่ต่างจากการเลือกคำพูดในประโยคที่ต้องการสื่อสาร เราไม่ได้แค่ตีให้ครบ 𝗽𝗮𝘁𝘁𝗲𝗿𝗻 หรือความเร็วที่ถูกต้องเท่านั้น แต่เราต้องเข้าใจว่า “คำนี้” จะพูดอะไรใน “ประโยคดนตรี” ที่กำลังเล่นอยู่





  เวลาจะสื่อถึงความหนักแน่นหรือแรงกระแทก นักกลองอาจเลือกใช้ 𝗙𝗹𝗮𝗺 เพราะมันมีลักษณะเสียงที่หนักแน่นและประกาศชัดเจน



  เมื่ออยากจะสื่อความรู้สึกอ่อนโยน หรือต้องการย้ำเสียงอย่างนุ่มนวล 𝗗𝗿𝗮𝗴 ก็จะเป็นคำตอบที่เหมาะสม



  ในการสร้าง 𝗳𝗹𝗼𝘄 และความลื่นไหล 𝗣𝗮𝗿𝗮𝗱𝗶𝗱𝗱𝗹𝗲 จะช่วยให้เสียงมีความต่อเนื่องและมีจังหวะที่น่าสนใจ



การฝึก 𝗥𝘂𝗱𝗶𝗺𝗲𝗻𝘁 จึงไม่ควรเป็นแค่การตี 𝗽𝗮𝘁𝘁𝗲𝗿𝗻 ซ้ำๆ เพื่อให้เล่นได้ แต่ต้องฝึกเพื่อ “เข้าใจเสียง” และ “เลือกใช้เสียง” เหล่านั้นให้สอดคล้องกับสิ่งที่ต้องการจะเล่า



 สรุปความสำคัญของ 𝗥𝘂𝗱𝗶𝗺𝗲𝗻𝘁 ในมุมมองการสื่อสาร



  𝗥𝘂𝗱𝗶𝗺𝗲𝗻𝘁 คือจุดเริ่มต้นของ การควบคุมเครื่องมือ (กลอง) แต่ที่สำคัญกว่านั้นคือจุดเริ่มต้นของ การสื่อสารผ่านเสียง



  𝗥𝘂𝗱𝗶𝗺𝗲𝗻𝘁 เป็นหน่วยย่อยของภาษาดนตรีที่เราต้องเรียนรู้ทั้งในแง่เทคนิคและความหมาย



การตี 𝗥𝘂𝗱𝗶𝗺𝗲𝗻𝘁 โดยไม่มีเจตนา หรือไม่เข้าใจความหมายของมัน ก็เหมือนกับการพูดคำถูกต้องแต่ไม่มีน้ำเสียงและความรู้สึก จึงไม่สามารถสื่อสารได้อย่างมีพลัง



การฝึก 𝗥𝘂𝗱𝗶𝗺𝗲𝗻𝘁 อย่างมีสติ และมีเป้าหมายเพื่อเข้าใจและเลือกใช้ใน “ประโยคดนตรีจริง” จะทำให้เสียงกลองของเรามีชีวิต และเล่าเรื่องราวได้อย่างมีพลัง



 𝟮. 𝗥𝘂𝗱𝗶𝗺𝗲𝗻𝘁 = คำศัพท์ดนตรี ที่มีน้ำเสียงและเจตนา



เมื่อเราพูดถึง 𝗥𝘂𝗱𝗶𝗺𝗲𝗻𝘁 หลายคนมักมองแค่เป็นชุดแบบฝึกซ้อมทางเทคนิค แต่ในความเป็นจริง 𝗥𝘂𝗱𝗶𝗺𝗲𝗻𝘁 เหมือนกับ “คำศัพท์ในภาษาดนตรี” ที่เราจะเลือกใช้ในประโยคเพื่อสื่อสารอารมณ์และความหมายที่แตกต่างกัน



ลองมาดูตัวอย่าง 𝗥𝘂𝗱𝗶𝗺𝗲𝗻𝘁 ยอดนิยม เช่น 𝗳𝗹𝗮𝗺, 𝗽𝗮𝗿𝗮𝗱𝗶𝗱𝗱𝗹𝗲, 𝗱𝗿𝗮𝗴, 𝗿𝗮𝘁𝗮𝗺𝗮𝗰𝘂𝗲 แต่ละแบบมี “น้ำเสียง” และลักษณะการสื่อสารที่เฉพาะตัว ไม่ใช่แค่เสียงกลองธรรมดา แต่เหมือนคำพูดที่มี “เจตนา” และ “โทนเสียง” ที่ต่างกันอย่างชัดเจน



  𝗙𝗹𝗮𝗺 เสียงที่ “#ประกาศ” อย่างกะทันหัน



𝗙𝗹𝗮𝗺 คือการตีสองครั้งอย่างรวดเร็วติดกัน เสียงที่ได้จึงเหมือนเสียงประกาศหรือการตะโกนสั้นๆ ที่ชัดเจนและหนักแน่น เหมือนคำพูดที่ตะโกนออกมาเพื่อเรียกความสนใจ หรือประกาศบางสิ่งอย่างเร่งด่วน เช่นเดียวกับการพูดที่ใช้เสียงขึ้นสูงและหนักแน่นเพื่อเน้นความสำคัญ



 𝗗𝗿𝗮𝗴 เสียงที่ “#ตัดพ้อ” หรือย้ำเบาๆ



𝗗𝗿𝗮𝗴 คือการตีเสียงเบาๆ ซ้อนอยู่ก่อนเสียงหลัก ทำให้เกิดความรู้สึกเหมือนเสียงร้องหรือเสียงคร่ำครวญ เปรียบเหมือนคำพูดที่เราพูดออกมาอย่างอ่อนโยน หรือมีความรู้สึกไม่มั่นใจ เหมือนคนกำลัง “บ่น” หรือ “ตัดพ้อ” อย่างนุ่มนวล เสียงนี้จึงเหมือนคำพูดที่มีความรู้สึกอ่อนโยน หรือต้องการดึงความสนใจแบบไม่แรงเกินไป



  𝗣𝗮𝗿𝗮𝗱𝗶𝗱𝗱𝗹𝗲 เสียงที่ “#แบ่งน้ำหนัก” และมี 𝗳𝗹𝗼𝘄



𝗣𝗮𝗿𝗮𝗱𝗶𝗱𝗱𝗹𝗲 คือการตีสลับมือด้วยจังหวะที่ชัดเจนและมี 𝗽𝗮𝘁𝘁𝗲𝗿𝗻 เสียงที่ได้จึงเหมือนการพูดประโยคที่มีจังหวะและน้ำเสียงชัดเจน มีการเน้นคำสลับกับการพูดที่ลื่นไหล สร้าง 𝗳𝗹𝗼𝘄 ของบทสนทนา เหมือนการพูดที่มีจังหวะ ลื่นไหล มีจุดเน้น ทำให้ประโยคฟังแล้วสนุกและน่าติดตาม



  𝗦𝗶𝗻𝗴𝗹𝗲 𝘀𝘁𝗿𝗼𝗸𝗲 𝗿𝗼𝗹𝗹 การปล่อยเสียงตรง ๆ อย่างไม่ซับซ้อน



𝗦𝗶𝗻𝗴𝗹𝗲 𝘀𝘁𝗿𝗼𝗸𝗲 𝗿𝗼𝗹𝗹 คือการตีสลับมือแบบต่อเนื่องและตรงไปตรงมา เสียงที่ได้ฟังดูเรียบง่าย ชัดเจน และตรงประเด็น เหมือนประโยคที่พูดแบบตรงๆ ไม่มีลูกเล่น ไม่มีน้ำเสียงพิเศษ เหมือนการพูดที่ให้ข้อมูลชัดเจน ไม่ประดับประดา แต่เน้นความชัดเจนและความเข้าใจง่าย



เสียงแต่ละแบบของ 𝗥𝘂𝗱𝗶𝗺𝗲𝗻𝘁 เหมือนกับ “คำในภาษาพูด” ที่เรามีหลากหลายคำเพื่อสื่อสารอารมณ์ ความรู้สึก และเจตนาที่แตกต่างกัน เมื่อเราตีด้วยกลอง เรากำลัง “พูด” ออกมาอย่างหนึ่ง และเสียงที่เลือกใช้ไม่ได้ขึ้นกับว่าเรา “ฝึกได้” แบบไหน แต่ขึ้นกับว่า เราต้องการจะ “พูดอะไร” กับผู้ฟัง ผ่านเสียงกลองนั้น



การรู้จักและเข้าใจ “น้ำเสียง” และ “เจตนา” ของ 𝗥𝘂𝗱𝗶𝗺𝗲𝗻𝘁 แต่ละแบบ จึงสำคัญไม่แพ้การฝึกตีให้ถูกต้อง เพราะมันช่วยให้การเล่นกลองของคุณมีชีวิตชีวา และมีพลังในการสื่อสารที่แท้จริง



 𝟯. ถ้าคุณไม่รู้ความหมายของ 𝗥𝘂𝗱𝗶𝗺𝗲𝗻𝘁 คุณกำลังพูดโดยไม่รู้ว่าตัวเองพูดอะไร



การตี 𝗿𝘂𝗱𝗶𝗺𝗲𝗻𝘁 โดยไม่เข้าใจ หน้าที่และความหมาย ของมันในดนตรี ก็เหมือนกับการพูดประโยคที่มีคำถูกต้องตามหลักไวยากรณ์ แต่พูดออกมาโดยไม่มี น้ำเสียง ไม่มี น้ำหนัก และไม่มี ความตั้งใจ หรือพูดง่ายๆ คือ พูดไปเรื่อยๆ โดยไม่รู้ว่ากำลังสื่อสารอะไร



๐ เปรียบเทียบกับการพูดจริง



ลองนึกภาพคนที่พูดภาษาไทยได้ถูกต้องทุกคำ แต่พูดอย่างไม่มีอารมณ์หรือเจตนา เช่น พูดเร็วเกินไปจนฟังไม่ทัน หรือพูดช้าเกินไปจนคนฟังเบื่อ สิ่งนี้จะทำให้ข้อความที่สื่อสารออกไป ไม่ชัดเจน และ ไม่ได้รับผลตามที่ตั้งใจ เช่นเดียวกับการตี 𝗿𝘂𝗱𝗶𝗺𝗲𝗻𝘁 โดยไม่เข้าใจความหมายเสียงนั้นๆ



ตัวอย่าง 𝗥𝘂𝗱𝗶𝗺𝗲𝗻𝘁 ที่ “พูด” ผิดความหมาย



𝗣𝗮𝗿𝗮𝗱𝗶𝗱𝗱𝗹𝗲 ที่ไม่มี 𝗳𝗹𝗼𝘄 → เหมือนประโยคที่พูดอย่างรีบเร่ง หรือสะดุด ทำให้ฟังไม่ลื่นไหล ขาดจังหวะ และขาดความเป็นธรรมชาติ → ฟังแล้วเหมือนคนพูดติดๆ ขัดๆ ไม่มีจังหวะชีวิตในคำพูด



𝗙𝗹𝗮𝗺 ที่ไม่มีแรงส่ง → เหมือนคำพูดที่พูดเบาเกินไป ไม่มีน้ำหนัก ไม่มีพลังในการเน้น → ฟังแล้วเหมือนคนพูดไม่มีความมั่นใจ หรือพูดจางๆ จนคนฟังไม่ได้ยินชัดเจน



𝗗𝗿𝗮𝗴 ที่เร็วเกินไป → เหมือนคนพูดเร็วเกินจนจับใจความไม่ได้ → ข้อความที่สื่อออกไปจึงสูญเสียความหมาย ทำให้คนฟังไม่เข้าใจในสิ่งที่ผู้พูดตั้งใจจะสื่อ



๐ 𝗥𝘂𝗱𝗶𝗺𝗲𝗻𝘁 ที่ดี คือ “การออกเสียงด้วยเจตนา”



  การตี 𝗿𝘂𝗱𝗶𝗺𝗲𝗻𝘁 ไม่ใช่แค่ตีให้ถูกต้องตาม 𝗽𝗮𝘁𝘁𝗲𝗿𝗻 หรือจังหวะ



  แต่ต้องตีด้วย เจตนา ที่ชัดเจน รู้ว่ากำลังสื่อสารอะไร



  เสียง 𝗿𝘂𝗱𝗶𝗺𝗲𝗻𝘁 แต่ละแบบมี “บทบาท” ที่ต้องเข้าใจ เช่น การเน้น, การพัก, การไหล หรือการย้ำ



เมื่อผู้เล่นตี 𝗿𝘂𝗱𝗶𝗺𝗲𝗻𝘁 ด้วยเจตนาและเข้าใจความหมายของเสียงเหล่านั้น จะทำให้การเล่นกลองมีความ ชัดเจน มีชีวิตชีวา และ สื่อสารได้จริง กับผู้ฟังในทุกบทเพลง



ถ้าคุณตี 𝗿𝘂𝗱𝗶𝗺𝗲𝗻𝘁 โดยไม่รู้ความหมาย ก็เหมือนพูดภาษาโดยไม่มีความตั้งใจ มันจะกลายเป็นเสียงที่ “ไร้ชีวิต” และไม่มีพลัง



แต่ถ้าคุณเข้าใจ 𝗿𝘂𝗱𝗶𝗺𝗲𝗻𝘁 เป็นเหมือนคำที่มีน้ำเสียงและความหมายชัดเจน การตีของคุณก็จะกลายเป็นการ “พูด” ที่มีพลังและมีความหมายในโลกดนตรีอย่างแท้จริง



 𝟰. ฝึก 𝗥𝘂𝗱𝗶𝗺𝗲𝗻𝘁 ไม่ใช่แค่ให้เล่นได้... แต่เพื่อให้ฟังออกว่าใช้ตอนไหน



หลายคนมักเข้าใจผิดว่า การฝึก 𝗿𝘂𝗱𝗶𝗺𝗲𝗻𝘁 คือการซ้อมเพื่อให้เล่นได้แม่นยำและเร็ว เท่านั้น ซึ่งในความจริงแล้ว การฝึก 𝗿𝘂𝗱𝗶𝗺𝗲𝗻𝘁 ต้องไปไกลกว่านั้น เพราะ 𝗿𝘂𝗱𝗶𝗺𝗲𝗻𝘁 คือเครื่องมือสื่อสารในดนตรีที่ต้องใช้ให้ถูกที่ ถูกเวลา เหมือนกับคำศัพท์หรือเครื่องหมายวรรคตอนในภาษา ที่ช่วยให้ประโยคมีความหมายชัดเจนและเข้าใจง่ายขึ้น



๐ 𝗥𝘂𝗱𝗶𝗺𝗲𝗻𝘁 ในวงโยธวาทิตและ 𝗽𝗲𝗿𝗰𝘂𝘀𝘀𝗶𝗼𝗻 𝗲𝗻𝘀𝗲𝗺𝗯𝗹𝗲



ถ้าคุณเคยฟังวงโยธวาทิต หรือวง 𝗽𝗲𝗿𝗰𝘂𝘀𝘀𝗶𝗼𝗻 𝗲𝗻𝘀𝗲𝗺𝗯𝗹𝗲 ที่มีคุณภาพสูง คุณจะสังเกตได้ว่า 𝗿𝘂𝗱𝗶𝗺𝗲𝗻𝘁 ไม่ได้ถูกตีซ้ำๆ อย่างไร้จุดหมาย แต่จะถูกวางไว้ในจังหวะหรือท่อนที่ “ช่วยเน้น” หรือ “ชี้ให้เห็น” ส่วนสำคัญของบทเพลง เหมือนกับการใช้เครื่องหมายจุด (.) เครื่องหมายจุลภาค (,) หรือคำย้ำในประโยค เพื่อทำให้ข้อความมีความหมายชัดเจนขึ้น





เพื่อให้การฝึก 𝗿𝘂𝗱𝗶𝗺𝗲𝗻𝘁 มีประสิทธิภาพและไม่ใช่แค่การ “ตีได้” แต่ยังเป็นการ “ตีอย่างเข้าใจ”



ลองถามตัวเองระหว่างซ้อมว่า:



ฉันกำลังฝึก 𝗿𝘂𝗱𝗶𝗺𝗲𝗻𝘁 นี้เพื่อ “เล่นได้” เท่านั้น หรือเพื่อ “เข้าใจความหมายและหน้าที่ของมัน” ในดนตรีด้วย?— การตีให้ถูกและเร็วเป็นสิ่งสำคัญ แต่การเข้าใจว่าทำไมต้องตีแบบนี้ และตีเมื่อไหร่ จะทำให้การเล่นมีชีวิตชีวาและสื่อสารได้จริง



ถ้าฉันต้องใช้ 𝗿𝘂𝗱𝗶𝗺𝗲𝗻𝘁 นี้จริง ๆ ในการแสดง ฉันจะใช้มันในสถานการณ์ไหน?— เป็นจังหวะเน้นเสียง? เป็นช่วงเชื่อมโยงระหว่างท่อน? หรือเป็นเครื่องหมายวรรคตอนที่สร้างอารมณ์ให้เพลง? การคิดล่วงหน้าจะช่วยให้เราเล่น 𝗿𝘂𝗱𝗶𝗺𝗲𝗻𝘁 นั้นด้วยความมั่นใจและเจตนา



การฝึก 𝗿𝘂𝗱𝗶𝗺𝗲𝗻𝘁 ไม่ควรหยุดแค่ที่ “ตีได้” แต่ต้องขยายไปถึง “ตีอย่างเข้าใจ” และ “ตีอย่างรู้จักใช้” เพราะ 𝗿𝘂𝗱𝗶𝗺𝗲𝗻𝘁 คือคำศัพท์ในประโยคดนตรี ที่จะช่วยให้การเล่นของคุณมีความหมาย มีอารมณ์ และสร้างความประทับใจให้กับผู้ฟังได้อย่างแท้จริง



 𝟱. 𝗥𝘂𝗱𝗶𝗺𝗲𝗻𝘁 ควรเปลี่ยนจาก “แบบฝึก” → เป็น “ศัพท์ใช้งาน”



การเปลี่ยน 𝗺𝗶𝗻𝗱𝘀𝗲𝘁 ในการฝึก 𝗿𝘂𝗱𝗶𝗺𝗲𝗻𝘁 จากแค่ “แบบฝึกหัด” มาเป็น “คำศัพท์ดนตรีที่ใช้สื่อสารจริง” นั้น สำคัญมาก เพราะมันจะเปลี่ยนทั้งวิธีคิดและผลลัพธ์ของการเล่นกลองโดยสิ้นเชิง



๐ ความแม่น → ความชัดเจนของการสื่อสาร



ในอดีต ผู้เล่นมักถูกสอนให้ตี 𝗿𝘂𝗱𝗶𝗺𝗲𝗻𝘁 เพื่อ “ให้ครบ 𝗽𝗮𝘁𝘁𝗲𝗿𝗻” หรือ “ตีได้ตรงตามแบบ” แต่ถ้าคุณเปลี่ยนมุมมองจากการตีเพื่อความแม่น ไปเป็นการตีเพื่อความ ชัดเจน ในการสื่อสาร คุณจะพบว่า:



  คุณไม่ได้ตีแค่ “เสียงให้ถูก” แต่ตีเพื่อ “ให้ผู้ฟังเข้าใจ” ว่า 𝗽𝗮𝘁𝘁𝗲𝗿𝗻 นี้กำลังพูดอะไร



  การตี 𝗿𝘂𝗱𝗶𝗺𝗲𝗻𝘁 จะไม่ใช่แค่ลำดับของเสียง แต่คือประโยคที่มีความหมาย มีจังหวะและน้ำหนักที่ชัดเจน



  คุณจะรู้สึกว่าแต่ละเสียงที่ตีมี “เจตนา” ไม่ใช่แค่เสียงผ่าน ๆ ไป



๐ ความเร็ว → น้ำเสียง และการแสดงออก



ผู้เล่นกลองหลายคนมักคิดว่าความเร็วคือหัวใจของการตี 𝗿𝘂𝗱𝗶𝗺𝗲𝗻𝘁 ให้ดี แต่จริง ๆ แล้ว:



  ความเร็วที่มากเกินไป ถ้าไม่มีเจตนาและน้ำหนักที่เหมาะสม จะทำให้เสียงดู “รีบเร่ง” และขาดชีวิตชีวา



  การตีด้วย น้ำเสียง ที่ชัดเจน คือสิ่งที่ทำให้ 𝗿𝘂𝗱𝗶𝗺𝗲𝗻𝘁 นั้น “พูดได้”



คุณไม่จำเป็นต้องตีเร็วที่สุด แต่ตีอย่างมีจังหวะ มีพลัง และรู้ว่าแต่ละ 𝗿𝘂𝗱𝗶𝗺𝗲𝗻𝘁 มีบทบาทอย่างไรใน “ประโยคดนตรี” ที่กำลังเล่น





ลองถามตัวเองดู:



  คุณฝึก 𝗿𝘂𝗱𝗶𝗺𝗲𝗻𝘁 ตัวไหน?



  ฝึกเพราะเข้าใจเจตนาและความหมายของมัน หรือเพราะ “ครูให้ตี” อย่างเดียว?



  ถ้าคุณเปรียบ 𝗽𝗮𝗿𝗮𝗱𝗶𝗱𝗱𝗹𝗲 เป็นคำพูด มันหมายถึงอะไรสำหรับคุณ?



  เสียงที่คุณตีอยู่ตอนนี้ มันกำลัง “พูด” อะไรกับผู้ฟัง หรือแค่ “ส่งเสียง” ให้ดังเท่านั้น?



#สรุป : การเปลี่ยนมุมมองจาก “#แบบฝึก” เป็น “#ศัพท์ใช้งาน” ทำให้ผู้เล่นกลอง:



  เล่นด้วยความตั้งใจ และรู้ว่าทุกเสียงมีความหมาย



  สร้างบทสนทนาที่น่าสนใจและชัดเจนในดนตรี



  ไม่ใช่แค่ตีเพื่อให้ผ่าน แต่ตีเพื่อ “สื่อสาร” ให้ผู้ฟังรู้สึกและเข้าใจในสิ่งที่ต้องการบอก



เมื่อคุณฝึกแบบนี้ 𝗥𝘂𝗱𝗶𝗺𝗲𝗻𝘁 จะกลายเป็นเครื่องมือสื่อสารที่ทรงพลัง ไม่ใช่แค่แบบฝึกหัดที่น่าเบื่ออีกต่อไป



เมื่อคุณเริ่มมอง 𝗥𝘂𝗱𝗶𝗺𝗲𝗻𝘁 ไม่ใช่แค่แบบฝึกหัด แต่คือ "คำพูด" ที่คุณเลือกใช้เพื่อเล่าเรื่องผ่านเสียงกลอง



ทุกการตีจะเปลี่ยนไป จากแค่เสียงกลไก สู่การสื่อสารที่มีเจตนา มีชีวิต และมีอารมณ์


ไม่สำคัญว่าคุณจะตีได้เร็วแค่ไหน ถ้าคนฟังไม่รู้ว่าคุณ “#กำลังพูดอะไร” เสียงเหล่านั้นก็ไร้ความหมาย



แต่ถ้าคุณเข้าใจ 𝗥𝘂𝗱𝗶𝗺𝗲𝗻𝘁 ว่าเป็น “#ภาษา” การเล่นของคุณจะกลายเป็นบทสนทนาที่ทรงพลัง


เพราะในท้ายที่สุด... ดนตรีไม่ใช่แค่การเล่นให้ถูก แต่คือการทำให้คนฟัง รู้สึก ได้ว่าคุณกำลังพูดอะไรกับเขา



และนั่นแหละ คือหัวใจของการเป็น “#นักกลองที่พูดได้”  


 
 
 

Comments


bottom of page