การตีกลองที่มีชีวิตชีวาและน่าฟัง ไม่ได้เกิดจากการตีเสียงที่ดังหรือเร็วเพียงอย่างเดียว แต่เกิดจากการใช้เทคนิคที่สามารถสร้างมิติและไดนามิกให้กับเสียงได้อย่างดี โดย 𝗙𝗹𝗮𝗺 ถือเป็นหนึ่งใน 𝗥𝘂𝗱𝗶𝗺𝗲𝗻𝘁 ที่สำคัญมาก สำหรับการเพิ่มความหนาและมิติของเสียงกลอง จึงทำให้จังหวะมีความซับซ้อนและน่าสนใจขึ้นอย่างมาก
มาดูรายละเอียดกันครับว่า มีเทคนิค รายละเอียดในการฝึกและการประยุกต์ใช้งานให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีอย่างไรบ้าง
𝗙𝗹𝗮𝗺 คือการตีสองครั้งอย่างรวดเร็ว แต่ไม่พร้อมกัน โดยมีการแบ่งเป็นสองจังหวะ คือ:
𝟭. 𝗚𝗿𝗮𝗰𝗲 𝗡𝗼𝘁𝗲 (โน้ตเบา): เป็นเสียงแรกของ 𝗙𝗹𝗮𝗺 และเบากว่า โดยการตีนี้มีน้ำหนักที่เบามาก เป็นการเคาะไม้กลองเบา ๆ เพื่อสร้างจังหวะนำ ♬
𝟮. 𝗣𝗿𝗶𝗺𝗮𝗿𝘆 𝗡𝗼𝘁𝗲 (โน้ตหลัก): เป็นเสียงที่สองของ 𝗙𝗹𝗮𝗺 ซึ่งจะหนักกว่า เป็นเสียงที่เน้นหลักในจังหวะนั้น ๆ โดยจะเกิดหลังจาก 𝗚𝗿𝗮𝗰𝗲 𝗡𝗼𝘁𝗲 เพียงเสี้ยววินาที ♬
การฝึกการควบคุม 𝗚𝗿𝗮𝗰𝗲 𝗡𝗼𝘁𝗲 และ 𝗣𝗿𝗶𝗺𝗮𝗿𝘆 𝗡𝗼𝘁𝗲 จะช่วยให้ 𝗙𝗹𝗮𝗺 มีความชัดเจนและลื่นไหล โดยนักกลองสามารถเลือกใช้ 𝗙𝗹𝗮𝗺 เพื่อเพิ่มไดนามิกในเพลงและปรับให้เหมาะกับสไตล์ที่เล่นได้
𝗙𝗹𝗮𝗺 มีหลายประเภทที่สามารถนำไปใช้เพื่อสร้างความซับซ้อนในจังหวะและเติมเต็มเสียงให้ดูมีรายละเอียดขึ้น ประเภทของ 𝗙𝗹𝗮𝗺 ที่นิยมมีดังนี้:
𝗦𝗶𝗻𝗴𝗹𝗲 𝗙𝗹𝗮𝗺: ♪
◦ เป็น 𝗙𝗹𝗮𝗺 แบบพื้นฐาน โดยการตี 𝗚𝗿𝗮𝗰𝗲 𝗡𝗼𝘁𝗲e ก่อน 𝗣𝗿𝗶𝗺𝗮𝗿𝘆 𝗡𝗼𝘁𝗲
◦ ใช้ได้ในหลาย ๆ จังหวะเพื่อเพิ่มน้ำหนักและเน้นเสียงในบางจังหวะของเพลง
𝗙𝗹𝗮𝗺 𝗔𝗰𝗰𝗲𝗻𝘁: ♪
◦ การเล่น 𝗙𝗹𝗮𝗺 ในรูปแบบของ 𝗔𝗰𝗰𝗲𝗻𝘁 (การเน้นเสียง) โดยสามารถฝึกให้มือข้างหนึ่งตี 𝗙𝗹𝗮𝗺 และอีกข้างตามด้วย 𝗔𝗰𝗰𝗲𝗻𝘁 (เช่น ตี 𝗙𝗹𝗮𝗺 ด้วยมือขวาแล้วตามด้วย 𝗔𝗰𝗰𝗲𝗻𝘁 มือซ้าย)
◦ ทำให้เสียงดูหนักแน่นและเต็มขึ้น เหมาะกับจังหวะที่ต้องการเน้นความหนักหน่วง
𝗙𝗹𝗮𝗺 𝗧𝗮𝗽: ♪
◦ เป็นการตี 𝗙𝗹𝗮𝗺 ตามด้วย 𝗧𝗮𝗽 ซึ่งช่วยเพิ่มการสลับจังหวะที่สนุกสนานมากขึ้น
◦ ตัวอย่างเช่น ตี 𝗙𝗹𝗮𝗺 ด้วยมือขวาแล้วตามด้วยการ 𝗧𝗮𝗽 ด้วยมือซ้าย เหมาะกับกาสร้างความลื่นไหลในจังหวะที่ต่อเนื่อง
𝗙𝗹𝗮𝗺 𝗣𝗮𝗿𝗮𝗱𝗶𝗱𝗱𝗹𝗲: ♪
◦ เป็นการผสมผสาน 𝗙𝗹𝗮𝗺 เข้ากับ 𝗣𝗮𝗿𝗮𝗱𝗶𝗱𝗱𝗹𝗲 (เช่น 𝗥𝗟 𝗥𝗥 𝗟𝗥 𝗟𝗟) โดยการใส่ 𝗙𝗹𝗮𝗺 ไว้ที่โน้ตแรกของแต่ละกลุ่ม 𝗣𝗮𝗿𝗮𝗱𝗶𝗱𝗱𝗹𝗲
◦ ช่วยเพิ่มการเล่นที่ซับซ้อนและสร้างมิติที่หลากหลาย เหมาะกับการสร้างเสียงที่แปลกใหม่
𝗦𝘄𝗶𝘀𝘀 𝗔𝗿𝗺𝘆 𝗧𝗿𝗶𝗽𝗹𝗲𝘁: ♪
◦ รูปแบบการตี 𝗙𝗹𝗮𝗺 ที่นิยมใช้ในวงโยธวาทิต เป็นการตี 𝗙𝗹𝗮𝗺 แบบสลับไปมาโดยใช้น้ำหนักจากข้อมือ
◦ ช่วยสร้างจังหวะที่เป็นเอกลักษณ์และเพิ่มความซับซ้อนในลายการเล่น
𝟭. เริ่มจากการฝึกช้าๆ: ♩
◦ เริ่มฝึกจากความเร็วช้าๆ ให้การตี 𝗚𝗿𝗮𝗰𝗲 𝗡𝗼𝘁𝗲 และ 𝗣𝗿𝗶𝗺𝗮𝗿𝘆 𝗡𝗼𝘁𝗲 มีความห่างกันเล็กน้อย ฝึกจนรู้สึกได้ถึงความต่างของน้ำหนักในการตี
◦ การฝึกช้าๆ ช่วยสร้างความแม่นยำในการควบคุม 𝗚𝗿𝗮𝗰𝗲 𝗡𝗼𝘁𝗲 ให้เบา และ 𝗣𝗿𝗶𝗺𝗮𝗿𝘆 𝗡𝗼𝘁𝗲 ให้หนัก
𝟮. ฝึกกับเมโทรโนม: ♩
◦ การฝึก 𝗙𝗹𝗮𝗺 กับเมโทรโนมช่วยให้จังหวะคงที่และแม่นยำยิ่งขึ้น เริ่มฝึกที่ความเร็วต่ำแล้วค่อย ๆ เพิ่มความเร็วขึ้นเมื่อเริ่มชำนาญ
◦ ลองฝึก 𝗙𝗹𝗮𝗺 ในความเร็วที่แตกต่างกัน เพื่อให้การเล่น 𝗙𝗹𝗮𝗺 มีความยืดหยุ่นและสามารถใช้งานได้ในหลายจังหวะเพลง
𝟯. ฝึกการควบคุมแรงในการตี: ♩
◦ ใช้แรงในการตีให้เหมาะสม ระหว่าง 𝗚𝗿𝗮𝗰𝗲 𝗡𝗼𝘁𝗲 ที่เบาและ 𝗣𝗿𝗶𝗺𝗮𝗿𝘆 𝗡𝗼𝘁𝗲 ที่หนัก ควรฝึกให้เกิดความสมดุลและไม่ให้เสียงของ 𝗚𝗿𝗮𝗰𝗲 𝗡𝗼𝘁𝗲 กลบ 𝗣𝗿𝗶𝗺𝗮𝗿𝘆 𝗡𝗼𝘁𝗲
◦ ลองฝึกการปรับน้ำหนักเสียงให้ 𝗚𝗿𝗮𝗰𝗲 𝗡𝗼𝘁𝗲 เบาจนแทบไม่ได้ยินในขณะที่ 𝗣𝗿𝗶𝗺𝗮𝗿𝘆 𝗡𝗼𝘁𝗲 คงความหนักไว้
𝟰. สลับการตีซ้ายและขวา: ♩
◦ ฝึกการตี 𝗙𝗹𝗮𝗺 ทั้งสองมืออย่างสม่ำเสมอ เพื่อให้สามารถเล่น 𝗙𝗹𝗮𝗺 ได้ทั้งซ้ายและขวาโดยไม่รู้สึกติดขัด
◦ การฝึกให้ชำนาญทั้งสองข้างจะช่วยให้การเล่นดูเป็นธรรมชาติและสามารถปรับใช้ในทุกจังหวะได้อย่างอิสระ
การใช้ 𝗙𝗹𝗮𝗺 สามารถปรับใช้ให้เหมาะกับสไตล์และแนวเพลงที่แตกต่างกันได้:
• ดนตรีร็อกและป๊อป: ใช้ 𝗙𝗹𝗮𝗺 ในการเน้นจังหวะหลัก (เช่น 𝗕𝗲𝗮𝘁 𝟮 และ 𝟰) เพื่อให้จังหวะดูหนักแน่นขึ้น เพิ่มความเป็นไดนามิกให้กับเพลง ♪
• ดนตรีแจ๊ส: ใช้ 𝗙𝗹𝗮𝗺 ในจังหวะที่ต้องการเพิ่มความซับซ้อนและลื่นไหล โดยใช้ร่วมกับการตี 𝗚𝗵𝗼𝘀𝘁 𝗡𝗼𝘁𝗲 เพื่อให้จังหวะดูนุ่มนวล ♪
• ดนตรีฟิวชั่นและโปรเกรสซีฟ: สามารถนำ 𝗙𝗹𝗮𝗺 𝗣𝗮𝗿𝗮𝗱𝗶𝗱𝗱𝗹𝗲 หรือ 𝗙𝗹𝗮𝗺 𝗔𝗰𝗰𝗲𝗻𝘁 ไปประยุกต์ในลายจังหวะที่ซับซ้อน ทำให้เพลงดูน่าตื่นเต้นและหลากหลายยิ่งขึ้น ♪
• ให้ 𝗚𝗿𝗮𝗰𝗲 𝗡𝗼𝘁𝗲 เบาที่สุด: อย่าให้ 𝗚𝗿𝗮𝗰𝗲 𝗡𝗼𝘁𝗲 ดังจนกลบ 𝗣𝗿𝗶𝗺𝗮𝗿𝘆 𝗡𝗼𝘁𝗲 ลองฝึกให้ 𝗚𝗿𝗮𝗰𝗲 𝗡𝗼𝘁𝗲 ฟังเบามาก ๆ เพื่อให้เสียงของ 𝗙𝗹𝗮𝗺 มีมิติมากขึ้น
• ฝึกกับพื้นผิวที่แตกต่างกัน: การฝึก 𝗙𝗹𝗮𝗺 บนพื้นผิวที่แตกต่างกัน (เช่น กลองสแนร์หรือทอม) จะช่วยให้นักกลองเข้าใจเสียงและแรงในการตีในแต่ละส่วน
• ประยุกต์กับการตีแบบ 𝗙𝗶𝗹𝗹-𝗜𝗻: ลองใช้ 𝗙𝗹𝗮𝗺 ในลาย 𝗙𝗶𝗹𝗹-𝗜𝗻 เพื่อเพิ่มความหนาและไดนามิกให้กับการเปลี่ยนจังหวะ
コメント