เสียงกระทบหินในถ้ำโบราณ หรือว่านี่คือจังหวะ percussion แรกของโลก❓
- Dr.Kasem THipayametrakul
- Apr 23
- 3 min read

𝟭. #เสียง ก่อนภาษา: #มนุษย์เริ่มต้นจาก "#เสียง" ไม่ใช่ "#คำ"
ก่อนที่มนุษย์จะมีระบบภาษาแบบที่เรารู้จักในปัจจุบัน ซึ่งประกอบด้วยคำศัพท์ ไวยากรณ์ และโครงสร้างทางวัจนภาษา มนุษย์ในยุคแรกเริ่มใช้อุปกรณ์หลักในการสื่อสารคือ เสียง ที่ไม่จำเป็นต้องเป็นคำพูดแบบที่เราคุ้นเคย เสียงเหล่านี้อาจเป็นเสียงร้อง เสียงหัวเราะ หรือเสียงที่สร้างขึ้นจากการกระทำต่าง ๆ เช่น การเคาะหรือการเปล่งเสียงจังหวะ การใช้เสียงเหล่านี้ทำให้มนุษย์สามารถถ่ายทอดอารมณ์และความรู้สึกได้ แม้ยังไม่มีการกำหนดความหมายในเชิงสัญลักษณ์ของคำแต่ละคำ
ทฤษฎี "𝗠𝘂𝘀𝗶𝗹𝗮𝗻𝗴𝘂𝗮𝗴𝗲" ของ 𝗦𝘁𝗲𝘃𝗲𝗻 𝗠𝗶𝘁𝗵𝗲𝗻 (𝟮𝟬𝟬𝟱) ในหนังสือ 𝗧𝗵𝗲 𝗦𝗶𝗻𝗴𝗶𝗻𝗴 𝗡𝗲𝗮𝗻𝗱𝗲𝗿𝘁𝗵𝗮𝗹𝘀 กล่าวว่า ระบบการสื่อสารในยุคก่อนประวัติศาสตร์น่าจะเป็นการผสมผสานระหว่างเสียงดนตรี, ภาษากาย, และการเปล่งเสียงที่มีจังหวะ การสื่อสารในลักษณะนี้ช่วยให้มนุษย์สามารถแสดงออกถึงเจตนา อารมณ์ และความต้องการ โดยไม่จำเป็นต้องพึ่งพาคำพูด สิ่งนี้แสดงให้เห็นว่าภาษาที่ใช้ในการสื่อสารในอดีตอาจมีลักษณะคล้ายกับดนตรีที่มีจังหวะและเสียงสะท้อนทางอารมณ์มากกว่าการใช้คำที่มีความหมายเฉพาะ
โดยการใช้เสียงมนุษย์ในยุคก่อนประวัติศาสตร์อาจจะประกอบด้วย “𝗺𝘂𝘀𝗶𝗰𝗮𝗹𝗶𝘁𝘆” หรือความสามารถในการสร้างเสียงที่มีจังหวะ ซ้ำ ๆ หรือมีเสียงที่มีความแตกต่างกัน ซึ่งช่วยกระตุ้นอารมณ์และการรับรู้ของกลุ่ม โดยเฉพาะในการสร้างความผูกพันทางสังคม ซึ่ง 𝗘𝗹𝗹𝗲𝗻 𝗗𝗶𝘀𝘀𝗮𝗻𝗮𝘆𝗮𝗸𝗲 (𝟮𝟬𝟬𝟬) ได้เสนอว่า ความสามารถในการทำเสียงซ้ำและการมีจังหวะที่แน่นอนมีบทบาทสำคัญในการสร้างความสัมพันธ์ในกลุ่ม เช่น ในความสัมพันธ์ระหว่างแม่กับลูก หรือในกรณีการกล่อมเด็ก การใช้เสียงที่มีจังหวะหรือโทนเสียงที่อบอุ่นและอ่อนโยนช่วยให้เกิด “𝗲𝗺𝗼𝘁𝗶𝗼𝗻𝗮𝗹 𝗮𝘁𝘁𝘂𝗻𝗲𝗺𝗲𝗻𝘁” ที่สำคัญต่อการพัฒนาทางภาษาในขั้นต่อไป
งานวิจัยทางประสาทวิทยา (𝗛𝗲𝗻𝗸𝗷𝗮𝗻 𝗛𝗼𝗻𝗶𝗻𝗴, 𝟮𝟬𝟭𝟯) ยังได้แสดงให้เห็นว่า ทารกสามารถรับรู้และตอบสนองต่อจังหวะของเสียงได้ตั้งแต่ในช่วงเวลาที่พวกเขายังไม่สามารถพูดได้ ซึ่งแสดงให้เห็นว่า จังหวะและเสียงเป็นกลไกที่มนุษย์ใช้ในการรับรู้และสื่อสารแม้ยังไม่มีคำพูด
การศึกษาทางจิตวิทยาวิวัฒนาการ ที่เกี่ยวข้องกับทฤษฎีนี้ชี้ให้เห็นว่าเสียงสามารถกระตุ้นการตอบสนองทางอารมณ์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ การที่ทารกสามารถฟังและตอบสนองต่อเสียงจังหวะได้อย่างมีประสิทธิภาพก่อนที่พวกเขาจะพูดได้บ่งชี้ว่าเสียงจังหวะเป็นสิ่งที่ฝังอยู่ในระบบประสาทและการรับรู้ของมนุษย์
สิ่งที่น่าสนใจคือ แนวคิดนี้ยังสะท้อนให้เห็นในชีวิตประจำวันของมนุษย์ในปัจจุบัน โดยเฉพาะในบริบทของเสียงที่ไม่ได้เกี่ยวข้องกับการใช้คำพูดเลย เช่น เสียงในกิจกรรมต่าง ๆ ที่ไม่ได้มีคำพูดร่วมด้วย เช่น การเคาะโต๊ะ การส่งเสียงเพื่อเรียกความสนใจ หรือการใช้เสียงในพิธีกรรมต่าง ๆ
๐ หากเสียงเป็นรากฐานของภาษาและความสัมพันธ์ เรากำลังใช้เสียงในชีวิตประจำวัน โดยเฉพาะเสียงที่ไม่มีถ้อยคำ—เพื่อสื่อสารอะไรกับคนรอบตัวบ้าง?
การที่มนุษย์ในยุคก่อนประวัติศาสตร์ใช้เสียงในการสื่อสารแทนคำพูดทำให้เราเห็นว่าเสียงไม่เพียงแต่เป็นการตอบสนองต่อสิ่งกระตุ้นทางกายภาพ แต่ยังเป็นเครื่องมือที่สามารถแสดงออกถึงอารมณ์ ความรู้สึก และการกระทำทางสังคมได้อย่างลึกซึ้ง ซึ่งในที่สุดได้กลายเป็นพื้นฐานสำคัญในการพัฒนาภาษาและความสัมพันธ์ที่ซับซ้อนในสังคมมนุษย์ในภายหลัง
ถ้ำโบราณหลายแห่ง เช่น 𝗟𝗮𝘀𝗰𝗮𝘂𝘅, 𝗔𝗹𝘁𝗮𝗺𝗶𝗿𝗮, และ 𝗖𝗵𝗮𝘂𝘃𝗲𝘁 ไม่ได้เป็นเพียงแค่ที่อยู่อาศัยหรือที่หลบภัยจากอันตรายธรรมชาติ แต่ยังถือเป็นสถานที่ที่มีบทบาทสำคัญในด้านการประกอบพิธีกรรมทางจิตวิญญาณและสังคม ศิลปะภาพเขียนบนผนังถ้ำ ซึ่งส่วนใหญ่เป็นภาพของสัตว์ต่างๆ ที่ดูเหมือนจะเกี่ยวข้องกับการล่าสัตว์ แสดงให้เห็นว่าเสียงและภาพเป็นส่วนสำคัญของพิธีกรรมที่มีความหมายลึกซึ้งกว่าการแสดงออกทางศิลปะเพียงอย่างเดียว
หนึ่งในคุณสมบัติที่โดดเด่นของถ้ำโบราณเหล่านี้คือ การมีเสียงสะท้อนหรือเสียงก้องที่เกิดจากโครงสร้างของถ้ำ ซึ่งนักวิจัยพบว่าเสียงในจุดต่างๆ ภายในถ้ำมักจะมีคุณสมบัติพิเศษในการสะท้อนกลับอย่างชัดเจนและก้องกังวาน นี่ไม่ใช่เพียงแค่คุณสมบัติทางฟิสิกส์ของถ้ำเท่านั้น แต่ในเชิงสัญลักษณ์ เสียงสะท้อนเหล่านี้อาจมีความหมายในเชิงพิธีกรรม ที่ช่วยเพิ่มความรู้สึกว่า “โลกทางวิญญาณ” หรือ “สิ่งเหนือธรรมชาติ” มีความสัมพันธ์กับผู้คนในโลกมนุษย์
งานของ 𝗜𝗲𝗴𝗼𝗿 𝗥𝗲𝘇𝗻𝗶𝗸𝗼𝗳𝗳 (𝟭𝟵𝟴𝟳) นักวิจัยที่ศึกษาเรื่องนี้ได้ชี้ให้เห็นว่า ภาพเขียนบนผนังถ้ำหลายแห่งมักจะถูกวาดในจุดที่สามารถสร้างเสียงสะท้อนหรือเสียงก้องได้อย่างดี สิ่งนี้แสดงให้เห็นว่าเสียงมีบทบาทสำคัญในพิธีกรรมทางจิตวิญญาณที่เกิดขึ้นในบริเวณนั้น และเชื่อว่าเสียงที่สะท้อนออกมาอาจมีความหมายว่าเป็นเสียงของโลกวิญญาณหรือสิ่งที่ไม่สามารถมองเห็นได้ การที่เสียงสะท้อนกลับมาจากผนังถ้ำจึงไม่ใช่แค่เสียงที่ถูกสร้างขึ้นจากธรรมชาติ แต่เป็นเสียงที่สร้างบรรยากาศและเพิ่มความศักดิ์สิทธิ์ให้กับพิธีกรรม
นักโบราณคดีบางกลุ่ม เช่น 𝗗𝗮𝘃𝗶𝗱 𝗟𝗲𝘄𝗶𝘀-𝗪𝗶𝗹𝗹𝗶𝗮𝗺𝘀 (𝟮𝟬𝟬𝟮) ยังเสนอว่าภาพเขียนในถ้ำและเสียงสะท้อนนั้นมีบทบาทในการนำพาผู้คนเข้าสู่ภาวะเปลี่ยนแปลงของสำนึก (𝗮𝗹𝘁𝗲𝗿𝗲𝗱 𝘀𝘁𝗮𝘁𝗲𝘀 𝗼𝗳 𝗰𝗼𝗻𝘀𝗰𝗶𝗼𝘂𝘀𝗻𝗲𝘀𝘀) ซึ่งเป็นประสบการณ์ที่เชื่อมโยงกับการติดต่อกับวิญญาณหรือสิ่งเหนือธรรมชาติ ช่วยเสริมสร้างประสบการณ์ที่ทำให้ผู้ร่วมพิธีรู้สึกถึงการมีอยู่ของสิ่งที่ไม่สามารถมองเห็นได้ และช่วยยืนยันความเชื่อทางจิตวิญญาณที่ลึกซึ้งในช่วงเวลานั้น
ในมุมมองของนักมานุษยวิทยา เสียงที่สะท้อนในถ้ำอาจถูกมองว่าเป็นเครื่องมือที่ใช้เพื่อเข้าสู่ภาวะทางจิตวิญญาณที่สูงขึ้น หรือเป็นการติดต่อกับสิ่งที่อยู่เหนือธรรมชาติ เช่น วิญญาณบรรพบุรุษหรือเทพเจ้า เสียงไม่เพียงเป็นสื่อที่ทำให้เกิดความรู้สึกของการมีอยู่ของสิ่งเหนือธรรมชาติ แต่ยังสามารถเป็นตัวกระตุ้นให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางจิตใจที่สำคัญ
นอกจากนี้ เสียงในถ้ำยังสามารถถูกใช้ในการกระตุ้นความรู้สึกกลมกลืนในกลุ่มของมนุษย์ โดยเฉพาะเมื่อมีการร้องหรือการสร้างเสียงร่วมกันในพิธีกรรมหรือการประชุมกลุ่มที่มีจุดประสงค์เพื่อเสริมสร้างความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน การใช้เสียงสะท้อนอาจกระตุ้นความรู้สึกเชื่อมโยงกับกลุ่มมากขึ้น ซึ่งสามารถนำไปสู่การรวมพลังในการเผชิญกับความท้าทายหรืออันตรายในโลกภายนอก
คำถามที่น่าสนใจคือ หากคุณเคยสัมผัสประสบการณ์ที่เสียงสะท้อนทำให้คุณรู้สึกถึงความพิเศษ หรือความกลัว บางทีอาจช่วยให้คุณนึกถึงการใช้เสียงสะท้อนในพิธีกรรมของมนุษย์โบราณว่ามีความหมายและมีจุดประสงค์อะไรบ้าง
การศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างเสียงและพิธีกรรมในถ้ำจึงไม่ใช่แค่การเข้าใจเสียงในทางฟิสิกส์เท่านั้น แต่ยังเป็นการเรียนรู้ถึงวิธีที่มนุษย์โบราณใช้เสียงเพื่อสร้างความหมาย เชื่อมโยงกับโลกทางวิญญาณ และเสริมสร้างความมั่นคงในกลุ่มของตนเอง
ในยุคก่อนประวัติศาสตร์ แม้ว่ามนุษย์จะยังไม่มีเครื่องดนตรีที่พัฒนาเป็นระบบเหมือนในยุคปัจจุบัน แต่หลักฐานทางโบราณคดีชี้ให้เห็นว่ามนุษย์ในช่วงนั้นมีความเข้าใจลึกซึ้งเกี่ยวกับการใช้จังหวะในการสื่อสารและการสร้างเสียง โดยไม่จำเป็นต้องมีเครื่องดนตรีที่ซับซ้อน การศึกษาในแหล่งโบราณคดีหลายแห่ง เช่น การพบร่องรอยการขีดข่วนบนผนังถ้ำ หรือการทุบกระแทกบนวัสดุต่างๆ สะท้อนให้เห็นถึงความพยายามในการสร้างเสียงที่มีจังหวะซ้ำๆ ซึ่งอาจหมายถึงความเข้าใจในลักษณะของจังหวะและการใช้เสียงในการสื่อสารหรือรวมกลุ่ม
งานวิจัยจากนักโบราณคดีเช่น 𝗦𝘁𝗲𝘃𝗲𝗻 𝗠𝗶𝘁𝗵𝗲𝗻 ได้แสดงให้เห็นว่าเสียงที่เกิดจากการทุบกระแทกหรือขีดข่วนในตำแหน่งที่มีการจัดเรียงอย่างระมัดระวัง สามารถสะท้อนถึงความตั้งใจในการสร้างจังหวะที่สม่ำเสมอ ซึ่งในบางกรณีอาจเป็นการแสดงออกถึงความเข้าใจในโครงสร้างของเวลา โดยไม่จำเป็นต้องมีเครื่องมือทางดนตรีที่ซับซ้อน
นอกจากนี้ยังพบโบราณวัตถุต่างๆ เช่น กระดูก สะเก็ดหิน หรือเครื่องมือขนาดเล็กที่มนุษย์ยุคนั้นอาจใช้ในการสร้างเสียง ซึ่งคล้ายคลึงกับอุปกรณ์ประเภทเครื่องดนตรีประเภท 𝗽𝗲𝗿𝗰𝘂𝘀𝘀𝗶𝗼𝗻 (เครื่องดนตรีที่สร้างเสียงจากการกระทบ เช่น กลอง) ในยุคปัจจุบัน สิ่งเหล่านี้แสดงให้เห็นถึงการใช้วัสดุธรรมชาติในการสร้างเสียง ซึ่งอาจมีบทบาทสำคัญในการสื่อสารทางสังคม เช่น การรวบรวมกลุ่มคน การทำพิธีกรรม หรือการแสดงออกถึงความรู้สึกในช่วงเวลาต่างๆ
การศึกษาด้าน 𝗮𝗿𝗰𝗵𝗮𝗲𝗼𝗮𝗰𝗼𝘂𝘀𝘁𝗶𝗰𝘀 (การศึกษาผลกระทบทางเสียงในแหล่งโบราณคดี) ชี้ให้เห็นว่าแม้จะไม่มีเครื่องดนตรีที่พัฒนาเช่นในปัจจุบัน การใช้เสียงในยุคก่อนประวัติศาสตร์ก็มีความสำคัญอย่างยิ่งในการสร้างความสัมพันธ์ภายในกลุ่ม เสียงที่เกิดจากการเคาะ หรือการทุบกระแทกในจังหวะที่สม่ำเสมอสามารถสร้างความรู้สึกของการรวมกลุ่มและเอกภาพในกลุ่มคน และเป็นเครื่องมือสำคัญในการส่งสารจากบุคคลหนึ่งไปยังอีกบุคคลหนึ่ง
การมีความเข้าใจในจังหวะจึงไม่ได้เป็นแค่การสร้างเสียง แต่มีบทบาทสำคัญในการทำให้กลุ่มคนรู้สึกเชื่อมโยงและเข้าใจซึ่งกันและกัน โดยจังหวะที่ตรงและสม่ำเสมอสามารถเป็นเครื่องมือในการแสดงออกถึงความสามัคคีและการรับรู้ถึงความเป็นหนึ่งเดียวกันของกลุ่ม
ถึงแม้ในปัจจุบันเราจะมีเครื่องดนตรีที่พัฒนาไปมากมาย แต่การใช้จังหวะในกิจกรรมต่างๆ ในชีวิตประจำวันยังคงสะท้อนถึงความสำคัญของจังหวะที่มีมาตั้งแต่ยุคก่อนประวัติศาสตร์ เราอาจเห็นการใช้จังหวะในการออกกำลังกาย การเคาะโต๊ะในขณะรอใครสักคน หรือแม้กระทั่งในวงดนตรี การเคาะหรือการทำจังหวะในกิจกรรมเหล่านี้ยังคงมีบทบาทในการเชื่อมโยงผู้คนเข้าด้วยกันและเป็นการแสดงออกถึงการมีส่วนร่วมในกิจกรรมร่วมกัน
การที่มนุษย์ในยุคก่อนประวัติศาสตร์ใช้จังหวะในการสร้างเสียงและสื่อสารกับกลุ่มคนในสังคม อาจเป็นการสะท้อนถึงสิ่งที่มีความสำคัญในทุกยุคทุกสมัย นั่นคือการใช้เสียงและจังหวะเพื่อเชื่อมโยงผู้คนและสร้างความสัมพันธ์ทางสังคมอย่างลึกซึ้ง แม้ในยุคที่ไม่มีเทคโนโลยีหรือเครื่องมือที่ซับซ้อน แต่เสียงและจังหวะยังคงเป็นส่วนสำคัญในการสร้างความเข้าใจและเอกภาพภายในกลุ่ม
๐ หากคุณต้องรวบรวมผู้คนโดยไม่ใช้ภาษา คุณจะใช้จังหวะแบบไหน? เคาะเร็วและถี่ หรือช้าและหนักแน่น? แล้วจังหวะแบบไหนที่ทำให้คนรู้สึกว่า “ต้องมารวมกัน”?
เมื่อเรานึกถึงคำว่า "ดนตรี" ในบริบทปัจจุบัน มักนึกถึงความไพเราะ ความแม่นยำทางเทคนิค หรือการแสดงที่เป็นระเบียบ ทว่าในมุมมองทางชาติพันธุ์ดนตรีและมานุษยวิทยาดนตรี ดนตรีอาจไม่ได้มีเป้าหมายเพื่อความไพเราะเพียงอย่างเดียว แต่เป็นภาษาทางสังคมและอารมณ์ที่ลึกซึ้ง
𝗖𝗵𝗮𝗿𝗹𝗲𝘀 𝗞𝗲𝗶𝗹 (𝟭𝟵𝟴𝟳) ได้เสนอแนวคิดเรื่อง "𝗽𝗮𝗿𝘁𝗶𝗰𝗶𝗽𝗮𝘁𝗼𝗿𝘆 𝗱𝗶𝘀𝗰𝗿𝗲𝗽𝗮𝗻𝗰𝗶𝗲𝘀" หรือความไม่ลงตัวเล็กน้อยในการเล่นดนตรี ที่ไม่ได้ทำลายคุณภาพของเสียง แต่กลับทำให้ผู้ฟังรู้สึกว่ากำลังมีส่วนร่วมอย่างแท้จริงในกระบวนการนั้น เพราะความไม่เป๊ะอาจเปิดพื้นที่ให้ความเป็นมนุษย์ ความเป็นธรรมชาติ และความสัมพันธ์เกิดขึ้น
ในกรอบความคิดของ 𝗧𝗵𝗼𝗺𝗮𝘀 𝗧𝘂𝗿𝗶𝗻𝗼 (𝟮𝟬𝟬𝟴) เขาแบ่งดนตรีออกเป็นสองมิติหลัก คือ "𝗽𝗿𝗲𝘀𝗲𝗻𝘁𝗮𝘁𝗶𝗼𝗻𝗮𝗹 𝗺𝘂𝘀𝗶𝗰" (ดนตรีเพื่อการแสดง) และ "𝗽𝗮𝗿𝘁𝗶𝗰𝗶𝗽𝗮𝘁𝗼𝗿𝘆 𝗺𝘂𝘀𝗶𝗰" (ดนตรีเพื่อการมีส่วนร่วม) ซึ่งดนตรีในวัฒนธรรมดั้งเดิม รวมถึงในยุคก่อนประวัติศาสตร์ มักอยู่ในกลุ่มหลัง เสียงที่เกิดขึ้นในบริบทของชุมชนจึงไม่จำเป็นต้องตรงตามมาตรฐานดนตรีแบบตะวันตก แต่ต้องสื่อสารได้ เชื่อมโยงได้ และกระตุ้นความรู้สึกร่วมได้
ตัวอย่างเสียงเคาะในถ้ำ แม้อาจฟังดูไม่เป็นจังหวะในแง่ของดนตรีสมัยใหม่ แต่ในบริบทดั้งเดิม เสียงเหล่านั้นอาจเป็นการเชื้อเชิญ การสื่อสารกับสิ่งเหนือธรรมชาติ หรือแม้แต่การยืนยันการมีอยู่ของชุมชนในพื้นที่นั้น ๆ งานของ 𝗥𝗲𝘇𝗻𝗶𝗸𝗼𝗳𝗳 (𝟮𝟬𝟬𝟴) และ 𝗟𝘂𝗯𝗺𝗮𝗻 (𝟮𝟬𝟭𝟬) ในด้าน 𝗮𝗿𝗰𝗵𝗮𝗲𝗼𝗮𝗰𝗼𝘂𝘀𝘁𝗶𝗰𝘀 ได้สำรวจลักษณะทางเสียงในถ้ำโบราณ และพบว่าเสียงที่เกิดขึ้นมักเป็นเสียงที่สร้างความรู้สึกลึกซึ้ง กระตุ้นภาวะจิตวิญญาณ และมีบทบาทในพิธีกรรม
เสียงที่ไม่ได้ไพเราะจึงไม่ใช่เสียงที่ไม่มีคุณค่า แต่เป็นเสียงที่อยู่ในบริบทของการใช้ชีวิต ความเชื่อ และความสัมพันธ์ ซึ่งลึกซึ้งกว่าการประเมินคุณภาพเสียงด้วยหูทางดนตรีเท่านั้น
๐ หากดนตรีไม่จำเป็นต้องเพราะหรือเป๊ะ แล้วเสียงแบบไหนคือ “เสียงที่มีความหมาย” สำหรับคุณ?
เสียงกระทบ ไม่ว่าจะเป็นการเคาะ การตอก หรือการขูด อาจดูเป็นเพียงเสียงธรรมดาในชีวิตประจำวัน แต่ในบริบทของมนุษย์ยุคก่อนประวัติศาสตร์ เสียงเหล่านี้อาจเป็นรูปแบบของ “ภาษา” แรกสุดที่มนุษย์ใช้ในการสื่อสารโดยไม่ต้องมีถ้อยคำหรือไวยากรณ์
𝗝𝗼𝘀𝗲𝗽𝗵 𝗝𝗼𝗿𝗱𝗮𝗻𝗶𝗮 (𝟮𝟬𝟭𝟭) นักชาติพันธุ์ดนตรีวิทยา เสนอว่าเสียงที่เกิดขึ้นพร้อมกันในกลุ่ม เช่น การตะโกนร่วมกัน การร้องเสียงเดียวกัน หรือการเคาะจังหวะพร้อมกัน มีบทบาทสำคัญในด้านวิวัฒนาการทางสังคม โดยเฉพาะในการสร้าง “เอกภาพของกลุ่ม” (𝘀𝗼𝗰𝗶𝗮𝗹 𝗰𝗼𝗵𝗲𝘀𝗶𝗼𝗻) ซึ่งจำเป็นต่อการเอาตัวรอดในสภาวะแวดล้อมที่ไม่แน่นอนและเต็มไปด้วยอันตราย
ในแง่ประสาทวิทยา การสื่อสารผ่านเสียงกระทบยังมีผลต่อการกระตุ้นระบบประสาทส่วนกลาง เช่นการเพิ่มระดับของ 𝗻𝗼𝗿𝗲𝗽𝗶𝗻𝗲𝗽𝗵𝗿𝗶𝗻𝗲 และ 𝗲𝗻𝗱𝗼𝗿𝗽𝗵𝗶𝗻 ซึ่งช่วยส่งเสริมความตื่นตัว ความรู้สึกเป็นหนึ่งเดียว และความมั่นคงทางอารมณ์ งานวิจัยของ 𝗥𝗼𝗯𝗶𝗻 𝗗𝘂𝗻𝗯𝗮𝗿 (𝟮𝟬𝟭𝟮) พบว่ากิจกรรมที่มีการร้องเพลงหรือสร้างเสียงร่วมกันช่วยปล่อยสารเอนดอร์ฟิน ซึ่งเพิ่มความรู้สึกผูกพันในกลุ่ม (𝗯𝗼𝗻𝗱𝗶𝗻𝗴)
ในมิติของสัญญะวิทยา เสียงกระทบทำหน้าที่เป็น “สัญญาณ” ที่มีรูปแบบ (𝗽𝗮𝘁𝘁𝗲𝗿𝗻) ซึ่งสามารถเรียนรู้ แปลความหมาย และทำซ้ำได้ เช่น การใช้จังหวะเฉพาะเพื่อสื่อว่า “มีอันตรายใกล้เข้ามา” หรือ “ฉันอยู่ตรงนี้” จังหวะเหล่านี้แม้ไม่ไพเราะ แต่กลับมี “น้ำหนักทางความหมาย” ที่ลึกซึ้งและจำเป็นต่อการอยู่ร่วมกันในกลุ่ม
เมื่อพิจารณาจากหลักฐานโบราณคดี เช่น เครื่องมือหินที่มีร่องรอยการเคาะซ้ำ ๆ และตำแหน่งที่พบใกล้จุดที่มีเสียงสะท้อนดี นักโบราณคดีเช่น 𝗦𝘁𝗲𝘃𝗲𝗻 𝗠𝗶𝘁𝗵𝗲𝗻 ได้เสนอว่าสิ่งนี้อาจสะท้อนถึงการสื่อสารผ่านเสียงกระทบ ทั้งในบริบทของการรวมกลุ่ม การเตือนภัย หรือแม้กระทั่งพิธีกรรมทางจิตวิญญาณ
๐ หากคุณมีเพียงสองมือ กับหินสองก้อน คุณจะใช้จังหวะแบบไหนเพื่อปลอบใจคนที่คุณรัก?
ในบทความนี้ เราได้สำรวจความหมายของเสียงในยุคก่อนประวัติศาสตร์ผ่านมุมมองที่หลากหลาย เริ่มจากการใช้เสียงในการสื่อสารก่อนการมีภาษาที่เป็นทางการ การใช้เสียงสะท้อนในถ้ำเพื่อการประกอบพิธีกรรม ไปจนถึงการใช้จังหวะและเสียงกระทบเพื่อสร้างการเชื่อมโยงระหว่างบุคคลในกลุ่มต่าง ๆ สิ่งที่เราค้นพบก็คือ เสียงและจังหวะไม่เพียงแต่เป็นส่วนหนึ่งของดนตรีเท่านั้น แต่ยังมีบทบาทสำคัญในการดำรงชีวิตของมนุษย์ในสมัยอดีต
เสียงที่มนุษย์ในยุคก่อนประวัติศาสตร์ใช้ ไม่ว่าจะเป็นเสียงเคาะหิน การตะโกน หรือเสียงที่เกิดจากการทำกิจกรรมต่าง ๆ เป็นเครื่องมือในการแสดงออกที่สามารถสื่อสารได้มากกว่าคำพูด มันเป็นเครื่องมือที่เชื่อมโยงอารมณ์ การรับรู้ และการมีปฏิสัมพันธ์ของมนุษย์กับสภาพแวดล้อมและกับสมาชิกในกลุ่ม สุดท้ายแล้ว จังหวะและเสียงก็ไม่ใช่แค่สิ่งที่ถูกใช้เพื่อความบันเทิงหรือศิลปะ แต่ยังเป็นเครื่องมือที่สะท้อนถึงวิถีชีวิตที่ซับซ้อนและมีความหมายในแต่ละช่วงเวลา
ในปัจจุบัน แม้ว่าเราอาจจะมีเทคโนโลยีและเครื่องมือที่ทันสมัยในการสร้างเสียงหรือดนตรี แต่จังหวะพื้นฐานและเสียงที่มนุษย์ใช้ในชีวิตประจำวันยังคงมีบทบาทสำคัญในการเชื่อมโยงกับโลกภายนอก ไม่ว่าจะเป็นการเคาะโต๊ะเพื่อบอกให้คนอื่นรู้ว่าเรารออยู่ หรือการใช้จังหวะในการทำงานหรือกิจกรรมต่าง ๆ เสียงเหล่านี้มีพลังในการสื่อสารอารมณ์ ความรู้สึก และความต้องการของมนุษย์
สิ่งที่น่าสนใจคือ แม้ว่าเสียงในยุคก่อนประวัติศาสตร์อาจจะดูไม่เป็นระเบียบหรือไม่น่าฟังในมุมมองของดนตรีสมัยใหม่ แต่สิ่งเหล่านั้นกลับมีความหมายอย่างลึกซึ้งในบริบททางสังคมและวัฒนธรรมในยุคสมัยนั้น การใช้เสียงไม่ได้มุ่งเน้นที่ความเพอร์เฟ็คต์ทางเทคนิค แต่เป็นการสื่อสารที่มีพลังในการเชื่อมต่อผู้คนในกลุ่มเดียวกัน ทำให้เกิดความรู้สึกของ "ความเป็นหนึ่งเดียว" ที่สำคัญสำหรับการเอาชีวิตรอดและการสร้างความสัมพันธ์ในชุมชน
แม้ว่าการใช้เสียงและจังหวะในสมัยโบราณจะเป็นสิ่งที่เรามองว่าเป็นสัญญาณของการสื่อสารที่ง่ายและตรงไปตรงมา แต่กลับกลายเป็นว่ามันคือ "ร่องรอยของชีวิต" ที่แสดงถึงการดำรงอยู่ของมนุษย์และความสัมพันธ์ในชุมชน เสียงเคาะ เสียงขูด และเสียงจากธรรมชาติกลายเป็นเครื่องมือที่ช่วยให้มนุษย์สามารถสร้างการเชื่อมโยงกับโลกภายนอก และยังคงสะท้อนอยู่ในพฤติกรรมและการสื่อสารของเราในปัจจุบัน
ไม่ว่าจะเป็นในรูปแบบของเสียงในธรรมชาติที่ช่วยให้เรารู้สึกว่าเราอยู่ในที่ที่ปลอดภัย หรือเสียงที่เกิดขึ้นจากการร่วมมือในกิจกรรมต่าง ๆ เสียงยังคงเป็นสิ่งที่มีบทบาทสำคัญในการสร้างความรู้สึกเป็นหนึ่งเดียวและการเชื่อมโยงระหว่างบุคคลในสังคม การที่เรายังคงใช้เสียงในชีวิตประจำวันสะท้อนให้เห็นว่าเสียงและจังหวะไม่ได้เป็นแค่ "ดนตรี" ในแง่ของความบันเทิงหรือความสวยงามทางศิลปะ แต่มันคือเครื่องมือที่ใช้ในการสร้างความหมายในชีวิต และทำให้เรายังสามารถสื่อสารและสร้างความสัมพันธ์กับผู้อื่นได้ในทุกช่วงเวลาของชีวิต
ในที่สุดแล้ว เสียงไม่ได้เป็นแค่เครื่องมือที่ใช้สื่อสารในความหมายพื้นฐานเท่านั้น แต่ยังเป็นสัญญาณของการมีอยู่และการดำรงชีวิตที่ไม่หยุดยั้ง ไม่ว่าผ่านการเคาะ การพูด หรือการใช้จังหวะในการทำกิจกรรมต่าง ๆ เสียงจะยังคงเป็นร่องรอยที่ทิ้งไว้ให้เราได้ระลึกถึงในทุกขั้นตอนของการดำเนินชีวิตของมนุษย์
๐ 𝗗𝗶𝘀𝘀𝗮𝗻𝗮𝘆𝗮𝗸𝗲, 𝗘. (𝟮𝟬𝟬𝟬). 𝗔𝗿𝘁 𝗮𝗻𝗱 𝗶𝗻𝘁𝗶𝗺𝗮𝗰𝘆: 𝗛𝗼𝘄 𝘁𝗵𝗲 𝗮𝗿𝘁𝘀 𝗯𝗲𝗴𝗮𝗻. 𝗦𝗲𝗮𝘁𝘁𝗹𝗲: 𝗨𝗻𝗶𝘃𝗲𝗿𝘀𝗶𝘁𝘆 𝗼𝗳 𝗪𝗮𝘀𝗵𝗶𝗻𝗴𝘁𝗼𝗻 𝗣𝗿𝗲𝘀𝘀.
๐ 𝗛𝗼𝗻𝗶𝗻𝗴, 𝗛. (𝟮𝟬𝟭𝟯). 𝗧𝗵𝗲 𝗢𝗿𝗶𝗴𝗶𝗻𝘀 𝗼𝗳 𝗠𝘂𝘀𝗶𝗰𝗮𝗹𝗶𝘁𝘆. 𝗙𝗿𝗼𝗻𝘁𝗶𝗲𝗿𝘀 𝗶𝗻 𝗣𝘀𝘆𝗰𝗵𝗼𝗹𝗼𝗴𝘆, 𝟰, 𝟳𝟮𝟴.
๐ 𝗠𝗶𝘁𝗵𝗲𝗻, 𝗦. (𝟮𝟬𝟬𝟱). 𝗧𝗵𝗲 𝘀𝗶𝗻𝗴𝗶𝗻𝗴 𝗡𝗲𝗮𝗻𝗱𝗲𝗿𝘁𝗵𝗮𝗹𝘀: 𝗧𝗵𝗲 𝗼𝗿𝗶𝗴𝗶𝗻𝘀 𝗼𝗳 𝗺𝘂𝘀𝗶𝗰, 𝗹𝗮𝗻𝗴𝘂𝗮𝗴𝗲, 𝗺𝗶𝗻𝗱 𝗮𝗻𝗱 𝗯𝗼𝗱𝘆. 𝗟𝗼𝗻𝗱𝗼𝗻: 𝗪𝗲𝗶𝗱𝗲𝗻𝗳𝗲𝗹𝗱 & 𝗡𝗶𝗰𝗼𝗹𝘀𝗼𝗻.
๐ 𝗥𝗲𝘇𝗻𝗶𝗸𝗼𝗳𝗳, 𝗜. (𝟭𝟵𝟴𝟳). 𝗢𝗻 𝘁𝗵𝗲 𝘀𝗼𝘂𝗻𝗱 𝗱𝗶𝗺𝗲𝗻𝘀𝗶𝗼𝗻 𝗼𝗳 𝗽𝗿𝗲𝗵𝗶𝘀𝘁𝗼𝗿𝗶𝗰 𝗽𝗮𝗶𝗻𝘁𝗲𝗱 𝗰𝗮𝘃𝗲𝘀 𝗮𝗻𝗱 𝗿𝗼𝗰𝗸𝘀. 𝗕𝗼𝗹𝗹𝗲𝘁𝗶𝗻𝗼 𝗱𝗲𝗹 𝗖𝗲𝗻𝘁𝗿𝗼 𝗖𝗮𝗺𝘂𝗻𝗼 𝗱𝗶 𝗦𝘁𝘂𝗱𝗶 𝗣𝗿𝗲𝗶𝘀𝘁𝗼𝗿𝗶𝗰𝗶, 𝟮𝟰, 𝟭𝟯–𝟯𝟯.
๐ 𝗟𝗲𝘄𝗶𝘀-𝗪𝗶𝗹𝗹𝗶𝗮𝗺𝘀, 𝗗. (𝟮𝟬𝟬𝟮). 𝗧𝗵𝗲 𝗺𝗶𝗻𝗱 𝗶𝗻 𝘁𝗵𝗲 𝗰𝗮𝘃𝗲: 𝗖𝗼𝗻𝘀𝗰𝗶𝗼𝘂𝘀𝗻𝗲𝘀𝘀 𝗮𝗻𝗱 𝘁𝗵𝗲 𝗼𝗿𝗶𝗴𝗶𝗻𝘀 𝗼𝗳 𝗮𝗿𝘁. 𝗟𝗼𝗻𝗱𝗼𝗻: 𝗧𝗵𝗮𝗺𝗲𝘀 & 𝗛𝘂𝗱𝘀𝗼𝗻.
๐ 𝗞𝗲𝗶𝗹, 𝗖. (𝟭𝟵𝟴𝟳). 𝗣𝗮𝗿𝘁𝗶𝗰𝗶𝗽𝗮𝘁𝗼𝗿𝘆 𝗱𝗶𝘀𝗰𝗿𝗲𝗽𝗮𝗻𝗰𝗶𝗲𝘀 𝗮𝗻𝗱 𝘁𝗵𝗲 𝗽𝗼𝘄𝗲𝗿 𝗼𝗳 𝗺𝘂𝘀𝗶𝗰. 𝗖𝘂𝗹𝘁𝘂𝗿𝗮𝗹 𝗔𝗻𝘁𝗵𝗿𝗼𝗽𝗼𝗹𝗼𝗴𝘆, 𝟮(𝟯), 𝟮𝟳𝟱–𝟮𝟴𝟯.
๐ 𝗧𝘂𝗿𝗶𝗻𝗼, 𝗧. (𝟮𝟬𝟬𝟴). 𝗠𝘂𝘀𝗶𝗰 𝗮𝘀 𝘀𝗼𝗰𝗶𝗮𝗹 𝗹𝗶𝗳𝗲: 𝗧𝗵𝗲 𝗽𝗼𝗹𝗶𝘁𝗶𝗰𝘀 𝗼𝗳 𝗽𝗮𝗿𝘁𝗶𝗰𝗶𝗽𝗮𝘁𝗶𝗼𝗻. 𝗖𝗵𝗶𝗰𝗮𝗴𝗼: 𝗨𝗻𝗶𝘃𝗲𝗿𝘀𝗶𝘁𝘆 𝗼𝗳 𝗖𝗵𝗶𝗰𝗮𝗴𝗼 𝗣𝗿𝗲𝘀𝘀.
๐ 𝗝𝗼𝗿𝗱𝗮𝗻𝗶𝗮, 𝗝. (𝟮𝟬𝟭𝟭). 𝗪𝗵𝘆 𝗱𝗼 𝗽𝗲𝗼𝗽𝗹𝗲 𝘀𝗶𝗻𝗴? 𝗠𝘂𝘀𝗶𝗰 𝗶𝗻 𝗵𝘂𝗺𝗮𝗻 𝗲𝘃𝗼𝗹𝘂𝘁𝗶𝗼𝗻. 𝗧𝗯𝗶𝗹𝗶𝘀𝗶: 𝗟𝗼𝗴𝗼𝘀.
๐ 𝗗𝘂𝗻𝗯𝗮𝗿, 𝗥. 𝗜. 𝗠., 𝗞𝗮𝘀𝗸𝗮𝘁𝗶𝘀, 𝗞., 𝗠𝗮𝗰𝗗𝗼𝗻𝗮𝗹𝗱, 𝗜., & 𝗕𝗮𝗿𝗿𝗮, 𝗩. (𝟮𝟬𝟭𝟮). “𝗣𝗲𝗿𝗳𝗼𝗿𝗺𝗮𝗻𝗰𝗲 𝗼𝗳 𝗺𝘂𝘀𝗶𝗰 𝗲𝗹𝗲𝘃𝗮𝘁𝗲𝘀 𝗽𝗮𝗶𝗻 𝘁𝗵𝗿𝗲𝘀𝗵𝗼𝗹𝗱 𝗮𝗻𝗱 𝗽𝗼𝘀𝗶𝘁𝗶𝘃𝗲 𝗮𝗳𝗳𝗲𝗰𝘁: 𝗜𝗺𝗽𝗹𝗶𝗰𝗮𝘁𝗶𝗼𝗻𝘀 𝗳𝗼𝗿 𝘁𝗵𝗲 𝗲𝘃𝗼𝗹𝘂𝘁𝗶𝗼𝗻𝗮𝗿𝘆 𝗳𝘂𝗻𝗰𝘁𝗶𝗼𝗻 𝗼𝗳 𝗺𝘂𝘀𝗶𝗰.” 𝗘𝘃𝗼𝗹𝘂𝘁𝗶𝗼𝗻𝗮𝗿𝘆 𝗣𝘀𝘆𝗰𝗵𝗼𝗹𝗼𝗴𝘆, 𝟭𝟬(𝟰), 𝟲𝟴𝟴–𝟳𝟬𝟮.
๐ 𝗥𝗲𝘇𝗻𝗶𝗸𝗼𝗳𝗳, 𝗜𝗲𝗴𝗼𝗿. "𝗦𝗼𝘂𝗻𝗱 𝗿𝗲𝘀𝗼𝗻𝗮𝗻𝗰𝗲 𝗶𝗻 𝗽𝗿𝗲𝗵𝗶𝘀𝘁𝗼𝗿𝗶𝗰 𝘁𝗶𝗺𝗲𝘀: 𝗔 𝘀𝘁𝘂𝗱𝘆 𝗼𝗳 𝗣𝗮𝗹𝗲𝗼𝗹𝗶𝘁𝗵𝗶𝗰 𝗽𝗮𝗶𝗻𝘁𝗲𝗱 𝗰𝗮𝘃𝗲𝘀 𝗮𝗻𝗱 𝗿𝗼𝗰𝗸𝘀." 𝗔𝗰𝗼𝘂𝘀𝘁𝗶𝗰𝘀 '𝟬𝟴 𝗣𝗮𝗿𝗶𝘀, 𝟮𝟬𝟬𝟴.
๐ 𝗟𝘂𝗯𝗺𝗮𝗻, 𝗗𝗮𝘃𝗶𝗱. "𝗔𝗰𝗼𝘂𝘀𝘁𝗶𝗰𝗮𝗹 𝘀𝗼𝗹𝘂𝘁𝗶𝗼𝗻𝘀 𝘁𝗼 𝗮𝗿𝗰𝗵𝗮𝗲𝗼𝗹𝗼𝗴𝗶𝗰𝗮𝗹 𝗺𝘆𝘀𝘁𝗲𝗿𝗶𝗲𝘀 𝗮𝘁 𝗖𝗵𝗶𝗰𝗵𝗲𝗻 𝗜𝘁𝘇𝗮’𝘀 𝗧𝗲𝗺𝗽𝗹𝗲 𝗼𝗳 𝗞𝘂𝗸𝘂𝗹𝗸𝗮𝗻." 𝗧𝗵𝗲 𝗝𝗼𝘂𝗿𝗻𝗮𝗹 𝗼𝗳 𝘁𝗵𝗲 𝗔𝗰𝗼𝘂𝘀𝘁𝗶𝗰𝗮𝗹 𝗦𝗼𝗰𝗶𝗲𝘁𝘆 𝗼𝗳 𝗔𝗺𝗲𝗿𝗶𝗰𝗮 𝟭𝟮𝟴.𝟰 (𝟮𝟬𝟭𝟬): 𝟮𝟯𝟮𝟵.
Bình luận