top of page
Search

เพราะดนตรีไม่ใช่แค่ “เล่นเก่ง” ✨ 🥰

  • Writer: Dr.Kasem THipayametrakul
    Dr.Kasem THipayametrakul
  • Apr 18
  • 2 min read

#เก่ง” ในบริบทดนตรี



การประเมินว่าใครสักคน “#เล่นเก่ง” มักถูกผูกติดกับมาตรฐานทางเทคนิค เช่น การตีโน้ตได้ถูกต้องแม่นยำ การควบคุมจังหวะที่คงที่ การเล่นได้เร็วหรือยาก และความรู้ทางทฤษฎีที่ลึกซึ้ง ซึ่งเป็นระบบประเมินที่ใช้กันอย่างแพร่หลายในสถาบันการศึกษาและเวทีแข่งขันต่าง ๆ



แต่หากมองดนตรีในฐานะภาษาหนึ่งที่สื่อสารอารมณ์ ความทรงจำ หรือความหมายที่ไม่สามารถอธิบายเป็นถ้อยคำได้ คำว่า “#เล่นเก่ง” จึงอาจต้องถูกขยายขอบเขตมากกว่าการวัดผลที่จับต้องได้ทางเทคนิค



๐ แม้ดนตรีจะเต็มไปด้วยโน้ตและเทคนิคระดับสูง แต่ก็ไม่ได้การันตีว่าจะสามารถเข้าถึงอารมณ์ของผู้ฟังได้เสมอไป



๐ ในขณะเดียวกัน ดนตรีที่เรียบง่ายแต่เต็มไปด้วยการเว้นจังหวะ ความรู้สึก และเจตนา กลับทำให้ผู้ฟังรู้สึกสะเทือนใจ



คำถามคือ: เราควรยังใช้คำว่า "เล่นเก่ง" เพื่อบรรยายเฉพาะความสามารถทางเทคนิคอยู่หรือไม่? หรือเราควรนิยามความ "เก่ง" ในดนตรีใหม่ ให้รวมถึง "ความเข้าใจ" ด้วย?



𝟭. #ดนตรีในฐานะการสื่อสาร ไม่ใช่แค่การแสดงออก



  ดนตรีเป็นเครื่องมือในการถ่ายทอดความรู้สึกและความหมายที่ซับซ้อน



ดนตรีไม่ได้เป็นแค่การเล่นโน้ต แต่เป็นการแสดงออกถึงอารมณ์, ความรู้สึก, และความตั้งใจของผู้เล่นที่ถ่ายทอดออกมาเป็นเสียง การใช้ดนตรีในการสื่อสารไม่เพียงแต่สร้างความบันเทิงให้กับผู้ฟัง แต่ยังสามารถทำให้ผู้ฟังรู้สึกถึงสิ่งที่ผู้เล่นต้องการจะบอกแม้ไม่สามารถอธิบายด้วยคำพูดได้



  เสียง: เครื่องมือสื่อสารที่ลึกซึ้ง



การศึกษาของ 𝗝𝘂𝘀𝗹𝗶𝗻 & 𝗦𝗹𝗼𝗯𝗼𝗱𝗮 (𝟮𝟬𝟬𝟭) แสดงให้เห็นว่าเสียงในดนตรีมีความสามารถในการถ่ายทอดอารมณ์ได้อย่างลึกซึ้งผ่านการควบคุมจังหวะ (𝗿𝗵𝘆𝘁𝗵𝗺), ความดัง (𝗱𝘆𝗻𝗮𝗺𝗶𝗰𝘀), และโหมด (𝗺𝗼𝗱𝗲𝘀) การเปลี่ยนแปลงของจังหวะหรือการใช้โหมดต่าง ๆ เช่น การเล่นในโหมดไมเนอร์ (𝗺𝗶𝗻𝗼𝗿) ซึ่งมักเชื่อมโยงกับอารมณ์เศร้าหรือความขมขื่น ในขณะที่โหมดเมเจอร์ (𝗺𝗮𝗷𝗼𝗿) เชื่อมโยงกับอารมณ์ที่เป็นบวก เช่น ความสุขหรือความร่าเริง



สิ่งนี้ชี้ให้เห็นว่า ดนตรีสามารถสื่อสารสิ่งที่ไม่สามารถพูดออกมาเป็นคำพูดได้ ในทางจิตวิทยา การรับรู้เสียงและการตีความอารมณ์นั้นไม่ได้ขึ้นอยู่กับแค่ความถี่หรือความดังของเสียงเท่านั้น แต่ยังเกี่ยวข้องกับการตีความที่เชื่อมโยงกับประสบการณ์ส่วนตัวของผู้ฟังด้วย



  การเปรียบเทียบระหว่างการแสดงออกกับการสื่อสาร



การแสดงออกในดนตรีมักเน้นไปที่การ "โชว์" ความสามารถของนักดนตรี ซึ่งสามารถวัดได้ง่ายจากความเร็ว ความยากง่ายของการเล่น หรือความแม่นยำในการตีโน้ต ในขณะที่การสื่อสารนั้นเป็นการให้ความสำคัญกับการ "ถ่ายทอด" อารมณ์และความรู้สึกจากตัวผู้เล่นไปยังผู้ฟังมากกว่า



งานวิจัยของ 𝗚𝗮𝗯𝗿𝗶𝗲𝗹𝘀𝘀𝗼𝗻 & 𝗟𝗶𝗻𝗱𝘀𝘁𝗿𝗼̈𝗺 (𝟮𝟬𝟬𝟭) ชี้ให้เห็นว่า แม้การเล่นดนตรีด้วยเทคนิคที่สูงจะทำให้ผู้ฟังประทับใจในความสามารถของนักดนตรี แต่สิ่งที่ทำให้ดนตรีสามารถสร้างการเชื่อมโยงอารมณ์กับผู้ฟังได้จริง ๆ คือการควบคุม "การเว้นจังหวะ" (𝗽𝗮𝘂𝘀𝗲𝘀), "การเปลี่ยนแปลงของ 𝗱𝘆𝗻𝗮𝗺𝗶𝗰" และ "การแสดงออกทางอารมณ์" ที่เกิดขึ้นจากการเล่นในแต่ละช่วงเวลา





  เสียงในแต่ละบริบทมีความหมายที่แตกต่างกัน



ในงานวิจัยของ 𝗖𝗵𝗮𝗳𝗳𝗶𝗻, 𝗜𝗺𝗿𝗲𝗵 & 𝗖𝗿𝗮𝘄𝗳𝗼𝗿𝗱 (𝟮𝟬𝟬𝟮) พบว่า นักดนตรีที่มีประสบการณ์สูงไม่ได้แค่จำโน้ตหรือเทคนิคการเล่นที่ดีที่สุด แต่พวกเขามักจะจำ "ความตั้งใจ" ในการเลือกเสียงในแต่ละช่วงเวลา ซึ่งมักจะเกี่ยวข้องกับการรู้ว่าเมื่อใดควรหยุดหรือเลือกที่จะไม่เล่นอะไรเลย เพื่อให้เกิดความสมดุลในเพลง



  การเลือกเสียงให้เหมาะสมกับบทบาทของเพลง



การเลือกเสียงไม่ได้หมายถึงแค่การเล่นโน้ตให้ถูกต้องหรือเร็วเท่านั้น แต่หมายถึงการตระหนักว่าเสียงแต่ละเสียงที่เรากำลังเล่นมี “บทบาท” อะไรในเพลงนั้น ๆ เช่น เสียงในช่วงโซโล่สามารถเป็นจุดพีคที่ทำให้เพลงมีความน่าสนใจ ในขณะที่เสียงในช่วงอินโทรอาจจะต้องมีความเงียบหรือเรียบง่ายเพื่อให้ผู้ฟังพร้อมรับเนื้อหาหลักในเพลง



ตัวอย่าง: หากเสียงของมือกลองไปบดบังเสียงของเครื่องดนตรีหลัก เช่น กีต้าร์หรือคีย์บอร์ด ก็อาจทำให้เพลงขาดความสมดุลหรือทำให้ผู้ฟังไม่สามารถรับรู้ความสำคัญของเมโลดี้หลักได้ ดังนั้น การรู้ว่า “เสียงไหนควรจะเด่น” และ “เสียงไหนควรจะเป็นพื้นหลัง” จึงเป็นสิ่งสำคัญในทางดนตรี





  การฝึกฟัง: กุญแจสำคัญในการเล่นดนตรีร่วมกับผู้อื่น



แม้จะฝึกฝนมือในการเล่นดนตรีได้ดี แต่หากขาดทักษะการฟังที่ดี นักดนตรีก็อาจไม่สามารถปรับตัวให้เข้ากับวงได้ดี การฟังไม่ได้หมายถึงการฟังเสียงของตัวเองเท่านั้น แต่ยังหมายถึงการฟังเสียงของเพื่อนร่วมวงด้วย



  การฟังในเชิงวิทยาศาสตร์:



งานวิจัยโดย 𝗘𝗲𝗿𝗼𝗹𝗮 𝗲𝘁 𝗮𝗹. (𝟮𝟬𝟭𝟯) พบว่า การฟังเสียงในเชิงประสาทวิทยาศาสตร์ไม่ได้เกี่ยวข้องกับแค่การรับรู้เสียงผ่านหู แต่ยังเกี่ยวข้องกับการประมวลผลในสมองที่เชื่อมโยงความรู้สึกและความหมายของเสียงที่ได้ยิน การฟังที่ดีในบริบทดนตรีจึงหมายถึงการรับรู้การเปลี่ยนแปลงของเสียงของทุกคนในวงและการตอบสนองต่อเสียงเหล่านั้นได้อย่างเหมาะสม



  การฟังในวงดนตรีไม่ใช่แค่เรื่องของการ "ได้ยิน" เสียง



นักดนตรีที่ฟังเก่งจะรู้ว่าเมื่อใดควรเพิ่มหรือลดเสียงเพื่อให้เกิดการสมดุลในวง การเลือกที่จะไม่เล่นอะไรเลยในบางช่วงเวลาอาจเป็นสิ่งที่สำคัญกว่าการเล่นเทคนิคที่ยากขึ้น เพื่อให้เพลงมีการไหลลื่นและเข้าใจง่ายสำหรับผู้ฟัง





  𝗗𝘆𝗻𝗮𝗺𝗶𝗰 และบทบาทของมันในการสื่อสารอารมณ์



ในดนตรี 𝗱𝘆𝗻𝗮𝗺𝗶𝗰 ไม่ได้หมายถึงแค่ระดับความดังของเสียง แต่เป็นเครื่องมือเชิงอารมณ์ที่สามารถสร้างความรู้สึกต่าง ๆ ได้อย่างชัดเจน ในงานวิจัยของ 𝗘𝗲𝗿𝗼𝗹𝗮 𝗲𝘁 𝗮𝗹. (𝟮𝟬𝟭𝟯) พบว่า 𝗱𝘆𝗻𝗮𝗺𝗶𝗰 มีผลโดยตรงต่อการรับรู้ของผู้ฟังในการถ่ายทอดอารมณ์จากดนตรี



ตัวอย่าง: การเล่นด้วยความดังที่สูงสุดในช่วงพีคของเพลงสามารถสร้างความรู้สึกตื่นเต้นหรือความรุนแรง แต่การลดความดังหรือการเว้นจังหวะในช่วงที่มีความตึงเครียดสามารถสร้างความคาดหวังและความรู้สึกที่ผู้ฟังต้องการจะรับรู้



  การใช้ 𝗱𝘆𝗻𝗮𝗺𝗶𝗰 อย่างมีเจตนา



นักดนตรีระดับสูงจะใช้ 𝗱𝘆𝗻𝗮𝗺𝗶𝗰 ด้วยความตั้งใจ เพื่อสร้างอารมณ์ในดนตรี ไม่ใช่แค่การเล่นตามที่เคยทำ แต่เป็นการตอบสนองต่อเนื้อหาและโครงสร้างของเพลง ซึ่งสามารถทำให้เพลงมีความลึกซึ้งมากขึ้น





  การหาความสมดุล: ไม่ใช่แค่การเล่นให้เก่ง แต่เป็นการเล่นให้เข้ากับเพลงและวงดนตรี



ในวงการดนตรี นักดนตรีหลายคนมักมุ่งมั่นที่จะ “เล่นเก่ง” โดยการพัฒนาทักษะทางเทคนิคให้ดีขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการตีโน้ตให้ถูกต้องแม่นยำ การเล่นที่รวดเร็ว หรือการแสดงที่ซับซ้อนมากขึ้น แต่สิ่งที่นักดนตรีมืออาชีพระดับสูงสามารถทำได้ดีกว่าคือการรู้ว่า ควรจะเล่นแค่ไหน เพื่อให้เพลงสมดุลและไม่ทำให้เสียสมาธิจากองค์ประกอบอื่นๆ ในวงดนตรี



  การรู้จักการหยุด: พลังของความเงียบ



การฝึกการเลือกที่จะ “ไม่เล่น” หรือการเลือกที่จะ “เว้นความเงียบ” ในบางช่วงของเพลงเป็นสิ่งที่สำคัญในทางดนตรี ความสามารถในการรู้ว่าเมื่อใดควรหยุดหรือเว้นจังหวะนั้นมักจะซ่อนความสามารถที่ลึกซึ้งมากกว่าการเล่นอย่างต่อเนื่อง



ในงานวิจัยของ 𝗖𝗵𝗮𝗳𝗳𝗶𝗻, 𝗜𝗺𝗿𝗲𝗵, & 𝗖𝗿𝗮𝘄𝗳𝗼𝗿𝗱 (𝟮𝟬𝟬𝟮) นักวิจัยพบว่า นักดนตรีมืออาชีพ มักจะมีการเลือกเว้นช่วงหรือ “หยุด” ในจังหวะที่เหมาะสม ซึ่งทำให้เพลงมีความหลากหลายทางอารมณ์ และทำให้การเชื่อมต่อระหว่างผู้ฟังกับดนตรีมีความลึกซึ้งขึ้น โดยเฉพาะเมื่อมีช่วงเวลาที่เสียงดนตรีหายไปแล้วกลับมารวมตัวกันอีกครั้ง



การเว้นจังหวะ หรือ “ความเงียบ” ที่เกิดขึ้นในบางช่วงเป็นสิ่งที่มีพลังในการสร้างอารมณ์และความคาดหวังในเพลง เช่นเดียวกับในหนังที่บางครั้งการหยุดภาพและเสียงก็ทำให้ความตึงเครียดเพิ่มขึ้น



  การศึกษาจิตวิทยาดนตรีในเรื่องของ “ความพอดี”



ในงานวิจัยด้านจิตวิทยาดนตรีที่ศึกษาเกี่ยวกับการแสดงดนตรีที่มีคุณภาพ 𝗚𝗮𝗯𝗿𝗶𝗲𝗹𝘀𝘀𝗼𝗻 & 𝗟𝗶𝗻𝗱𝘀𝘁𝗿𝗼̈𝗺 (𝟮𝟬𝟬𝟭) พบว่า ความสามารถในการควบคุม 𝘁𝗶𝗺𝗶𝗻𝗴, 𝗱𝘆𝗻𝗮𝗺𝗶𝗰, และการเว้นจังหวะเป็นสิ่งที่แยกความแตกต่างของการแสดงที่ดีและไม่ดีได้ ไม่ใช่แค่เพียงการเล่นที่เร็วหรือซับซ้อน แต่เป็นการ เล่นให้สอดคล้องกับเนื้อเพลง และ สร้างความรู้สึกที่เหมาะสมกับช่วงเวลาของเพลง





  ดนตรีเป็นการทำงานร่วมกัน:



ตามแนวคิดของ 𝗧𝗵𝗼𝗺𝗮𝘀 𝗧𝘂𝗿𝗶𝗻𝗼 (𝟮𝟬𝟬𝟴) ในบทความ "𝗠𝘂𝘀𝗶𝗰 𝗮𝘀 𝗦𝗼𝗰𝗶𝗮𝗹 𝗟𝗶𝗳𝗲" ดนตรีที่ดีไม่ได้มาจากการแสดงเดี่ยวหรือการโชว์เทคนิคส่วนบุคคล แต่เป็นการทำงานร่วมกันในพื้นที่ส่วนรวมที่ทุกเสียงต้องประสานกัน



  การเลือกที่จะเป็น "พื้นหลัง" หรือ "จุดศูนย์กลาง":



ในวงดนตรี ความสมดุลระหว่างการเป็น "พื้นหลัง" หรือ "จุดศูนย์กลาง" เป็นสิ่งสำคัญ นักดนตรีบางคนอาจเลือกที่จะ "ถอยออก" เพื่อให้การแสดงของผู้อื่นโดดเด่นขึ้น เช่น การให้เสียงของนักร้องเป็นเสียงหลักในเพลง หรือการให้เครื่องดนตรีหลักอย่างกีต้าร์หรือคีย์บอร์ดนำในช่วงสำคัญ



  #สรุป: การเปลี่ยนจาก “เก่ง” สู่ “เข้าใจ”



การเล่นดนตรีที่ดีไม่เพียงแค่การ “เล่นเก่ง” ซึ่งหมายถึงการมีทักษะที่เหนือชั้นหรือการแสดงฝีมือที่โดดเด่น การเป็นนักดนตรีที่เก่งอาจหมายถึงการตีโน้ตที่แม่นยำ การทำความเร็วที่สูง หรือการเล่นในระดับที่ซับซ้อน แต่นั่นไม่ใช่ทั้งหมดที่ทำให้การเล่นดนตรีมีคุณค่าและสัมผัสถึงหัวใจของผู้ฟัง



การเปลี่ยนจาก “เก่ง” ไปสู่ “เข้าใจ” หมายถึงการมี ความเข้าใจในบทบาทของเสียง ในวงดนตรี ไม่ว่าเสียงของคุณจะเป็นหลักหรือรองในแต่ละเพลง คุณจะรู้ว่าเสียงของคุณมีหน้าที่อะไรในแต่ละช่วงเวลา เสียงของคุณอาจจะเป็นส่วนหนึ่งที่เติมเต็มหรือช่วยสนับสนุนให้เพลงไหลลื่นไป หรืออาจจะต้องการการหยุดพักเพื่อให้การแสดงของคนอื่นโดดเด่นขึ้น



การมี “ความเข้าใจ” ยังหมายถึง การสื่อสารอารมณ์และความหมายผ่านเสียง ที่ผู้ฟังสามารถเชื่อมโยงและเข้าใจได้ แม้ว่าจะไม่มีคำพูดหรือทฤษฎีที่มาพร้อมกับมัน คุณจะสามารถเล่นได้อย่างมีเจตนาและทำให้ผู้ฟังรู้สึกถึงอารมณ์ที่คุณต้องการถ่ายทอด ไม่ว่าจะเป็นความสุข ความเศร้า ความหวัง หรือความเจ็บปวด



คำถามสุดท้าย: หากคุณเล่นเพียงแค่โน้ตเดียวในหนึ่งบาร์ คุณจะเลือกตีโน้ตนั้นอย่างไรให้มัน “เล่าเรื่องได้ทั้งบาร์”  



 อ้างอิง



𝗝𝘂𝘀𝗹𝗶𝗻, 𝗣. 𝗡., & 𝗦𝗹𝗼𝗯𝗼𝗱𝗮, 𝗝. 𝗔. (𝟮𝟬𝟬𝟭).


𝗠𝘂𝘀𝗶𝗰 𝗮𝗻𝗱 𝗘𝗺𝗼𝘁𝗶𝗼𝗻: 𝗧𝗵𝗲𝗼𝗿𝘆 𝗮𝗻𝗱 𝗥𝗲𝘀𝗲𝗮𝗿𝗰𝗵.


𝗖𝗮𝗺𝗯𝗿𝗶𝗱𝗴𝗲 𝗨𝗻𝗶𝘃𝗲𝗿𝘀𝗶𝘁𝘆 𝗣𝗿𝗲𝘀𝘀.



𝗚𝗮𝗯𝗿𝗶𝗲𝗹𝘀𝘀𝗼𝗻, 𝗔., & 𝗟𝗶𝗻𝗱𝘀𝘁𝗿𝗼̈𝗺, 𝗘. (𝟮𝟬𝟬𝟭).


𝗧𝗵𝗲 𝗘𝘅𝗽𝗿𝗲𝘀𝘀𝗶𝘃𝗲𝗻𝗲𝘀𝘀 𝗼𝗳 𝗠𝘂𝘀𝗶𝗰 𝗣𝗲𝗿𝗳𝗼𝗿𝗺𝗮𝗻𝗰𝗲: 𝗔 𝗠𝗼𝗱𝗲𝗹 𝗮𝗻𝗱 𝗦𝗼𝗺𝗲 𝗗𝗮𝘁𝗮.


𝗜𝗻 𝗣. 𝗡. 𝗝𝘂𝘀𝗹𝗶𝗻 & 𝗝. 𝗔. 𝗦𝗹𝗼𝗯𝗼𝗱𝗮 (𝗘𝗱𝘀.), 𝗠𝘂𝘀𝗶𝗰 𝗮𝗻𝗱 𝗘𝗺𝗼𝘁𝗶𝗼𝗻: 𝗧𝗵𝗲𝗼𝗿𝘆 𝗮𝗻𝗱 𝗥𝗲𝘀𝗲𝗮𝗿𝗰𝗵 (𝗽𝗽. 𝟮𝟮𝟯–𝟮𝟰𝟴).


𝗢𝘅𝗳𝗼𝗿𝗱 𝗨𝗻𝗶𝘃𝗲𝗿𝘀𝗶𝘁𝘆 𝗣𝗿𝗲𝘀𝘀.



𝗖𝗵𝗮𝗳𝗳𝗶𝗻, 𝗥., 𝗜𝗺𝗿𝗲𝗵, 𝗚., & 𝗖𝗿𝗮𝘄𝗳𝗼𝗿𝗱, 𝗠. (𝟮𝟬𝟬𝟮).


𝗣𝗿𝗮𝗰𝘁𝗶𝗰𝗶𝗻𝗴 𝗣𝗲𝗿𝗳𝗲𝗰𝘁𝗶𝗼𝗻: 𝗣𝗶𝗮𝗻𝗼 𝗣𝗲𝗿𝗳𝗼𝗿𝗺𝗮𝗻𝗰𝗲 𝗮𝗻𝗱 𝘁𝗵𝗲 𝗘𝗱𝘂𝗰𝗮𝘁𝗶𝗼𝗻 𝗼𝗳 𝗠𝗲𝗺𝗼𝗿𝘆.


𝗣𝘀𝘆𝗰𝗵𝗼𝗹𝗼𝗴𝘆 𝗣𝗿𝗲𝘀𝘀.



𝗘𝗲𝗿𝗼𝗹𝗮, 𝗧., 𝗟𝘂𝗰𝗸, 𝗚., & 𝗞𝗮𝗹𝗹𝗶𝗻𝗲𝗻, 𝗞. (𝟮𝟬𝟭𝟯).


𝗧𝗵𝗲 𝗥𝗼𝗹𝗲 𝗼𝗳 𝗗𝘆𝗻𝗮𝗺𝗶𝗰 𝗖𝗵𝗮𝗻𝗴𝗲𝘀 𝗶𝗻 𝘁𝗵𝗲 𝗣𝗲𝗿𝗰𝗲𝗽𝘁𝗶𝗼𝗻 𝗼𝗳 𝗠𝘂𝘀𝗶𝗰.


𝗙𝗿𝗼𝗻𝘁𝗶𝗲𝗿𝘀 𝗶𝗻 𝗣𝘀𝘆𝗰𝗵𝗼𝗹𝗼𝗴𝘆, 𝟰, 𝟯𝟯𝟭.



𝗧𝘂𝗿𝗶𝗻𝗼, 𝗧. (𝟮𝟬𝟬𝟴).


𝗠𝘂𝘀𝗶𝗰 𝗮𝘀 𝗦𝗼𝗰𝗶𝗮𝗹 𝗟𝗶𝗳𝗲: 𝗧𝗵𝗲 𝗣𝗼𝗹𝗶𝘁𝗶𝗰𝘀 𝗼𝗳 𝗣𝗮𝗿𝘁𝗶𝗰𝗶𝗽𝗮𝘁𝗶𝗼𝗻.


𝗨𝗻𝗶𝘃𝗲𝗿𝘀𝗶𝘁𝘆 𝗼𝗳 𝗖𝗵𝗶𝗰𝗮𝗴𝗼 𝗣𝗿𝗲𝘀𝘀.

 
 
 

Commentaires


bottom of page