top of page
Search

เทคนิคคือเครื่องมือ...ถ้าคุณไม่รู้จะพูดอะไรมันก็เป็นแค่กล่องเปล่า ⚙️

  • Writer: Dr.Kasem THipayametrakul
    Dr.Kasem THipayametrakul
  • Jun 6
  • 4 min read


ในโลกของดนตรี โดยเฉพาะสำหรับมือกลอง การฝึกเทคนิคเป็นเรื่องพื้นฐาน



  เราฝึก 𝗿𝘂𝗱𝗶𝗺𝗲𝗻𝘁𝘀 จนเข้ากล้ามเนื้อ


  ฝึก 𝗰𝗼𝗻𝘁𝗿𝗼𝗹 𝘀𝘁𝗿𝗼𝗸𝗲 ให้แต่ละโน้ตสม่ำเสมอ


  ฝึก 𝗰𝗼𝗼𝗿𝗱𝗶𝗻𝗮𝘁𝗶𝗼𝗻 เพื่อให้มือเท้าเป็นอิสระจากกัน


  ฝึก 𝗶𝗻𝗱𝗲𝗽𝗲𝗻𝗱𝗲𝗻𝗰𝗲 จนสามารถเล่น 𝗿𝗵𝘆𝘁𝗵𝗺 ซ้อนกันได้


  ฝึก 𝗹𝗶𝗻𝗲𝗮𝗿 𝗽𝗵𝗿𝗮𝘀𝗶𝗻𝗴 ให้ 𝗽𝗮𝘁𝘁𝗲𝗿𝗻 ของเราดู “ไม่ซ้ำใคร”



เราฝึก 𝘀𝗶𝗻𝗴𝗹𝗲 𝘀𝘁𝗿𝗼𝗸𝗲, 𝗱𝗼𝘂𝗯𝗹𝗲 𝘀𝘁𝗿𝗼𝗸𝗲, 𝗽𝗮𝗿𝗮𝗱𝗶𝗱𝗱𝗹𝗲, 𝗳𝗹𝗮𝗺𝘀, 𝗱𝗿𝗮𝗴𝘀



จนวันหนึ่ง...มือของเราตอบสนองได้โดยไม่ต้องสั่ง และสิ่งเหล่านี้ ล้วน “สำคัญ” อย่างยิ่ง



เพราะเทคนิคคือ “#เครื่องมือ



  มันคือพยัญชนะของภาษา


  คือพู่กันของศิลปิน


  คือใบมีดของช่างแกะสลัก


  คือสิ่งที่ทำให้เรา “พูด” ได้อย่างแม่นยำ มีรายละเอียด มีอิสระ มีความสามารถในการแสดงออก



แต่ในห้องซ้อมที่เงียบ และในความเร็วของ 𝗺𝗲𝘁𝗿𝗼𝗻𝗼𝗺𝗲 ที่คงที่



มีคำถามหนึ่ง…ที่เบาเกินกว่าจะได้ยิน หากคุณไม่ตั้งใจฟัง



คุณจะใช้เครื่องมือเหล่านั้น…เพื่อพูดอะไร



๐ ถ้าคุณฝึก 𝗽𝗮𝗿𝗮𝗱𝗶𝗱𝗱𝗹𝗲 ได้เร็วที่สุดในวง คุณจะใช้มัน "พูด" ว่าอะไรในเพลง 𝗯𝗮𝗹𝗹𝗮𝗱 ที่ต้องการความสงบ?


๐ ถ้าคุณควบคุม 𝗱𝘆𝗻𝗮𝗺𝗶𝗰 ได้ละเอียดระดับ 𝗱𝗲𝗰𝗶𝗯𝗲𝗹 คุณจะใช้ความสามารถนี้ “บอกอะไร” กับ 𝘀𝗶𝗹𝗲𝗻𝗰𝗲 ที่กำลังจะมา?


๐ ถ้าคุณเล่น 𝗴𝗿𝗼𝗼𝘃𝗲 ได้ร้อยแบบ แต่ไม่มีแบบไหนที่ “คือคุณ”


เทคนิคทั้งหมดนั้น…จะมีไว้เพื่ออะไร?



สิ่งที่น่ากลัวในโลกดนตรีไม่ใช่การยังไม่เก่ง แต่คือการ “เก่งขึ้นเรื่อยๆ” โดยไม่รู้ว่าเก่งไปเพื่ออะไร และสิ่งที่เศร้าที่สุด อาจไม่ใช่การไม่มีโอกาส แต่คือการมีทุกโอกาส...แต่คุณกลับไม่มี "เสียง" ที่อยากพูดอยู่ภายใน





คุณอาจผ่านทุก 𝗿𝘂𝗱𝗶𝗺𝗲𝗻𝘁


คุณอาจมี 𝗱𝘆𝗻𝗮𝗺𝗶𝗰 𝘀𝗵𝗲𝗲𝘁 ที่สวยงาม


คุณอาจฝึกจนสมบูรณ์แบบตามตำรา


แต่ถ้าคุณไม่รู้ว่าอยาก “พูดอะไร” ทุกสิ่งที่คุณฝึกมา ก็อาจกลายเป็น “ความเงียบที่เต็มไปด้วยเสียง”



และนั่น…ไม่ใช่ความเงียบที่สงบ แต่คือความว่างเปล่าที่ไม่มีอะไรจะบอก



เทคนิค คือสิ่งที่ทุกคนฝึกได้ แต่ “เสียงของคุณ” คือสิ่งเดียวที่ไม่มีใครสอนให้ได้



𝟭 . ❖ เครื่องมือโดยไม่มี “#เสียง” คือภาชนะเปล่า



เทคนิคที่ไม่มีเจตนา = การแสดงที่ไม่มีวิญญาณ



ในโลกของการฝึกดนตรี เทคนิคมักถูกให้คุณค่าในฐานะสิ่งที่ “จับต้องได้”



๐ เมื่อคุณฝึก 𝘀𝗶𝗻𝗴𝗹𝗲 𝘀𝘁𝗿𝗼𝗸𝗲 ได้เร็วขึ้น นั่นคือ “ความคืบหน้า”


๐ เมื่อคุณทำ 𝗶𝗻𝗱𝗲𝗽𝗲𝗻𝗱𝗲𝗻𝗰𝗲 มือ-เท้าได้แม่น นั่นคือ “ความก้าวหน้า”


๐ เมื่อคุณตี 𝗴𝗿𝗼𝗼𝘃𝗲 ที่ซับซ้อนใน 𝗼𝗱𝗱 𝘁𝗶𝗺𝗲 ได้ นั่นคือ “ระดับที่สูงขึ้น”



แต่นั่นเป็นแค่ “ความคืบหน้าในรูปแบบ” ไม่ใช่ “ความลึกในความหมาย”



ลองมองอีกแบบ: การฝึกเทคนิคคือการสะสม “อาวุธ” คุณมีไม้เบสบอลที่แข็งแรง มีปืนที่ยิงตรง มีค้อนที่ตีแม่น



แต่ถ้าคุณไม่รู้ว่าคุณจะใช้มันเพื่ออะไร คุณก็แค่กลายเป็น “นักสะสมอาวุธ” ที่ไม่เคยสร้างอะไรขึ้นมาจริงๆ



ในทางดนตรี ถ้าคุณฝึก 𝗿𝘂𝗱𝗶𝗺𝗲𝗻𝘁𝘀 ได้ครบทุกแบบ แต่ไม่รู้ว่า จะใช้ 𝗳𝗹𝗮𝗺 หรือ 𝗱𝗿𝗮𝗴 เพื่อใส่อารมณ์อะไร หรือไม่รู้ว่า 𝗳𝗶𝗹𝗹-𝗶𝗻 แบบนั้นช่วย “ส่ง” ความรู้สึกของนักร้องได้ยังไง นั่นคือการฝึกที่สะสมเพียง “เปลือก” โดยไม่มี “แก่น”



✧ ความเปล่าเปลืองที่ไม่รู้ตัว: ภาระของเครื่องมือที่ไม่มีทิศทาง



คนจำนวนมากรู้สึกเหนื่อยหลังฝึกซ้อม ทั้งที่ไม่ได้ใช้แรงกายมากนัก นั่นเพราะ การฝึกโดยไม่มีเสียงในหัว มักเผาผลาญพลังใจมากกว่าที่คิด



คุณอาจรู้สึกว่าคุณ “ทำครบแล้ว” คุณตี 𝗽𝗮𝗿𝗮𝗱𝗶𝗱𝗱𝗹𝗲, ฝึก 𝗴𝗿𝗼𝗼𝘃𝗲 𝗷𝗮𝘇𝘇, ซ้อม 𝗹𝗶𝗻𝗲𝗮𝗿 𝗽𝗵𝗿𝗮𝘀𝗶𝗻𝗴, ทำ 𝘄𝗮𝗿𝗺-𝘂𝗽 บน 𝗽𝗮𝗱



แต่หลังฝึกกลับรู้สึก “เฉยๆ” หรือ “ว่างเปล่า” เหมือนผ่าน 𝗰𝗵𝗲𝗰𝗸𝗹𝗶𝘀𝘁 ของงานหนึ่งวัน โดยไม่ได้เรียนรู้อะไรเกี่ยวกับตัวเองเลย



นี่คือสภาวะที่นักจิตวิทยาดนตรีบางคนเรียกว่า 𝗣𝗿𝗮𝗰𝘁𝗶𝗰𝗶𝗻𝗴 𝘄𝗶𝘁𝗵𝗼𝘂𝘁 𝗽𝗿𝗲𝘀𝗲𝗻𝗰𝗲 คือการซ้อมโดยขาดการตระหนักรู้ถึงเสียงของตนเอง เทียบได้กับการขับรถบนเส้นทางเดิมจนหลับตาก็ขับได้ แต่ไม่เคยสังเกตเลยว่าระหว่างทางนั้นมีอะไรอยู่บ้าง



✧ เครื่องมือที่ “#แสดง” กับเครื่องมือที่ “#พูด



คุณอาจเคยฟังมือกลองบางคนที่เล่นยากมาก ซับซ้อนมาก แต่คุณกลับรู้สึกว่า “เขากำลังแสดงให้ดู” มากกว่า “สื่อสารบางอย่าง” แต่พอฟังอีกคน ที่เล่นแค่ 𝗴𝗿𝗼𝗼𝘃𝗲 𝟮 ห้อง ไม่มี 𝗳𝗶𝗹𝗹-𝗶𝗻 เลย กลับทำให้คุณรู้สึกเหมือน “ถูกพูดด้วย” อย่างตรงไปตรงมา



ความแตกต่างไม่ใช่ที่เทคนิค แต่อยู่ที่ว่า เสียงนั้นมีเจตนาอยู่ข้างในหรือไม่



๐ คนแรก: ใช้เทคนิคเพื่อแสดงความสามารถ


๐ คนที่สอง: ใช้เทคนิคเพื่อ “นำทางความรู้สึก” ของคนฟัง คนฟังรู้สึกได้ทันทีว่า เสียงนั้น “มีชีวิตอยู่ในความเงียบหลังจากมันจบไปแล้ว”



✧ คุณฝึกเพื่อมีเครื่องมือ หรือฝึกเพื่อสร้าง “#ภาษา” ของตัวเอง?



เครื่องมือทุกชิ้นจะมีความหมาย ก็ต่อเมื่อมัน “อยู่ในระบบของการสื่อสาร”



ลองเทียบกับภาษาพูด:



คำว่า "อย่างไรก็ตาม", "ทั้งนี้ทั้งนั้น", "เพื่อประโยชน์สูงสุด" คือคำที่ใช้ในระดับทางการ



๐ แต่ถ้าคุณพูดมันในทุกประโยค ไม่ว่ากำลังคุยกับเด็กหรือคุยเรื่องความรัก


๐ มันจะฟัง “แปลก” เพราะคุณใช้เครื่องมือที่ไม่ตรงกับเจตนา



การฝึกกลองก็เช่นกัน ถ้าคุณใช้ 𝟯𝟮𝗻𝗱 𝗻𝗼𝘁𝗲 𝗳𝗶𝗹𝗹-𝗶𝗻 ในทุกจุด แม้จะตีได้แม่น แต่ไม่มีความจำเป็นทางอารมณ์หรือบริบท นั่นคือ “เสียงที่ไม่ฟังตัวเอง”



คุณอาจกลายเป็นคนที่พูดได้ทุกคำ แต่ไม่รู้ว่าควรพูดคำไหนกับใคร เวลาใด และนั่นไม่ใช่การสื่อสาร แต่คือ การส่งเสียงเข้าสู่อากาศโดยไม่มีผู้รับ



✧ แล้วจะรู้ได้อย่างไรว่า “เสียงในหัวเรา” คืออะไร?



  ถามตัวเองเสมอว่า วันนี้คุณอยาก “พูดเรื่องอะไร” ผ่านเสียงกลอง?


  ลองเล่น 𝗴𝗿𝗼𝗼𝘃𝗲 เดิมโดย “ตั้งใจพูดแบบต่างๆ” เช่น พูดด้วยความกลัว พูดด้วยความมั่นใจ พูดด้วยความลังเล


  ฟังเสียงตัวเองกลับบ่อยๆ โดยไม่รีบตัดสินว่า “ดีหรือไม่ดี”


  เลือก 𝟭 𝗿𝘂𝗱𝗶𝗺𝗲𝗻𝘁 แล้วถามว่า มันมี 𝗲𝗺𝗼𝘁𝗶𝗼𝗻 แบบไหนในตัวมัน?


  ลอง “ตีให้น้อยลง” แล้วฟังว่า…เสียงที่เหลืออยู่ มันกำลังพูดอะไร?



✧ เครื่องมือไม่เคยผิด ถ้าเจ้าของรู้ว่าจะสร้างอะไร



มือกลองที่ดี…ไม่ใช่คนที่มีอาวุธครบ แต่คือคนที่ “เลือกใช้” อาวุธนั้นในจังหวะที่พอดี เพื่อพูดบางอย่างที่ตรงจากใจ ผ่านเสียงที่แม่นยำ ซื่อสัตย์ และมีความตั้งใจอยู่เบื้องหลัง



เทคนิคไม่ใช่จุดหมาย มันคือประตู แต่การเดินเข้าไปในห้องที่ใช่… คุณต้องรู้ก่อนว่า “คุณอยากพูดอะไรในห้องนั้น” ไม่อย่างนั้น คุณจะแค่เปิดประตูแล้วเดินวนไปเรื่อยๆ โดยไม่รู้ว่าอะไรอยู่ข้างในเลย



𝟮. ❖ ศิลปะไม่ได้เริ่มจากกล้ามเนื้อ แต่มาจากเจตนา



ถ้า 𝗴𝗿𝗼𝗼𝘃𝗲 คือประโยค / เทคนิคคือพจนานุกรม / ใจความมาจากเจตนา



นักดนตรีหลายคนฝึกทุกวันจนกล้ามเนื้อจดจำได้หมด ตี 𝗽𝗮𝗿𝗮𝗱𝗶𝗱𝗱𝗹𝗲 โดยไม่คิด เล่น 𝗹𝗶𝗻𝗲𝗮𝗿 ได้แบบไม่ต้องมองไม้ ความสามารถทางร่างกายนี้คือ “ความพร้อม” แต่ความพร้อมเพียงอย่างเดียว ไม่เท่ากับ การสื่อสารที่มีชีวิต



ลองนึกถึงคนที่จำพจนานุกรมได้ทั้งเล่ม เขาอาจรู้ทุกคำศัพท์ในโลก. แต่ถ้าไม่รู้ว่าจะพูดอะไรกับใคร. ความรู้ทั้งหมดนั้น…ก็ยังไม่ใช่ “บทสนทนา”



กับเสียงกลองก็เช่นกัน: ถ้าคุณไม่มีเจตนาภายใน เสียงของคุณจะไม่มีความหมาย มันอาจดัง มันอาจเร็ว มันอาจแม่น แต่มันจะไม่มี “แรงถ่วงทางความรู้สึก” ที่ทำให้คนฟังหยุดและฟังจริงๆ



✧ 𝗚𝗿𝗼𝗼𝘃𝗲 = ประโยค



𝗚𝗿𝗼𝗼𝘃𝗲 ที่ดีไม่ได้เกิดจากความซับซ้อน. แต่มันเหมือนประโยคที่มีจังหวะ มีน้ำเสียง และมีสาร



๐ ถ้าคุณเล่น 𝗴𝗿𝗼𝗼𝘃𝗲 แบบลอยๆ โดยไม่รู้ว่าเพลงกำลังพูดเรื่องอะไร คุณจะฟังเหมือนกำลังพูดในที่ประชุมโดยไม่รู้หัวข้อ


๐ ถ้าคุณ 𝗳𝗶𝗹𝗹-𝗶𝗻 แบบจัดเต็มทุก 𝟰 ห้อง โดยไม่รู้ว่าอารมณ์ของเพลงควร “นิ่ง” หรือ “เคลื่อน” มันก็เหมือนการพูดเสียงดังในห้องสมุด



✧ เทคนิค = พจนานุกรม



เทคนิคให้คุณเข้าถึงถ้อยคำใหม่ๆ แต่เจตนาเท่านั้นที่จะเลือกว่า “คำไหนเหมาะกับตอนนี้”



การรู้เทคนิคมากจึงไม่ใช่ปัญหา แต่ปัญหาคือ คุณใช้มันอย่างไม่ตั้งใจ คุณใช้เพราะ “ซ้อมมาแล้ว” ไม่ใช่เพราะ “มันจำเป็นกับความรู้สึกในขณะนั้น”



เหมือนคนที่เรียนรู้คำว่า “ระทึกใจ”, “น่าหลงใหล”, “พิสุทธิ์” แต่หยิบมาใช้ในบริบทที่ไม่สมควร คำสวยก็กลายเป็นคำล้น



✧ เจตนา = ใจความ



ดนตรีเริ่มต้นจากความรู้สึกที่อยากเล่าอะไรบางอย่าง



“ฉันอยากจะพยุงเพลงนี้ให้คนฟังรู้สึกปลอดภัย” “ฉันอยากสร้างความเคลื่อนไหวเล็กๆ ในตรงนี้ให้ร้องนำมีเวที” “ฉันรู้ว่าเพลงนี้ไม่ควร ‘บูม’ ตอนนี้…ฉันจะรออีก 𝟰 ห้อง”



เจตนาแบบนี้ไม่สามารถฝึกได้จาก 𝗿𝘂𝗱𝗶𝗺𝗲𝗻𝘁 แต่ฝึกได้จาก การฟังเพลงด้วยใจ



✧ ตัวอย่างของเจตนาที่เปล่งออกมาเป็นเสียง



𝗕𝗿𝗶𝗮𝗻 𝗕𝗹𝗮𝗱𝗲 มือกลองที่เหมือนเขียนบทกวีทุกครั้งที่ตี แต่ละ 𝗴𝗵𝗼𝘀𝘁 𝗻𝗼𝘁𝗲 และการแตะฉาบของเขาเต็มไปด้วยความระวัง ความถ่อมตัว และน้ำเสียงที่พูดว่า “ฉันฟังอยู่”


𝗤𝘂𝗲𝘀𝘁𝗹𝗼𝘃𝗲 กับ 𝗿𝗶𝗺𝘀𝗵𝗼𝘁 ที่หนักแน่นและ 𝗽𝗿𝗲𝗰𝗶𝘀𝗲 จนทุกโน้ตเป็นเสาเข็มของ 𝗴𝗿𝗼𝗼𝘃𝗲 ทั้งเพลง เขาไม่ต้องตีเยอะ เพราะเขาตีแบบที่ทำให้คนอื่น "กล้าเล่น" บนพื้นฐานของเขา


𝗦𝘁𝗲𝘃𝗲 𝗚𝗮𝗱𝗱 มือกลองที่เปลี่ยน 𝘀𝗶𝗹𝗲𝗻𝗰𝗲 ให้กลายเป็นสาร เขาอาจแค่ตี 𝗴𝗿𝗼𝗼𝘃𝗲 ธรรมดา 𝟮 ห้อง แต่คุณจะจำได้ว่าเขาคือ “คนพูดประโยคนั้น” ด้วยเสียงของเขาเท่านั้น



✧ แล้วเราควรเริ่มจากตรงไหน?



  ก่อนซ้อมทุกครั้ง ให้หยุดถามตัวเองว่า วันนี้เรารู้สึกอะไร? เราอยากเล่าอะไรกับเสียงกลองของเรา?


  ลองเอา 𝗴𝗿𝗼𝗼𝘃𝗲 ง่ายๆ ที่คุณชอบ แล้วตีมันโดยเปลี่ยน “ความรู้สึกภายใน” เช่น



๐ ตีด้วยความดีใจ


๐ ตีด้วยความเครียด


๐ ตีแบบสงบ


๐ ตีแบบกลัว แล้วฟังว่าเสียงของคุณเปลี่ยนไหม



   ฝึกฟังเพลงด้วยคำถามว่า “มือกลองคนนี้กำลังพูดอะไรอยู่?” ไม่ใช่แค่ “เขาใช้เทคนิคอะไร” แต่ “เขากำลังใช้เทคนิคเพื่อพูดอะไร”



✧ กล้ามเนื้อช่วยให้คุณตีได้แม่น แต่เจตนาช่วยให้ “เสียงของคุณพูดได้”



เพราะสุดท้าย คนดูอาจจำไม่ได้ว่าคุณตีอะไร แต่จะจำได้ว่าคุณ “ทำให้เพลงรู้สึกยังไง” และสิ่งนั้น…ไม่ได้เกิดจากกล้ามเนื้อ แต่มาจากใจของคุณตั้งแต่โน้ตแรก



𝟯. ❖ เทคนิคไม่ได้ทำให้เสียงของคุณโดดเด่น การเลือกใช้ต่างหากที่ทำ



เสียงของกลอง ไม่ใช่เรื่องของ "ทักษะล้วนๆ" อีกต่อไป โดยเฉพาะในยุคที่มือกลองทุกคนเข้าถึงคลิปสอนบน 𝗬𝗼𝘂𝗧𝘂𝗯𝗲, 𝗣𝗮𝗱 𝗲𝘅𝗲𝗿𝗰𝗶𝘀𝗲 ใน 𝗜𝗻𝘀𝘁𝗮𝗴𝗿𝗮𝗺 และ 𝗿𝘂𝗱𝗶𝗺𝗲𝗻𝘁 ที่ละเอียดระดับ 𝗺𝗶𝗰𝗿𝗼 𝘁𝗶𝗺𝗶𝗻𝗴 ทุกคนสามารถ “ตีได้หมด” แต่ไม่ใช่ทุกคนจะ “เลือกใช้” ได้อย่างมีน้ำหนัก



คำถามสำคัญคือ: คุณฝึกเพื่อจะตีให้ได้ทุกอย่าง? หรือฝึกเพื่อจะรู้ว่าเมื่อไหร่ควร "ไม่ตี"?



ลองสังเกตมือกลองที่คุณชื่นชอบ ไม่ว่าจะเป็น 𝗕𝗿𝗶𝗮𝗻 𝗕𝗹𝗮𝗱𝗲, 𝗡𝗮𝘁𝗲 𝗦𝗺𝗶𝘁𝗵, หรือ 𝗦𝘁𝗲𝘃𝗲 𝗚𝗮𝗱𝗱



สิ่งที่ทำให้พวกเขาน่าฟัง….ไม่ใช่เพราะพวกเขาเล่นยากกว่าใคร แต่เพราะพวกเขา "เลือก" เล่นแค่สิ่งที่จำเป็น และปล่อยพื้นที่ที่เหลือให้ "เงียบทำงาน"



✧ มือกลองที่ดี ไม่ใช่คนที่ “ตีได้หมด”



แต่คือคนที่ “รู้ว่าอะไรไม่จำเป็นต้องตี”



๐ คุณจะวาง 𝗴𝗵𝗼𝘀𝘁 𝗻𝗼𝘁𝗲 ไหม? หรือจะปล่อยให้ช่องว่างนั้นว่างจริงๆ


๐ คุณจะ 𝗮𝗰𝗰𝗲𝗻𝘁 ที่ 𝗯𝗲𝗮𝘁 𝟯 ไหม? หรือจะซ่อนมันไว้เพื่อรออีก 𝟮 ห้อง


๐ คุณจะเลือก 𝘀𝗶𝗹𝗲𝗻𝗰𝗲 เพื่อให้เสียงเบสโดดออก? หรือจะเติม 𝗻𝗼𝘁𝗲 เพื่อสร้างแรงผลัก?



คำถามพวกนี้ไม่มีคำตอบในแบบฝึกหัด มันต้องเกิดจากการฟังตัวเอง ฟังทั้งความคิด ความรู้สึก และสัญชาตญาณ ว่าเพลงนี้ต้องการอะไรจากคุณ และคุณอยากจะ “พูดอะไร” กลับไป



✧ 𝗣𝗮𝘁𝘁𝗲𝗿𝗻 ที่ซ้อมมา…เป็นแค่คลังคำ



แต่คำไหนจะถูกเลือกใช้ = คือ “ภาษาของคุณ”



การฝึกให้ครบ 𝗽𝗮𝘁𝘁𝗲𝗿𝗻 สำคัญ แต่มันคือ "วัตถุดิบ" ไม่ใช่ "อาหาร" ที่คุณจะเสิร์ฟในทุกมื้อ



ลองนึกถึงเชฟที่รู้ทุกสูตร รู้ทุกเทคนิค แต่ไม่มี "รสนิยมในการเลือกใช้" เขาอาจปรุงอาหารที่วุ่นวาย เต็มไปด้วยวัตถุดิบดีๆ แต่ไม่เข้ากัน เหมือนมือกลองที่ใช้ 𝗳𝗶𝗹𝗹-𝗶𝗻 ทุก 𝟮 ห้อง 𝗴𝗵𝗼𝘀𝘁 ทุกช่อง 𝗮𝗰𝗰𝗲𝗻𝘁 ทุกจังหวะ แล้วทำให้เพลง “เหนื่อย” โดยไม่จำเป็น



✧ ภาษาของคุณไม่ได้เกิดจาก “มือ”



แต่มันเกิดจาก “ใจ” ที่ค่อยๆ สะสมความเข้าใจว่า อะไรคือสิ่งที่เพลงนี้ต้องการ และอะไรคือสิ่งที่ฉันอยากตอบกลับ



เมื่อคุณเริ่มฟังเพลงแบบนี้ คุณจะตีช้าลง พูดน้อยลง ใช้ 𝗻𝗼𝘁𝗲 น้อยลง แต่ทุก 𝗻𝗼𝘁𝗲 ที่ออกมา…จะมี "น้ำหนักทางความรู้สึก" เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยยะ



✧ เสียงที่โดดเด่น ไม่ใช่เสียงที่ดังที่สุด



แต่คือเสียงที่ "ตรง" กับเจตนาที่สุด



เสียงกลองที่คนจดจำ มักไม่ใช่เสียง 𝗳𝗶𝗹𝗹-𝗶𝗻 ที่เร็วที่สุด หรือ 𝗴𝗿𝗼𝗼𝘃𝗲 ที่ซับซ้อนที่สุด. แต่มักเป็นเสียงที่ “เข้าที่เข้าทางกับเพลง” จนไม่สามารถถูกแทนได้



ลองฟัง 𝗦𝘁𝗲𝘃𝗲 𝗝𝗼𝗿𝗱𝗮𝗻 เล่นเพียง 𝗴𝗿𝗼𝗼𝘃𝗲 ธรรมดาๆ คุณจะรู้ทันทีว่า “นี่คือเสียงของเขา” ไม่ใช่เพราะเขาเล่นเทคนิคพิเศษ แต่เพราะเขาเลือกที่จะ "เล่นเท่าที่จำเป็น" และ "ไม่เล่นในสิ่งที่ไม่พูดอะไร"



✧ เทคนิคไม่เคยเป็นตัวแทนเสียงของคุณ การ “เลือกใช้” ต่างหากที่ทำหน้าที่นั้น



ฝึกเทคนิคต่อไป แต่อย่าลืมฝึกใจในการเลือกใช้ เพราะสุดท้าย มือกลองที่ยืนระยะได้นาน ไม่ใช่คนที่ “ทำได้หมด” แต่คือคนที่ “เลือกได้ถูกเวลา”



สิ่งที่ยากที่สุดในชีวิตนักดนตรี ไม่ใช่การตีสิ่งที่คนอื่นตีไม่ได้ แต่คือการ "กล้าปล่อยให้เงียบ" ในที่ที่ทุกคนพยายามพูดให้มากที่สุด



𝟰. ❖ ถ้าคุณฝึกแต่เทคนิค...แต่ไม่เคยถามว่า “เสียงของฉันคืออะไร”



คุณอาจกลายเป็นนักดนตรีที่เก่งแต่ไร้ตัวตน



ในโลกของการฝึกซ้อม เทคนิคคือสิ่งจับต้องได้ง่ายที่สุด มันมีรูปแบบ มีความคืบหน้า มีแบบทดสอบให้ผ่าน



๐ คุณสามารถเช็กความเร็ว 𝗺𝗲𝘁𝗿𝗼𝗻𝗼𝗺𝗲


๐ คุณสามารถไล่ 𝗿𝘂𝗱𝗶𝗺𝗲𝗻𝘁 ได้ครบทุกชุด


๐ คุณสามารถจด 𝘁𝗶𝗰𝗸 𝗯𝗼𝘅 ว่าวันนี้ฝึก 𝗹𝗶𝗻𝗲𝗮𝗿, 𝗽𝗼𝗹𝘆𝗿𝗵𝘆𝘁𝗵𝗺, 𝗶𝗻𝗱𝗲𝗽𝗲𝗻𝗱𝗲𝗻𝗰𝗲 เรียบร้อยแล้ว



แต่สิ่งที่ไม่มีใน 𝗰𝗵𝗲𝗰𝗸 𝗹𝗶𝘀𝘁 คือ: วันนี้คุณ “พูดอะไร” ผ่านเสียงกลองของคุณหรือเปล่า?



✧ ความเก่งสร้างโอกาส



แต่เสียงของคุณต่างหาก…ที่ทำให้คนอยากฟังคุณอีก



๐ คุณอาจเข้าสอบวงใหญ่ได้


๐ คุณอาจได้งาน 𝘀𝗲𝘀𝘀𝗶𝗼𝗻 ทั้งประเทศ


๐ คุณอาจตีได้ตรงทุก 𝗯𝗲𝗮𝘁 ตาม 𝗰𝗹𝗶𝗰𝗸


๐ คุณอาจเล่น 𝘀𝘂𝗽𝗽𝗼𝗿𝘁 นักร้องได้ทุกประเภท



แต่ถ้าวันหนึ่ง…คุณต้องขึ้นเวทีเดี่ยว ไม่มี 𝗯𝗮𝗰𝗸𝗶𝗻𝗴 𝘁𝗿𝗮𝗰𝗸 ไม่มีเพลง 𝗰𝗼𝘃𝗲𝗿 ไม่มีโน้ตให้ตี และมีเพียงแค่เสียงกลองที่มาจากความคิดของคุณเอง คุณจะตีอะไร?



✧ คำถามง่ายๆ ที่นักดนตรีหลายคนตอบไม่ได้คือ:



“เสียงของคุณคืออะไร?”



ไม่ใช่เสียงแบบใคร ,ไม่ใช่เทคนิคที่หยิบจาก 𝗬𝗼𝘂𝗧𝘂𝗯𝗲 ,ไม่ใช่ 𝗴𝗿𝗼𝗼𝘃𝗲 ที่คุณตีได้เร็วกว่าใคร



แต่เป็นเสียงที่



๐ คุณเลือกจะเริ่มที่โน้ตไหน


๐ คุณวางน้ำหนักยังไง


๐ คุณกล้าเว้นวรรคตอนไหน


๐ และคุณอยาก “บอกอะไร” กับคนฟังที่กำลังเงียบฟังคุณอยู่จริงๆ



✧ เทคนิคเต็มสองมือ…ไม่มีประโยชน์ ถ้าใจคุณเงียบ



มีมือกลองจำนวนมากที่พร้อมขึ้นเวทีเล่นทุกเพลง แต่ไม่มีใครจำได้ว่าเขาคือใคร เขาคือ “คนที่ตีได้เหมือนทุกคน” ไม่ใช่ “คนที่ใครก็แทนไม่ได้”



เหมือนกับนักพูดที่ใช้คำศัพท์สวยหรู แต่ไม่มีอะไรจะพูด เขาอาจชนะเวทีประกวดสุนทรพจน์ แต่ไม่เคยเปลี่ยนใจใครได้เลย



✧ เสียงของคุณ ไม่ได้เริ่มจากไม้กลอง



มันเริ่มจากคำถามที่คุณกล้าถามตัวเองว่า:



๐ ฉันกำลังสื่อสารอะไรกับเสียงของฉัน?


๐ ทำไมฉันต้องตีแบบนี้ในเพลงนี้?


๐ ถ้าฉันไม่ตี...เพลงจะเปลี่ยนไปไหม?


๐ มีคำใดในใจฉัน…ที่อยากพูดผ่านจังหวะบ้าง?



คำถามเหล่านี้ไม่มีใครตอบให้คุณได้ แต่ถ้าคุณกล้าถามซ้ำๆ ทุกครั้งที่ซ้อม มันจะค่อยๆ เปลี่ยนให้เสียงของคุณ “เริ่มพูด” และเมื่อเสียงของคุณเริ่มพูด คนฟังจะเริ่มจำได้ว่า “นี่คือคุณ”



✧ อย่าหยุดแค่การฝึกให้เก่ง



จงฝึกเพื่อจะ "พูดเป็น" ไม่ใช่แค่ "ตีเป็น" เพราะสุดท้าย บนเวทีที่ไร้โน้ต และในชีวิตที่ไม่มี 𝗰𝗹𝗶𝗰𝗸 𝘁𝗿𝗮𝗰𝗸 สิ่งที่เหลืออยู่…ไม่ใช่ 𝗽𝗮𝘁𝘁𝗲𝗿𝗻 แต่คือ “น้ำเสียงของคุณ” ที่ใครก็แทนไม่ได้



และคำถามสุดท้ายที่คุณต้องตอบให้ได้ก่อนใครคือ “ฉันคือใคร…ในจังหวะนี้?”



❖ บทสรุป...อย่าหยุดแค่มีเครื่องมือ แต่จงหาสิ่งที่คุณอยากสร้างด้วยมัน



ในโลกของการฝึกกลอง เทคนิคคือสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ เพราะมันคือวิธีเดียวที่ทำให้เราควบคุมเสียงได้จริง เราฝึกให้มือเร็วขึ้น ฝึกให้ 𝗿𝗵𝘆𝘁𝗵𝗺 แม่นขึ้น ฝึกให้ 𝗶𝗻𝗱𝗲𝗽𝗲𝗻𝗱𝗲𝗻𝗰𝗲 ซับซ้อนขึ้น จนวันหนึ่ง...เราเริ่มถือ “เครื่องมือ” เอาไว้ในมือมากมาย



แต่เครื่องมือเหล่านั้น…จะมีความหมายก็ต่อเมื่อเรา "รู้ว่าอยากสร้างอะไร" ด้วยมัน



ลองจินตนาการว่าคุณมีกล่องเครื่องมือช่างที่ดีที่สุดในโลก แต่ไม่มีแบบบ้านในหัว ไม่มีสิ่งที่อยากให้เกิดขึ้น สุดท้ายคุณก็แค่พกของหนักไว้เต็มมือ โดยไม่เคยเริ่มสร้างอะไรเลย



เทคนิคของคุณก็เช่นกัน ถ้าไม่มีเจตนา มันก็เป็นเพียงทักษะเปล่าๆ ที่รอการใช้งาน



จังหวะที่ดี…ไม่ได้เกิดจากความเร็วของกล้ามเนื้อ แต่เกิดจากความรู้สึกภายในที่บอกได้ว่า “ตรงนี้…ควรเงียบ”



โน้ตที่ไพเราะ…ไม่ใช่โน้ตที่ยากที่สุด แต่คือโน้ตที่คุณ “ตั้งใจเลือก” และ “กล้าปล่อย” ให้มันพูดในแบบของคุณ



เสียงของคุณจะไม่ชัดจากการฝึกให้ครบทุก 𝗿𝘂𝗱𝗶𝗺𝗲𝗻𝘁 แต่มันจะชัดจากทุกครั้งที่คุณ "เลือกจะเป็นตัวเอง" แม้จะตีแค่โน้ตเดียว



๐ อย่าหยุดแค่ฝึกให้เก่ง


๐ อย่าหยุดแค่เล่นให้เหมือนทุกคน


๐ อย่าหยุดแค่เป็น “คนที่พร้อมใช้งานในทุกสถานการณ์”



แต่จงเป็น “คนที่มีสิ่งอยากพูด” และรู้ว่าจะพูดมันผ่านเสียงกลอง…อย่างไร



เพราะสุดท้าย…



เครื่องมือทุกชิ้นจะไร้ความหมาย ถ้าคุณไม่รู้ว่าอยากสร้างอะไร และเสียงทุกเสียง…จะจางหาย ถ้าไม่มีใจความของคุณอยู่ในนั้น


 
 
 

Comments


bottom of page