"เทคนิคการตีสำคัญแค่ไหน❓ ถ้าไม่รู้ว่าควรใช้เมื่อไหร่" 🥁
- Dr.Kasem THipayametrakul
- Apr 9
- 1 min read

การเล่นดนตรีเป็นสิ่งที่ทุกคนรู้ว่ามีหลายมิติ ทั้งด้านทักษะ ความรู้ และความเข้าใจในเสียงของตัวเองและคนอื่นๆ อย่างไรก็ตาม ในโลกดนตรีที่เต็มไปด้วยการฝึกฝนและการพัฒนาทักษะใหม่ๆ บ่อยครั้งที่นักดนตรีอาจลืมไปว่า ‘#การใช้เทคนิคอย่างไร’ สำคัญมากกว่าการ ‘#มีเทคนิคมากมาย’ เพราะบางครั้งสิ่งที่ดีที่สุดในการเล่นดนตรีคือการเลือกที่จะไม่ใช้เทคนิคใดๆ เลย
การฝึกฝนเทคนิคต่างๆ ในการเล่นดนตรีไม่ว่าจะเป็นการเล่นกลอง การเล่นเครื่องดนตรี หรือการร้องเพลง เป็นสิ่งที่จำเป็นในการสร้างพื้นฐานในการพัฒนาฝีมือ แต่การจะนำเทคนิคเหล่านั้นมาใช้ในสถานการณ์ต่างๆ ในการเล่นจริงในวง หรือในบริบทของเพลงนั้นๆ ต้องอาศัยการรับฟังอย่างลึกซึ้งและการเลือกใช้เทคนิคอย่างรอบคอบ หากเราไม่สามารถเลือกได้ว่า ‘เมื่อไหร่’ ที่จะใช้เทคนิคเหล่านั้น หรือ ‘ทำไม’ ถึงจะต้องใช้ มันก็อาจกลายเป็นการแสดงออกที่เกินความจำเป็น และทำให้การเล่นดนตรีในวงนั้นขาดความสมดุลและความเชื่อมโยงกับผู้ฟัง
𝟭. เทคนิคเป็นเพียง "เครื่องมือ" ไม่ใช่ "สาระหลัก" ของการเล่นดนตรี
เทคนิคที่นักดนตรีทุกคนต้องเรียนรู้ เช่น 𝗿𝘂𝗱𝗶𝗺𝗲𝗻𝘁 ในการเล่นกลอง, 𝘀𝗽𝗲𝗲𝗱 𝗰𝗼𝗻𝘁𝗿𝗼𝗹, 𝗹𝗶𝗺𝗯 𝗶𝗻𝗱𝗲𝗽𝗲𝗻𝗱𝗲𝗻𝗰𝗲, 𝗱𝘆𝗻𝗮𝗺𝗶𝗰 𝘃𝗮𝗿𝗶𝗮𝘁𝗶𝗼𝗻 ฯลฯ เป็นเครื่องมือที่สำคัญในการพัฒนาฝีมือการเล่นดนตรี แต่การฝึกฝนเพียงเทคนิคเหล่านั้นจะไม่มีความหมาย หากไม่ได้มีความเข้าใจเกี่ยวกับ ‘บริบท’ ของการเล่นดนตรีจริงๆ
ตัวอย่างเช่น เมื่อคุณมีเทคนิคในการเล่น 𝗳𝗶𝗹𝗹 ที่ซับซ้อน คุณสามารถทำมันได้ดีในบางเพลง แต่หากคุณเลือกใช้ 𝗳𝗶𝗹𝗹 ที่ซับซ้อนในเพลงที่วงกำลังลดพลัง หรือต้องการให้เพลงนั้นมีความลึกซึ้ง เทคนิคดังกล่าวอาจทำให้เพลงสูญเสียเสน่ห์และจังหวะที่ถูกต้องได้ นี่ไม่ใช่เพราะเทคนิคไม่ดี แต่เป็นเพราะมันถูกนำมาใช้ใน ‘เวลาที่ไม่เหมาะสม’
#คำถามสำคัญที่ต้องตั้งไว้ในใจคือ: เรารู้ไหมว่าเมื่อไหร่ควรใช้เทคนิคเหล่านั้น? และ เทคนิคที่เราฝึกฝนอยู่ทุกวันนี้ มีจุดประสงค์ชัดเจนหรือไม่ว่า จะใช้ในสถานการณ์ใดของเพลง?
𝟮. บริบท (𝗖𝗼𝗻𝘁𝗲𝘅𝘁) คือสิ่งที่ให้ความหมายกับเทคนิค
ในโลกของการเล่นดนตรี เทคนิคจะมีความหมายก็ต่อเมื่อมันถูกใช้ในบริบทที่เหมาะสมกับเพลงและความรู้สึกของวง เทคนิคที่ซับซ้อนอย่างการใช้ 𝗴𝗵𝗼𝘀𝘁 𝗻𝗼𝘁𝗲𝘀 หรือ 𝘁𝗿𝗶𝗽𝗹𝗲𝘁𝘀 ที่เฉพาะเจาะจงในบางแนวเพลงจะมีประโยชน์ถ้าใช้ในเพลงที่ต้องการพลังในลักษณะนั้น แต่ถ้าใช้ผิดบริบท มันอาจจะทำให้เพลงดู ‘เกินไป’ หรือไม่เหมาะสมกับอารมณ์ของเพลงได้
ช่วงเวลาในเพลง (𝗩𝗲𝗿𝘀𝗲, 𝗖𝗵𝗼𝗿𝘂𝘀, 𝗕𝗿𝗶𝗱𝗴𝗲): การเล่น 𝗳𝗶𝗹𝗹 ที่ซับซ้อนอาจเหมาะสมในช่วงที่วงมีพลังสูงใน 𝗰𝗵𝗼𝗿𝘂𝘀 แต่ไม่เหมาะสมกับช่วงที่เพลงต้องการการคงที่ใน 𝘃𝗲𝗿𝘀𝗲 หรือการลดพลังใน 𝗯𝗿𝗶𝗱𝗴𝗲
พลังงานของทั้งวง: หากวงกำลังเล่นอย่างละเอียดอ่อน การใส่เทคนิคที่แสดงออกมามากเกินไปอาจทำให้วงขาดความเชื่อมโยงกัน
สิ่งที่นักดนตรีคนอื่นกำลังสื่อสาร: คุณต้องฟังสิ่งที่คนอื่นในวงกำลังทำ การตอบสนองอย่างเหมาะสมต่อเสียงของพวกเขาคือสิ่งที่ทำให้เพลงมีความไหลลื่น
สถานการณ์ของผู้ฟัง: การที่คุณเลือกใช้เทคนิคที่ไม่เหมาะสมอาจทำให้ผู้ฟังรู้สึกผิดหวังหรือไม่เข้าใจอารมณ์ของเพลง
#คำถามที่คุณต้องถามตัวเองทุกครั้งก่อนใช้เทคนิคในเพลงคือ: เทคนิคนี้เหมาะสมกับบริบทของเพลงนี้ไหม? หรือ สิ่งที่ฉันเล่นอยู่นี้เสริมการเล่นของวงหรือแค่แสดงตัวเอง?
𝟯. เทคนิคที่แท้จริงคือ "การเลือกใช้สิ่งที่เหมาะสม" มากกว่าการรู้ให้มาก
การมีความรู้เกี่ยวกับเทคนิคต่างๆ อย่างมากมายไม่เพียงพอ หากคุณไม่รู้ว่าจะใช้เทคนิคเหล่านั้นเมื่อไหร่และอย่างไร คุณอาจพบว่าเทคนิคที่คุณเรียนมาไม่เหมาะสมกับการเล่นจริง
นักดนตรีที่เก่งคือคนที่รู้ว่าเมื่อไหร่ควรใช้เทคนิคและเมื่อไหร่ไม่ควรใช้มัน ยกตัวอย่างเช่น ถ้าคุณเล่นเพลงที่ต้องการความเรียบง่ายและลึกซึ้ง การเลือกที่จะเล่นแบบง่ายๆ โดยไม่ใส่เทคนิคที่ซับซ้อนจะสร้างผลกระทบมากกว่า เพราะมันทำให้เพลงมีอารมณ์ที่เหมาะสมกับบริบทมากขึ้น
𝟰. เทคนิคควรถูกซึมเข้าไปในการฟัง ไม่ใช่ยัดเข้าไปในการเล่น
การฝึกดนตรีที่ดีไม่ได้หมายถึงการฝึกเทคนิคอย่างหนักจนสามารถเล่นท่าต่างๆ ได้หมดในทุกสถานการณ์ แต่การฝึกคือการฝึกฟังและการรับรู้ว่าเทคนิคไหนควรใช้ในเวลานั้น
นักดนตรีที่พัฒนาไปจนถึงระดับสูงจะไม่มองเทคนิคเป็นเพียงสิ่งที่ต้องแสดงออกมา แต่จะมองว่าเทคนิคคือส่วนหนึ่งของการฟังดนตรีในขณะนั้น และรู้ว่าเสียงที่ออกมาในแต่ละช่วงของเพลงควรจะเป็นอย่างไร
การฝึกฟังอย่างมีสติในระหว่างการฝึกเทคนิคจะช่วยให้คุณรู้ว่าเมื่อไหร่ที่คุณควรใช้ท่าหรือเทคนิคต่างๆ ในการเสริมบทสนทนาทางดนตรีมากขึ้น แทนที่จะใช้มันเพื่อแสดงออก
𝟱. ดนตรีคือ "บทสนทนา" ไม่ใช่ "สนามแข่งขัน"
ดนตรีในวงดนตรีไม่ควรเป็นการแสดงออกของความสามารถของแต่ละคน แต่ควรเป็นการ “สนทนา” ระหว่างนักดนตรีทุกคน การเลือกใช้เทคนิคอย่างรอบคอบและตอบสนองต่อเสียงของคนอื่นในวงเป็นสิ่งที่สำคัญมากกว่าการพยายามโชว์ความสามารถของตัวเอง
เมื่อนักดนตรีทุกคนในวงพยายามที่จะโชว์เทคนิคของตัวเองให้มากที่สุด ดนตรีจะกลายเป็นการแข่งขันแทนที่จะเป็นการร่วมกันสร้างสิ่งที่มีความหมาย การเลือกใช้เทคนิคที่เหมาะสมและเติมเต็มช่องว่างของเพลงคือทักษะที่แสดงถึงความเข้าใจในบทสนทนาของดนตรีอย่างแท้จริง
#คำถามที่สำคัญในที่นี้คือ: เสียงของฉันเติมเต็มเพลงหรือไปขัดจังหวะสิ่งที่คนอื่นกำลังทำอยู่?
#ดังนั้น เทคนิคการตีในการเล่นกลองหรือดนตรีไม่ควรถูกมองว่าเป็นสิ่งที่มีค่าเพียงอย่างเดียว การเลือกใช้เทคนิคในช่วงเวลาที่เหมาะสมและในบริบทที่ถูกต้องต่างหากที่ทำให้เทคนิคมีคุณค่า เมื่อมือกลองเข้าใจว่าการฟังและการตอบสนองต่อวงสำคัญแค่ไหน และรู้ว่าจะใช้เทคนิคเมื่อไหร่ และไม่ใช้เมื่อไหร่ นั่นแหละคือการเล่นดนตรีอย่างแท้จริง
ดนตรีไม่ใช่สนามแข่งขันที่ใครก็ต้องโชว์ฝีมือเทคนิค แต่เป็นบทสนทนาระหว่างนักดนตรีที่ควรจะหลอมรวมกันไปในทิศทางเดียว การมีเทคนิคที่ดีไม่ได้หมายความว่าเราจะเล่นดนตรีได้ดี แต่การเลือกใช้เทคนิคอย่างชาญฉลาดและเหมาะสมในบริบทต่างหากที่ทำให้การเล่นของคุณมีความหมาย
"เทคนิคที่ฉันมี ใช้เพื่อเสริมเพลง หรือเพื่อแสดงตัวตนของฉัน?"
"การเล่นของฉันตอบสนองต่อวงอย่างมีจุดประสงค์ หรือแค่เล่นไปตามจังหวะ?"
"วันนี้ฉันใช้เทคนิคที่เหมาะสมที่สุดแล้วหรือยัง?"
Comments