เด็กที่เรียนดนตรีมี 𝗘𝗤 สูงกว่า จริงหรือ❓
- Dr.Kasem THipayametrakul
- Mar 22
- 1 min read

การศึกษาด้านดนตรีมักจะถูกเชื่อมโยงกับการพัฒนาทักษะทางสมอง เช่น ความจำ การคิดเชิงวิเคราะห์ และความคิดสร้างสรรค์ แต่ในปัจจุบัน ยังมีอีกแง่มุมที่ได้รับความสนใจไม่น้อย นั่นคือ การพัฒนาความฉลาดทางอารมณ์ (𝗘𝗺𝗼𝘁𝗶𝗼𝗻𝗮𝗹 𝗜𝗻𝘁𝗲𝗹𝗹𝗶𝗴𝗲𝗻𝗰𝗲 หรือ 𝗘𝗤) การเรียนดนตรีมีผลกระทบอย่างไรต่อการพัฒนา 𝗘𝗤 ของเด็ก? ทำไมบางคนถึงเชื่อว่าการเรียนดนตรีสามารถทำให้เด็กๆ มี 𝗘𝗤 ที่สูงขึ้นได้? และจริงๆ แล้วมีหลักฐานอะไรที่สนับสนุนคำกล่าวนี้?
ก่อนอื่นเราต้องทำความเข้าใจกันว่า 𝗘𝗤 คืออะไร? 𝗘𝗤 หมายถึง ความสามารถในการรับรู้ เข้าใจ และจัดการกับอารมณ์ของตัวเอง รวมถึงการเข้าใจและตอบสนองต่ออารมณ์ของผู้อื่นอย่างเหมาะสม ทักษะนี้สำคัญในชีวิตประจำวัน ไม่ว่าจะเป็นในด้านความสัมพันธ์ การทำงานร่วมกับคนอื่น หรือการจัดการกับสถานการณ์ที่มีความเครียดและความท้าทาย
จากการศึกษาและงานวิจัยต่างๆ พบว่า การเรียนดนตรีสามารถเสริมสร้าง 𝗘𝗤 ได้ เนื่องจากดนตรีไม่เพียงแค่เป็นกิจกรรมที่เกี่ยวข้องกับทักษะทางกายภาพและสติปัญญา แต่ยังเป็นกระบวนการที่ช่วยให้เด็กฝึกฝนการรับรู้และการจัดการกับอารมณ์ในหลายๆ มิติ ดังนั้นคำถามที่เกิดขึ้นคือ "การเรียนดนตรีช่วยเพิ่ม 𝗘𝗤 ของเด็กๆ ได้จริงหรือ?"
การเล่นดนตรีช่วยให้เด็กพัฒนาทักษะการควบคุมอารมณ์และการแสดงออก ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของการพัฒนา 𝗘𝗤 เด็กที่เรียนดนตรีจะต้องเรียนรู้การตีความและแสดงอารมณ์ผ่านเสียงดนตรี ทำให้พวกเขามีโอกาสเข้าใจและแสดงอารมณ์ในรูปแบบที่หลากหลาย เมื่อเด็กๆ ได้เล่นเพลงที่มีอารมณ์แตกต่างกัน เช่น เพลงเศร้า เพลงที่มีความสุข หรือเพลงที่ต้องการความผ่อนคลาย พวกเขาจะได้ฝึกฝนการรับรู้และแสดงออกที่สอดคล้องกับอารมณ์นั้นๆ
#ตัวอย่าง: หากเด็กเรียนเปียโน และต้องแสดงเพลงที่มีท่วงทำนองรวดเร็วและสนุกสนาน เด็กจะได้ฝึกใช้พลังงานและอารมณ์ในช่วงเวลานั้น เมื่อพวกเขาเรียนรู้ที่จะถ่ายทอดอารมณ์จากเพลงไปสู่การแสดงออกทางดนตรี พวกเขาก็จะสามารถเข้าใจและควบคุมอารมณ์ของตัวเองได้ดียิ่งขึ้น ซึ่งเป็นองค์ประกอบสำคัญของ 𝗘𝗤
การเรียนดนตรีต้องการการฝึกฝนที่ต่อเนื่องและมีวินัย เด็กๆ จะต้องใช้เวลาฝึกซ้อมมากมาย และในระหว่างการฝึกซ้อมนั้น พวกเขาจะได้เรียนรู้วิธีการจัดการกับความเครียดหรือความผิดหวังเมื่อไม่สามารถเล่นได้ตามที่คาดหวัง ตัวอย่างเช่น หากเด็กพยายามเล่นเพลงที่ยากแต่ไม่สามารถทำได้ตามที่ต้องการ พวกเขาจะต้องฝึกใจเย็นและพยายามทำความเข้าใจวิธีการใหม่ๆ ในการแก้ปัญหานั้น ซึ่งจะช่วยให้เด็กๆ เรียนรู้วิธีการจัดการกับความรู้สึกผิดหวังและความเครียดได้ดีขึ้น
การเรียนดนตรีในลักษณะของการทำงานเป็นกลุ่มหรือการเล่นดนตรีร่วมกับผู้อื่น (𝗲𝗻𝘀𝗲𝗺𝗯𝗹𝗲) มีบทบาทสำคัญในการพัฒนา 𝗘𝗤 ของเด็ก การเล่นดนตรีร่วมกันไม่เพียงแค่ต้องใช้ทักษะทางดนตรีเท่านั้น แต่ยังต้องใช้ทักษะในการฟัง และการปรับตัวไปตามคนอื่นในกลุ่ม เด็กๆ จะต้องเรียนรู้ที่จะปรับจังหวะและเข้ากับเพื่อนร่วมกลุ่มเพื่อให้การแสดงดนตรีมีความสอดคล้องและเป็นระเบียบ
การทำงานเป็นกลุ่มช่วยเสริมสร้างความสามารถในการทำงานร่วมกันและการรับฟังผู้อื่น ซึ่งเป็นทักษะที่สำคัญในการพัฒนาความสัมพันธ์ทางสังคม และในระยะยาวอาจช่วยให้เด็กๆ มีความสามารถในการสร้างสัมพันธ์ที่ดีในชีวิตจริงได้
ดนตรีไม่เพียงแค่เกี่ยวข้องกับการเล่นเครื่องดนตรีหรือการร้องเพลง แต่ยังเกี่ยวข้องกับการตัดสินใจ การวิเคราะห์ และการแก้ปัญหาในระหว่างการฝึกซ้อมและการแสดง เด็กๆ จะต้องตัดสินใจในเรื่องต่างๆ เช่น การเลือกเครื่องดนตรีที่เหมาะสมกับเพลงหรือการปรับท่วงทำนองเพื่อให้เหมาะสมกับอารมณ์ของเพลง เมื่อเด็กๆ ฝึกฝนทักษะเหล่านี้ พวกเขาจะสามารถนำทักษะในการตัดสินใจมาใช้ในชีวิตประจำวันได้ ซึ่งจะช่วยเสริมสร้าง 𝗘𝗤 ให้สูงขึ้น
งานวิจัยหลายชิ้นสนับสนุนความเชื่อที่ว่า การเรียนดนตรีสามารถส่งผลดีต่อการพัฒนา 𝗘𝗤 ของเด็ก โดยเฉพาะในด้านการควบคุมอารมณ์ การเข้าใจอารมณ์ของตัวเองและผู้อื่น รวมถึงการจัดการกับสถานการณ์ทางสังคมและความเครียดได้ดีขึ้น
𝗗𝗶𝘀𝘀𝗮𝗻𝗮𝘆𝗮𝗸𝗲 (𝟮𝟬𝟬𝟬): พบว่า การเรียนดนตรีสามารถช่วยเสริมสร้างความสามารถในการจัดการกับความเครียดและพัฒนาทักษะทางสังคม เด็กที่ได้รับการฝึกฝนทางดนตรีอย่างต่อเนื่องมีทักษะในการเข้าใจและตอบสนองต่ออารมณ์ของผู้อื่นได้ดีขึ้น ซึ่งเป็นส่วนสำคัญในการพัฒนา 𝗘𝗤
𝗦𝗰𝗵𝗲𝗹𝗹𝗲𝗻𝗯𝗲𝗿𝗴 (𝟮𝟬𝟬𝟰): พบว่าเด็กที่เรียนดนตรีมีความสามารถในการจัดการอารมณ์และความสัมพันธ์ที่ดีกว่าเด็กที่ไม่ได้เรียนดนตรี โดยเฉพาะในด้านการจัดการอารมณ์และการมีปฏิสัมพันธ์กับผู้อื่นในสภาพแวดล้อมที่มีความท้าทาย เช่น การทำงานเป็นกลุ่ม การฟังและการตอบสนองต่อความคิดเห็นจากผู้อื่น
#สรุป: การเรียนดนตรีสามารถช่วยพัฒนา 𝗘𝗤 จริงหรือไม่
จากที่กล่าวมาข้างต้น พบว่า การเรียนดนตรี สามารถช่วยพัฒนา 𝗘𝗤 ของเด็กได้จริง เนื่องจากการเรียนดนตรีช่วยเสริมสร้างทักษะในการรับรู้และจัดการอารมณ์ทั้งของตัวเองและผู้อื่น รวมถึงการฝึกสมาธิ การทำงานร่วมกับผู้อื่น การตัดสินใจ และการจัดการกับความเครียด ซึ่งทั้งหมดนี้ล้วนเป็นส่วนสำคัญในการพัฒนา 𝗘𝗤 และมีผลดีต่อชีวิตของเด็กในระยะยาว
การเรียนดนตรีไม่ใช่แค่การฝึกฝนทักษะทางเสียงดนตรี แต่ยังเป็นการฝึกฝนทักษะชีวิตที่สำคัญ ซึ่งจะช่วยให้เด็กๆ เติบโตขึ้นเป็นบุคคลที่สามารถรับมือกับอารมณ์และสถานการณ์ต่างๆ ในชีวิตได้อย่างมีประสิทธิภาพและสมดุลครับ
ดังนั้น หากคุณกำลังสงสัยว่า "#การเรียนดนตรีจะช่วยพัฒนาความฉลาดทางอารมณ์ของลูกๆได้จริงหรือ" คำตอบคือ ใช่ การเรียนดนตรีมีผลบวกต่อการพัฒนา 𝗘𝗤 ของเด็กอย่างแน่นอน และเป็นการลงทุนที่มีคุณค่าในการพัฒนาเด็กในทุกด้าน
Comentários