top of page
Search

#วินัยของคนกลอง #กำแพงหรือสะพาน❓

  • Writer: Dr.Kasem THipayametrakul
    Dr.Kasem THipayametrakul
  • May 30
  • 3 min read


"วินัยคือคำที่ฟังดูดี...แต่ในบางบริบท มันอาจเป็นกับดัก"



แล้วเราควรเข้าใจวินัยแบบไหน จึงจะไม่หลงไปอยู่หลัง ‘กำแพง’ ที่เราสร้างขึ้นมาเอง?



วินัยถูกยกย่องว่าเป็นรากฐานของความเชี่ยวชาญ โดยเฉพาะในโลกของดนตรี



ใครหลายคนเติบโตมากับแนวคิดว่า “ฝึกเยอะ = เก่ง”แต่มือกลองในยุคศตวรรษที่ 𝟮𝟭 เริ่มตั้งคำถามว่า... ฝึกเยอะแล้ว “เข้าใจมากขึ้น” หรือแค่ “ทำได้มากขึ้น”?



ยุคนี้คือช่วงเวลาที่ “เทคนิค” ไม่ใช่ทุกอย่างอีกต่อไป เพราะดนตรีไม่ใช่แค่เรื่องของความแม่นยำ แต่คือการสื่อสาร ความรู้สึก และตัวตน



มือกลองจึงไม่ใช่แค่คนตีจังหวะ แต่คือ “ผู้นำการเคลื่อนไหว” ที่ต้องรู้ว่าเสียงตัวเองทำอะไรกับหูของคนฟัง และหัวใจของทั้งวง



ในบทวิเคราะห์นี้ เราจะชวนคุณมองวินัยในแบบใหม่ ไม่ใช่แค่ “กรอบตาราง” ที่ต้องทำตาม แต่เป็น “พื้นที่ที่เราเลือกอยู่ด้วยความเข้าใจ” พื้นที่ที่การฝึกซ้อมคือการฟังตัวเองให้ลึกขึ้น และการเล่นร่วมคือการยอมให้เสียงของคนอื่นหลอมรวมกับเรา



เพราะในยุคที่ดนตรีเชื่อมโยงโลกได้ภายในไม่กี่คลิก วินัยของมือกลอง ต้องไม่ใช่แค่ “ความมั่นคงของจังหวะ” แต่คือ ความยืดหยุ่นของใจ และการเรียนรู้อย่างรู้ตัวในทุกวัน



𝟭. #วินัยเชิงกลไก: ฝึกซ้ำซากจนไม่คิด หรือฝึกซ้ำเพื่อข้ามกรอบเดิม?



หนึ่งในพฤติกรรมที่พบได้ทั่วไปในหมู่นักดนตรี โดยเฉพาะมือกลองที่เพิ่งเริ่มต้นคือการ “ฝึกตามแผน” อย่างเคร่งครัด เช่น การฝึก 𝗿𝘂𝗱𝗶𝗺𝗲𝗻𝘁𝘀 อย่าง 𝗽𝗮𝗿𝗮𝗱𝗶𝗱𝗱𝗹𝗲 วันละ 𝟯𝟬 นาที หรือฝึก 𝗺𝗲𝘁𝗿𝗼𝗻𝗼𝗺𝗲 ด้วย 𝗯𝗽𝗺 ที่เพิ่มทีละ 𝟱 หน่วยทุกสัปดาห์ ซึ่งแม้จะดูเป็นการมี “วินัย” แต่คำถามที่ต้องกลับมาถามคือ การฝึกเช่นนี้ พาเราไปไหน?



𝗘𝗿𝗶𝗰𝘀𝘀𝗼𝗻, 𝗞𝗿𝗮𝗺𝗽𝗲 & 𝗧𝗲𝘀𝗰𝗵-𝗥𝗼̈𝗺𝗲𝗿 (𝟭𝟵𝟵𝟯) เสนอแนวคิดสำคัญว่า 𝗗𝗲𝗹𝗶𝗯𝗲𝗿𝗮𝘁𝗲 𝗣𝗿𝗮𝗰𝘁𝗶𝗰𝗲 หรือ “การฝึกโดยตั้งใจ” จะต้องประกอบด้วย 𝟯 องค์ประกอบหลัก:



  มีเป้าหมายที่ชัดเจน (𝗦𝗽𝗲𝗰𝗶𝗳𝗶𝗰 𝗴𝗼𝗮𝗹)


  มีการวัดผลที่สังเกตได้ (𝗢𝗯𝘀𝗲𝗿𝘃𝗮𝗯𝗹𝗲 𝗺𝗲𝘁𝗿𝗶𝗰)


  และต้องมี 𝗳𝗲𝗲𝗱𝗯𝗮𝗰𝗸 ที่ทำให้ผู้ฝึกเรียนรู้จากความผิดพลาดหรือข้อจำกัดของตน



ถ้าขาดองค์ประกอบใดอย่างหนึ่ง การฝึกนั้นอาจกลายเป็นเพียง "𝗹𝗼𝗼𝗽 วินัย" ที่แม้จะดูเป็นกิจวัตร แต่ไม่มีผลต่อการพัฒนาเชิงคุณภาพ



ลองนึกภาพมือกลองที่ฝึก 𝗴𝗿𝗼𝗼𝘃𝗲 เดิมซ้ำไปซ้ำมา โดยไม่มีการฟังตัวเองย้อนหลัง ไม่มีการเปรียบเทียบกับการเล่นจริงในวง และไม่รู้ด้วยซ้ำว่า 𝗴𝗿𝗼𝗼𝘃𝗲 นั้นถูกใช้ในเพลงประเภทไหน นั่นไม่ใช่ 𝗱𝗲𝗹𝗶𝗯𝗲𝗿𝗮𝘁𝗲 𝗽𝗿𝗮𝗰𝘁𝗶𝗰𝗲 แต่คือ 𝗮𝘂𝘁𝗼𝗺𝗮𝘁𝗲𝗱 𝗿𝗲𝗽𝗲𝘁𝗶𝘁𝗶𝗼𝗻 หรือ "การทำซ้ำโดยไม่รู้ตัว"



ในทางกลับกัน ถ้าเราฝึก 𝗽𝗮𝗿𝗮𝗱𝗶𝗱𝗱𝗹𝗲 แล้วตั้งคำถามว่า...



  มันสามารถเปลี่ยนเป็น 𝗽𝗵𝗿𝗮𝘀𝗲 𝗺𝗲𝗹𝗼𝗱𝗶𝗰 บนกลองชุดได้ยังไง?


  ถ้านำไปใช้ใน 𝘀𝗼𝗹𝗼 มันจะสื่อสารอะไร?


  ถ้าเล่นบน 𝗵𝗶-𝗵𝗮𝘁 แทน 𝘀𝗻𝗮𝗿𝗲 จะเกิด 𝘁𝗲𝘅𝘁𝘂𝗿𝗲 แบบไหน?



...คำถามเหล่านี้จะเปลี่ยน "กลไก" ให้กลายเป็น “การค้นพบ”



การฝึกแบบ 𝗱𝗲𝗹𝗶𝗯𝗲𝗿𝗮𝘁𝗲 อาจไม่ได้ดูเคร่งขรึม แต่กลับเป็นการซ้อมอย่างมีชีวิตเพราะเราฝึกด้วยเจตนาที่อยากเข้าใจสิ่งที่กำลังทำ ไม่ใช่แค่ “ให้ครบ 𝟯𝟬 นาทีต่อวัน”



ลองเปรียบเทียบการฝึกเหมือนการขีดเส้นบนกระดาษ:



  ถ้าคุณขีดซ้ำเส้นเดิม 𝟭𝟬𝟬 ครั้ง เส้นจะเข้มขึ้น แต่ไม่พาคุณไปไหน


  แต่ถ้าคุณขีดแต่ละเส้นให้ต่างจากเดิมเล็กน้อย วันหนึ่งมันจะกลายเป็นรูปภาพที่ใหญ่ขึ้น



แล้วคุณล่ะ...กำลังฝึกเพื่อ "ให้ครบ" หรือ "ให้เข้าใจ"?



หากวินัยคือการทำตามสิ่งที่เชื่อว่า “ถูก” โดยไม่คิด มันอาจเป็นกำแพงแห่งความคุ้นชิน



แต่หากวินัยคือการยอมให้ตัวเอง “อยู่กับการทบทวนอย่างลึกซึ้ง” ทุกวัน มันจะกลายเป็นสะพานที่นำไปสู่ความเข้าใจใหม่ของเสียงจังหวะ



  จังหวะที่ไม่ใช่แค่ “ถูกต้อง” แต่ “มีชีวิต”



อ้างอิง: 𝗘𝗿𝗶𝗰𝘀𝘀𝗼𝗻, 𝗞. 𝗔., 𝗞𝗿𝗮𝗺𝗽𝗲, 𝗥. 𝗧., & 𝗧𝗲𝘀𝗰𝗵-𝗥𝗼̈𝗺𝗲𝗿, 𝗖. (𝟭𝟵𝟵𝟯). 𝗧𝗵𝗲 𝗿𝗼𝗹𝗲 𝗼𝗳 𝗱𝗲𝗹𝗶𝗯𝗲𝗿𝗮𝘁𝗲 𝗽𝗿𝗮𝗰𝘁𝗶𝗰𝗲 𝗶𝗻 𝘁𝗵𝗲 𝗮𝗰𝗾𝘂𝗶𝘀𝗶𝘁𝗶𝗼𝗻 𝗼𝗳 𝗲𝘅𝗽𝗲𝗿𝘁 𝗽𝗲𝗿𝗳𝗼𝗿𝗺𝗮𝗻𝗰𝗲. 𝗣𝘀𝘆𝗰𝗵𝗼𝗹𝗼𝗴𝗶𝗰𝗮𝗹 𝗥𝗲𝘃𝗶𝗲𝘄, 𝟭𝟬𝟬(𝟯), 𝟯𝟲𝟯–𝟰𝟬𝟲.



𝟮. #วินัยเชิงจิตใจ: ระหว่าง 'การควบคุม' กับ 'ความไวต่อสิ่งรอบตัว'



เมื่อพูดถึงคำว่า “วินัย” คนส่วนใหญ่มักนึกถึงความเคร่งครัด การยึดมั่นในแผน การไม่ยอมให้ตัวเองเบี่ยงเบนจากตารางฝึกแม้แต่นาทีเดียว แต่ในโลกของการเป็นนักดนตรี โดยเฉพาะมือกลอง วินัยไม่ได้แปลว่า “ต้องควบคุมทุกอย่างให้เป๊ะเสมอ” แต่อาจหมายถึง “การเรียนรู้ที่จะปล่อยให้บางอย่างเป็นไป” ด้วยเช่นกัน



งานวิจัยของ 𝗠𝗮𝗰𝗗𝗼𝗻𝗮𝗹𝗱 & 𝗠𝗶𝗲𝗹𝗹 (𝟮𝟬𝟬𝟮) เสนอแนวคิด "𝘀𝗲𝗹𝗳-𝗿𝗲𝗴𝘂𝗹𝗮𝘁𝗶𝗼𝗻" หรือ การรู้จักปรับสมดุลในกระบวนการเรียนรู้ของตัวเอง ซึ่งเป็นคุณสมบัติสำคัญของนักดนตรีที่เติบโตได้อย่างยั่งยืน



𝗦𝗲𝗹𝗳-𝗿𝗲𝗴𝘂𝗹𝗮𝘁𝗶𝗼𝗻 ≠ ฝึกเยอะ = เก่ง 𝗦𝗲𝗹𝗳-𝗿𝗲𝗴𝘂𝗹𝗮𝘁𝗶𝗼𝗻 หมายถึง “การรู้จังหวะของตัวเอง”



  เมื่อใดควรฝึกหนัก


  เมื่อใดควรหยุดเพื่อฟังตัวเอง


  เมื่อใดควรให้เวลาสมองได้พัก เพื่อรอให้เสียงและจังหวะซึมลึกลงไปในร่างกาย



ระวัง...จากวินัยสู่กับดักของความคาดหวัง



มือกลองที่มีวินัยแบบ “ควบคุมทุกอย่าง” มักจะทำทุกอย่างให้ถูกต้องตามแผน ไม่ยอมผิด ไม่ยอมหยุด และไม่เปิดโอกาสให้ตัวเองหลุดจากกรอบ



ฟังดูดีใช่ไหม? แต่ผลลัพธ์กลับตรงกันข้าม พวกเขาอาจประสบภาวะ 𝗼𝘃𝗲𝗿𝗽𝗿𝗮𝗰𝘁𝗶𝗰𝗲 𝗳𝗮𝘁𝗶𝗴𝘂𝗲 หรือ 𝗯𝘂𝗿𝗻 𝗼𝘂𝘁 โดยไม่รู้ตัว เพราะฝึกอย่างต่อเนื่องโดยไม่ให้เวลากับการฟื้นฟู หรือทบทวนเป้าหมายของการฝึก



จังหวะของการฝึก ควรเหมือนจังหวะของดนตรี: มีทั้งช่วง "ตี" และช่วง "หยุด" ที่มีความหมาย ,เปิดรับ แทนที่จะควบคุม



มือกลองที่มีวินัยแบบ เปิดรับ จะไม่มองว่าความผิดพลาดคือศัตรู แต่คือ “ครู”



พวกเขาอาจใช้เวลา 𝟭𝟬 นาทีต่อวันแค่ฟังเสียงจากการตีผิด แล้วจดบันทึกสิ่งที่เกิดขึ้น หรืออาจฝึกเล่นกับเพื่อน ๆ โดยไม่กังวลว่า 𝗴𝗿𝗼𝗼𝘃𝗲 จะเพี้ยนไปจากเดิมบ้าง เพราะรู้ว่านั่นคือโอกาสในการพัฒนา ความไวต่อสถานการณ์จริง



การฝึกที่ดี ไม่จำเป็นต้อง “สะอาด” เสมอ บางครั้งความวุ่นวาย ความผิดจังหวะ หรือแม้แต่ความเบื่อหน่ายในห้องซ้อม ล้วนเป็นจุดเริ่มต้นของการเข้าใจตัวเองลึกขึ้น


แล้วคุณล่ะ...กำลังฝึกเพื่อ "ทำให้ถูก" หรือ "กล้าที่จะพัฒนา"? เพราะในจังหวะที่คุณปล่อยให้ตัวเองไม่ต้องสมบูรณ์แบบ คุณอาจค้นพบ "เสียงของตัวเอง" ที่แท้จริง



อ้างอิง: 𝗠𝗮𝗰𝗗𝗼𝗻𝗮𝗹𝗱, 𝗥., 𝗛𝗮𝗿𝗴𝗿𝗲𝗮𝘃𝗲𝘀, 𝗗. 𝗝., & 𝗠𝗶𝗲𝗹𝗹, 𝗗. (𝟮𝟬𝟬𝟮). 𝗠𝘂𝘀𝗶𝗰𝗮𝗹 𝗶𝗱𝗲𝗻𝘁𝗶𝘁𝗶𝗲𝘀. 𝗢𝘅𝗳𝗼𝗿𝗱 𝗨𝗻𝗶𝘃𝗲𝗿𝘀𝗶𝘁𝘆 𝗣𝗿𝗲𝘀𝘀.



𝟯. #วินัยในแง่การฟัง: จากการฟังเสียงตัวเอง สู่การฟังตัวตน



ในโลกของการเป็นมือกลอง การฟังเสียงตัวเองอาจดูเป็นกิจกรรมธรรมดา ฟังว่าเราตีตรงมั้ย ฟังว่า 𝗴𝗿𝗼𝗼𝘃𝗲 แน่นพอรึยัง หรือเสียงกลองบาลานซ์กับเพลงดีไหม แต่จริง ๆ แล้วการฟังมีระดับที่ลึกกว่านั้นมาก



𝗝𝗼𝗵𝗻 𝗦𝗹𝗼𝗯𝗼𝗱𝗮 (𝟮𝟬𝟬𝟱) นักจิตวิทยาดนตรีจาก 𝗨𝗻𝗶𝘃𝗲𝗿𝘀𝗶𝘁𝘆 𝗼𝗳 𝗞𝗲𝗲𝗹𝗲 กล่าวไว้ว่า



“นักดนตรีที่ดีไม่ได้ฟังเพื่อหา 'ความถูกต้อง' ของเสียงเท่านั้น แต่ฟังเพื่อ สังเกตพฤติกรรมและตัวตนของตนเอง ผ่านเสียงนั้น”



  ฟังเพื่อตรวจสอบ ≠ ฟังเพื่อสังเกตตัวเอง



มือกลองบางคนฟังเพราะอยากรู้ว่า "ตีพลาดหรือเปล่า" แต่มือกลองบางคนฟังเพราะอยากรู้ว่า "เสียงของเรากำลังสื่อสารอะไรอยู่"



เช่น คุณอาจเล่น 𝗴𝗿𝗼𝗼𝘃𝗲 เดิมซ้ำหลายรอบ แล้วถามตัวเองว่า:



  เรากำลังเล่นด้วยพลังแบบไหน?


  เราตีเบาเพราะควบคุม หรือเพราะไม่กล้า?


  เสียงนี้สะท้อนความมั่นใจ หรือความลังเล?



คำถามเหล่านี้ไม่ได้ช่วยแค่เรื่องเทคนิค แต่ช่วยเปิดเผย “ภายใน” ของคุณผ่านเสียงที่ “ภายนอก” ด้วย



  การอัดเสียง: เครื่องมือที่เปลี่ยนจากการฟังให้กลายเป็น ‘การสะท้อนตัวตน’



หลายคนอัดเสียงเพื่อวิเคราะห์ความผิดพลาด และนั่นก็ดี แต่ถ้าเราอัดเสียงเพื่อ ฟังว่าตัวเองเป็นใคร เสียงนั้นจะไม่ใช่แค่ข้อมูลเชิงเทคนิค แต่มันคือกระจกที่สะท้อนภาวะจิตใจ ความตั้งใจ หรือแม้แต่ความกลัวของเราออกมา



เสียงที่ฟัง “นิ่ง” อาจมาจากใจที่เหนื่อย เสียงที่ฟัง “ล้น” อาจมาจากความอยากพิสูจน์บางอย่าง เสียงที่ “มีชีวิต” อาจไม่ได้สมบูรณ์แบบ แต่กลับทำให้คนฟังรู้สึกถึง ความจริงใจ



  ฟังให้เกินเสียง...แล้วคุณจะได้ยินตัวเองชัดขึ้น



การฝึกฟังเสียงตัวเองในฐานะมือกลอง จึงไม่ควรหยุดแค่ “ตีผิดตรงไหน” แต่น่าจะเริ่มต้นถามว่า



  ทำไมเราถึงเลือกตีแบบนั้นในตอนนั้น?


  เสียงนั้นสะท้อนอารมณ์ ความคิด หรือความกลัวอะไรในตัวเราบ้าง?


  เรากำลังสื่อสาร หรือกำลังหลบซ่อน?



สุดท้ายแล้ว… คุณอัดเสียงเพื่อจะรู้ว่า “ไม่พลาด” หรือเพื่อจะเข้าใจว่า “เราคือใครผ่านเสียงนั้น”?



อ้างอิง : 𝗦𝗹𝗼𝗯𝗼𝗱𝗮, 𝗝. 𝗔. (𝟮𝟬𝟬𝟱). 𝗘𝘅𝗽𝗹𝗼𝗿𝗶𝗻𝗴 𝘁𝗵𝗲 𝗺𝘂𝘀𝗶𝗰𝗮𝗹 𝗺𝗶𝗻𝗱: 𝗖𝗼𝗴𝗻𝗶𝘁𝗶𝗼𝗻, 𝗲𝗺𝗼𝘁𝗶𝗼𝗻, 𝗮𝗯𝗶𝗹𝗶𝘁𝘆, 𝗳𝘂𝗻𝗰𝘁𝗶𝗼𝗻. 𝗢𝘅𝗳𝗼𝗿𝗱 𝗨𝗻𝗶𝘃𝗲𝗿𝘀𝗶𝘁𝘆 𝗣𝗿𝗲𝘀𝘀.





ในวงดนตรีหนึ่ง วินัยของมือกลองไม่ใช่แค่ “ความเป๊ะ” ในจังหวะ แต่มันคือโครงสร้างที่ทุกคนในวงต้องอาศัยเพื่อ “วางใจ”



𝗞𝗲𝗶𝘁𝗵 𝗦𝗮𝘄𝘆𝗲𝗿 (𝟮𝟬𝟬𝟳) นักวิจัยด้าน 𝗚𝗿𝗼𝘂𝗽 𝗖𝗿𝗲𝗮𝘁𝗶𝘃𝗶𝘁𝘆 ชี้ว่า



“การเล่นดนตรีร่วมกันคือการสร้างสรรค์แบบกลุ่ม (𝗖𝗼𝗹𝗹𝗮𝗯𝗼𝗿𝗮𝘁𝗶𝘃𝗲 𝗘𝗺𝗲𝗿𝗴𝗲𝗻𝗰𝗲) ที่ต้องการทั้งความชัดเจน และ ความยืดหยุ่นในเวลาเดียวกัน”



ฟังดูย้อนแย้งใช่ไหม? แต่ความย้อนแย้งนี้แหละ ที่มือกลองทุกคนต้องอยู่กับมันให้เป็น



  𝗚𝗿𝗼𝗼𝘃𝗲 ที่แน่น…อาจแน่นเกินไป?



มือกลองบางคนมี 𝗴𝗿𝗼𝗼𝘃𝗲 ที่เป๊ะมาก ชัดมาก หนักแน่นมาก แต่กลับสร้างความอึดอัดให้คนอื่นในวง เพราะ 𝗴𝗿𝗼𝗼𝘃𝗲 นั้นไม่เว้น “พื้นที่ว่าง” ให้คนอื่นแทรก ในสถานการณ์นี้ วินัยกลายเป็น “กรอบแข็ง” ที่ขวางไม่ให้บทสนทนาดนตรีเกิดขึ้น



ลองนึกถึงการคุยกับใครสักคนที่พูดเร็วมาก และไม่หยุดให้คุณพูดบ้าง ต่อให้เนื้อหาดีแค่ไหน ก็เหนื่อยใช่ไหม?



  มือกลองที่ดี ไม่ใช่แค่คนที่ "แน่น" แต่คือคนที่ “รู้จักเว้น”



วินัยที่แท้จริงจึงอาจไม่ใช่การควบคุม 𝗴𝗿𝗼𝗼𝘃𝗲 ให้ทุกอย่างอยู่ในกรอบเป๊ะ แต่คือการควบคุมอัตตาตัวเองให้ "หยุดตี" ในจังหวะที่คนอื่นควรได้แสดงออก หรือ "เล่นเบา" ในช่วงที่นักร้องกำลังส่งอารมณ์ หรือ "หลบ" ให้โซโล่ของเพื่อนในวงได้มีที่ทางหายใจ



วินัยแบบนี้ไม่เห็นใน 𝗰𝗹𝗶𝗰𝗸 𝘁𝗿𝗮𝗰𝗸 หรือ 𝘀𝗵𝗲𝗲𝘁 𝗺𝘂𝘀𝗶𝗰 แต่มันจะรู้สึกได้…เมื่อวงเล่นแล้ว “ไหล” ไปด้วยกัน



  กรอบที่มั่นคง ≠ กำแพงที่ปิดตาย



มือกลองที่มีโครงสร้างในใจชัด (เช่น รู้ว่าช่วงนี้ควรให้ 𝗳𝗲𝗲𝗹 แบบ 𝗹𝗮𝗶𝗱-𝗯𝗮𝗰𝗸, ช่วงนี้ควร 𝗽𝘂𝘀𝗵) จะสามารถ “ฟัง” ได้ดีขึ้น และตัดสินใจปล่อย 𝗴𝗿𝗼𝗼𝘃𝗲 ให้ 𝗳𝗹𝗼𝘄 อย่างเป็นธรรมชาติ สิ่งนี้ไม่ใช่การ "เล่นตามใจ" แต่คือการ "ใช้ใจฟัง" ขณะเล่น



วินัยแบบนี้ไม่ใช่ “แน่น” อย่างเดียว แต่คือ “แน่นแล้วเปิด” “มั่นคงแต่ยืดหยุ่น” “เป็นผู้นำที่ไม่ขโมยพื้นที่ของคนอื่น”



คำถามคือ: วินัยของคุณทำให้เพื่อนในวง รู้สึกปลอดภัยที่จะเล่น หรือทำให้ เกร็งที่จะต้องตามให้ทัน?



อ้างอิง: 𝗦𝗮𝘄𝘆𝗲𝗿, 𝗥. 𝗞. (𝟮𝟬𝟬𝟳). 𝗚𝗿𝗼𝘂𝗽 𝗰𝗿𝗲𝗮𝘁𝗶𝘃𝗶𝘁𝘆: 𝗠𝘂𝘀𝗶𝗰, 𝘁𝗵𝗲𝗮𝘁𝗲𝗿, 𝗰𝗼𝗹𝗹𝗮𝗯𝗼𝗿𝗮𝘁𝗶𝗼𝗻. 𝗣𝘀𝘆𝗰𝗵𝗼𝗹𝗼𝗴𝘆 𝗣𝗿𝗲𝘀𝘀.



𝟱. #วินัยแบบฟังตอบ (𝗜𝗻𝘁𝗲𝗿𝗮𝗰𝘁𝗶𝘃𝗲 𝗗𝗶𝘀𝗰𝗶𝗽𝗹𝗶𝗻𝗲):



  ระบบฝึกที่ยืดหยุ่น และมีชีวิต



ในยุคที่การฝึกกลายเป็นกิจกรรม “แยกขาด” จากการเล่นดนตรีจริง มือกลองจำนวนมากฝึกในห้องซ้อมกับ 𝗺𝗲𝘁𝗿𝗼𝗻𝗼𝗺𝗲 หรือ 𝗯𝗮𝗰𝗸𝗶𝗻𝗴 𝘁𝗿𝗮𝗰𝗸 ที่ ไม่โต้ตอบกลับ แม้จะพัฒนา "ความแม่นยำ" ได้ดี แต่สิ่งที่อาจหายไปคือ ความยืดหยุ่นในการฟัง-ปรับ-และตอบสนอง ในสถานการณ์จริง



𝗟𝘂𝗰𝘆 𝗚𝗿𝗲𝗲𝗻 (𝟮𝟬𝟬𝟴) นักวิจัยด้านดนตรีศึกษาเสนอว่า



“กระบวนการเรียนรู้ดนตรีที่แท้จริงมักเกิดจากการฝึกแบบมีปฏิสัมพันธ์กับผู้อื่น มากกว่าการฝึกเดี่ยวที่ยึดติดกับรูปแบบตายตัว”



พูดง่าย ๆ คือ:



 • ฝึกเดี่ยวได้ 𝘀𝗸𝗶𝗹𝗹


 • แต่ฝึกโต้ตอบได้ 𝘀𝗲𝗻𝘀𝗲



วินัยที่ดี ไม่ใช่การตีเหมือนเดิมทุกครั้ง



แต่คือการ ‘ฟังแล้วเปลี่ยน’ ได้โดยไม่หลุดแก่น



มือกลองที่เก่ง ไม่ใช่คนที่ตี 𝗹𝗼𝗼𝗽 ได้เหมือนต้นฉบับเป๊ะทุกเทค แต่คือคนที่ตีออกมา “เข้ากับเพลง เข้ากับคน และเข้ากับจังหวะนั้นของชีวิต”


เช่น:



  วันหนึ่งอารมณ์วงเหงา มือกลองอาจต้องเล่นช้ากว่าปกติ 𝟮 𝗯𝗽𝗺 โดยไม่รู้ตัว และนั่นคือ ความเหมาะสม ไม่ใช่ความผิดพลาด



หรือเจอมือเบสที่เล่นแนวดัน 𝗴𝗿𝗼𝗼𝘃𝗲 ตลอดเวลา มือกลองต้อง เปลี่ยน 𝗽𝗼𝘀𝗶𝘁𝗶𝗼𝗻 ตัวเองใน 𝗴𝗿𝗼𝗼𝘃𝗲 ให้ 𝗯𝗮𝗹𝗮𝗻𝗰𝗲 ไม่ใช่เล่นแบบเดิมใส่ทุกคน



  วินัยแบบโต้ตอบ = ฝึก 𝘀𝗲𝗻𝘀𝗲 ที่อ่านสถานการณ์ได้



การฝึกที่ตอบสนองได้ในทุกสถานการณ์ ไม่ได้เกิดจากการจำรูปแบบ แต่มาจากการ “ฝึกการฟัง และการตัดสินใจ” อยู่เสมอ



นี่อาจรวมถึง:



   การ 𝗷𝗮𝗺 กับ 𝗯𝗮𝗰𝗸𝗶𝗻𝗴 𝘁𝗿𝗮𝗰𝗸 ที่ตั้งใจ เล่นผิด เพื่อดูว่าเรารับมือยังไง



   การฝึกกับคนอื่นในวง แล้วลอง “ปล่อย 𝗴𝗿𝗼𝗼𝘃𝗲 หลุด” เพื่อดูว่าใครตอบกลับยังไง



   หรือแม้แต่ฝึก “ไม่ตี” เลยบางจังหวะ เพื่อสังเกตว่าดนตรีจะยังไหลต่อไปได้ไหม



วินัยแบบนี้ ไม่ใช่แค่ฝึกให้ "ดี" แต่คือฝึกให้ “รู้ทัน” ความเป็นไปของดนตรี และกล้าเปลี่ยนเพื่อตอบรับมันอย่างมีจังหวะ



คำถาม: คุณกำลังฝึกเพื่อให้ "ตีเหมือนทุกครั้ง"? หรือฝึกเพื่อให้ "ตอบได้ในทุกครั้งที่สถานการณ์เปลี่ยน"?



อ้างอิง: 𝗚𝗿𝗲𝗲𝗻, 𝗟. (𝟮𝟬𝟬𝟴). 𝗠𝘂𝘀𝗶𝗰, 𝗶𝗻𝗳𝗼𝗿𝗺𝗮𝗹 𝗹𝗲𝗮𝗿𝗻𝗶𝗻𝗴 𝗮𝗻𝗱 𝘁𝗵𝗲 𝘀𝗰𝗵𝗼𝗼𝗹: 𝗔 𝗻𝗲𝘄 𝗰𝗹𝗮𝘀𝘀𝗿𝗼𝗼𝗺 𝗽𝗲𝗱𝗮𝗴𝗼𝗴𝘆. 𝗔𝘀𝗵𝗴𝗮𝘁𝗲 𝗣𝘂𝗯𝗹𝗶𝘀𝗵𝗶𝗻𝗴.





วินัยจะกลายเป็น “กำแพง” ก็ต่อเมื่อมันทำให้คุณกลัวที่จะพลาด , กลัวที่จะลอง และกลัวที่จะ “เปลี่ยน”



แต่วินัยจะกลายเป็น “สะพาน” ถ้ามันพาคุณก้าวข้ามความเคยชินเดิม , ความกลัวเสียงของตัวเอง และรูปแบบเดิม ๆ ที่เคยคิดว่า "ถูก"



การเป็นมือกลองที่มีวินัย ไม่ได้แปลว่า “ตีตรงเป๊ะ” หรือ “ไม่มีวันพลาด”


แต่มันแปลว่า...



“เรายังอยู่กับเสียงของเราอย่างรู้ตัว” “เรายังกล้าฟังตัวเองอย่างตรงไปตรงมา” และ “เรายังอนุญาตให้ตัวเองเปลี่ยนแปลงได้”



วินัยที่แท้จริง คือพื้นที่ที่เรายืนอย่างมั่นใจ ไม่ใช่เพราะเราควบคุมทุกอย่างได้ แต่เพราะเราพร้อมจะ ฟัง , เปิดรับ และ ตอบสนอง กับสิ่งที่เปลี่ยนไปทุกจังหวะ



ในที่สุด...ดนตรีที่ดีไม่ได้มาจาก "ความสมบูรณ์แบบ” แต่มาจาก “ความซื่อสัตย์ในทุกจังหวะที่เราเล่นออกมา”



แล้ววินัยของคุณ... กำลังพาคุณ “ยืนอยู่ที่เดิม” หรือ “เดินต่อไปได้แม้ทุกอย่างเปลี่ยน” 


 
 
 

Comments


bottom of page