ถ้า 𝗠𝗲𝘁𝗿𝗼𝗻𝗼𝗺𝗲 คือกฎหมาย ใครคือนักดนตรีที่เป็นนักปฏิวัติ❓🥁
- Dr.Kasem THipayametrakul
- Apr 24
- 2 min read

ในโลกของดนตรี "#จังหวะ" คือหนึ่งในองค์ประกอบพื้นฐานที่สุดที่มนุษย์ใช้ในการสื่อสารอารมณ์ ความคิด และความรู้สึก เครื่อง 𝗠𝗲𝘁𝗿𝗼𝗻𝗼𝗺𝗲 ซึ่งทำหน้าที่เป็นอุปกรณ์ควบคุมจังหวะอย่างสม่ำเสมอ ถูกยกให้เป็นเหมือน "#กฎหมาย" ทางดนตรี ที่คอยกำกับให้เสียงและการเล่นมีความเที่ยงตรงและเป็นระเบียบ อย่างไรก็ตาม นักดนตรีหลายคน โดยเฉพาะในแนวดนตรีแจ๊ส ดนตรีร่วมสมัย และการแสดงสด ได้ตั้งคำถามถึงอำนาจของ 𝗺𝗲𝘁𝗿𝗼𝗻𝗼𝗺𝗲 ว่าแท้จริงแล้วมันควรเป็นผู้กำหนด หรือเพียงแค่เป็นเครื่องมือหนึ่งในกระบวนการสร้างสรรค์เสียง
#คำถามสำคัญจึงเกิดขึ้น: หาก 𝗺𝗲𝘁𝗿𝗼𝗻𝗼𝗺𝗲 คือกฎหมาย ใครคือนักดนตรีที่กล้าเป็นนักปฏิวัติ?
บทความนี้มุ่งวิเคราะห์และวิพากษ์ปรากฏการณ์ของ 𝗺𝗲𝘁𝗿𝗼𝗻𝗼𝗺𝗲 ทั้งในฐานะเครื่องมือทางเทคนิค และสัญลักษณ์ของระเบียบ พร้อมเปรียบเทียบแนวคิดของนักดนตรี นักวิชาการ และนักวิจารณ์ ผ่านมุมมองที่หลากหลาย และตั้งคำถามเพื่อชวนผู้อ่านสะท้อนกับบทบาทของ "จังหวะ" ในชีวิตและเสียงของตนเอง
𝟭. 𝗠𝗲𝘁𝗿𝗼𝗻𝗼𝗺𝗲: #จากเครื่องมือสู่สัญลักษณ์ของอำนาจ ♬♫
𝗝𝗼𝗵𝗮𝗻𝗻 𝗠𝗮𝗲𝗹𝘇𝗲𝗹 ผู้จดสิทธิบัตรเครื่อง 𝗺𝗲𝘁𝗿𝗼𝗻𝗼𝗺𝗲 ในต้นศตวรรษที่ 𝟭𝟵 ไม่อาจคาดคิดได้ว่าเครื่องมือของเขาจะกลายเป็นสัญลักษณ์ของความเที่ยงตรงในดนตรีทั่วโลก งานวิจัยของ 𝗚𝘂𝘀𝘁𝗮𝘃 𝗕𝗲𝗰𝗸𝗶𝗻𝗴 (𝟭𝟵𝟮𝟴) ว่าด้วยจังหวะในดนตรีคลาสสิก ยืนยันว่าความแม่นยำเชิงกลมีบทบาทในการฝึกฝนดนตรีของยุโรปอย่างสูง โดยเฉพาะในยุคที่ความรู้ถูกถ่ายทอดในเชิงระบบ
ในช่วงศตวรรษที่ 𝟭𝟵 และ 𝟮𝟬 การเติบโตของระบบโรงเรียนดนตรีแบบตะวันตก เช่น 𝗩𝗶𝗲𝗻𝗻𝗮 𝗖𝗼𝗻𝘀𝗲𝗿𝘃𝗮𝘁𝗼𝗿𝘆 หรือ 𝗝𝘂𝗶𝗹𝗹𝗶𝗮𝗿𝗱 𝗦𝗰𝗵𝗼𝗼𝗹 ในสหรัฐอเมริกา ได้นำ 𝗺𝗲𝘁𝗿𝗼𝗻𝗼𝗺𝗲 มาใช้ในหลักสูตรอย่างแพร่หลาย เครื่องมือนี้กลายเป็นตัวแทนของแนวคิดแบบ 𝗘𝗻𝗹𝗶𝗴𝗵𝘁𝗲𝗻𝗺𝗲𝗻𝘁 ที่เน้นเหตุผล ระบบ และระเบียบมากกว่าความรู้สึกส่วนตัว ซึ่งคล้ายคลึงกับแนวคิดของ 𝗠𝗶𝗰𝗵𝗲𝗹 𝗙𝗼𝘂𝗰𝗮𝘂𝗹𝘁 เกี่ยวกับ “#ระเบียบวินัยและการควบคุม” (𝗗𝗶𝘀𝗰𝗶𝗽𝗹𝗶𝗻𝗲 𝗮𝗻𝗱 𝗣𝘂𝗻𝗶𝘀𝗵, 𝟭𝟵𝟳𝟱) ที่กล่าวถึงกลไกการฝึกฝนร่างกายและเวลาเพื่อสร้างความเชื่อฟังในระบบ
ในมุมของปรัชญาดนตรี เครื่อง 𝗺𝗲𝘁𝗿𝗼𝗻𝗼𝗺𝗲 สามารถถูกวิเคราะห์ในฐานะ “#เทคโนโลยีแห่งอำนาจ” ที่ควบคุมและสร้างมาตรฐานการรับรู้จังหวะ เสียงติ๊กของมันคือเสียงของอำนาจที่ไม่อาจมองเห็น แต่ส่งผลต่อพฤติกรรมของนักดนตรีอย่างลึกซึ้ง
ยิ่งไปกว่านั้น ในงานของนักมานุษยวิทยาดนตรี เช่น 𝗚𝗲𝗼𝗿𝗴𝗶𝗻𝗮 𝗕𝗼𝗿𝗻 (𝟮𝟬𝟬𝟱) การใช้ 𝗺𝗲𝘁𝗿𝗼𝗻𝗼𝗺𝗲 ไม่ใช่แค่เรื่องเทคนิค แต่ยังสะท้อนความสัมพันธ์เชิงอำนาจระหว่างครู-ศิษย์ ระหว่างมาตรฐานดนตรีกับวัฒนธรรมท้องถิ่น และระหว่างความเป็นวิทยาศาสตร์กับศิลปะ
การใช้ 𝗺𝗲𝘁𝗿𝗼𝗻𝗼𝗺𝗲 จึงไม่ใช่แค่การฝึกซ้อมให้ตรงจังหวะ แต่เป็นการยอมรับหรือปฏิเสธ “อำนาจ” รูปแบบหนึ่งในโลกของเสียง
𝟮. #นักดนตรีในระบบฝึกฝน: ผลิตซ้ำหรือสร้างสรรค์? ♬♫
ระบบการเรียนการสอนดนตรี โดยเฉพาะในโครงสร้างแบบตะวันตก มักเน้นความสามารถในการเล่นอย่างเที่ยงตรงตามจังหวะที่กำหนดไว้ รายงานจาก 𝗝𝗼𝘂𝗿𝗻𝗮𝗹 𝗼𝗳 𝗠𝘂𝘀𝗶𝗰 𝗘𝗱𝘂𝗰𝗮𝘁𝗶𝗼𝗻 (𝟮𝟬𝟭𝟭) ระบุว่า 𝟴𝟳% ของครูสอนดนตรีระดับมัธยมในอเมริกาเน้นการฝึก 𝗺𝗲𝘁𝗿𝗼𝗻𝗼𝗺𝗲 เป็นหัวใจของการพัฒนาทักษะการควบคุมจังหวะ ทว่าความเที่ยงตรงนี้กลับกลายเป็นดาบสองคม เพราะขณะที่มันฝึกวินัย มันก็อาจเป็นกับดักที่ทำให้นักเรียนดนตรีจำนวนมากมองเสียงดนตรีเป็นเพียงรูปแบบกลไกมากกว่าการแสดงออกของอารมณ์และตัวตน
𝗣𝗲𝘁𝗲𝗿 𝗘𝗹𝘀𝗱𝗼𝗻 จาก 𝗨𝗻𝗶𝘃𝗲𝗿𝘀𝗶𝘁𝘆 𝗼𝗳 𝗛𝘂𝗹𝗹 ชี้ให้เห็นว่า “#ความแม่นยำทางจังหวะไม่ได้หมายความว่าการแสดงดนตรีนั้นจะมีความหมายหรือมีอิทธิพลทางอารมณ์เสมอไป” การเล่นดนตรีที่ดีจึงควรอยู่ในจุดสมดุลระหว่างเทคนิคกับการสื่อสาร นักดนตรีที่ถูกหล่อหลอมผ่านระบบฝึกซ้อมแบบ 𝘀𝘁𝗮𝗻𝗱𝗮𝗿𝗱𝗶𝘇𝗲𝗱 จึงมักถูกวิจารณ์ว่าเป็นเพียงผู้ “ผลิตซ้ำ” ความรู้เดิม มากกว่าจะ “สร้างสรรค์” บางสิ่งใหม่
การเปรียบเทียบกับแนวคิดของ 𝗣𝗮𝘂𝗹𝗼 𝗙𝗿𝗲𝗶𝗿𝗲 ใน 𝗣𝗲𝗱𝗮𝗴𝗼𝗴𝘆 𝗼𝗳 𝘁𝗵𝗲 𝗢𝗽𝗽𝗿𝗲𝘀𝘀𝗲𝗱 (𝟭𝟵𝟳𝟬) ช่วยขยายความเข้าใจว่าระบบการเรียนรู้ที่เน้นการท่องจำและการเชื่อฟังอาจเป็นการ “กดขี่” รูปแบบหนึ่ง 𝗙𝗿𝗲𝗶𝗿𝗲 เสนอว่า ผู้เรียนควรมีบทบาทอย่างแข็งขันในการตั้งคำถามกับสิ่งที่เรียนรู้ เช่นเดียวกับนักดนตรีที่ควรมีสิทธิ์ตั้งคำถามกับ 𝗺𝗲𝘁𝗿𝗼𝗻𝗼𝗺𝗲 ว่ามันยังมีความหมายกับตนเองในแบบใด
𝟯. #เสรีภาพในจังหวะ: แนวคิดจากดนตรีแจ๊สและร่วมสมัย ♬♫
ดนตรีแจ๊ส คือสนามประลองของจินตนาการจังหวะที่ไร้ขอบเขต ความสามารถในการ “ดีดนิ้วออกนอกกรอบ” ของ 𝗺𝗲𝘁𝗿𝗼𝗻𝗼𝗺𝗲 คือแก่นแท้ของแจ๊สในยุค 𝗕𝗲𝗯𝗼𝗽 และ 𝗙𝗿𝗲𝗲 𝗝𝗮𝘇𝘇 นักดนตรีอย่าง 𝗠𝗶𝗹𝗲𝘀 𝗗𝗮𝘃𝗶𝘀, 𝗢𝗿𝗻𝗲𝘁𝘁𝗲 𝗖𝗼𝗹𝗲𝗺𝗮𝗻, และ 𝗧𝗵𝗲𝗹𝗼𝗻𝗶𝗼𝘂𝘀 𝗠𝗼𝗻𝗸 ล้วนมีแนวโน้มที่จะใช้จังหวะอย่างเสรี หรือแม้กระทั่ง “ละเมิด” กฎของมันด้วยจงใจ
𝗣𝗮𝘂𝗹 𝗕𝗲𝗿𝗹𝗶𝗻𝗲𝗿 ใน 𝗧𝗵𝗶𝗻𝗸𝗶𝗻𝗴 𝗶𝗻 𝗝𝗮𝘇𝘇 (𝟭𝟵𝟵𝟰) อธิบายว่าการเล่น “หน้า” หรือ “หลัง” จังหวะ ไม่ใช่ข้อผิดพลาด แต่คือเทคนิคที่ใช้สื่อสารอารมณ์เฉพาะตัวของนักดนตรี การเคลื่อนตัวไปมาระหว่างความแม่นและความหลวมกลายเป็นการสนทนาที่ลึกซึ้งระหว่างผู้เล่นกับผู้ฟัง
แนวคิดนี้ยังพบได้ในดนตรีร่วมสมัยและการแสดงสดแบบ 𝗲𝘅𝗽𝗲𝗿𝗶𝗺𝗲𝗻𝘁𝗮𝗹 ซึ่งมักใช้แนวทางของ 𝗶𝗺𝗽𝗿𝗼𝘃𝗶𝘀𝗮𝘁𝗶𝗼𝗻 เพื่อสร้างเสียงที่ไม่สามารถวางแผนล่วงหน้าได้ 𝗥𝗵𝘆𝘁𝗵𝗺𝗶𝗰 𝗳𝗿𝗲𝗲𝗱𝗼𝗺 หรือ “#จังหวะที่หลุดพ้น” กลายเป็นการยืนยันตัวตนผ่านการ “เลือก” ที่จะไม่เล่นตาม 𝗺𝗲𝘁𝗿𝗼𝗻𝗼𝗺𝗲
ตัวอย่างที่น่าสนใจคือการแสดงสดของมือกลองเช่น 𝗕𝗿𝗶𝗮𝗻 𝗕𝗹𝗮𝗱𝗲 หรือ 𝗔𝗻𝘁𝗼𝗻𝗶𝗼 𝗦𝗮́𝗻𝗰𝗵𝗲𝘇 ซึ่งแม้จะมีความสามารถในการควบคุมจังหวะอย่างน่าทึ่ง แต่กลับเลือกใช้จังหวะอย่างยืดหยุ่น สร้างมิติทางอารมณ์ที่ลึกกว่าการเล่นตาม 𝗰𝗹𝗶𝗰𝗸 𝘁𝗿𝗮𝗰𝗸 แบบ 𝗺𝗲𝗰𝗵𝗮𝗻𝗶𝗰𝗮𝗹
𝟰. ความแม่นยำ 𝘃𝘀 ความซื่อสัตย์: คำถามถึงคุณค่าทางดนตรี ♬♫
การพูดถึงความแม่นยำในดนตรี การพิจารณาถึงความเที่ยงตรงที่ 𝗺𝗲𝘁𝗿𝗼𝗻𝗼𝗺𝗲 เสนอให้เป็นเพียงส่วนหนึ่งของการฝึกฝนที่สามารถช่วยพัฒนาทักษะทางเทคนิคของนักดนตรีได้เท่านั้น
#แต่คำถามที่สำคัญกว่าคือ: ความแม่นยำนั้นมีคุณค่าทางดนตรีอย่างไร?
𝗗𝗮𝗻𝗶𝗲𝗹 𝗟𝗲𝘃𝗶𝘁𝗶𝗻 (𝟮𝟬𝟬𝟲) ในหนังสือ 𝗧𝗵𝗶𝘀 𝗜𝘀 𝗬𝗼𝘂𝗿 𝗕𝗿𝗮𝗶𝗻 𝗼𝗻 𝗠𝘂𝘀𝗶𝗰 ได้ทำการศึกษาเกี่ยวกับผลกระทบของการเล่นดนตรีที่ไม่แม่นยำกับสมองของผู้ฟัง และพบว่า การเคลื่อนไหวทางจังหวะที่ไม่ตรงตาม 𝗺𝗲𝘁𝗿𝗼𝗻𝗼𝗺𝗲 บางครั้งจะได้รับการตอบสนองจากผู้ฟังมากกว่า เพราะมันสะท้อนความเป็นมนุษย์และมีอารมณ์มากกว่า
การที่จังหวะไม่แม่นยำทำให้เสียงดนตรีมีความเป็นธรรมชาติและมีความซื่อสัตย์ในการแสดงออกของนักดนตรี ตัวอย่างเช่น ในดนตรีแจ๊สหรือแม้แต่ในเพลงป๊อปที่มีการเบี่ยงเบนจากจังหวะอย่างตั้งใจ การละเลยความแม่นยำเล็กน้อยในบางครั้งกลับทำให้ดนตรีนั้นมีพลังและอารมณ์ที่มากกว่า
จากมุมมองนี้ ความแม่นยำของ 𝗺𝗲𝘁𝗿𝗼𝗻𝗼𝗺𝗲 จึงไม่ใช่สิ่งที่ควรยึดติดอย่างยิ่งในทุกๆ สถานการณ์ เพราะในบางบริบท ความไม่แม่นยำที่ถูกควบคุมด้วยอารมณ์และจังหวะภายในอาจสร้างผลกระทบที่ยิ่งใหญ่กว่าความถูกต้องทางเทคนิค
𝟱. 𝗠𝗲𝘁𝗿𝗼𝗻𝗼𝗺𝗲 ในฐานะคู่สนทนา ไม่ใช่ศัตรู ♬♫
𝗠𝗲𝘁𝗿𝗼𝗻𝗼𝗺𝗲 มักถูกมองว่าเป็นเครื่องมือที่ต้องถูกปฏิบัติตาม แต่สำหรับนักดนตรีที่เข้าใจการใช้เครื่องมือเหล่านี้ในแง่ที่ลึกซึ้งยิ่งขึ้น มันไม่ใช่ศัตรูที่ต้องหนีจาก แต่เป็นคู่สนทนาที่ช่วยให้พวกเขาทำความเข้าใจและปรับจังหวะของตนเอง
𝗕𝗿𝗶𝗮𝗻 𝗕𝗹𝗮𝗱𝗲 มือกลองแจ๊สชั้นนำ เคยกล่าวว่า "𝗠𝗲𝘁𝗿𝗼𝗻𝗼𝗺𝗲 ไม่ได้บอกให้คุณเล่นตามมันเสมอไป แต่มันบอกว่าคุณ ‘อยู่ตรงไหน’ ในความสัมพันธ์กับเวลา" หมายความว่า เครื่อง 𝗺𝗲𝘁𝗿𝗼𝗻𝗼𝗺𝗲 ไม่จำเป็นต้องทำหน้าที่บังคับให้เล่นให้ตรง แต่ทำหน้าที่บอกให้เราเข้าใจตำแหน่งของตัวเองในเชิงเวลาว่าตรงไหนบ้าง
นักดนตรีที่มีประสบการณ์จะใช้ 𝗺𝗲𝘁𝗿𝗼𝗻𝗼𝗺𝗲 เพื่อฝึกให้จังหวะมีความมั่นคง ก่อนที่จะพัฒนาไปสู่การแสดงออกที่มีความยืดหยุ่นและมีชีวิตชีวามากขึ้น พวกเขาจะใช้มันในการประเมินว่าจังหวะของตัวเองนั้นคงที่แค่ไหน ก่อนจะนำไปใช้ในบริบทที่ต้องการความซับซ้อนหรือความหลากหลายของจังหวะ
การใช้ 𝗺𝗲𝘁𝗿𝗼𝗻𝗼𝗺𝗲 ในแบบนี้ทำให้มันกลายเป็นเครื่องมือในการสนทนา ไม่ใช่เครื่องมือที่กำหนดเรา แต่ช่วยให้เราเข้าใจตัวเองมากขึ้น
𝟲. #การตั้งคำถาม: บทบาทของ 𝗺𝗲𝘁𝗿𝗼𝗻𝗼𝗺𝗲 ในการสร้างอัตลักษณ์ ♬♫
𝗠𝗲𝘁𝗿𝗼𝗻𝗼𝗺𝗲 อาจเป็นมากกว่าแค่เครื่องมือที่ใช้เพื่อควบคุมจังหวะ แต่ในทางสังคมวิทยา มันยังสามารถสะท้อนถึงการสร้างอัตลักษณ์ในตัวนักดนตรีเอง นักดนตรีไม่เพียงแต่ต้องเลือกว่าจะเล่นตามจังหวะของ 𝗺𝗲𝘁𝗿𝗼𝗻𝗼𝗺𝗲 หรือไม่ แต่ยังต้องตัดสินใจว่าพวกเขาจะสร้างสรรค์เสียงในแบบไหน ซึ่งมันเกี่ยวข้องกับอัตลักษณ์ทางดนตรีที่พวกเขาต้องการจะสะท้อนออกมา
เมื่อนักดนตรีตั้งคำถามกับการใช้ 𝗺𝗲𝘁𝗿𝗼𝗻𝗼𝗺𝗲 และใช้มันเพียงแค่เครื่องมือในการสำรวจตัวเอง พวกเขากำลังเดินไปในเส้นทางของการสร้างอัตลักษณ์ที่แตกต่างจากผู้เล่นที่ยึดติดกับ "กฎ" อย่างเคร่งครัด นักดนตรีที่เลือกไม่ใช้ 𝗺𝗲𝘁𝗿𝗼𝗻𝗼𝗺𝗲 หรือใช้มันเพียงในบางกรณี กำลังสร้างสรรค์สิ่งใหม่ๆ ที่สะท้อนถึงตัวตนและวิธีคิดของพวกเขา
การเลือกที่จะไม่ยึดติดกับกฎเกณฑ์ของ 𝗺𝗲𝘁𝗿𝗼𝗻𝗼𝗺𝗲 หรือการใช้ 𝗺𝗲𝘁𝗿𝗼𝗻𝗼𝗺𝗲 ในวิธีที่แตกต่างออกไปนั้นช่วยให้พวกเขากำหนดเสียงของตัวเองได้ ในทางดนตรี การสร้างสรรค์และการแสดงออกทางดนตรีที่ไม่เหมือนใครเป็นสิ่งที่นักดนตรีหลายคนให้คุณค่ามากกว่าการเล่นตามมาตรฐานที่กำหนดไว้
บทความนี้ตั้งคำถามถึงการใช้งานของ 𝗺𝗲𝘁𝗿𝗼𝗻𝗼𝗺𝗲 ในการฝึกฝนดนตรีและการเล่นดนตรีในเชิงสร้างสรรค์ คำถามสำคัญที่ทุกคนสามารถตั้งได้คือ "เราเล่นดนตรีตามจังหวะที่เครื่อง 𝗺𝗲𝘁𝗿𝗼𝗻𝗼𝗺𝗲 กำหนด หรือเราเลือกจังหวะของตัวเอง?"
ในที่สุดเสียงที่นักดนตรีแสดงออกในโลกดนตรีไม่เพียงแต่สะท้อนถึงทักษะทางเทคนิค แต่ยังสะท้อนถึงความเป็นตัวตนของพวกเขาด้วย การใช้ 𝗺𝗲𝘁𝗿𝗼𝗻𝗼𝗺𝗲 หรือไม่ใช้มัน จึงเป็นการตัดสินใจที่มีความหมายอย่างลึกซึ้งในกระบวนการสร้างสรรค์ดนตรี โดยคำถามที่ทุกคนควรถามตัวเองคือ "ในจังหวะที่เราเล่น นี่คือเสียงของเราหรือเสียงของระบบที่เราตาม?"
การวิพากษ์และการสะท้อนถึงบทบาทของ 𝗺𝗲𝘁𝗿𝗼𝗻𝗼𝗺𝗲 ในการฝึกซ้อมจึงไม่ใช่เพียงการมองว่าเครื่องมือที่เรามีมันเป็นสิ่งที่ดีหรือไม่ดี แต่เป็นการตัดสินใจว่าจะใช้มันอย่างไร เพื่อให้สามารถสร้างเสียงที่เป็นเอกลักษณ์ของตัวเองได้
๐ 𝗕𝗲𝗰𝗸𝗶𝗻𝗴, 𝗚. (𝟭𝟵𝟮𝟴). 𝗛𝗼𝘄 𝗠𝘂𝘀𝗶𝗰𝗮𝗹 𝗥𝗵𝘆𝘁𝗵𝗺 𝗘𝘅𝗽𝗿𝗲𝘀𝘀𝗲𝘀 𝗣𝗲𝗿𝘀𝗼𝗻𝗮𝗹𝗶𝘁𝘆. 𝗨𝗻𝗶𝘃𝗲𝗿𝘀𝗶𝘁𝘆 𝗼𝗳 𝗠𝗶𝗻𝗻𝗲𝘀𝗼𝘁𝗮 𝗣𝗿𝗲𝘀𝘀.
๐ 𝗙𝗼𝘂𝗰𝗮𝘂𝗹𝘁, 𝗠. (𝟭𝟵𝟳𝟱). 𝗗𝗶𝘀𝗰𝗶𝗽𝗹𝗶𝗻𝗲 𝗮𝗻𝗱 𝗣𝘂𝗻𝗶𝘀𝗵: 𝗧𝗵𝗲 𝗕𝗶𝗿𝘁𝗵 𝗼𝗳 𝘁𝗵𝗲 𝗣𝗿𝗶𝘀𝗼𝗻. 𝗩𝗶𝗻𝘁𝗮𝗴𝗲 𝗕𝗼𝗼𝗸𝘀.
๐ 𝗕𝗼𝗿𝗻, 𝗚. (𝟮𝟬𝟬𝟱). 𝗨𝗻𝗰𝗲𝗿𝘁𝗮𝗶𝗻 𝗩𝗶𝘀𝗶𝗼𝗻: 𝗕𝗶𝗿𝘁, 𝗗𝘆𝗸𝗲 𝗮𝗻𝗱 𝘁𝗵𝗲 𝗥𝗲𝗶𝗻𝘃𝗲𝗻𝘁𝗶𝗼𝗻 𝗼𝗳 𝘁𝗵𝗲 𝗕𝗕𝗖. 𝗩𝗶𝗻𝘁𝗮𝗴𝗲.
๐ 𝗼𝘂𝗿𝗻𝗮𝗹 𝗼𝗳 𝗠𝘂𝘀𝗶𝗰 𝗘𝗱𝘂𝗰𝗮𝘁𝗶𝗼𝗻. (𝟮𝟬𝟭𝟭). "𝗨𝘀𝗲 𝗼𝗳 𝗠𝗲𝘁𝗿𝗼𝗻𝗼𝗺𝗲𝘀 𝗶𝗻 𝗠𝘂𝘀𝗶𝗰 𝗖𝗹𝗮𝘀𝘀𝗿𝗼𝗼𝗺𝘀: 𝗔 𝗡𝗮𝘁𝗶𝗼𝗻𝘄𝗶𝗱𝗲 𝗦𝘂𝗿𝘃𝗲𝘆". 𝗝𝗼𝘂𝗿𝗻𝗮𝗹 𝗼𝗳 𝗥𝗲𝘀𝗲𝗮𝗿𝗰𝗵 𝗶𝗻 𝗠𝘂𝘀𝗶𝗰 𝗘𝗱𝘂𝗰𝗮𝘁𝗶𝗼𝗻, 𝟱𝟵(𝟭), 𝟰𝟱–𝟲𝟬.
๐ 𝗙𝗿𝗲𝗶𝗿𝗲, 𝗣. (𝟭𝟵𝟳𝟬). 𝗣𝗲𝗱𝗮𝗴𝗼𝗴𝘆 𝗼𝗳 𝘁𝗵𝗲 𝗢𝗽𝗽𝗿𝗲𝘀𝘀𝗲𝗱. 𝗖𝗼𝗻𝘁𝗶𝗻𝘂𝘂𝗺.
๐ 𝗕𝗲𝗿𝗹𝗶𝗻𝗲𝗿, 𝗣. (𝟭𝟵𝟵𝟰). 𝗧𝗵𝗶𝗻𝗸𝗶𝗻𝗴 𝗶𝗻 𝗝𝗮𝘇𝘇: 𝗧𝗵𝗲 𝗜𝗻𝗳𝗶𝗻𝗶𝘁𝗲 𝗔𝗿𝘁 𝗼𝗳 𝗜𝗺𝗽𝗿𝗼𝘃𝗶𝘀𝗮𝘁𝗶𝗼𝗻. 𝗨𝗻𝗶𝘃𝗲𝗿𝘀𝗶𝘁𝘆 𝗼𝗳 𝗖𝗵𝗶𝗰𝗮𝗴𝗼 𝗣𝗿𝗲𝘀𝘀.
๐ 𝗟𝗲𝘃𝗶𝘁𝗶𝗻, 𝗗. 𝗝. (𝟮𝟬𝟬𝟲). 𝗧𝗵𝗶𝘀 𝗜𝘀 𝗬𝗼𝘂𝗿 𝗕𝗿𝗮𝗶𝗻 𝗼𝗻 𝗠𝘂𝘀𝗶𝗰: 𝗧𝗵𝗲 𝗦𝗰𝗶𝗲𝗻𝗰𝗲 𝗼𝗳 𝗮 𝗛𝘂𝗺𝗮𝗻 𝗢𝗯𝘀𝗲𝘀𝘀𝗶𝗼𝗻. 𝗗𝘂𝘁𝘁𝗼𝗻.
Comments