𝟱 ความเข้าใจผิดที่ทำให้มือกลอง '#ไปไม่ถึงศักยภาพที่แท้จริง'
- Dr.Kasem THipayametrakul
- Jul 2
- 2 min read

ถ้าเราเปรียบนักดนตรีเป็นเหมือนต้นไม้ มือกลองก็เปรียบได้กับรากที่ฝังลึกอยู่ใต้พื้นดิน — อาจไม่ใช่ส่วนที่ใครมองเห็นก่อน แต่เป็นสิ่งที่ทำให้ต้นไม้ทั้งต้นตั้งอยู่ได้ รากไม่อวดโฉม ไม่เปล่งประกาย แต่ซ่อนพลังไว้ในความมั่นคงและความนิ่ง ความแข็งแรงของรากไม่ได้วัดจากเสียงหรือการขยับเขยื้อน แต่จากความเข้าใจในหน้าที่ที่ลึกซึ้ง การยืนหยัดอยู่แม้ในขณะที่ไม่มีใครมองเห็น และความกล้าที่จะไม่ขยับ…ถ้าการนิ่งนั้นคือสิ่งที่ทำให้ทุกอย่างอยู่รอด
บทความนี้จะไม่เน้นเรื่องเทคนิคเฉพาะทาง เช่น การฝึก 𝗿𝘂𝗱𝗶𝗺𝗲𝗻𝘁𝘀 หรือการตั้งไมค์กลองให้ได้เสียงดีที่สุด เพราะสิ่งเหล่านั้นแม้จะจำเป็น แต่ไม่ใช่ต้นตอของการเติบโตในฐานะศิลปิน เราจะพาคุณสำรวจ "𝟱 ความเข้าใจผิด" ที่ดูเหมือนเล็กน้อย แต่กลับส่งผลอย่างลึกซึ้งต่อการพัฒนาของมือกลองหลายคน — โดยเฉพาะเมื่อพวกเขาเริ่มฝึกอย่างจริงจัง แต่กลับเติบโตได้แค่บางด้าน ทั้งที่ศักยภาพจริงของพวกเขาอาจไปได้ไกลกว่านั้น หากกล้าที่จะทบทวนแนวคิดพื้นฐานเหล่านี้ให้ลึกยิ่งขึ้น
การตีถูกจังหวะตามเมโทรโนมไม่ใช่เป้าหมายสูงสุดของมือกลอง มันคือจุดเริ่มต้นของการฝึกความแม่นยำทางกายภาพ แต่ไม่ใช่จุดหมายของการสื่อสารทางดนตรี เพราะดนตรีไม่ใช่แค่การวางจังหวะให้ถูกที่ — แต่คือการฟังสิ่งที่เกิดขึ้นรอบตัว แล้วตอบกลับด้วยเสียงที่มีความหมาย
การควบคุมให้แม่นยำจึงเป็นเพียงชั้นนอกสุดของการฝึก หากแต่สิ่งที่ทำให้ดนตรีมีชีวิตคือความเข้าใจจังหวะในเชิงบริบท เช่น การรู้ว่าควรจะวางโน้ตแบบไหนเมื่อคนอื่นในวงกำลังเคลื่อนไปทางใด การใช้ไดนามิกเพื่อเปิดพื้นที่ให้นักดนตรีคนอื่นแสดงออก หรือแม้แต่การเงียบเพื่อให้จังหวะของเพลงมีระยะหายใจ
❖ ความเข้าใจผิดที่ : “#เล่นแม่นคือเล่นดี”
การตีถูกจังหวะตามเมโทรนอมไม่ใช่เป้าหมายสูงสุดของมือกลอง มันคือจุดเริ่มต้นของการฝึกความแม่นยำทางกายภาพ แต่ไม่ใช่จุดหมายของการสื่อสารทางดนตรี เพราะดนตรีไม่ใช่แค่การวางจังหวะให้ถูกที่ — แต่คือการฟังสิ่งที่เกิดขึ้นรอบตัว แล้วตอบกลับด้วยเสียงที่มีความหมาย
การควบคุมให้แม่นยำจึงเป็นเพียงชั้นนอกสุดของการฝึก หากแต่สิ่งที่ทำให้ดนตรีมีชีวิตคือความเข้าใจจังหวะในเชิงบริบท เช่น การรู้ว่าควรจะวางโน้ตแบบไหนเมื่อคนอื่นในวงกำลังเคลื่อนไปทางใด การใช้ไดนามิกเพื่อเปิดพื้นที่ให้นักดนตรีคนอื่นแสดงออก หรือแม้แต่การเงียบเพื่อให้จังหวะของเพลงมีระยะหายใจ
ในวงดนตรีหนึ่ง เสียงของมือกลองสามารถกำหนด “น้ำเสียงของบทสนทนา” ได้ทั้งหมด จังหวะที่ตีตรง 𝗺𝗲𝘁𝗿𝗼𝗻𝗼𝗺𝗲 ทุก 𝗯𝗲𝗮𝘁 อาจไม่มีผลอะไรถ้ามันไม่มีพลังของการฟังและการร่วมสร้าง ดังนั้น บทเรียนที่ลึกกว่าการตีให้ตรงคือการถามว่า “เสียงของเรา…กำลังสื่อสารอะไรกับคนอื่นอยู่?”
มือกลองจำนวนมากจบการฝึกแต่เพียงแค่ตีให้ "เป๊ะ" จนลืมตั้งคำถามว่า "แล้ว 𝗴𝗿𝗼𝗼𝘃𝗲 ของเราฟังแล้วรู้สึกยังไง?" เพราะจังหวะที่ตรงไม่ได้หมายถึงจังหวะที่มีพลังเสมอไป บางครั้ง 𝗴𝗿𝗼𝗼𝘃𝗲 ที่ดีคือ 𝗴𝗿𝗼𝗼𝘃𝗲 ที่ทำให้เพื่อนร่วมวงหายใจได้ และทำให้เพลงเคลื่อนไปในทิศทางที่มีความรู้สึก
✧ คำถาม: ถ้า 𝗴𝗿𝗼𝗼𝘃𝗲 ของคุณแม่น แต่เพื่อนร่วมวงไม่รู้สึกถึงพลังของเพลง — คุณควรแก้ที่จังหวะ หรือแก้ที่เจตนา?
❖ ความเข้าใจผิดที่ : “#เทคนิคเยอะคือเก่ง”
เราถูกปลูกฝังให้ผูกความสามารถเข้ากับ “ปริมาณ” เล่นได้เร็วแค่ไหน ใส่โน้ตได้กี่ตัว ตี 𝗳𝗶𝗹𝗹 ได้กี่แบบในหนึ่งบาร์ เราแชร์คลิปที่เต็มไปด้วยการเล่นแพรวพราว และยกย่องการโชว์สกิลรัวมือรัวเท้า จนเราลืมตั้งคำถามว่า…แท้จริงแล้ว “สิ่งที่เราเล่น มันพูดอะไรได้บ้าง?”
เสียงของมือกลองที่คนจำได้ไม่ใช่เสียงที่ซับซ้อนที่สุด แต่คือเสียงที่พูดชัดที่สุด
ลองนึกถึง 𝗦𝘁𝗲𝘃𝗲 𝗝𝗼𝗿𝗱𝗮𝗻, 𝗥𝗶𝗻𝗴𝗼 𝗦𝘁𝗮𝗿𝗿, หรือแม้แต่ 𝗝.𝗝. 𝗝𝗼𝗵𝗻𝘀𝗼𝗻 พวกเขาอาจไม่ใส่โน้ตถี่ ไม่ 𝗳𝗶𝗹𝗹 ทุกสองบาร์ แต่สิ่งที่พวกเขาเล่นกลับทำให้คนทั้งวง "หายใจตรงกัน" และคนฟังรู้สึกได้ถึงตัวตน
เทคนิคเป็นเรื่องสำคัญ ไม่มีใครเถียง แต่มันควรเป็น “เครื่องมือในการสื่อสาร” ไม่ใช่แค่เครื่องตกแต่งความประทับใจ
ถ้าเราฝึก 𝗿𝘂𝗱𝗶𝗺𝗲𝗻𝘁𝘀, 𝗱𝗼𝘂𝗯𝗹𝗲 𝘀𝘁𝗿𝗼𝗸𝗲 หรือ 𝗹𝗶𝗻𝗲𝗮𝗿 𝗽𝗮𝘁𝘁𝗲𝗿𝗻 โดยไม่มีเป้าหมาย สิ่งที่เราจะได้คือ “ความสามารถที่ยังไม่รู้จะใช้ไปทางไหน”
เทคนิคที่ไม่ถูกใช้ในเพลงจริง ไม่ต่างจากเครื่องดนตรีราคาแพงที่ถูกวางไว้ในกล่องโชว์ สวย แต่เงียบ
คำถามสำคัญจึงไม่ใช่แค่ว่า “คุณฝึกอะไรได้บ้าง” แต่คือ “คุณใช้มันพูดอะไรในเพลงได้บ้าง?”
มีเพลงไหนบ้างในชีวิตจริง ที่คุณใช้เทคนิคเหล่านั้นเพื่อบอกอารมณ์?
มีจังหวะไหนในเพลงที่คุณตัดสินใจใช้ 𝗴𝗵𝗼𝘀𝘁 𝗻𝗼𝘁𝗲 เพื่อกระซิบบางอย่างให้คนฟังฟัง?
มีช่องว่างตรงไหนที่คุณเลือก “ไม่ใส่โน้ต” เพราะรู้ว่าความเงียบนั้นสำคัญกว่าความซับซ้อน?
สิ่งที่ยากกว่าการฝึกให้เล่นได้ คือการฝึกให้ “เลือกเป็น” และนั่นคือสิ่งที่มือกลองระดับตำนานทุกคนทำได้อย่างชัดเจน
เพราะสุดท้าย เสียงที่อยู่ในหัวคนฟัง ไม่ใช่เสียงที่เต็มไปด้วยโน้ต แต่คือเสียงที่บอกอะไรบางอย่างได้โดยไม่ต้องอธิบาย และเสียงแบบนั้น ไม่ได้มาจากมือที่เร็วที่สุด — แต่มาจากใจที่ชัดที่สุด
✧ คำถาม: เทคนิคที่คุณฝึกวันนี้…มีเพลงไหนในชีวิตที่คุณใช้มันพูดได้จริง?
❖ ความเข้าใจผิดที่ : “#กลองคือเครื่องที่มีหน้าที่แค่ ‘นับ’ #ให้ตรง”
ภาพจำของกลองในหลายบริบท โดยเฉพาะในวงโยธวาทิต วง 𝗺𝗮𝗿𝗰𝗵𝗶𝗻𝗴 หรือแม้แต่ในห้องเรียนดนตรีพื้นฐาน คือภาพของ “เครื่องนับจังหวะ” — ทำหน้าที่รักษา 𝘁𝗲𝗺𝗽𝗼 และแบ่งจังหวะให้คนอื่นฟังได้ง่าย แต่หากเราหยุดไว้แค่ตรงนั้น เราอาจพลาดศักยภาพที่ลึกกว่าของเครื่องดนตรีชนิดนี้อย่างสิ้นเชิง
เสียงกลองไม่ใช่เพียงการ “แบ่งเวลา” แต่คือเครื่องมือที่สามารถกำหนดอารมณ์ ทิศทาง และพลังของบทเพลงได้ทั้งหมด เช่นเดียวกับการพูดประโยคหนึ่ง เสียงของกลองใน 𝗯𝗲𝗮𝘁 เดียวกันอาจให้ความรู้สึกต่างกันโดยสิ้นเชิง หากตีด้วยน้ำหนักที่ต่างกัน การเว้นวรรคที่ต่างกัน หรือแม้กระทั่ง 𝘀𝗶𝗹𝗲𝗻𝗰𝗲 ที่ต่างกันเพียงเสี้ยววินาที
ยิ่งไปกว่านั้น กลองยังสามารถ “บอกความรู้สึกของเพลง” ได้ดีกว่าเครื่องดนตรีหลายชนิด เพราะเป็นเครื่องดนตรีที่สัมผัสกับเวลาโดยตรง ไม่ใช่แค่รักษาเวลา แต่สร้าง “ความรู้สึกของเวลา” ขึ้นมา เช่น มือกลองที่เลือกวาง 𝗴𝗿𝗼𝗼𝘃𝗲 แบบ 𝗹𝗮𝘆𝗯𝗮𝗰𝗸 จะทำให้เพลงรู้สึกช้าลงอย่างมีเจตนา ทั้งที่ 𝘁𝗲𝗺𝗽𝗼 ไม่ได้เปลี่ยนเลยแม้แต่นิดเดียว
✧ คำถาม: ถ้าเปลี่ยนมือกลอง โดยให้ทุกคนตีตรง 𝗺𝗲𝘁𝗿𝗼𝗻𝗼𝗺𝗲 เหมือนกัน เพลงนั้นยังให้ความรู้สึกเหมือนเดิมหรือไม่? ถ้าไม่ — อะไรคือสิ่งที่เปลี่ยน?
❖ ความเข้าใจผิดที่ : “#หน้าที่ของมือกลองคือตามวงให้ได้”
คำว่า "ตามวงให้ได้" ฟังเผินๆ อาจดูเหมือนเป็นคุณสมบัติของมือกลองที่ดี — เป็นคนที่ฟังเก่ง เข้ากับคนอื่นได้ดี และสามารถปรับตัวได้ในทุกสถานการณ์ แต่น่าเสียดายที่ความเข้าใจนี้มักนำไปสู่การตีความว่า มือกลองควรจะอยู่ในโหมด "รอ" หรือ "ตาม" อยู่ตลอดเวลา โดยไม่มีบทบาทเป็นผู้นำ หรือไม่มีสิทธิ์ที่จะขับเคลื่อนทิศทางของดนตรี
ในความเป็นจริง มือกลองที่เติบโตอย่างมั่นคง ไม่ได้ทำหน้าที่เพียงแค่ตอบสนอง แต่คือผู้ที่กำหนดเสถียรภาพของทั้งวง การเป็นจุดตั้งต้นของจังหวะ (𝗿𝗲𝗳𝗲𝗿𝗲𝗻𝗰𝗲 𝗽𝗼𝗶𝗻𝘁) ทำให้เพื่อนร่วมวงคนอื่นๆ มีความมั่นใจที่จะเคลื่อนไหว นักร้องสามารถหายใจได้อย่างเป็นธรรมชาติ มือเบสรู้ว่าจะวางโน้ตในตำแหน่งใด และนักดนตรีทุกคนสามารถรู้สึกถึง 𝗳𝗹𝗼𝘄 ร่วมกันได้
การเล่นกลองจึงไม่ใช่แค่การทำให้ "เข้ากับวง" แต่คือการตั้งคำถามว่า "วงนี้ควรมีน้ำเสียงแบบไหน?" และเสียงของกลองจะช่วยกำหนดทิศทางนั้นได้อย่างไร มือกลองที่เข้าใจสิ่งนี้จะไม่กลัวการตัดสินใจ — ไม่กลัวการตีโน้ตเงียบเพื่อสร้างช่องว่าง หรือกล้าเลือกตีที่เบามากเพื่อเปิดพื้นที่ให้เครื่องดนตรีอื่นเล่าเรื่อง
✧ คำถาม: เวลาคุณเล่น…คุณรู้สึกว่า “วงตามคุณ” หรือ “คุณตามวง”? และคุณพอใจกับตำแหน่งนั้นไหม? และถ้าคุณเป็นคนกำหนดจังหวะในวงได้ คุณอยากให้เพลงนี้เดินไปในทิศทางไหน? และอะไรคือเสียงของคุณในเส้นทางนั้น?
❖ ความเข้าใจผิดที่ : “#การเล่นกลองไม่มีเรื่อง ‘เสียง’ #มีแค่ 𝗿𝗵𝘆𝘁𝗵𝗺”
หนึ่งในความเข้าใจผิดที่ฝังแน่นที่สุดเกี่ยวกับกลอง คือการคิดว่า “เสียง” ไม่มีความสำคัญ เพราะกลองไม่เล่นเมโลดี้ ไม่มี 𝗽𝗶𝘁𝗰𝗵 ที่แน่นอน หรือไม่สามารถ ‘ร้องนำ’ อย่างเครื่องดนตรีอื่นได้ แต่ในทางกลับกัน หากพิจารณาจากประสบการณ์ของนักดนตรีระดับโลกหลายคน — โดยเฉพาะในแนว 𝗷𝗮𝘇𝘇, 𝗳𝘂𝗻𝗸 หรือ 𝗳𝘂𝘀𝗶𝗼𝗻 — จะพบว่ามือกลองที่โดดเด่นแทบทุกคนมี “น้ำเสียงเฉพาะตัว” ซึ่งไม่เกี่ยวกับโน้ตที่เล่น แต่เกิดจากวิธี ‘พูด’ ของพวกเขาผ่านกลองชุด
คำว่า “เสียง” สำหรับมือกลองจึงไม่ได้หมายถึง 𝗽𝗶𝘁𝗰𝗵 อย่างในเครื่องดนตรีมีคีย์ แต่คือการควบคุมไดนามิก การจัดวางสัมผัส การสร้าง 𝘁𝗲𝘅𝘁𝘂𝗿𝗲 ด้วย 𝗴𝗵𝗼𝘀𝘁 𝗻𝗼𝘁𝗲 หรือแม้แต่การใช้ 𝘀𝗶𝗹𝗲𝗻𝗰𝗲 ในจังหวะที่ตั้งใจเว้น — สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นการ “พูด” ที่มีลักษณะเฉพาะ
ลองฟังมือกลองอย่าง 𝗘𝗹𝘃𝗶𝗻 𝗝𝗼𝗻𝗲𝘀, 𝗧𝗼𝗻𝘆 𝗪𝗶𝗹𝗹𝗶𝗮𝗺𝘀 หรือ 𝗤𝘂𝗲𝘀𝘁𝗹𝗼𝘃𝗲 — แม้จะตี 𝗴𝗿𝗼𝗼𝘃𝗲 เดียวกันกับมือกลองทั่วไป แต่ด้วยน้ำหนัก ความหน่วง ความตึง ความแน่น และความนิ่งที่แตกต่างกัน เสียงของพวกเขาจึงกลายเป็น ‘เสียงของตัวเอง’ ที่ไม่สามารถลอกเลียนแบบได้ง่าย
การคิดว่ากลองมีแต่ 𝗿𝗵𝘆𝘁𝗵𝗺 จึงเป็นการจำกัดมิติของดนตรีไว้แค่ภายนอก โดยไม่มองว่ากลองคือเครื่องมือสื่อสารแบบ 𝗻𝗼𝗻-𝘃𝗲𝗿𝗯𝗮𝗹 ที่มีศักยภาพในการสร้างน้ำเสียงทางอารมณ์ได้ลึกไม่แพ้เครื่องดนตรีใดๆ
✧ คำถาม: เสียงกลองของคุณตอนนี้สะท้อน “ความรู้สึก” ของคุณจริงหรือไม่? หรือเป็นแค่เสียงที่คุณ “ฝึกให้ถูกต้อง” เท่านั้น? และถ้าคุณไม่ได้ตีโน้ตซับซ้อนเลย…คนฟังยังรู้สึกว่า “นี่คือคุณ” ได้อยู่ไหม?
#บทสรุป: ความเข้าใจผิดทั้ง 𝟱 ข้อนี้ไม่ได้ผิดโดยตัวมันเอง — แต่มันเริ่มส่งผลในทางจำกัดศักยภาพ เมื่อเรายึดมั่นกับมันโดยไม่ตั้งคำถาม ไม่ว่าสิ่งนั้นจะเป็นเป้าหมายของความแม่น, การสะสมเทคนิค, การคิดว่ากลองเป็นเพียงเครื่องนับเวลา, การตีตามคนอื่นโดยไม่ตั้งหลัก หรือแม้แต่การลดคุณค่าของ 'เสียง' ในฐานะภาษาที่ลึกของกลอง หากเราไม่เปิดมุมมองใหม่ๆ และไม่ถามตัวเองให้ลึกว่าเราฝึกไปเพื่ออะไร เราอาจกลายเป็นมือกลองที่เล่นได้ครบทุกอย่าง แต่ไม่สามารถบอกได้ว่า 'เสียงของเรา' คืออะไร เพราะฉะนั้น เป้าหมายของการเติบโตอาจไม่ได้อยู่ที่การเพิ่มทักษะอย่างเดียว แต่อยู่ที่การเลือกใช้ทักษะเหล่านั้นให้กลายเป็นเสียงเฉพาะตัว — เสียงที่มาจากความตั้งใจ ฟังอย่างลึก และกล้าที่จะนิ่งเมื่อถึงเวลา
เพราะสุดท้าย การเป็นมือกลองไม่ใช่เรื่องของการ “#เล่นให้ครบ” แต่คือการ “#เลือกให้ชัด” ว่าอะไรสำคัญพอจะเล่น และอะไรสำคัญพอที่จะเว้นว่างไว้
Comments