top of page

ความสำคัญของ '𝗘𝗮𝗿 𝗧𝗿𝗮𝗶𝗻𝗶𝗻𝗴' ในการสร้างนักดนตรีที่มีความสามารถรอบด้าน ♬ 👂

Writer's picture: Dr.Kasem THipayametrakulDr.Kasem THipayametrakul

'𝗘𝗮𝗿 𝘁𝗿𝗮𝗶𝗻𝗶𝗻𝗴' หรือการฝึกฝนการฟัง เป็นหนึ่งในทักษะพื้นฐานที่สำคัญที่สุดสำหรับนักดนตรีทุกประเภท ไม่ว่าจะเป็นนักร้อง นักดนตรีที่เล่นเครื่องดนตรีเดี่ยว หรือวงดนตรีที่มีการประสานเสียง ซึ่งมีบทบาทสำคัญในการพัฒนาความสามารถทางดนตรีในหลายๆ ด้าน โดยเฉพาะในแง่ของการสร้างนักดนตรีที่มีความสามารถรอบด้านที่สามารถปรับตัวให้เข้ากับสภาพแวดล้อมดนตรีที่หลากหลาย




 


  #การฝึกฟังเสียงและโน้ต: การฝึก '𝗘𝗮𝗿 𝗧𝗿𝗮𝗶𝗻𝗶𝗻𝗴' ช่วยให้นักดนตรีสามารถรับรู้และแยกแยะเสียงในลักษณะต่างๆ ได้อย่างรวดเร็วและแม่นยำ การฝึกนี้ทำให้การฟังเป็นสิ่งที่ทำได้โดยอัตโนมัติ เช่น การฟังโน้ตที่อยู่ในคอร์ด (𝗖𝗵𝗼𝗿𝗱𝘀) หรือทำนองที่เปลี่ยนแปลงไปในการแสดงสด ไม่ต้องคิดหรือทำการคำนวณเสียงเหมือนตอนแรกที่เริ่มฝึก



  #การฟังและแยกแยะเสียงต่างๆ: ตัวอย่างเช่น การฝึกแยกแยะเสียงคอร์ดเมเจอร์ (𝗠𝗮𝗷𝗼𝗿) กับไมเนอร์ (𝗠𝗶𝗻𝗼𝗿) หรือการแยกแยะเสียงทำนองในคอนเสิร์ต การทำให้การฟังเป็นอัตโนมัติช่วยให้นักดนตรีสามารถมุ่งไปที่การแสดงที่ลึกซึ้งยิ่งขึ้นและแสดงความคิดสร้างสรรค์ในการประยุกต์ใช้เสียงเหล่านั้นในบทเพลง





  #การเข้าใจบทบาทในวงดนตรี: นักดนตรีที่มีการฝึกฟังอย่างดีสามารถรู้ได้ว่าเสียงจากเครื่องดนตรีอื่นๆ อยู่ในระดับใดและทำหน้าที่อย่างไรในวง เช่น กลองเป็นผู้ขับเคลื่อนจังหวะและการประสานเสียง หรือกีตาร์ที่อาจจะสร้างเส้นทำนองหรือประสานกับคอร์ด



  #การฟังการตอบสนอง: ในการเล่นกับวงดนตรี การฟังสิ่งที่สมาชิกในวงเล่นเป็นสิ่งสำคัญมาก เพราะจะทำให้เกิดการตอบสนองที่ดีขึ้น เช่น เมื่อมือเบสมีการเล่นโน้ตต่ำ กลองอาจต้องเพิ่มพลังหรือความเร็วในการตีให้เหมาะสม เพื่อให้ท่วงทำนองออกมาเป็นหนึ่งเดียวกัน การฟังที่ดีจะช่วยให้รู้ว่าเราควรทำอย่างไรในขณะนั้น





  #การตรวจจับข้อผิดพลาด: นักดนตรีที่ฝึกฟังได้ดีจะสามารถฟังและรับรู้ข้อผิดพลาดในทำนองหรือคอร์ดที่เล่นได้ เช่น การจับข้อผิดพลาดของโน้ตที่ไม่ได้เสียงตรงกับความตั้งใจ หรือการตรวจสอบเสียงที่แตกต่างจากการฝึกซ้อม



  #การปรับปรุงการเล่นตามจังหวะ: หากมีสมาชิกในวงดนตรีเล่นผิดจังหวะหรือเสียงผิดพลาด นักดนตรีที่ฟังได้ดีจะสามารถปรับตัวทันที เช่น การปรับคอร์ดให้เข้ากับจังหวะที่เกิดขึ้นใหม่ หรือการทำให้ทำนองกลมกลืนกับส่วนอื่นๆ ของเพลงได้ทันที





  #ความสัมพันธ์ระหว่างทฤษฎีและการฟัง: เมื่อมีการฝึกฝน '𝗘𝗮𝗿 𝗧𝗿𝗮𝗶𝗻𝗶𝗻𝗴' นักดนตรีจะเริ่มเข้าใจทฤษฎีดนตรีในเชิงลึกมากขึ้น เช่น การรู้ว่าเสียงโน้ตต่างๆ ที่ฟังนั้นอยู่ในโครงสร้างของคอร์ดใด หรือทำนองนั้นสามารถเป็นการสะท้อนจังหวะใด



  #การนำทฤษฎีไปใช้ในทางปฏิบัติ: เมื่อฝึกฟังเป็นประจำ นักดนตรีจะสามารถนำทฤษฎีดนตรีที่เรียนมาใช้ได้โดยอัตโนมัติ เช่น การใช้โครงสร้างคอร์ดที่เหมาะสมกับเสียงที่เล่น หรือการสร้างทำนองที่มีพื้นฐานจากทฤษฎีที่เรียนรู้มา





  #การปรับตัวตามเสียงที่ได้ยิน: การฝึก '𝗘𝗮𝗿 𝗧𝗿𝗮𝗶𝗻𝗶𝗻𝗴' ช่วยพัฒนาความสามารถในการฟังเสียงที่นักดนตรีเล่นและปรับปรุงเทคนิคการเล่นได้อย่างต่อเนื่อง ตัวอย่างเช่น นักกลองสามารถรู้ได้ทันทีว่าเสียงที่ตีออกมาเป็นอย่างไรและสามารถปรับปรุงการตีให้เหมาะสมกับเพลงที่เล่น



  #การสร้างเสียงใหม่: นอกจากการปรับปรุงเทคนิคการเล่นแล้ว นักดนตรีที่มี '𝗘𝗮𝗿 𝗧𝗿𝗮𝗶𝗻𝗶𝗻𝗴' ยังสามารถค้นหาวิธีการสร้างสรรค์เสียงใหม่ๆ ได้ เช่น การใช้เสียงกลองในวิธีที่แปลกใหม่หรือการหาวิธีการประสานเสียงใหม่ๆ ที่ไม่เคยเล่นมาก่อน โดยอาศัยความสามารถในการฟังอย่างละเอียด





  #การตีความอารมณ์ของเพลง: นักดนตรีที่มีการฝึกฟังจะสามารถเข้าใจอารมณ์ที่เพลงนั้นๆ ต้องการถ่ายทอดได้อย่างลึกซึ้ง ตัวอย่างเช่น การฟังเสียงจากเครื่องดนตรีในเพลงบัลลาดจะทำให้รู้สึกถึงความเศร้าเหงาหรืออบอุ่นได้ หรือในการฟังเพลงแจ๊ซ นักดนตรีจะสามารถจับความรู้สึกของการเล่นแสดงออกมาในแต่ละช่วงได้ดี



  #การฟังและแปลความหมายจากการแสดงสด: ในการแสดงสด การฟังเสียงที่เปลี่ยนแปลงตามสถานการณ์ช่วยให้นักดนตรีสามารถปรับอารมณ์และท่าทางของการเล่นได้อย่างเหมาะสม เช่น การตอบสนองต่อเสียงของผู้ชม หรือการปรับเปลี่ยนทำนองตามการแสดงสดที่เกิดขึ้น





  #การฝึกฟังในชีวิตประจำวัน: นักดนตรีสามารถฝึกฝนทักษะการฟังได้โดยไม่ต้องมีเครื่องดนตรีเสมอไป ตัวอย่างเช่น การฟังเสียงที่เกิดขึ้นในธรรมชาติ เช่น เสียงฝนหรือลม หรือการฟังเพลงที่มีรูปแบบซับซ้อนที่ต่างจากดนตรีที่ตัวเองเล่น ก็เป็นการฝึกฟังได้เช่นกัน



  #การฝึกฟังในทุกที่ทุกเวลา: นักดนตรีสามารถฝึกฟังเมื่อเดินทางหรือทำกิจกรรมอื่นๆ โดยการฝึกฟังเสียงในสภาพแวดล้อมต่างๆ ช่วยให้การฝึกฟังนั้นไม่ถูกจำกัดและพัฒนาไปได้ทุกที่ทุกเวลา



#ดังนั้น การฝึกฟัง (𝗘𝗮𝗿 𝗧𝗿𝗮𝗶𝗻𝗶𝗻𝗴) ไม่เพียงแต่เป็นเครื่องมือสำหรับพัฒนาทักษะการเล่นดนตรีเท่านั้น แต่ยังเป็นการเสริมสร้างความเข้าใจที่ลึกซึ้งในดนตรีทั้งในแง่ของทฤษฎี การประสานงานในวงดนตรี และการสร้างสรรค์เสียงใหม่ๆ การฝึกฝนการฟังที่ดีจะทำให้นักดนตรีสามารถเติบโตและพัฒนาตนเองได้อย่างมีประสิทธิภาพและพร้อมที่จะทำงานร่วมกับผู้อื่นในทุกๆ สถานการณ์ดนตรี

0 views0 comments

Comments


bottom of page