“ก่อนมีคำว่า ‘สเกล’ มนุษย์ใช้ ‘อะไร’ เพื่อบอกอารมณ์ในดนตรี❓”
- Dr.Kasem THipayametrakul
- May 24
- 6 min read

𝟭. “#ดนตรีก่อนภาษา” กับ “#อารมณ์ก่อนทฤษฎี” ♬
“เสียงดนตรีในฐานะเครื่องมือทางชีววิทยา ก่อนการเกิดของระบบความหมายแบบภาษาศาสตร์”
ในสายตาของนักภาษาศาสตร์เชิงวิวัฒนาการและนักมานุษยวิทยาดนตรีจำนวนมาก แนวคิดที่ว่า “ดนตรีเกิดหลังภาษา” เป็นเพียงมุมมองของโลกสมัยใหม่ที่คุ้นชินกับการใช้ภาษาเป็นสื่อกลางหลักของการรับรู้ แต่หากพิจารณาจากหลักฐานเชิงโบราณคดี (𝗮𝗿𝗰𝗵𝗮𝗲𝗼𝗮𝗰𝗼𝘂𝘀𝘁𝗶𝗰𝘀) และงานวิจัยด้านการรู้คิดทางเสียง (𝗮𝘂𝗱𝗶𝘁𝗼𝗿𝘆 𝗰𝗼𝗴𝗻𝗶𝘁𝗶𝗼𝗻) หลายชิ้นกลับเสนอสิ่งตรงกันข้ามอย่างมีน้ำหนัก นั่นคือ ดนตรีในฐานะการ “รับรู้-ผลิต-แบ่งปัน” เสียงที่มีโครงสร้าง อาจเกิดขึ้นก่อนภาษาพูดแบบมีไวยากรณ์
𝗦𝘁𝗲𝘃𝗲𝗻 𝗠𝗶𝘁𝗵𝗲𝗻 (𝟮𝟬𝟬𝟱) ในงาน 𝗧𝗵𝗲 𝗦𝗶𝗻𝗴𝗶𝗻𝗴 𝗡𝗲𝗮𝗻𝗱𝗲𝗿𝘁𝗵𝗮𝗹𝘀 ได้เสนอว่า มนุษย์นีแอนเดอร์ธัล และกลุ่มโฮโมในยุคก่อนประวัติศาสตร์ อาจมีรูปแบบการสื่อสารที่เรียกว่า 𝗛𝗺𝗺𝗺𝗺𝗺 (𝗵𝗼𝗹𝗶𝘀𝘁𝗶𝗰, 𝗺𝗮𝗻𝗶𝗽𝘂𝗹𝗮𝘁𝗶𝘃𝗲, 𝗺𝘂𝗹𝘁𝗶-𝗺𝗼𝗱𝗮𝗹, 𝗺𝘂𝘀𝗶𝗰𝗮𝗹, 𝗮𝗻𝗱 𝗺𝗶𝗺𝗲𝘁𝗶𝗰) ซึ่งเป็นการใช้เสียง น้ำเสียง จังหวะ การเคลื่อนไหว และความถี่ เพื่อสื่อความหมายอย่างมีอารมณ์ โดยไม่มีการแยกแยะเป็นคำหรือประโยค กล่าวคือ ดนตรีในยุคแรกเริ่มนั้นอาจไม่ใช่สิ่งที่ "เล่นเพื่อบันเทิง" แต่เป็นกลไกดั้งเดิมของการรับรู้โลกทางสังคมและอารมณ์ผ่านเสียง
ในบริบทนี้ การสร้างเสียงด้วยจังหวะ การเปล่งเสียงที่ต่างกัน หรือการใช้น้ำเสียงเพื่อบอกอารมณ์ กลายเป็นเครื่องมือทางวัฒนธรรมที่ช่วยให้มนุษย์อยู่ร่วมกัน รู้สึกเป็นกลุ่ม และสื่อสารในสถานการณ์ที่ภาษาอาจยังไม่พัฒนาเพียงพอ เช่น การกล่อมเด็ก การปลอบโยน การเตือนภัย หรือการประกอบพิธีกรรม
งานศึกษาทางดนตรีชาติพันธุ์ในชนเผ่าที่ไม่ใช้ภาษาเขียน ยังพบว่า เสียงดนตรีในวัฒนธรรมดั้งเดิมหลายแห่งไม่ต้องการ "ระบบโน้ต" หรือ "ทฤษฎีสเกล" แต่อย่างใด สิ่งที่พวกเขาต้องการคือการ “รู้สึก” และ “แบ่งปันความรู้สึกนั้น” ผ่านเสียง ไม่ว่าจะเป็นเสียงกลอง เสียงร้อง เสียงลม หรือเสียงจากธรรมชาติที่เลียนแบบได้ด้วยร่างกายมนุษย์
การที่มนุษย์สามารถฟังเสียง แล้วรู้สึกเศร้า ตื่นเต้น กลัว หรือสงบ โดยไม่มีการใช้คำพูดใดๆ จึงสะท้อนว่า “อารมณ์” เป็นภาษาระดับรากฐานที่สุดของดนตรี และเสียงคือช่องทางแรกที่มนุษย์ใช้ในการสื่อสารอารมณ์นั้น ไม่ใช่ภาษาพูด ไม่ใช่ตัวอักษร และแน่นอนไม่ใช่สเกลดนตรีแบบตะวันตก
คำถามคือ:
๐ หากยังไม่มีระบบโน้ต ไม่มีการกำหนด 𝗽𝗶𝘁𝗰𝗵 อย่างตายตัว ไม่มีชื่อเรียกแบบ 𝗱𝗶𝗮𝘁𝗼𝗻𝗶𝗰 หรือ 𝗰𝗵𝗿𝗼𝗺𝗮𝘁𝗶𝗰 แล้วมนุษย์ในยุคก่อนประวัติศาสตร์ใช้ “อะไร” บอกว่าเสียงใดคือ “เศร้า” เสียงใดคือ “ร่าเริง”?
๐ เรารับรู้ว่าเสียงหนึ่งกำลังโศกเศร้าโดยไม่ต้องมีคำบรรยาย นั่นคือเพราะเสียงนั้น “มีคุณสมบัติทางอารมณ์” หรือเพราะเรา “เรียนรู้” จากบริบทของวัฒนธรรม?
๐ ถ้าเราไม่มีคำว่า “เสียงสูง” หรือ “เสียงต่ำ” เลยในภาษา เราจะยังรู้สึกว่าการเปล่งเสียงขึ้นคือความตื่นเต้น หรือการเปล่งเสียงลงคือความสงบหรือไม่?
๐ ดนตรีที่ไม่มี 𝘀𝗰𝗮𝗹𝗲 จะยังสามารถสะกดอารมณ์เราได้หรือไม่? และหากได้ — อะไรคือกลไกเบื้องหลังของความสามารถนั้น?
การเริ่มต้นทำความเข้าใจเสียงดนตรีโดยไม่ผูกติดกับ “ภาษาทฤษฎี” ช่วยเปิดพื้นที่ให้เราได้ตั้งคำถามกับความหมายของ “ดนตรี” ในฐานะสิ่งที่มากกว่าโน้ต มากกว่าความรู้ และมากกว่ากรอบของระบบสเกล
เมื่อไม่มีสเกล ไม่มีโน้ต ไม่มีระบบ...แล้ว “อะไร” คือสิ่งที่เหลืออยู่ในดนตรี?
อ้างอิง
๐ 𝗠𝗶𝘁𝗵𝗲𝗻, 𝗦. (𝟮𝟬𝟬𝟱). 𝗧𝗵𝗲 𝗦𝗶𝗻𝗴𝗶𝗻𝗴 𝗡𝗲𝗮𝗻𝗱𝗲𝗿𝘁𝗵𝗮𝗹𝘀: 𝗧𝗵𝗲 𝗢𝗿𝗶𝗴𝗶𝗻𝘀 𝗼𝗳 𝗠𝘂𝘀𝗶𝗰, 𝗟𝗮𝗻𝗴𝘂𝗮𝗴𝗲, 𝗠𝗶𝗻𝗱 𝗮𝗻𝗱 𝗕𝗼𝗱𝘆. 𝗛𝗮𝗿𝘃𝗮𝗿𝗱 𝗨𝗻𝗶𝘃𝗲𝗿𝘀𝗶𝘁𝘆 𝗣𝗿𝗲𝘀𝘀.
𝟮. เสียงในฐานะ “#เครื่องมือสื่ออารมณ์” แรกของมนุษย์ ♬
“จากเสียงที่ไร้ถ้อยคำสู่การรับรู้อารมณ์ก่อนภาษา”
ก่อนที่มนุษย์จะใช้คำพูดสื่อความหมาย เสียงเปล่งออกมาจากร่างกายมนุษย์—เช่น การร้อง เสียงคราง เสียงแหลม หรือเสียงทุ้ม—เป็นหนึ่งในเครื่องมือพื้นฐานที่สุดของการสื่อสารระหว่างมนุษย์กับมนุษย์ งานศึกษาทางมานุษยวิทยาดนตรีและจิตวิทยาการสื่อสารจำนวนมากสนับสนุนว่าเสียงประเภทนี้ไม่ได้เป็นเพียง “สัญญาณ” (𝘀𝗶𝗴𝗻𝗮𝗹) แต่เป็น “เครื่องมือ” (𝘁𝗼𝗼𝗹) ที่ใช้ในการส่งผ่านอารมณ์อย่างมีโครงสร้าง แม้จะยังไม่มีไวยากรณ์หรือคำศัพท์ที่ชัดเจน
แนวคิดเรื่อง “𝗺𝘂𝘀𝗶𝗹𝗮𝗻𝗴𝘂𝗮𝗴𝗲” ซึ่ง 𝗦𝘁𝗲𝘃𝗲𝗻 𝗕𝗿𝗼𝘄𝗻 เสนอในปี 𝟮𝟬𝟬𝟭 นั้นเสนอว่า ภาษากับดนตรีไม่ได้แยกจากกันในช่วงต้นของวิวัฒนาการมนุษย์ หากแต่มีรากร่วมกันในระบบการเปล่งเสียงแบบกึ่งดนตรี-กึ่งคำพูด โดยเน้นที่คุณลักษณะทางโสตประสาท เช่น ระดับเสียง (𝗽𝗶𝘁𝗰𝗵 𝗰𝗼𝗻𝘁𝗼𝘂𝗿), จังหวะ (𝗿𝗵𝘆𝘁𝗵𝗺), ความเข้มของเสียง (𝗶𝗻𝘁𝗲𝗻𝘀𝗶𝘁𝘆) และสีของเสียง (𝘁𝗶𝗺𝗯𝗿𝗲) เพื่อสื่อสารเจตนา
ตัวอย่างของเสียงที่ไม่มีคำ แต่สามารถสื่ออารมณ์ได้ ได้แก่:
เสียงร้องแหลมของทารกที่ต้องการการตอบสนองด่วน
เสียงฮึดฮัดที่สื่อความไม่พอใจหรือความเจ็บปวด
เสียงลากยาวที่มักแสดงถึงความโศกเศร้า
เสียงที่มีการขึ้นหรือลงของระดับเสียงอย่างรวดเร็วเพื่อสื่อความตกใจหรือเตือนภัย
สิ่งเหล่านี้ไม่ต้องการคำอธิบาย แต่สามารถ “รับรู้ได้โดยตรง” ผ่านโสตประสาทและประสบการณ์ทางสังคมร่วมของมนุษย์ การรับรู้อารมณ์ผ่านเสียงจึงไม่ใช่กระบวนการเรียนรู้ผ่านระบบภาษา แต่เป็นกระบวนการรับรู้ระดับสัญชาตญาณ ซึ่งนักจิตวิทยาอย่าง 𝗞𝗹𝗮𝘂𝘀 𝗦𝗰𝗵𝗲𝗿𝗲𝗿 เรียกว่า “𝗮𝗳𝗳𝗲𝗰𝘁𝗶𝘃𝗲 𝗽𝗿𝗼𝘀𝗼𝗱𝘆” หรือโครงสร้างของเสียงที่บรรทุกอารมณ์อย่างมีนัยสำคัญ
การแยกแยะว่าเสียงใดกำลัง “อ่อนโยน” หรือ “เจ็บปวด” ไม่จำเป็นต้องมีระบบโน้ตหรือชื่อเสียง แต่ใช้การฟังตามลักษณะของเสียงในมิติที่ลึกกว่าสเกล เช่น:
รูปแบบของการเปลี่ยนแปลงระดับเสียง (𝗽𝗶𝘁𝗰𝗵 𝗰𝗼𝗻𝘁𝗼𝘂𝗿)
ความเรียบหรือละเอียดของเสียง (𝘀𝗺𝗼𝗼𝘁𝗵 𝘃𝘀. 𝗮𝗯𝗿𝘂𝗽𝘁)
ความแน่น ความโปร่ง หรือความสั่นของเสียง (𝘁𝗶𝗺𝗯𝗿𝗲/𝘁𝗲𝘅𝘁𝘂𝗿𝗲)
ความต่อเนื่องหรือความขาดห้วงของเสียง (𝗽𝗵𝗿𝗮𝘀𝗶𝗻𝗴/𝗳𝗹𝗼𝘄)
คำถามคือ :
๐ หากไม่มีระบบโน้ต ไม่มีคีย์ ไม่มีชื่อสเกล — คุณยังสามารถรับรู้ได้หรือไม่ว่าเสียงหนึ่ง “เศร้า” กว่าอีกเสียงหนึ่ง? ทำไมคุณจึงรู้สึกเช่นนั้น?
๐ คุณเคยลองฟังเสียงดนตรีจากวัฒนธรรมที่คุณไม่รู้ภาษาเลย แล้ว “รู้สึกบางอย่าง” หรือไม่? ความรู้สึกนั้นมาจากโครงสร้างของเสียงอย่างไร?
๐ ในการฝึกดนตรี คุณให้ความสำคัญกับการ “เข้าใจอารมณ์ของเสียง” มากน้อยเพียงใด เมื่อเทียบกับการฝึกให้ตรงจังหวะหรือแม่นโน้ต?
๐ ถ้าเราเชื่อว่าเสียงที่ไม่ต้องการคำพูดสามารถสื่ออารมณ์ได้—เราควรจัดลำดับความสำคัญของ “เจตนาในการสร้างเสียง” อย่างไรในการเรียนดนตรี?
ในช่วงแรกของประวัติศาสตร์มนุษย์ เสียงไม่ใช่ภาษาที่มีระบบแบบคำพูด แต่เป็นการกระทำที่บรรทุกอารมณ์และเจตนารมณ์ ในฐานะนักดนตรี โดยเฉพาะมือกลองและผู้เล่นเครื่องกระทบที่ไม่สามารถสื่อความผ่านคำร้อง เสียงที่เราสร้างจึงยิ่งต้องมี "โครงสร้างของอารมณ์" มากพอจะสื่อสารได้โดยไม่พึ่งคำพูด
เมื่อเสียงของคุณไม่สามารถพูดแทนได้ — มันสามารถรู้สึกแทนได้หรือไม่?
อ้างอิง
๐ 𝗕𝗿𝗼𝘄𝗻, 𝗦. (𝟮𝟬𝟬𝟭). “𝗧𝗵𝗲 ‘𝗠𝘂𝘀𝗶𝗹𝗮𝗻𝗴𝘂𝗮𝗴𝗲’ 𝗠𝗼𝗱𝗲𝗹 𝗼𝗳 𝗠𝘂𝘀𝗶𝗰 𝗘𝘃𝗼𝗹𝘂𝘁𝗶𝗼𝗻.” 𝗜𝗻 𝗧𝗵𝗲 𝗢𝗿𝗶𝗴𝗶𝗻𝘀 𝗼𝗳 𝗠𝘂𝘀𝗶𝗰, 𝗲𝗱𝘀. 𝗪𝗮𝗹𝗹𝗶𝗻, 𝗠𝗲𝗿𝗸𝗲𝗿, 𝗕𝗿𝗼𝘄𝗻.
๐ 𝗦𝗰𝗵𝗲𝗿𝗲𝗿, 𝗞. 𝗥. (𝟮𝟬𝟬𝟯). "𝗩𝗼𝗰𝗮𝗹 𝗰𝗼𝗺𝗺𝘂𝗻𝗶𝗰𝗮𝘁𝗶𝗼𝗻 𝗼𝗳 𝗲𝗺𝗼𝘁𝗶𝗼𝗻: 𝗔 𝗿𝗲𝘃𝗶𝗲𝘄 𝗼𝗳 𝗿𝗲𝘀𝗲𝗮𝗿𝗰𝗵 𝗽𝗮𝗿𝗮𝗱𝗶𝗴𝗺𝘀." 𝗦𝗽𝗲𝗲𝗰𝗵 𝗖𝗼𝗺𝗺𝘂𝗻𝗶𝗰𝗮𝘁𝗶𝗼𝗻, 𝟰𝟬(𝟭-𝟮), 𝟮𝟮𝟳-𝟮𝟱𝟲
𝟯. #จังหวะ (𝗥𝗵𝘆𝘁𝗵𝗺) #เป็นโครงสร้างอารมณ์ก่อนเสียงประสาน ♬
“การสื่อสารทางร่างกายผ่านเวลา ก่อนเกิดแนวคิดเรื่องฮาร์โมนี”
ในประวัติศาสตร์ของดนตรีมนุษย์ จังหวะไม่ได้ถือกำเนิดขึ้นเพื่อ “วัด” เวลา แต่เพื่อ “รู้สึก” เวลา — ไม่ใช่ในลักษณะของตัวเลขหรือความแม่นยำเชิงเทคนิคเท่านั้น แต่ในฐานะรูปแบบของประสบการณ์ที่มีมิติทางอารมณ์และสังคม จังหวะจึงอาจเป็นระบบดนตรีรูปแบบแรกที่มนุษย์ใช้สื่อสารก่อนที่แนวคิดเรื่องเสียงประสาน (𝗵𝗮𝗿𝗺𝗼𝗻𝘆) หรือแม้แต่ “𝗽𝗶𝘁𝗰𝗵” จะได้รับการจัดระบบ
𝗝𝗼𝗵𝗻 𝗕𝗹𝗮𝗰𝗸𝗶𝗻𝗴 (𝟭𝟵𝟳𝟯) ในหนังสือ 𝗛𝗼𝘄 𝗠𝘂𝘀𝗶𝗰𝗮𝗹 𝗶𝘀 𝗠𝗮𝗻? ได้ศึกษาการใช้ดนตรีในสังคมแอฟริกัน โดยพบว่าหลายชุมชนไม่จำเป็นต้องมีโน้ต ไม่มีเครื่องดนตรีหลายเสียง แต่มีการใช้จังหวะอย่างซับซ้อนในการสื่อสารอารมณ์ การเต้นรำ การทำพิธีกรรม และการเล่าเรื่องทางวัฒนธรรม ซึ่งจังหวะเหล่านี้มีความละเอียดระดับ 𝗺𝗶𝗰𝗿𝗼-𝘁𝗶𝗺𝗶𝗻𝗴 ที่ไม่สามารถเขียนลงบนกระดาษได้ทั้งหมด แต่สามารถ “รู้สึกได้” ผ่านร่างกายโดยตรง
สิ่งนี้สอดคล้องกับแนวคิดของ 𝗠𝗮𝗿𝗰𝗲𝗹 𝗝𝗼𝘂𝘀𝘀𝗲 นักมานุษยวิทยาชาวฝรั่งเศสซึ่งเสนอว่า มนุษย์ในวัยเด็กเรียนรู้จังหวะก่อนภาษา เพราะพัฒนาการของร่างกาย เช่น การดูดนม การเดิน การเต้นของหัวใจ หรือการตอบสนองต่อเสียงเคาะในท้องแม่ คือรากฐานของการรับรู้แบบมีจังหวะที่ฝังอยู่ในกายวิภาคของมนุษย์
จังหวะจึงเป็นมากกว่าโครงสร้างเวลา — มันคือ “โครงสร้างของอารมณ์ทางกายภาพ”
ในงานของ 𝗔𝗻𝗶𝗿𝘂𝗱𝗱𝗵 𝗣𝗮𝘁𝗲𝗹 (𝟮𝟬𝟬𝟴) ยังได้ชี้ให้เห็นอีกว่า ความสามารถของมนุษย์ในการ “คาดเดา” หรือ “ตอบสนอง” ต่อจังหวะไม่เพียงเกี่ยวข้องกับสมองส่วนรับรู้เสียงเท่านั้น แต่ยังเชื่อมโยงกับระบบการเคลื่อนไหวและอารมณ์ กล่าวคือ เมื่อมีจังหวะที่เร่งขึ้น ร่างกายจะเกิดความรู้สึกตื่นตัว ขณะที่จังหวะที่คงที่และยาวสม่ำเสมออาจสร้างความรู้สึกปลอดภัยหรือสงบ
ในพิธีกรรมของชนเผ่าหลายกลุ่ม การเปลี่ยนจังหวะอย่างกะทันหัน หรือการใช้ 𝗽𝗼𝗹𝘆𝗿𝗵𝘆𝘁𝗵𝗺 คือเครื่องมือทางอารมณ์เพื่อทำให้เกิดความเคลื่อนไหวภายในกลุ่ม หรือแม้แต่ภายในจิตใจของแต่ละบุคคล โดยไม่จำเป็นต้องมี “ดนตรี” ในความหมายแบบตะวันตกเลยด้วยซ้ำ
จังหวะที่ดีจึงไม่จำเป็นต้อง “แม่น” เสมอไป — แต่อาจต้อง “สัมผัสได้”
ในดนตรีป๊อป ดนตรีแจ๊ส หรือแม้แต่วงดุริยางค์แบบคลาสสิก การตีจังหวะ “ช้าเพียงเสี้ยววินาที” หรือ “เร่งล่วงหน้าเล็กน้อย” อาจเป็นการบรรทุกอารมณ์ เช่น ความลังเล ความเร่งรีบ หรือแรงดึงดูดระหว่างเสียง ซึ่งไม่มีทางเขียนออกมาได้ด้วยโน้ตทั่วไป เทคนิคที่นักดนตรีเรียกกันว่า “𝗴𝗿𝗼𝗼𝘃𝗲” จึงเกิดจากการวางจังหวะอย่างมีความรู้สึก มากกว่าการวัดจังหวะอย่างมีความแม่นยำ
สิ่งนี้จึงย้อนกลับไปที่จุดตั้งต้นของดนตรีว่า จังหวะไม่ใช่การจัดการกับเวลาในเชิงปริมาณ แต่เป็นการสร้าง “ความสัมพันธ์ทางเวลา” ระหว่างมนุษย์ เสียง และความรู้สึก
คำถามคือ :
๐ เมื่อคุณตีจังหวะ — คุณกำลังวัดความยาวของเวลา? หรือคุณกำลังฟังจังหวะในร่างกายของตัวเอง?
๐ คุณเคยคิดไหมว่า “𝗴𝗿𝗼𝗼𝘃𝗲” ที่ดีไม่จำเป็นต้องเขียนออกมาได้ แต่ต้อง “สัมผัสได้”? แล้วคุณฝึกการสัมผัส 𝗴𝗿𝗼𝗼𝘃𝗲 อย่างไร?
๐ ถ้าคุณต้องตีแบบไม่มีโน้ต ไม่มีคลิก ไม่มีเครื่องตั้งจังหวะ — คุณยังสามารถรักษาความรู้สึกของจังหวะไว้ได้หรือไม่? แล้วมันมาจากไหน?
จังหวะในดนตรีก่อนระบบเสียงประสาน ไม่ใช่เพียงกรอบของเวลา แต่เป็นภาษาของร่างกายที่สื่อสารอารมณ์อย่างลึกซึ้ง มันไม่ต้องการเครื่องดนตรีมากมาย ไม่ต้องการโน้ต ไม่ต้องการทฤษฎี หากแต่ต้องการ “การฟังจากข้างใน” — ฟังหัวใจของตัวเอง ฟังร่างกาย ฟังผู้คนรอบตัว
จังหวะที่คุณเล่น มันเต้นตามโน้ต...หรือมันเต้นตามหัวใจของคุณ?
อ้างอิง
๐ 𝗕𝗹𝗮𝗰𝗸𝗶𝗻𝗴, 𝗝. (𝟭𝟵𝟳𝟯). 𝗛𝗼𝘄 𝗠𝘂𝘀𝗶𝗰𝗮𝗹 𝗶𝘀 𝗠𝗮𝗻? 𝗨𝗻𝗶𝘃𝗲𝗿𝘀𝗶𝘁𝘆 𝗼𝗳 𝗪𝗮𝘀𝗵𝗶𝗻𝗴𝘁𝗼𝗻 𝗣𝗿𝗲𝘀𝘀.
๐ 𝗝𝗼𝘂𝘀𝘀𝗲, 𝗠. (𝟮𝟬𝟬𝟬). 𝗧𝗵𝗲 𝗔𝗻𝘁𝗵𝗿𝗼𝗽𝗼𝗹𝗼𝗴𝘆 𝗼𝗳 𝗚𝗲𝘀𝘁𝗲 𝗮𝗻𝗱 𝗥𝗵𝘆𝘁𝗵𝗺. (𝗘. 𝗦𝗶𝗲𝗻𝗮𝗲𝗿𝘁 & 𝗥. 𝗖𝗼𝗻𝗼𝗹𝗹𝘆, 𝗘𝗱𝘀.). 𝗗𝘂𝗿𝗯𝗮𝗻: 𝗨𝗻𝗶𝘃𝗲𝗿𝘀𝗶𝘁𝘆 𝗼𝗳 𝗡𝗮𝘁𝗮𝗹 𝗢𝗿𝗮𝗹 𝗦𝘁𝘂𝗱𝗶𝗲𝘀.
๐ 𝗣𝗮𝘁𝗲𝗹, 𝗔. 𝗗. (𝟮𝟬𝟬𝟴). 𝗠𝘂𝘀𝗶𝗰, 𝗟𝗮𝗻𝗴𝘂𝗮𝗴𝗲, 𝗮𝗻𝗱 𝘁𝗵𝗲 𝗕𝗿𝗮𝗶𝗻. 𝗡𝗲𝘄 𝗬𝗼𝗿𝗸: 𝗢𝘅𝗳𝗼𝗿𝗱 𝗨𝗻𝗶𝘃𝗲𝗿𝘀𝗶𝘁𝘆 𝗣𝗿𝗲𝘀𝘀.
𝟰. 𝗧𝗶𝗺𝗯𝗿𝗲 และ 𝗧𝗲𝘅𝘁𝘂𝗿𝗲 คือ “#โทนเสียง” ที่บอกอารมณ์ก่อนมี 𝗛𝗮𝗿𝗺𝗼𝗻𝘆 ♬
“การรู้สึกถึงเสียงผ่านเนื้อสัมผัส ก่อนระบบเสียงประสานจะถือกำเนิด”
ในประวัติศาสตร์ของดนตรี การแสดงออกทางอารมณ์ผ่านเสียงไม่ได้พึ่งพาโครงสร้างทางทฤษฎีอย่าง 𝗵𝗮𝗿𝗺𝗼𝗻𝘆 หรือ 𝘀𝗰𝗮𝗹𝗲 เสมอไป ก่อนที่มนุษย์จะสามารถจัดระเบียบความสัมพันธ์ของโน้ตในระบบเสียงประสาน การรับรู้เสียงในเชิง “คุณสมบัติ” เช่น ความแหลม ความทุ้ม ความสาก หรือความลื่นไหล กลับเป็นเครื่องมือหลักในการแสดงความรู้สึก
ในทางเทคนิค 𝗧𝗶𝗺𝗯𝗿𝗲 หมายถึง “ลักษณะเฉพาะของเสียง” ที่ทำให้เสียง 𝗔 แตกต่างจากเสียง 𝗕 แม้ว่าทั้งสองจะมี 𝗽𝗶𝘁𝗰𝗵 และ 𝗹𝗼𝘂𝗱𝗻𝗲𝘀𝘀 เท่ากัน ส่วน 𝗧𝗲𝘅𝘁𝘂𝗿𝗲 ในทางดนตรีหมายถึงลักษณะของ “พื้นผิวทางเสียง” เช่น ความหนาแน่น การซ้อนเสียง ความกลมกลืนหรือขัดแย้งระหว่างเสียงต่างๆ ซึ่งแม้จะเป็นองค์ประกอบที่ไม่สามารถระบุเป็นค่าทางตัวเลขหรือโน้ตได้ชัดเจน แต่ก็สามารถรับรู้ได้ด้วยการฟังและสัมผัส
การใช้ 𝘁𝗶𝗺𝗯𝗿𝗲 และ 𝘁𝗲𝘅𝘁𝘂𝗿𝗲 จึงไม่ใช่เพียง “ลักษณะของเสียง” เท่านั้น แต่เป็น เครื่องมือทางอารมณ์ ที่ลึกและเก่าแก่กว่าแนวคิดเรื่องเสียงประสานอย่างมาก
เสียงก่อนระบบ: ดนตรีในฐานะการฟังความแตกต่างของเนื้อเสียง
ในวัฒนธรรมดนตรีของชนเผ่าในแอมะซอน เอเชียกลาง หรือทิเบต การเปล่งเสียงเพื่อใช้ในการทำสมาธิ พิธีกรรม หรือการสื่อสารกับ “โลกอื่น” ไม่ได้ตั้งอยู่บนระบบ 𝗽𝗶𝘁𝗰𝗵 แบบตะวันตก แต่มุ่งเน้นไปที่เสียงที่ สั่น, คราง, ซ้อนกันอย่างจงใจ, หรือแม้แต่ เสียงที่แทรก 𝗻𝗼𝗶𝘀𝗲 อย่างชัดเจน เสียงเหล่านี้มีเป้าหมายเพื่อปลุกเร้าสภาวะภายใน หรือสร้าง “พื้นที่รับรู้ร่วม” ให้กับผู้ร่วมพิธีกรรม
ตัวอย่างเช่น:
เสียง 𝘁𝗵𝗿𝗼𝗮𝘁 𝘀𝗶𝗻𝗴𝗶𝗻𝗴 ของชนเผ่าทูวา ที่ใช้การแยก 𝗵𝗮𝗿𝗺𝗼𝗻𝗶𝗰 หลายชั้นในเสียงเดียว
เสียงอู้ครางของเครื่องดนตรี 𝗱𝗶𝗱𝗴𝗲𝗿𝗶𝗱𝗼𝗼 ของชาวอะบอริจิน
เสียงสวดมนต์แบบ 𝗼𝘃𝗲𝗿𝘁𝗼𝗻𝗲 ของชาวทิเบต ซึ่งไม่มี 𝗽𝗶𝘁𝗰𝗵 หลักที่แน่นอน
เสียงเหล่านี้ไม่สามารถระบุได้ว่าอยู่ในสเกลใด และไม่ได้มี “คอร์ด” ตามความเข้าใจแบบตะวันตก แต่มีพลังทางอารมณ์อย่างลึกซึ้งจากคุณสมบัติเฉพาะของ 𝘁𝗶𝗺𝗯𝗿𝗲 และ 𝘁𝗲𝘅𝘁𝘂𝗿𝗲
𝗧𝗶𝗺𝗯𝗿𝗲 คือการฟัง “คุณภาพของการสั่น” ไม่ใช่แค่ “ตำแหน่งของเสียง”
ในงานวิจัยด้าน 𝗽𝘀𝘆𝗰𝗵𝗼𝗮𝗰𝗼𝘂𝘀𝘁𝗶𝗰𝘀 มีการศึกษาว่ามนุษย์สามารถแยกแยะเสียงร้องของผู้คนได้แม้จะอยู่ใน 𝗽𝗶𝘁𝗰𝗵 เดียวกัน ด้วยการฟังความต่างของ 𝘁𝗶𝗺𝗯𝗿𝗲 ซึ่งมาจากองค์ประกอบหลายอย่าง เช่น 𝗼𝘃𝗲𝗿𝘁𝗼𝗻𝗲 𝘀𝘁𝗿𝘂𝗰𝘁𝘂𝗿𝗲, 𝗮𝘁𝘁𝗮𝗰𝗸, 𝗳𝗼𝗿𝗺𝗮𝗻𝘁 𝗳𝗿𝗲𝗾𝘂𝗲𝗻𝗰𝘆, และ 𝗻𝗼𝗶𝘀𝗲 𝗰𝗼𝗻𝘁𝗲𝗻𝘁
สิ่งนี้ชี้ให้เห็นว่า “การฟังอารมณ์” อาจเกิดขึ้นผ่านการรับรู้คุณภาพของเสียง มากกว่าการตีความตามระดับ 𝗽𝗶𝘁𝗰𝗵
𝗧𝗶𝗺𝗯𝗿𝗲 จึงอาจเปรียบได้กับ “สี” ของเสียง — ในขณะที่ 𝗽𝗶𝘁𝗰𝗵 คือ “ความสูง” 𝗧𝗶𝗺𝗯𝗿𝗲 บอกว่าเสียงนั้น “รู้สึกอย่างไร” เหมือนกับที่สีแดงอาจรู้สึกอบอุ่น หรือสีเทาอาจรู้สึกเหงา โดยไม่ต้องอธิบายด้วยระบบโครงสร้าง
𝗧𝗲𝘅𝘁𝘂𝗿𝗲 คือ “พื้นผิวของเสียง” ที่ซ้อนทับกันในเวลาเดียว
ในวัฒนธรรมดนตรีดั้งเดิมหลายแห่ง ไม่มีการแยกเสียงออกเป็น 𝗺𝗲𝗹𝗼𝗱𝘆 กับ 𝗮𝗰𝗰𝗼𝗺𝗽𝗮𝗻𝗶𝗺𝗲𝗻𝘁 แต่มีการเปล่งเสียงหลายชั้นพร้อมกัน (𝗵𝗲𝘁𝗲𝗿𝗼𝗽𝗵𝗼𝗻𝘆) หรือการทับซ้อนของเสียงที่ไม่พยายามให้กลมกลืน (𝗱𝗶𝘀𝘀𝗼𝗻𝗮𝗻𝗰𝗲) สิ่งเหล่านี้เป็นการออกแบบ “พื้นผิวทางอารมณ์” โดยตรง เช่น:
ความหนาแน่นของเสียงตีกลองในพิธีกรรม
เสียงร้องของกลุ่มที่ต่างคนต่างร้องไม่ตรงกัน
การซ้อนเสียงกรีดร้องในพิธีชำระล้างทางจิตวิญญาณ
𝗧𝗲𝘅𝘁𝘂𝗿𝗲 เหล่านี้ไม่สามารถวิเคราะห์ด้วย 𝗵𝗮𝗿𝗺𝗼𝗻𝘆 ได้ แต่มีพลังทางความรู้สึกซึ่งอาจเข้าถึงได้เร็วกว่าการฟังคอร์ดหรือทำนอง
คำถาม :
๐ เมื่อคุณฟังเสียงดนตรี คุณให้ความสำคัญกับ “ลักษณะของเสียง” (เช่น แห้ง อบอุ่น คม ขุ่น) มากน้อยเพียงใด? แล้วมันส่งผลต่ออารมณ์ของคุณอย่างไร?
๐ คุณเคยตั้งใจฟังเสียงของกลองที่คุณตีแต่ละใบ แล้วเปรียบเทียบกันในแง่ของ “คุณภาพของการสั่น” หรือไม่? หรือคุณตีเพื่อให้เสียงเพียง “ดัง”?
๐ ถ้าไม่มี 𝗽𝗶𝘁𝗰𝗵 ไม่มี 𝘀𝗰𝗮𝗹𝗲 และไม่มี 𝗵𝗮𝗿𝗺𝗼𝗻𝘆 — แต่มีเพียงเนื้อเสียงและพื้นผิวของเสียง คุณจะสามารถสร้างอารมณ์ที่ชัดเจนให้กับผู้ฟังได้หรือไม่?
๐ คุณคิดว่า 𝘁𝗶𝗺𝗯𝗿𝗲 และ 𝘁𝗲𝘅𝘁𝘂𝗿𝗲 ของเสียงในวง 𝗽𝗲𝗿𝗰𝘂𝘀𝘀𝗶𝗼𝗻 มี “ภาษาทางอารมณ์” ของมันเองที่ลึกกว่าระบบสเกลหรือไม่?
ในโลกที่ยังไม่มีการจัดเสียงเป็นคอร์ด หรือไม่มีระบบ 𝗽𝗶𝘁𝗰𝗵 ที่ตายตัว มนุษย์ยังคงสามารถสร้าง เสพ และสื่อสารความรู้สึกได้อย่างซับซ้อนผ่านคุณภาพของเสียงนั้นเอง 𝗧𝗶𝗺𝗯𝗿𝗲 และ 𝗧𝗲𝘅𝘁𝘂𝗿𝗲 จึงไม่ได้เป็นแค่รายละเอียดทางเทคนิคของเสียงดนตรี แต่เป็น ฐานรากของภาษาทางอารมณ์ในโลกก่อนทฤษฎี
เมื่อไม่มีโน้ต ไม่มีสเกล ไม่มีคอร์ด — “อะไร” ในเสียงนั้น...ที่ทำให้คุณรู้สึก?
𝟱. การใช้ 𝗦𝗶𝗹𝗲𝗻𝗰𝗲 และ 𝗦𝗽𝗮𝗰𝗲 ในการสร้าง “#ความรู้สึก” ♬
“ความเงียบในฐานะองค์ประกอบของเสียง ไม่ใช่ช่องว่างของมัน”
ในวัฒนธรรมดนตรีตะวันตกสมัยใหม่ ความเงียบมักถูกมองว่าเป็น "สิ่งที่ไม่ใช่เสียง" — ช่วงเวลาที่ไม่มีโน้ต ไม่มีคลื่น ไม่มีการเคลื่อนไหว เป็นพื้นที่ว่างเปล่าระหว่างการเล่น แต่ในบริบทของดนตรีก่อนระบบทฤษฎี และในหลายวัฒนธรรมโบราณทั่วโลก ความเงียบไม่ใช่ "ความไม่มี" แต่เป็น “องค์ประกอบของการสื่อสาร” ที่มีสถานะไม่ต่างจากเสียง
ในพิธีกรรม 𝗴𝗮𝗴𝗮𝗸𝘂 ของญี่ปุ่นสมัยโบราณ ความเงียบไม่ได้เป็นเพียงการเว้นช่วงของทำนอง หากแต่เป็นส่วนหนึ่งของ “เวลาแบบสุนทรียะ” ที่ทำให้เสียงก้องอยู่ในใจผู้ฟังต่อไปแม้เมื่อเสียงจริงหยุดลงแล้ว ในดนตรีดั้งเดิมของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เช่น การใช้ฆ้องและระนาดในพิธีศพหรือพิธีทางศาสนา การหยุดเสียงอย่างเฉียบพลันมักใช้เพื่อ “เปิดพื้นที่” ให้กับการฟังแบบในใจ (𝗶𝗻𝗻𝗲𝗿 𝗹𝗶𝘀𝘁𝗲𝗻𝗶𝗻𝗴) และทำให้ผู้ร่วมพิธีได้สัมผัสกับอารมณ์แบบ “แทรกซึม” ไม่ใช่แบบ “กระตุ้น”
ความเงียบไม่ใช่ “ระยะพัก” แต่คือ “พลังของเสียงที่ยังไม่เกิด”
ในทางมานุษยวิทยา เสียงดนตรีไม่ใช่เพียงเสียงที่เปล่งออกมา แต่รวมถึง “ความคาดหวังของเสียง” และ “ความทรงจำของเสียงก่อนหน้า” ซึ่งทั้งหมดนี้ไม่จำเป็นต้องปรากฏทางกายภาพ 𝗠𝗮𝗿𝗰𝗲𝗹 𝗠𝗮𝘂𝘀𝘀 เสนอในแนวคิด 𝗴𝗶𝗳𝘁 𝗲𝗰𝗼𝗻𝗼𝗺𝘆 ว่าการให้สิ่งใดแล้วเว้นช่วง มีผลสะท้อนมากกว่าการให้ต่อเนื่อง เช่นเดียวกับการ “ให้เสียง” แล้ว “หยุดให้” ชั่วขณะ กลับทำให้เสียงก่อนหน้าทรงพลังมากขึ้นกว่าการต่อเนื่องตลอดเวลา
ในดนตรีแจ๊ส อิมโพรไวส์ หรือแม้แต่ในบทเพลงบรรเลงของยุโรปยุคคลาสสิก การเว้นจังหวะอย่างมีนัยยะ (𝗶𝗻𝘁𝗲𝗻𝘁𝗶𝗼𝗻𝗮𝗹 𝗽𝗮𝘂𝘀𝗲) ไม่ได้เป็นเพียงการรอหายใจ แต่เป็นกลไกการขยายพลังของเสียงก่อนหน้า ซึ่งบางครั้งสามารถบรรทุกความหมายทางอารมณ์ได้มากกว่าโน้ตหลายสิบตัว
𝗦𝗶𝗹𝗲𝗻𝗰𝗲 เป็น “ช่องไฟของการรับรู้” ที่เปิดพื้นที่ให้เสียงได้ทำงานในจิตใจ
ความเงียบเป็นตัวเปิดพื้นที่ของการ 𝗿𝗲𝘀𝗼𝗻𝗮𝗻𝗰𝗲 ทางจิตใจ ไม่ใช่การหยุดเสียงทางกายภาพเพียงอย่างเดียว งานศึกษาด้านประสาทวิทยา เช่นของ 𝗭𝗮𝘁𝗼𝗿𝗿𝗲 & 𝗦𝗮𝗹𝗶𝗺𝗽𝗼𝗼𝗿 (𝟮𝟬𝟭𝟯) แสดงให้เห็นว่า เมื่อเสียงหยุดลงทันทีหลังจากเสียงที่มีอารมณ์สูง (เช่นเสียงที่ลากยาวในคีย์ไมเนอร์ หรือเสียงที่มีความตึงทางจังหวะ) สมองส่วนที่เกี่ยวข้องกับความคาดหวังและอารมณ์จะยังคงทำงานอยู่ต่อ แม้จะไม่มีสิ่งกระตุ้นภายนอกแล้วก็ตาม
นี่แปลว่า “ความเงียบ” ไม่ได้หมายถึงไม่มีอะไรเกิดขึ้นในผู้ฟัง — แต่หมายถึง “สิ่งที่กำลังเกิดขึ้นในจิตใจของผู้ฟังอย่างลึกซึ้งที่สุด”
𝗦𝗽𝗮𝗰𝗲: พื้นที่เสียงที่ยังไม่ได้ถูกเติมเต็ม
ในดนตรีอิเล็กโทรอะคูสติก ดนตรีพื้นบ้าน หรือแม้แต่การแสดงเดี่ยว 𝗽𝗲𝗿𝗰𝘂𝘀𝘀𝗶𝗼𝗻 หลายประเภท “𝘀𝗽𝗮𝗰𝗲” หรือ “พื้นที่ทางเสียง” คือพื้นที่ที่เสียงก่อนหน้าทิ้งไว้เพื่อให้เกิด 𝗿𝗲𝘀𝗼𝗻𝗮𝗻𝗰𝗲 ทางกายภาพและทางอารมณ์ บางครั้งเครื่องดนตรี 𝗽𝗲𝗿𝗰𝘂𝘀𝘀𝗶𝗼𝗻 อย่างเช่นฆ้องใบใหญ่ หรือระนาด จะถูกตีเพียงครั้งเดียว แล้วเว้นว่างเป็นสิบวินาที เพื่อให้ผู้ฟังไม่แค่ฟังเสียง...แต่ “ฟังความไม่ใช่เสียง” ด้วย
การฟังที่ให้พื้นที่นี้ คือการฟังแบบ "เปิดรับ" (𝗿𝗲𝗰𝗲𝗽𝘁𝗶𝘃𝗲 𝗹𝗶𝘀𝘁𝗲𝗻𝗶𝗻𝗴) มากกว่าการฟังแบบ "ติดตาม" (𝘁𝗿𝗮𝗰𝗸𝗶𝗻𝗴) ซึ่งใช้มากในดนตรีแบบทฤษฎีตะวันตก
คำถาม :
๐ คุณเคยรู้สึกหรือไม่ว่า เสียงที่ทรงพลังที่สุดที่คุณเคยได้ยิน อาจจะตามมาด้วย “ความเงียบ” ที่ทำให้เสียงนั้นฝังอยู่ในใจ?
๐ ถ้าคุณต้องเว้นช่วงเงียบหลังจากการตีเสียงเพียงครั้งเดียว — คุณจะทำอย่างไรให้ช่วงนั้น “เต็มไปด้วยความหมาย” โดยไม่ต้องมีเสียงใดๆ?
๐ ในฐานะมือ 𝗽𝗲𝗿𝗰𝘂𝘀𝘀𝗶𝗼𝗻 คุณจัดการกับ “เวลาเงียบ” อย่างไร? คุณใช้มันเพื่อพักมือ หรือคุณใช้มันเพื่อฟังสิ่งที่ยังไม่ถูกเล่น?
ในโลกของดนตรีที่เร่งรีบ เต็มไปด้วยจังหวะและเสียงที่ซ้อนกัน ความเงียบอาจกลายเป็นสิ่งที่เราลืมฟัง ทั้งที่มันคือหนึ่งในเครื่องมือการสื่อสารทางอารมณ์ที่เก่าแก่ที่สุด
ความเงียบไม่ใช่จุดสิ้นสุดของเสียง — แต่มันคือเสียงที่ไม่จำเป็นต้องพูดออกมา
อ้างอิง
๐ 𝗠𝗮𝘂𝘀𝘀, 𝗠. (𝟭𝟵𝟵𝟬). 𝗧𝗵𝗲 𝗚𝗶𝗳𝘁: 𝗧𝗵𝗲 𝗙𝗼𝗿𝗺 𝗮𝗻𝗱 𝗥𝗲𝗮𝘀𝗼𝗻 𝗳𝗼𝗿 𝗘𝘅𝗰𝗵𝗮𝗻𝗴𝗲 𝗶𝗻 𝗔𝗿𝗰𝗵𝗮𝗶𝗰 𝗦𝗼𝗰𝗶𝗲𝘁𝗶𝗲𝘀 (𝗪. 𝗗. 𝗛𝗮𝗹𝗹𝘀, 𝗧𝗿𝗮𝗻𝘀.). 𝗟𝗼𝗻𝗱𝗼𝗻: 𝗥𝗼𝘂𝘁𝗹𝗲𝗱𝗴𝗲. (𝗢𝗿𝗶𝗴𝗶𝗻𝗮𝗹 𝘄𝗼𝗿𝗸 𝗽𝘂𝗯𝗹𝗶𝘀𝗵𝗲𝗱 𝟭𝟵𝟮𝟱)
๐ 𝗦𝗮𝗹𝗶𝗺𝗽𝗼𝗼𝗿, 𝗩. 𝗡., 𝗕𝗲𝗻𝗼𝘃𝗼𝘆, 𝗠., 𝗟𝗮𝗿𝗰𝗵𝗲𝗿, 𝗞., 𝗗𝗮𝗴𝗵𝗲𝗿, 𝗔., & 𝗭𝗮𝘁𝗼𝗿𝗿𝗲, 𝗥. 𝗝. (𝟮𝟬𝟭𝟭). 𝗔𝗻𝗮𝘁𝗼𝗺𝗶𝗰𝗮𝗹𝗹𝘆 𝗱𝗶𝘀𝘁𝗶𝗻𝗰𝘁 𝗱𝗼𝗽𝗮𝗺𝗶𝗻𝗲 𝗿𝗲𝗹𝗲𝗮𝘀𝗲 𝗱𝘂𝗿𝗶𝗻𝗴 𝗮𝗻𝘁𝗶𝗰𝗶𝗽𝗮𝘁𝗶𝗼𝗻 𝗮𝗻𝗱 𝗲𝘅𝗽𝗲𝗿𝗶𝗲𝗻𝗰𝗲 𝗼𝗳 𝗽𝗲𝗮𝗸 𝗲𝗺𝗼𝘁𝗶𝗼𝗻 𝘁𝗼 𝗺𝘂𝘀𝗶𝗰. 𝗡𝗮𝘁𝘂𝗿𝗲 𝗡𝗲𝘂𝗿𝗼𝘀𝗰𝗶𝗲𝗻𝗰𝗲, 𝟭𝟰(𝟮), 𝟮𝟱𝟳–𝟮𝟲𝟮.
“ดนตรีในฐานะภาษากาย ก่อนภาษาทฤษฎี”
ก่อนมนุษย์จะสามารถจดบันทึกเสียงด้วยระบบโน้ต ก่อนที่จะมีคำอธิบายเชิงทฤษฎีเรื่อง 𝗿𝗵𝘆𝘁𝗵𝗺 หรือ 𝘁𝗼𝗻𝗲 ก่อนที่คำว่า “สเกล” จะปรากฏ — เสียงดนตรีจำนวนมากถูกสร้างขึ้นจากการ เคลื่อนไหว มากกว่าการ “คิด” ด้วยระบบ ดนตรีในหลายวัฒนธรรมเริ่มต้นจากร่างกาย ไม่ใช่จากสมอง กล่าวคือ เสียงเกิดจากเจตนาภายในที่แสดงออกผ่านการเคลื่อนไหวที่มีความหมาย
ในงานวิจัยของ 𝗗𝗮𝘃𝗶𝗱 𝗠𝗰𝗡𝗲𝗶𝗹𝗹 (𝟭𝟵𝟵𝟮) เกี่ยวกับ 𝗴𝗲𝘀𝘁𝘂𝗿𝗲 และการรู้คิด พบว่าการเคลื่อนไหวของร่างกายมีความเชื่อมโยงโดยตรงกับความคิดเชิงนามธรรม โดยเฉพาะการสื่อความหมายที่ซับซ้อนโดยไม่ต้องใช้คำพูด เช่นเดียวกับที่วงดนตรีสามารถสื่อสารกันผ่าน “การสบตา การพยักหน้า หรือการยกไม้ขึ้น” ได้โดยไม่ต้องออกเสียง
การเคลื่อนไหวไม่ใช่เพียง “วิธีตี” แต่คือ “ภาษาแห่งเจตนา”
มนุษย์ในยุคก่อนประวัติศาสตร์ หรือแม้แต่ในสังคมไร้ภาษาเขียนในปัจจุบัน ใช้การเคลื่อนไหวเพื่อสื่อสารเสียงโดยตรง การฟ้อนรำ การเดินเป็นจังหวะ การเคาะบนพื้น การกระทบมือ การโยกตัว สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็น 𝗴𝗲𝘀𝘁𝘂𝗿𝗲 ที่บรรทุกเจตนาอย่างเต็มเปี่ยมโดยไม่จำเป็นต้องมี 𝗽𝗶𝘁𝗰𝗵 หรือตัวโน้ตใดๆ มารองรับ
เสียงที่เกิดจากการตี เช่น การตีกลอง ไม่ได้สะท้อนแค่แรงมือ แต่สะท้อนท่าทาง น้ำหนัก ความมั่นใจ หรือความลังเล เสียงที่ต่างกันอาจเกิดจากท่าทางที่ต่างกันโดยไม่จำเป็นต้องเปลี่ยนเครื่องดนตรีหรือวิธีตี นี่คือสิ่งที่ 𝗠𝗮𝗿𝗰𝗲𝗹 𝗝𝗼𝘂𝘀𝘀𝗲 เรียกว่า 𝗿𝗵𝘆𝘁𝗵𝗺𝗼-𝗺𝗶𝗺𝗲𝘁𝗶𝗰 𝗲𝘅𝗽𝗿𝗲𝘀𝘀𝗶𝗼𝗻 — คือการสื่อความรู้สึกผ่านการเคลื่อนไหวที่มีจังหวะ
ดนตรีไม่ใช่การ “คิดเป็นระบบ” แต่คือการ “เคลื่อนไหวด้วยความรู้สึก”
งานของนักชาติพันธุ์ดนตรีเช่น 𝗝𝘂𝗱𝗶𝘁𝗵 𝗕𝗲𝗰𝗸𝗲𝗿 ชี้ให้เห็นว่าในหลายวัฒนธรรมเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ดนตรีและการเต้นรำไม่ได้ถูกแยกจากกัน ผู้เล่นเครื่องดนตรีมักใช้การเคลื่อนไหวของร่างกายเป็นส่วนหนึ่งของการสร้างเสียง และ “ความสวยงามของท่าทาง” ถูกพิจารณาเป็นองค์ประกอบของดนตรีเช่นเดียวกับเสียง
ยิ่งไปกว่านั้น ในการแสดงดนตรีแบบ 𝗿𝗶𝘁𝘂𝗮𝗹𝗶𝘀𝘁𝗶𝗰 (เช่น ในบาหลี อินเดีย แอฟริกา) ท่าทางคือภาษาที่ใช้ “เปิดช่อง” ให้เสียงสามารถเคลื่อนไหวผ่านพื้นที่และจิตใจของผู้ฟังได้อย่างลึกซึ้งยิ่งขึ้น
การฝึกดนตรีที่มุ่งเพียงแม่นโน้ตหรือความเร็ว จึงอาจละเลยมิติที่สำคัญของการแสดงออกทาง 𝗴𝗲𝘀𝘁𝘂𝗿𝗲 ซึ่งเป็นภาษาธรรมชาติของร่างกายในการสื่อสารเสียง
𝗚𝗲𝘀𝘁𝘂𝗿𝗲 ในฐานะพื้นฐานของ 𝗴𝗿𝗼𝗼𝘃𝗲, 𝗽𝗵𝗿𝗮𝘀𝗶𝗻𝗴 และ 𝘁𝗼𝗻𝗲
ในโลกของ 𝗽𝗲𝗿𝗰𝘂𝘀𝘀𝗶𝗼𝗻 การเคลื่อนไหวของข้อมือ ข้อศอก ไหล่ ลำตัว ไม่ได้ส่งผลแค่ต่อความแม่นยำ แต่ส่งผลต่อคุณภาพของเสียงโดยตรง ตัวอย่างเช่น:
การตีด้วยแรงจากข้อมือโดยไม่ผ่อนคลายกล้ามเนื้ออาจทำให้เสียงแข็งและแบน
การใช้แรงเหวี่ยงจากข้อศอกและไหล่ที่สัมพันธ์กับ 𝗿𝗵𝘆𝘁𝗵𝗺 ภายในอาจทำให้เกิดเสียงที่ “กลม” และมี 𝘁𝗼𝗻𝗲 ชัดเจน
การเปลี่ยนองศาของการฟาดไม้เพียงเล็กน้อยอาจทำให้เสียงมีความ “ลึก” หรือ “ตื้น” แตกต่างกันโดยไม่ต้องปรับเครื่องมือ
นี่คือการที่ 𝗴𝗲𝘀𝘁𝘂𝗿𝗲 กลายเป็น “การหล่อรูปเสียง” โดยตรง — ไม่ใช่แค่เป็น “ท่าทางประกอบการตี”
คำถาม:
๐ ในขณะที่คุณกำลังตีกลอง คุณเคยรู้สึกไหมว่า “ท่าทาง” ของคุณมีเจตนาร่วมกับเสียงที่คุณต้องการสร้างหรือไม่?
๐ คุณเคยฝึกเสียงให้ดีขึ้นโดยไม่เปลี่ยนไม้กลอง ไม่เปลี่ยนหนังกลอง...แต่เปลี่ยนเพียง “ท่าทางของการตี” หรือไม่?
๐ เมื่อคุณดูมือกลองที่คุณชื่นชม คุณสังเกตที่เสียงอย่างเดียว หรือคุณสังเกตที่ 𝗴𝗲𝘀𝘁𝘂𝗿𝗲 ของเขาด้วย?
๐ หากมีใครเอาโน้ตเดียวกันไปตี แต่ใช้ท่าทางต่างกัน...เสียงนั้นยังมีความหมายทางอารมณ์เหมือนเดิมหรือไม่?
ก่อนจะมีทฤษฎี ก่อนจะมีคำอธิบาย ก่อนจะมีระบบ 𝘀𝗰𝗮𝗹𝗲 หรือ 𝗵𝗮𝗿𝗺𝗼𝗻𝘆 — มนุษย์ใช้ร่างกายสื่อสารเสียงโดยตรง การเคลื่อนไหวจึงไม่ใช่สิ่งที่ “มาทีหลัง” แต่เป็นต้นทางของภาษาดนตรีในฐานะภาษาแห่งเจตนา
เสียงของคุณบอกอะไร...ในเมื่อท่าทางของคุณบอกทุกอย่างไปก่อนแล้ว?
อ้างอิง
๐ 𝗠𝗰𝗡𝗲𝗶𝗹𝗹, 𝗗. (𝟭𝟵𝟵𝟮). 𝗛𝗮𝗻𝗱 𝗮𝗻𝗱 𝗠𝗶𝗻𝗱: 𝗪𝗵𝗮𝘁 𝗚𝗲𝘀𝘁𝘂𝗿𝗲𝘀 𝗥𝗲𝘃𝗲𝗮𝗹 𝗮𝗯𝗼𝘂𝘁 𝗧𝗵𝗼𝘂𝗴𝗵𝘁. 𝗖𝗵𝗶𝗰𝗮𝗴𝗼: 𝗨𝗻𝗶𝘃𝗲𝗿𝘀𝗶𝘁𝘆 𝗼𝗳 𝗖𝗵𝗶𝗰𝗮𝗴𝗼 𝗣𝗿𝗲𝘀𝘀.
๐ 𝗝𝗼𝘂𝘀𝘀𝗲, 𝗠. (𝟭𝟵𝟵𝟯). 𝗥𝗵𝘆𝘁𝗵𝗺𝗼-𝗺𝗶𝗺𝗲𝘁𝗶𝗰 𝗘𝘅𝗽𝗿𝗲𝘀𝘀𝗶𝗼𝗻 𝗮𝗻𝗱 𝘁𝗵𝗲 𝗢𝗿𝗶𝗴𝗶𝗻𝘀 𝗼𝗳 𝗟𝗮𝗻𝗴𝘂𝗮𝗴𝗲. 𝗜𝗻: 𝗥. 𝗗𝗮𝘃𝗶𝘀-𝗙𝗹𝗼𝘆𝗱 & 𝗖. 𝗙𝗮𝗱𝗲𝗿𝗺𝗮𝗻 (𝗘𝗱𝘀.), 𝗔𝗻𝘁𝗵𝗿𝗼𝗽𝗼𝗹𝗼𝗴𝘆 𝗮𝗻𝗱 𝘁𝗵𝗲 𝗛𝘂𝗺𝗮𝗻 𝗘𝘅𝗽𝗲𝗿𝗶𝗲𝗻𝗰𝗲 (𝗽𝗽. 𝟰𝟱–𝟱𝟵).
๐ 𝗕𝗲𝗰𝗸𝗲𝗿, 𝗝. (𝟭𝟵𝟴𝟲). 𝗧𝗿𝗮𝗱𝗶𝘁𝗶𝗼𝗻𝗮𝗹 𝗠𝘂𝘀𝗶𝗰 𝗶𝗻 𝗠𝗼𝗱𝗲𝗿𝗻 𝗝𝗮𝘃𝗮: 𝗚𝗮𝗺𝗲𝗹𝗮𝗻 𝗶𝗻 𝗮 𝗖𝗵𝗮𝗻𝗴𝗶𝗻𝗴 𝗦𝗼𝗰𝗶𝗲𝘁𝘆. 𝗨𝗻𝗶𝘃𝗲𝗿𝘀𝗶𝘁𝘆 𝗼𝗳 𝗛𝗮𝘄𝗮𝗶𝗶 𝗣𝗿𝗲𝘀𝘀.
๐ 𝗕𝗲𝗰𝗸𝗲𝗿, 𝗝. (𝟮𝟬𝟬𝟰). 𝗗𝗲𝗲𝗽 𝗟𝗶𝘀𝘁𝗲𝗻𝗲𝗿𝘀: 𝗠𝘂𝘀𝗶𝗰, 𝗘𝗺𝗼𝘁𝗶𝗼𝗻, 𝗮𝗻𝗱 𝗧𝗿𝗮𝗻𝗰𝗶𝗻𝗴. 𝗜𝗻𝗱𝗶𝗮𝗻𝗮 𝗨𝗻𝗶𝘃𝗲𝗿𝘀𝗶𝘁𝘆 𝗣𝗿𝗲𝘀𝘀.
𝟳. ก่อนจะเรียกมันว่า “#สเกล” มนุษย์ใช้ “#จุดหมายของเสียง” นำทาง ♬
“เสียงที่ไม่ได้มีระบบ…แต่มีทิศทาง”
แนวคิดนี้สะท้อนอยู่ในหลักฐานของการร้องเพลงพื้นบ้านในหลายวัฒนธรรม ทั้งในแอฟริกา เอเชีย และโอเชียเนีย ที่แม้ไม่มีคำอธิบายเชิงทฤษฎี หรือเครื่องมือกำหนด 𝗽𝗶𝘁𝗰𝗵 ที่แน่นอน แต่ผู้ร้องสามารถควบคุมระดับเสียงให้ไหลขึ้นลงอย่างเป็นธรรมชาติ และสร้างผลทางอารมณ์ที่เฉียบคม สิ่งนี้คือสิ่งที่นักชาติพันธุ์ดนตรีบางกลุ่มเรียกว่า “𝗺𝗲𝗹𝗼𝗱𝗶𝗰 𝘁𝗿𝗮𝗷𝗲𝗰𝘁𝗼𝗿𝘆” หรือ เส้นทางของเสียงในมิติอารมณ์และความตั้งใจ ซึ่งแตกต่างอย่างมีนัยยะจาก “𝘀𝗰𝗮𝗹𝗲” ที่เน้นความสัมพันธ์เชิงคณิตศาสตร์ของโน้ต
จุดหมายของเสียง: เสียงที่ถูก “พาไป” ไม่ใช่เสียงที่ถูก “จัดเรียง"
ในหลายกรณี การที่เสียงสูงขึ้นไม่ได้หมายถึงการ “ไล่โน้ต” หากแต่เป็นการเร่งเร้า พาอารมณ์ให้ขึ้นสู่ความตึงเครียด ความหวัง หรือความตื่นเต้น ในทางกลับกัน เสียงที่ลดระดับลงอาจสะท้อนการปล่อยวาง ความอ่อนโยน หรือการคลี่คลาย ความเข้าใจเหล่านี้เกิดขึ้นได้โดยไม่ต้องมีชื่อเรียกของสเกล หรือแม้แต่การแยกแยะระหว่าง 𝗺𝗮𝗷𝗼𝗿 กับ 𝗺𝗶𝗻𝗼𝗿
ในบทสวดของทิเบต เสียงร้องมักไหลจากระดับกลางขึ้นสูงอย่างรุนแรงแล้วลดต่ำลงพร้อมการลากเสียงเพื่อปิดท้ายพิธีกรรม แม้ไม่มีการกำหนดว่าเสียงเหล่านั้นอยู่ใน 𝗸𝗲𝘆 ใด หรืออยู่ใน 𝘀𝗰𝗮𝗹𝗲 ใด แต่ 𝘁𝗿𝗮𝗷𝗲𝗰𝘁𝗼𝗿𝘆 ของเสียงทำหน้าที่สื่อสารสภาวะจิตใจอย่างลึกซึ้งและเป็นรูปธรรมมากกว่า
การไล่เสียงแบบ “รู้ปลายทาง” ต่างจากการเล่นแบบ “ไล่ตามรูปแบบ”
ในระบบการเรียนดนตรีสมัยใหม่ นักเรียนจำนวนมากฝึกไล่สเกลโดยไม่ตระหนักว่า เสียงที่สูงขึ้นหรือต่ำลงควร “ไปที่ไหน” หรือ “ทำไมถึงไปตรงนั้น” การไล่สเกลจึงกลายเป็นการออกเสียงที่ไม่มีจุดหมาย เมื่อปราศจากจุดหมาย เสียงย่อมไม่มีน้ำหนักทางอารมณ์
ในทางตรงข้าม นักดนตรีพื้นบ้าน หรือผู้ขับร้องในวัฒนธรรมดั้งเดิมมักเริ่มต้นเสียงจาก “เจตนา” ไม่ใช่จากตำแหน่งของนิ้วหรือระดับ 𝗽𝗶𝘁𝗰𝗵 พวกเขาไม่ได้ “ไล่เสียง” แต่ “พาเสียงไป” ด้วยความเข้าใจว่าผู้ฟังควรเดินทางไปสู่ความรู้สึกใด
เสียงจึงไม่ใช่แค่ความสูงต่ำ…แต่คือ “การเคลื่อนที่อย่างมีความหมาย”
การขึ้นเสียงหนึ่งหรือการลดเสียงหนึ่งจึงไม่ใช่เพียงการเปลี่ยน 𝗽𝗶𝘁𝗰𝗵 แต่คือการ “เปลี่ยนความรู้สึก” ที่ควบคู่กับการเปลี่ยนทิศทางของเสียง เสียงจึงไม่ใช่จุดตายตัว แต่เป็นการเคลื่อนไหวทางอารมณ์ เช่นเดียวกับที่วาทศิลป์ของคำพูดไม่ได้อยู่ที่คำศัพท์ แต่ที่จังหวะ น้ำเสียง และจุดเน้น
ดังนั้น สิ่งที่มาก่อนคำว่า 𝘀𝗰𝗮𝗹𝗲 คือการเข้าใจว่าเสียงกำลัง “จะพาไปที่ไหน” และสิ่งนี้เกิดจากการฝึกฟัง การร้อง และการสร้าง 𝘁𝗿𝗮𝗷𝗲𝗰𝘁𝗼𝗿𝘆 ของเสียงจากความเข้าใจ ไม่ใช่จากการจดจำ
คำถาม :
๐ ทุกครั้งที่คุณเล่นสเกล คุณเคยถามตัวเองไหมว่า “เสียงเหล่านี้จะไปที่ไหน?” หรือคุณเพียงกำลังเล่นตามลำดับที่เคยจำ?
๐ คุณเคยรู้สึกหรือไม่ว่า เสียงสูงขึ้นอย่างช้าๆ อาจมีผลทางอารมณ์มากกว่าเสียงที่เร็วและซับซ้อน — แล้วคุณเลือกความเร็วเพื่ออะไร?
๐ ในขณะที่คุณฝึกดนตรี คุณกำลังไล่เสียงเพื่อให้ “ครบสเกล” หรือกำลังไล่เสียงเพื่อให้ “ครบความรู้สึก”?
๐ ถ้าคุณไม่ได้ใช้สเกลเลย แต่รู้เพียงว่าเสียงต้องขึ้นและลงเพื่อสะท้อนบางสิ่ง…คุณจะจัดการกับเสียงเหล่านั้นอย่างไร?
ก่อนจะมีคำว่า “𝘀𝗰𝗮𝗹𝗲” มนุษย์มีดนตรี และก่อนจะมีโครงสร้าง มนุษย์มีเจตนา เสียงที่เดินทางอย่างมีเป้าหมายย่อมสร้างผลที่มีน้ำหนักมากกว่าการเล่นเสียงที่ถูกต้องตามตำรา — เพราะดนตรีคือภาษาของการเคลื่อนไหว ไม่ใช่ภาษาของการจัดหมวด
เสียงของคุณ...กำลังไปที่ไหน? หรือมันแค่ถูกเรียงอยู่เฉย ๆ?
“ดนตรีในฐานะกลไกของการรู้สึก ก่อนจะถูกแปลงเป็นระบบเพื่อการจดจำ”
ก่อนที่ระบบเสียงแบบ 𝗱𝗶𝗮𝘁𝗼𝗻𝗶𝗰, 𝗰𝗵𝗿𝗼𝗺𝗮𝘁𝗶𝗰 หรือแม้แต่ 𝗺𝗼𝗱𝗮𝗹 จะถูกบัญญัติขึ้น ก่อนที่จะมีการตั้งชื่อให้กับโน้ตว่า 𝗱𝗼-𝗿𝗲-𝗺𝗶 หรือ 𝗖-𝗗-𝗘 ก่อนจะมี 𝗞𝗲𝘆 𝗦𝗶𝗴𝗻𝗮𝘁𝘂𝗿𝗲 ไดนามิก หรือการประสานเสียงในเชิงโครงสร้าง ดนตรีดำรงอยู่แล้วในฐานะการ “รับรู้” ที่ถูกเปล่งออกมา ไม่ใช่ในฐานะความรู้ที่มีคำศัพท์
มนุษย์ในยุคก่อนประวัติศาสตร์มีความสามารถในการฟัง จำ และเปล่งเสียงที่มีจังหวะ มีโครงสร้าง มีทิศทาง และมีจุดประสงค์ทางอารมณ์ แม้จะไม่มีระบบ 𝗻𝗼𝘁𝗮𝘁𝗶𝗼𝗻 ใดๆ ที่จะจดจำเสียงเหล่านั้นได้อย่างถาวร ความสามารถดังกล่าวเกิดจากกระบวนการของ 𝗽𝗲𝗿𝗰𝗲𝗽𝘁𝗶𝗼𝗻 (การรับรู้ผ่านประสาทสัมผัส), 𝗺𝗶𝗺𝗲𝘁𝗶𝗰 𝗺𝗲𝗺𝗼𝗿𝘆 (การจำผ่านการเลียนแบบ), และ 𝗲𝗺𝗯𝗼𝗱𝗶𝗲𝗱 𝗰𝗼𝗴𝗻𝗶𝘁𝗶𝗼𝗻 (การคิดผ่านร่างกาย) ไม่ใช่การเรียนรู้เชิงทฤษฎีแบบนามธรรม
ระบบสเกลคือเครื่องมือจดจำ…ไม่ใช่ต้นกำเนิดของดนตรี
ระบบ 𝘀𝗰𝗮𝗹𝗲 เป็นผลผลิตของกระบวนการจัดระบบ (𝘀𝘆𝘀𝘁𝗲𝗺𝗮𝘁𝗶𝘇𝗮𝘁𝗶𝗼𝗻) ของสิ่งที่มนุษย์ “เคยฟัง เคยเล่น เคยรู้สึก” แล้วพยายามจดจำมันอย่างมีระเบียบเพื่อให้ถ่ายทอดซ้ำได้ในเวลาต่อมา 𝗦𝗰𝗮𝗹𝗲 ไม่ได้เป็นต้นทางของอารมณ์ แต่เป็นโครงสร้างที่มนุษย์คิดค้นขึ้นเพื่อ “จัดเก็บ” อารมณ์ทางดนตรีเหล่านั้นในรูปแบบที่สามารถสอน ถ่ายทอด หรือเขียนลงบนกระดาษได้
ในแง่นี้ 𝘀𝗰𝗮𝗹𝗲 เปรียบเสมือนตัวอักษรของดนตรี — มันไม่ใช่ความรู้สึก แต่มันทำให้ความรู้สึกถูกถ่ายทอดได้ในรูปแบบที่ไม่ต้องพึ่งการปฏิสัมพันธ์โดยตรง ความแม่นยำของ 𝘀𝗰𝗮𝗹𝗲 จึงไม่รับประกันคุณภาพทางอารมณ์ของเสียง
การฟังคือรากฐานของดนตรี — การสร้างระบบคือผลลัพธ์ทางวัฒนธรรม
เสียงที่เปล่งออกมาโดยไม่มีระบบ ยังคงสามารถกระทบใจได้ หากมี “โครงสร้างของความตั้งใจ” ซ่อนอยู่ภายในเสียงนั้น ในทางตรงกันข้าม เสียงที่ถูกจัดเรียงอย่างแม่นยำในเชิงทฤษฎี อาจไม่สร้างผลทางอารมณ์ใดเลยหากปราศจากเจตนาทางการสื่อสาร
ในทุกวัฒนธรรมที่ยังไม่มีระบบโน้ต เครื่องดนตรีจำนวนมากยังสามารถผลิตเสียงที่สะเทือนใจได้ ไม่ว่าจะเป็นขลุ่ยไม้ไผ่ของชาวอาข่า ฆ้องของชาวบาหลี หรือเสียงสวดแบบ 𝘁𝗵𝗿𝗼𝗮𝘁 𝘀𝗶𝗻𝗴𝗶𝗻𝗴 ของชาวทูวา สิ่งเหล่านี้ไม่ได้มีสเกลชัดเจน แต่มี “โครงสร้างของความรู้สึก” ที่ถ่ายทอดผ่านเสียงในลักษณะเฉพาะตัว
การฝึกดนตรีจึงไม่ควรจำกัดอยู่แค่การเรียนรู้โครงสร้าง แต่ควรเริ่มจากการฝึก “ฟัง” และ “ตั้งใจฟัง” เพื่อให้เข้าใจว่าสิ่งใดในเสียงที่ทำให้เกิดอารมณ์ และอย่างไรเสียงหนึ่งสามารถทำให้คนฟัง “เดินทาง” ทางความรู้สึกได้
คำถาม :
๐ คุณกำลังเล่นดนตรีเพื่อ “ทบทวนระบบที่มีอยู่” หรือเพื่อ “สร้างบางสิ่งที่คุณรู้สึกได้แต่พูดไม่ออก”?
๐ เสียงที่คุณกำลังสร้าง มีจุดประสงค์ในทางความรู้สึกที่ชัดเจน หรือแค่มีตำแหน่งที่ถูกต้องในสเกล?
๐ คุณเคยฝึกฟังเสียงโดยไม่คิดถึงโน้ต ไม่คิดถึงชื่อ ไม่คิดถึงเทคนิค แล้วถามตัวเองเพียงว่า “เสียงนี้ทำให้รู้สึกอย่างไร?” หรือไม่?
๐ ในฐานะนักดนตรี คุณกำลังพัฒนา “ความเข้าใจในระบบ” หรือ “ความสามารถในการรู้สึก” มากกว่ากัน?
ในท้ายที่สุด ดนตรีไม่เคยเริ่มต้นจากทฤษฎี และไม่เคยสิ้นสุดที่การจดจำระบบ ความสามารถในการสื่อสารด้วยเสียงที่มีเจตนาและคุณภาพทางอารมณ์ คือแก่นของดนตรีในทุกยุคทุกสมัย ไม่ว่ามนุษย์จะอยู่ในโลกที่มี 𝘀𝗰𝗮𝗹𝗲 หรือโลกที่ยังไม่มีชื่อเสียงใด ๆ
คุณกำลังสื่อสารด้วยระบบ…หรือด้วยความรู้สึกที่แท้จริง
Comments