top of page
Search

การจำจังหวะ 𝘃𝘀 การอ่านจังหวะ สมองประมวลผลต่างกันหรือไม่❓😊 🪇

  • Writer: Dr.Kasem THipayametrakul
    Dr.Kasem THipayametrakul
  • Apr 29
  • 2 min read



ดนตรีถือเป็นหนึ่งในภาษาอันทรงพลังที่สุดของมนุษย์ โดยสามารถสะท้อนถึงอารมณ์และความรู้สึกที่ไม่มีคำพูดใดๆ สามารถถ่ายทอดได้ ช่วยสร้างความเชื่อมโยงระหว่างบุคคลและสังคมทั่วโลก แต่สิ่งที่น่าสนใจคือ ในขณะที่ดนตรีคือการถ่ายทอดและรับรู้เสียงที่เราได้ยินจากภายนอก สิ่งที่เกิดขึ้นภายในสมองเพื่อประมวลผลข้อมูลเสียงเหล่านั้นกลับซับซ้อนมากกว่าที่หลายคนคาดคิด



มนุษย์มีความสามารถในการรับรู้และสร้างจังหวะได้อย่างน่าทึ่ง บทเพลงจากทั่วโลก ไม่ว่าจะเป็นดนตรีคลาสสิกจากยุโรป หรือเสียงเพลงพื้นบ้านจากชนเผ่าต่างๆ ก็ล้วนมีองค์ประกอบของจังหวะที่แสดงถึงความสามารถทางสมองในการประมวลผลและทำความเข้าใจเวลาและจังหวะอย่างมีระเบียบ บางครั้งการจำจังหวะในเพลงหรือการอ่านจังหวะจากโน้ตดนตรีก็ถือเป็นการฝึกสมองที่มีความท้าทายและเป็นเรื่องที่มีความสำคัญต่อการพัฒนาทักษะด้านดนตรีและการเรียนรู้ในด้านอื่นๆ



งานวิจัยทางประสาทวิทยาศาสตร์ในช่วงหลายปีที่ผ่านมาเริ่มเจาะลึกถึงกระบวนการต่างๆ ที่สมองใช้ในการรับรู้ดนตรี การจำจังหวะและการอ่านจังหวะเป็นตัวอย่างที่สำคัญของการศึกษาเหล่านี้ การเข้าใจว่าสมองประมวลผลทั้งสองกระบวนการอย่างไร จะช่วยให้เราเข้าใจมากขึ้นว่าดนตรีสามารถพัฒนาในด้านต่างๆ ได้อย่างไร และมีผลต่อการเรียนรู้และการพัฒนาของบุคคลในด้านอื่นๆ





การจำจังหวะ (𝗥𝗵𝘆𝘁𝗵𝗺 𝗠𝗲𝗺𝗼𝗿𝗶𝘇𝗮𝘁𝗶𝗼𝗻) เป็นกระบวนการที่มนุษย์ใช้ในการรับรู้และจำเส้นทางของเสียงที่มีการกำหนดเวลาอย่างแน่นอน ซึ่งการจำจังหวะถือเป็นกระบวนการที่มีพื้นฐานมาจากการรับรู้ทางประสาทสัมผัส การทำความเข้าใจและจำจังหวะเกิดขึ้นเมื่อสมองสามารถจับความสัมพันธ์ระหว่างเวลาที่ผ่านไปและเสียงที่ได้ยินได้



จากงานวิจัยของ 𝗚𝗿𝗮𝗵𝗻 และ 𝗕𝗿𝗲𝘁𝘁 (𝟮𝟬𝟬𝟳) ได้ระบุว่ากระบวนการที่สมองใช้ในการจำจังหวะนั้นเกี่ยวข้องกับการประสานงานของ 𝗯𝗮𝘀𝗮𝗹 𝗴𝗮𝗻𝗴𝗹𝗶𝗮 ซึ่งทำหน้าที่ในการควบคุมการเคลื่อนไหวและการประเมินระยะเวลาของเสียงในจังหวะต่างๆ การทำงานนี้ไม่ใช่แค่การจำลำดับของเสียงเพียงอย่างเดียว แต่ยังเป็นการเรียนรู้ความสัมพันธ์ระหว่างเสียงกับการเคลื่อนไหวด้วย เช่น การเคาะจังหวะให้ตรงตามจังหวะของเพลง



การจำจังหวะจึงไม่ใช่เพียงการย้ำเสียงที่ได้ยินซ้ำๆ แต่มันคือการที่สมองสามารถคาดเดาและคำนวณระยะเวลาของเสียงได้ แม้ในขณะที่เสียงเหล่านั้นไม่ได้อยู่ในบริบทของจังหวะที่มีคำอธิบายชัดเจน งานวิจัยของ 𝗧𝗲𝗸𝗶 𝗲𝘁 𝗮𝗹. (𝟮𝟬𝟭𝟭) ยังได้ชี้ให้เห็นว่า สมองสามารถจับการเคลื่อนไหวของเสียงในระดับจิตใต้สำนึก ซึ่งเป็นการแสดงถึงความเชี่ยวชาญของสมองในการจัดการข้อมูลที่เกี่ยวกับเวลาและจังหวะโดยไม่ต้องใช้คำพูดหรือสัญลักษณ์ใดๆ



#ตัวอย่าง: หากคุณเคยได้ยินเสียงเคาะบนโต๊ะแบบไม่ต่อเนื่องกันแล้วคุณพยายามจะจำได้ว่าเสียงนั้นมีการเคาะกี่ครั้ง และมีช่วงเวลาเท่าไหร่ระหว่างการเคาะแต่ละครั้ง คุณกำลังใช้ความสามารถในการจำจังหวะของสมองที่ไม่เพียงแค่ฟังเสียง แต่ยังคำนวณระยะเวลาของเสียงด้วย





การอ่านจังหวะ (𝗥𝗵𝘆𝘁𝗵𝗺 𝗥𝗲𝗮𝗱𝗶𝗻𝗴) เป็นกระบวนการที่เกี่ยวข้องกับการตีความสัญลักษณ์ทางดนตรี เช่น โน้ตหรือเครื่องหมายที่ใช้ในการกำหนดจังหวะของเพลง การอ่านจังหวะเป็นสิ่งที่ต้องการทักษะในการแปลงสัญลักษณ์ให้กลายเป็นการเคลื่อนไหวจริงหรือการประมวลผลทางเสียง การใช้เครื่องหมายทางดนตรีเช่น พักโน้ตหรือทำนองที่บ่งบอกจังหวะจำเป็นต้องมีความเข้าใจในโครงสร้างของโน้ตและระยะเวลาที่กำหนด



การตีความการอ่านจังหวะเกี่ยวข้องกับการทำงานของสมองในหลายๆ พื้นที่ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง 𝗽𝗿𝗲𝗳𝗿𝗼𝗻𝘁𝗮𝗹 𝗰𝗼𝗿𝘁𝗲𝘅 ซึ่งเกี่ยวข้องกับการตัดสินใจและการคิดอย่างมีระเบียบ 𝗽𝗼𝘀𝘁𝗲𝗿𝗶𝗼𝗿 𝘀𝘂𝗽𝗲𝗿𝗶𝗼𝗿 𝘁𝗲𝗺𝗽𝗼𝗿𝗮𝗹 𝗴𝘆𝗿𝘂𝘀 ซึ่งช่วยในการจับคู่เสียงกับการเคลื่อนไหวในรูปแบบที่ต้องการ ความแตกต่างระหว่างการอ่านจังหวะกับการจำจังหวะคือ การอ่านจังหวะต้องใช้ความสามารถในการตีความและแปลงข้อมูลเชิงนามธรรม (สัญลักษณ์) ไปเป็นการประมวลผลที่เป็นรูปธรรม (การเล่นดนตรี)



งานวิจัยจาก 𝗭𝗮𝘁𝗼𝗿𝗿𝗲 𝗲𝘁 𝗮𝗹. (𝟮𝟬𝟬𝟳) แสดงให้เห็นว่าเมื่อเราอ่านโน้ตดนตรี ระบบประสาทในสมองจะถูกกระตุ้นในส่วนที่เกี่ยวข้องกับการจัดการสัญลักษณ์ทางการเขียน และการประมวลผลเสียงเพื่อทำให้การเคลื่อนไหวตรงกับสิ่งที่เห็นในโน้ต จึงกล่าวได้ว่า การอ่านจังหวะไม่ใช่เพียงแค่การจับคู่เสียงกับเวลา แต่เป็นการแปลงสัญลักษณ์ให้เกิดการประมวลผลและการเคลื่อนไหวจริง



 #ตัวอย่าง: เมื่อคุณอ่านโน้ตดนตรีและเริ่มเล่นเครื่องดนตรี คุณกำลังใช้สมองของคุณในการจับคู่ระหว่างโน้ตที่เห็นในโน้ตดนตรีกับจังหวะและเสียงที่เกิดขึ้นจริง





การประมวลผลการจำจังหวะและการอ่านจังหวะเป็นกระบวนการที่ซับซ้อนและเกี่ยวข้องกับหลายพื้นที่ในสมอง โดยมีการทำงานร่วมกันของหลายระบบที่รับผิดชอบในด้านต่างๆ ที่สำคัญ อย่างไรก็ตามกระบวนการทั้งสองนี้มีความแตกต่างกันอย่างชัดเจนในแง่ของพื้นที่สมองที่ใช้งานและวิธีการที่สมองจัดการกับข้อมูลที่ได้รับ ดังนี้:



#การจำจังหวะ (𝗥𝗵𝘆𝘁𝗵𝗺 𝗠𝗲𝗺𝗼𝗿𝗶𝘇𝗮𝘁𝗶𝗼𝗻)



การจำจังหวะเป็นการจับและบันทึกความรู้สึกของจังหวะในระดับประสบการณ์โดยไม่ต้องการการอ่านหรือการตีความโน้ตหรือสัญลักษณ์ดนตรี สมองจะประมวลผลข้อมูลจังหวะผ่านการจับเวลาและการเคลื่อนไหวที่สัมพันธ์กับจังหวะ โดยเฉพาะในส่วนที่เกี่ยวข้องกับการเคลื่อนไหวและการควบคุมเวลาของร่างกาย เช่น การตีจังหวะหรือการเต้นตามจังหวะที่ได้ยิน



𝗕𝗮𝘀𝗮𝗹 𝗚𝗮𝗻𝗴𝗹𝗶𝗮: ส่วนนี้ของสมองมีบทบาทในการควบคุมการเคลื่อนไหวที่เป็นระบบและมีความละเอียด เช่น การกระตุ้นการตอบสนองเชิงจังหวะและการควบคุมความแม่นยำในการเคลื่อนไหวที่เกิดขึ้นในระหว่างการตีจังหวะ



𝗠𝗼𝘁𝗼𝗿 𝗖𝗼𝗿𝘁𝗲𝘅: ส่วนนี้จะเกี่ยวข้องกับการควบคุมการเคลื่อนไหวของร่างกาย เช่น การเคลื่อนไหวของมือขณะเล่นเครื่องดนตรีหรือการเคาะตามจังหวะที่ได้ยิน



𝗖𝗲𝗿𝗲𝗯𝗲𝗹𝗹𝘂𝗺: สมองส่วนนี้มีบทบาทในการควบคุมความแม่นยำและความเร็วของการเคลื่อนไหว ซึ่งสำคัญในการประสานงานระหว่างการเคลื่อนไหวของร่างกายกับการรับรู้จังหวะ ทำให้ผู้เล่นดนตรีสามารถรักษาความแม่นยำของจังหวะได้ตามเวลาจริง



กระบวนการจำจังหวะนี้จะเกิดขึ้นจากการฝึกฝนและทำซ้ำๆ ซึ่งสมองจะจำลองและปรับการตอบสนองทางร่างกายให้เข้ากับจังหวะที่ได้ยิน โดยไม่จำเป็นต้องมีการตีความจากการอ่านสัญลักษณ์ดนตรีหรือโน้ต



#การอ่านจังหวะ (𝗥𝗵𝘆𝘁𝗵𝗺 𝗥𝗲𝗮𝗱𝗶𝗻𝗴)



การอ่านจังหวะเกี่ยวข้องกับการตีความสัญลักษณ์ดนตรีหรือโน้ตที่เกี่ยวข้องกับจังหวะ และแปลงข้อมูลเหล่านั้นไปเป็นการเคลื่อนไหวจริงในรูปแบบที่สมองสามารถเข้าใจได้ กระบวนการนี้ซับซ้อนกว่าและเกี่ยวข้องกับการตีความทางมโนทัศน์และการแปลงข้อมูลจากรูปแบบเชิงนามธรรม (โน้ตดนตรี) ไปสู่การแสดงออกทางร่างกาย เช่น การตีหรือการเคาะจังหวะตามที่ได้เรียนรู้จากการอ่านโน้ต



𝗣𝗿𝗲𝗳𝗿𝗼𝗻𝘁𝗮𝗹 𝗖𝗼𝗿𝘁𝗲𝘅: ส่วนนี้ของสมองเกี่ยวข้องกับการคิดและการตัดสินใจ รวมถึงการจัดระเบียบข้อมูลที่ได้จากการอ่านโน้ตหรือสัญลักษณ์ดนตรี การทำงานของ 𝗽𝗿𝗲𝗳𝗿𝗼𝗻𝘁𝗮𝗹 𝗰𝗼𝗿𝘁𝗲𝘅 จะช่วยให้สมองสามารถแปลสัญลักษณ์และตัดสินใจในการตีความโน้ตให้เป็นการเคลื่อนไหวได้



𝗣𝗼𝘀𝘁𝗲𝗿𝗶𝗼𝗿 𝗦𝘂𝗽𝗲𝗿𝗶𝗼𝗿 𝗧𝗲𝗺𝗽𝗼𝗿𝗮𝗹 𝗚𝘆𝗿𝘂𝘀: ส่วนนี้เป็นพื้นที่ที่เชื่อมโยงกับการรับรู้เสียงและการประมวลผลทางภาษา โดยมีบทบาทสำคัญในการตีความเสียงที่เกิดจากสัญลักษณ์ทางดนตรี เมื่อเราอ่านโน้ต สมองจะต้องประมวลผลสัญญาณเสียงเหล่านั้นเพื่อแปลงข้อมูลจากเชิงนามธรรมไปเป็นการเคลื่อนไหวในแบบที่สามารถเข้าใจและประสานงานได้อย่างแม่นยำ



𝗣𝗿𝗶𝗺𝗮𝗿𝘆 𝗔𝘂𝗱𝗶𝘁𝗼𝗿𝘆 𝗖𝗼𝗿𝘁𝗲𝘅: ในกระบวนการอ่านจังหวะ สมองจะต้องประมวลผลข้อมูลจากการรับรู้เสียงที่มาจากการอ่านโน้ต ซึ่งข้อมูลเหล่านี้จะถูกแปลงเป็นจังหวะและเสียงที่สามารถบ่งชี้ลำดับเวลาและความยาวของแต่ละเสียงได้



การอ่านจังหวะจึงเป็นกระบวนการที่ต้องการความสามารถในการตีความสัญลักษณ์อย่างละเอียดและการทำงานร่วมกันระหว่างหลายๆ พื้นที่ในสมอง เพื่อให้สามารถแปลงข้อมูลจากโน้ตดนตรีที่อ่านออกมาเป็นการแสดงออกทางร่างกายที่แม่นยำ





ในขณะที่การจำจังหวะเป็นการรับรู้ที่เกิดขึ้นจากการฝึกฝนและการทำซ้ำๆ โดยไม่ต้องพึ่งพาการอ่านหรือการตีความสัญลักษณ์ดนตรี การอ่านจังหวะเป็นกระบวนการที่ต้องการการตีความเชิงมโนทัศน์และการแปลงข้อมูลจากสัญลักษณ์ไปเป็นการแสดงออกทางร่างกาย ดังนั้นแม้ว่าทั้งสองกระบวนการจะเชื่อมโยงกับการประมวลผลจังหวะในสมอง แต่พื้นที่สมองที่เกี่ยวข้องกับการจำจังหวะและการอ่านจังหวะแตกต่างกันอย่างชัดเจน โดยการจำจังหวะจะเกี่ยวข้องกับการประสานงานทางร่างกายและการควบคุมความแม่นยำในการเคลื่อนไหว ส่วนการอ่านจังหวะจะเกี่ยวข้องกับการตีความสัญลักษณ์และการแปลงข้อมูลเชิงนามธรรมให้เป็นการเคลื่อนไหวจริง



การเข้าใจความแตกต่างนี้มีความสำคัญอย่างยิ่งสำหรับนักเรียนดนตรี เพราะมันจะช่วยให้เราสามารถฝึกฝนทักษะทั้งสองอย่างได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยใช้การฝึกฝนที่เหมาะสมกับแต่ละกระบวนการ





ผลกระทบของความแตกต่างนี้ต่อการเรียนรู้ดนตรีสามารถมองได้จากหลายแง่มุม ทั้งในด้านการพัฒนาทักษะการเล่นดนตรีและการพัฒนาในกระบวนการเรียนรู้ทางดนตรี โดยเฉพาะเมื่อเข้าใจว่าการจำจังหวะและการอ่านจังหวะนั้นใช้กระบวนการสมองที่แตกต่างกัน การฝึกทั้งสองทักษะนี้ในลำดับที่เหมาะสมสามารถช่วยเสริมสร้างการเรียนรู้ที่มีประสิทธิภาพและยั่งยืน





การฝึกการจำจังหวะในช่วงเริ่มต้นของการเรียนดนตรี เป็นการช่วยเสริมสร้างความสามารถของสมองในการจับจังหวะผ่านการฟังและการทำซ้ำๆ โดยไม่ต้องพึ่งพาการอ่านโน้ตหรือตัวสัญลักษณ์ดนตรี การฝึกนี้มีผลกระทบที่สำคัญต่อการพัฒนาทักษะดนตรีในระยะยาว เพราะมันช่วยให้ผู้เรียนสามารถฝึกฝนการรับรู้จังหวะในระดับที่เป็นธรรมชาติและเกิดขึ้นจากประสบการณ์การฟังโดยตรง ซึ่งส่งผลให้การเล่นดนตรีนั้นมีความแม่นยำและเป็นธรรมชาติ



ในระบบการเรียนดนตรีหลายรูปแบบ เช่น 𝗞𝗼𝗱𝗮́𝗹𝘆 𝗠𝗲𝘁𝗵𝗼𝗱 หรือ 𝗦𝘂𝘇𝘂𝗸𝗶 𝗠𝗲𝘁𝗵𝗼𝗱, การฝึกการจำจังหวะและการฟังเป็นส่วนสำคัญที่ถูกเน้นก่อนที่จะเริ่มต้นการอ่านโน้ตหรือการตีความสัญลักษณ์ดนตรี วิธีนี้ช่วยให้ผู้เรียนสามารถเข้าใจและรับรู้จังหวะได้โดยไม่ต้องพึ่งพาการอ่านตัวโน้ต แต่เป็นการสร้างความเข้าใจผ่านการฝึกฝนเชิงประสบการณ์ การฝึกจำจังหวะจะช่วยให้สมองสามารถเชื่อมโยงจังหวะกับการเคลื่อนไหวของร่างกายได้ ซึ่งเป็นพื้นฐานสำคัญของการเล่นดนตรีที่มีคุณภาพในระยะยาว





หลังจากที่ผู้เรียนมีทักษะในการจำจังหวะอย่างดีแล้ว การเริ่มต้นการฝึกอ่านจังหวะจึงเป็นขั้นตอนถัดไปที่สำคัญ เพราะการอ่านจังหวะต้องการความสามารถในการตีความสัญลักษณ์ดนตรี ซึ่งเป็นกระบวนการที่มีความซับซ้อนและต้องการการประสานงานของสมองหลายพื้นที่ การเรียนการอ่านจังหวะไม่เพียงแค่การตีความโน้ต แต่ยังเกี่ยวข้องกับการแปลงสัญลักษณ์ให้เป็นการเคลื่อนไหวที่แม่นยำ



การฝึกฝนการอ่านจังหวะโดยเน้นการทำความเข้าใจสัญลักษณ์ดนตรีจะช่วยเสริมสร้างทักษะในการอ่านโน้ตและการตีความอย่างถูกต้อง ซึ่งในที่สุดจะส่งผลดีต่อการเล่นดนตรีที่มีความเป็นระเบียบและสอดคล้องกับจังหวะที่ถูกต้อง อย่างไรก็ตาม หากการเรียนการอ่านจังหวะเริ่มต้นเร็วเกินไป หรือไม่ได้มีพื้นฐานที่มั่นคงจากการฝึกการจำจังหวะก่อนแล้ว อาจจะทำให้การตีความโน้ตหรือสัญลักษณ์ดนตรีไม่สามารถทำได้อย่างแม่นยำและมีประสิทธิภาพ





งานวิจัยของ 𝗟𝗮𝗵𝗮𝘃 𝗲𝘁 𝗮𝗹. (𝟮𝟬𝟬𝟳) ได้ระบุว่า การฝึกฝนการฟังและการจำจังหวะสามารถกระตุ้นการทำงานของทั้ง 𝗺𝗼𝘁𝗼𝗿 𝗰𝗼𝗿𝘁𝗲𝘅 และ 𝗮𝘂𝗱𝗶𝘁𝗼𝗿𝘆 𝗮𝗿𝗲𝗮𝘀 ของสมอง ซึ่งทั้งสองส่วนนี้มีบทบาทสำคัญในการประมวลผลการเคลื่อนไหวและการรับรู้เสียง การฝึกการจำจังหวะช่วยให้สมองสามารถเชื่อมโยงการรับรู้ทางหูและการเคลื่อนไหวของร่างกายได้อย่างแม่นยำ การทำงานของ 𝗺𝗼𝘁𝗼𝗿 𝗰𝗼𝗿𝘁𝗲𝘅 จะช่วยในการควบคุมการเคลื่อนไหวของมือและร่างกายในระหว่างการเล่นดนตรี ส่วน 𝗮𝘂𝗱𝗶𝘁𝗼𝗿𝘆 𝗮𝗿𝗲𝗮𝘀 จะช่วยให้สมองสามารถแยกแยะเสียงที่ต่างกันและตีความหมายของเสียงในบริบทของจังหวะและทำนองได้



การฝึกฝนเหล่านี้จะช่วยให้ผู้เรียนมีทักษะที่พัฒนาไปในทิศทางที่มีความสมดุลทั้งในด้านการรับรู้เสียงและการควบคุมการเคลื่อนไหว ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญในการเล่นดนตรีได้อย่างมีประสิทธิภาพ





ความสามารถในการจำจังหวะและการอ่านจังหวะที่พัฒนาขึ้นในช่วงเริ่มต้นของการเรียนดนตรีมีผลอย่างมากต่อการเรียนรู้ในระยะยาว ทั้งในด้านการเล่นดนตรีและการเข้าใจทฤษฎีดนตรี การมีความเข้าใจที่ดีในจังหวะจะช่วยให้ผู้เรียนสามารถเล่นดนตรีได้อย่างถูกต้องและมีความรู้สึกในการจับจังหวะที่เป็นธรรมชาติ นอกจากนี้ยังสามารถปรับใช้ทักษะเหล่านี้ได้ในสภาพแวดล้อมทางดนตรีที่มีความหลากหลาย ทั้งการเล่นเป็นกลุ่ม หรือการฝึกซ้อมในลักษณะต่างๆ ที่ต้องใช้การร่วมมือกับผู้อื่น



การมีพื้นฐานที่มั่นคงในด้านการจำจังหวะก่อนการเรียนการอ่านจังหวะจะทำให้การฝึกการอ่านจังหวะเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพและรวดเร็วมากขึ้น ผู้เรียนจะสามารถตีความสัญลักษณ์ดนตรีได้อย่างถูกต้องและเชื่อมโยงมันกับการเคลื่อนไหวของร่างกายได้อย่างแม่นยำ ส่งผลให้การเล่นดนตรีที่เรียนรู้ในภายหลังมีความลื่นไหลและเป็นธรรมชาติ





จากการสำรวจและการศึกษาเรื่องของการจำจังหวะและการอ่านจังหวะ เราได้เห็นว่าทั้งสองกระบวนการมีความสำคัญต่อการพัฒนาทักษะด้านดนตรี แต่ในเวลาเดียวกัน ก็ยังมีกระบวนการที่แตกต่างกันในการทำงานของสมอง



บทเรียนสำคัญจากเรื่องนี้คือการเข้าใจว่าดนตรีไม่ได้เป็นเพียงแค่การฝึกฝนเสียงและทำนอง แต่ยังเกี่ยวข้องกับการทำงานของสมองที่ซับซ้อนและต้องการการฝึกฝนที่มีระบบ ซึ่งจะช่วยให้เราพัฒนาความสามารถในการรับรู้ดนตรีและการสร้างสรรค์ดนตรีให้ลึกซึ้งยิ่งขึ้น



การตั้งคำถามเกี่ยวกับวิธีที่เราสามารถเรียนรู้และพัฒนาทักษะการจำจังหวะและการอ่านจังหวะ จะช่วยกระตุ้นการเรียนรู้ที่เป็นพื้นฐานของดนตรี และเป็นการเชื่อมโยงการทำงานของสมองกับทักษะทางดนตรีได้อย่างมีประสิทธิภาพ  





๐ 𝗚𝗿𝗮𝗵𝗻, 𝗝. 𝗔., & 𝗕𝗿𝗲𝘁𝘁, 𝗠. (𝟮𝟬𝟬𝟳). 𝗥𝗵𝘆𝘁𝗵𝗺 𝗮𝗻𝗱 𝗯𝗲𝗮𝘁 𝗽𝗲𝗿𝗰𝗲𝗽𝘁𝗶𝗼𝗻 𝗶𝗻 𝗺𝗼𝘁𝗼𝗿 𝗮𝗿𝗲𝗮𝘀 𝗼𝗳 𝘁𝗵𝗲 𝗯𝗿𝗮𝗶𝗻. 𝗝𝗼𝘂𝗿𝗻𝗮𝗹 𝗼𝗳 𝗡𝗲𝘂𝗿𝗼𝘀𝗰𝗶𝗲𝗻𝗰𝗲, 𝟮𝟳(𝟮), 𝟯𝟰𝟰-𝟯𝟱𝟭.



๐ 𝗧𝗲𝗸𝗶, 𝗦., 𝗚𝗿𝘂𝗯𝗲, 𝗠., & 𝗚𝗿𝗶𝗳𝗳𝗶𝘁𝗵𝘀, 𝗧. 𝗗. (𝟮𝟬𝟭𝟭). 𝗔 𝘂𝗻𝗶𝗳𝗶𝗲𝗱 𝗺𝗼𝗱𝗲𝗹 𝗼𝗳 𝘁𝗶𝗺𝗲 𝗽𝗲𝗿𝗰𝗲𝗽𝘁𝗶𝗼𝗻 𝗮𝗻𝗱 𝗽𝗶𝘁𝗰𝗵 𝗱𝗶𝘀𝗰𝗿𝗶𝗺𝗶𝗻𝗮𝘁𝗶𝗼𝗻. 𝗧𝗵𝗲 𝗝𝗼𝘂𝗿𝗻𝗮𝗹 𝗼𝗳 𝗡𝗲𝘂𝗿𝗼𝘀𝗰𝗶𝗲𝗻𝗰𝗲, 𝟯𝟭(𝟭𝟯), 𝟱𝟯𝟵𝟵-𝟱𝟰𝟬𝟳.



๐ 𝗭𝗮𝘁𝗼𝗿𝗿𝗲, 𝗥. 𝗝., 𝗖𝗵𝗲𝗻, 𝗝. 𝗟., & 𝗣𝗲𝗻𝗵𝘂𝗻𝗲, 𝗩. 𝗕. (𝟮𝟬𝟬𝟳). 𝗪𝗵𝗲𝗻 𝘁𝗵𝗲 𝗯𝗿𝗮𝗶𝗻 𝗽𝗹𝗮𝘆𝘀 𝗺𝘂𝘀𝗶𝗰: 𝗔𝘂𝗱𝗶𝘁𝗼𝗿𝘆-𝗺𝗼𝘁𝗼𝗿 𝗶𝗻𝘁𝗲𝗿𝗮𝗰𝘁𝗶𝗼𝗻𝘀 𝗶𝗻 𝗺𝘂𝘀𝗶𝗰 𝗽𝗲𝗿𝗰𝗲𝗽𝘁𝗶𝗼𝗻 𝗮𝗻𝗱 𝗽𝗿𝗼𝗱𝘂𝗰𝘁𝗶𝗼𝗻. 𝗡𝗮𝘁𝘂𝗿𝗲 𝗥𝗲𝘃𝗶𝗲𝘄𝘀 𝗡𝗲𝘂𝗿𝗼𝘀𝗰𝗶𝗲𝗻𝗰𝗲, 𝟴(𝟳), 𝟱𝟰𝟳-𝟱𝟱𝟴.



๐ 𝗟𝗮𝗵𝗮𝘃, 𝗔., 𝗦𝗮𝗹𝘁𝘇𝗺𝗮𝗻, 𝗘., & 𝗦𝗰𝗵𝗹𝗮𝘂𝗴, 𝗚. (𝟮𝟬𝟬𝟳). 𝗔𝗰𝘁𝗶𝗼𝗻 𝗿𝗲𝗽𝗿𝗲𝘀𝗲𝗻𝘁𝗮𝘁𝗶𝗼𝗻 𝗼𝗳 𝘀𝗼𝘂𝗻𝗱: 𝗔𝘂𝗱𝗶𝗼𝗺𝗼𝘁𝗼𝗿 𝗿𝗲𝗰𝗼𝗴𝗻𝗶𝘁𝗶𝗼𝗻 𝗻𝗲𝘁𝘄𝗼𝗿𝗸 𝘄𝗵𝗶𝗹𝗲 𝗹𝗶𝘀𝘁𝗲𝗻𝗶𝗻𝗴 𝘁𝗼 𝗻𝗲𝘄𝗹𝘆 𝗮𝗰𝗾𝘂𝗶𝗿𝗲𝗱 𝗮𝗰𝘁𝗶𝗼𝗻𝘀. 𝗝𝗼𝘂𝗿𝗻𝗮𝗹 𝗼𝗳 𝗡𝗲𝘂𝗿𝗼𝘀𝗰𝗶𝗲𝗻𝗰𝗲, 𝟮𝟳(𝟮), 𝟯𝟬𝟴–𝟯𝟭𝟰.

 
 
 

Comments


bottom of page